Group Blog
 
All blogs
 
แม้นมั่นคำสัญญา 4

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


4.



“ไอ้หน่อไม้ ไม่ต้องขูดแรงขนาดนั้นลูก เดี๋ยวเนื้อมะพร้าวมันหลุดเป็นแผ่นแล้วคั้นกะทิได้น้อย”

ชายชราทักเมื่อเห็นหลานชายตัวน้อยขะมักเขม้นกับการนั่งขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายขูดงกๆจนเหงื่อซึม เด็กชายพรพฤกษ์จึงพยักหน้าแล้วก้มขูดมะพร้าวต่อโดยใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เวลาทำกับข้าวที่ต้องใช้กะทิเป็นส่วนผสมเมื่อใด เด็กชายจะตื่นเต้นและขันอาสาเป็นคนขูดมะพร้าวและคั้นกะทิเองทุกครั้ง เพราะเวลานั่งขูดมะพร้าวแล้วสนุกเหมือนได้ขี่กระต่ายจริงๆ ส่วนเวลาขยำเนื้อมะพร้าวฝอยกับน้ำอุ่นให้ออกมาเป็นน้ำสีขาวๆข้นๆก็เพลินดี

ผู้เป็นตามองหลานชายที่จดจ่อกับภารกิจตรงหน้าแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็หันความสนใจกลับมาที่การหั่นไก่เป็นชิ้นๆเพื่อเตรียมทำแกงเขียวหวานเป็นมื้อเย็น หลังจากต่างคนต่างนั่งทำงานได้สักพัก เด็กชายก็ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วร้องบอกด้วยเสียงดังใสแจ๋ว

“ตาจ๋า ไผ่ขูดมะพร้าวเสร็จแล้ว”

“เอ้อๆ งั้นเอากะละมังมาให้ตา แล้วเราก็ไปล้างมือซะ จะได้มาคั้นกะทิ”

ผู้เป็นตารับอ่างใบย่อมที่มีมะพร้าวขูดฝอยสีขาวฟูไปเติมน้ำอุ่นพอประมาณ จากนั้นก็ยื่นให้ไอ้หน่อไม้ของตาเป็นคนจัดการต่อ เด็กชายนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นไม่ห่างจากตานัก ขณะที่ขยำมะพร้าวขูดกับน้ำอุ่นไปก็ชวนตาคุยไปด้วย
“ตาๆ วันศุกร์นี้ที่โรงเรียนไผ่มีแข่งกีฬาสี ไผ่อยู่สีฟ้านะ ไผ่จะแข่งบอลกับชักเย่อด้วย ตาต้องไปดูนะ”

เด็กชายรบเร้าเสียงจ๋อยๆทั้งที่มือก็ยังคั้นน้ำกะทิจนเป็นได้หัวกะทิสีขาว ตาจึงเอากระชอนปิดฝาถ้วยเปล่าแล้วหยิบอ่างนั้นมาเทหัวกะทิลงไปเก็บไว้ก่อน จากนั้นก็เติมน้ำอุ่นใส่อ่างมะพร้าวขูดเพิ่มแล้วส่งให้หลานคั้นต่อ

“เออๆ หลานตาเก่ง เดี๋ยวตาไปดู”

พอได้ยินคำสัญญา เด็กชายก็ยิ้มแป้น “ไอ้อ้นมันชอบหาว่าไผ่เป็นลูกไม่มีพ่อมีแม่ แต่เวลามีงานโรงเรียนทีไรพ่อแม่มันไม่เห็นเคยมาดู สู้ไผ่ก็ไม่ได้ ตามาดูไผ่ทุกงานเลย”

สิ่งที่ได้ยินคราวนี้ทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ชายชรามองหลานชายด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความสงสาร จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อ้นมันเรียกไผ่อย่างงั้นเหรอลูก แล้ว...มีใครเรียกไผ่แบบนั้นอีกหรือเปล่า?”

เด็กชายเอียงคอพลางรามือที่กำลังคั้นกะทิ โดยปกติตาจะชอบเรียกเขาว่า ‘ไอ้หน่อไม้’ มากกว่าชื่อเล่นจริง หากจะเรียก ‘ไผ่’ ก็มักจะเป็นเวลาที่จะดุหรือจะคุยเรื่องสำคัญ เด็กชายจึงพยายามคิดทบทวนว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ไม่มีนะตา เพราะเวลาไอ้อ้นเรียกไผ่อย่างนี้ทีไรโดนครูนาดุทุกที ครูนาขู่ว่าถ้าได้ยินใครพูดอย่างนี้อีกจะหวดด้วยไม้เรียว เลยไม่มีใครกล้า”

“แล้วไผ่คิดมากหรือเปล่าลูก เรื่องพ่อกับแม่น่ะ”

เด็กชายวัยแปดขวบมองหน้าเศร้าๆของตาอย่างตื่นๆ ร่างเล็กผละจากอ่างกะทิแล้วก็รีบขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้ชายชราที่เลี้ยงดูตนมา จากนั้นก็เอื้อมสองมือที่ยังชุ่มน้ำกะทิกับเศษมะพร้าวขูดไปโอบรอบเอวหนาอย่างประจบ “ไผ่ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่เป็นไรหรอกตา ไผ่มีตาเป็นทั้งพ่อทั้งแม่อยู่แล้ว ชีวิตไผ่มีตาแค่คนเดียวก็พอ”

คำตอบที่ได้ทำให้มุมปากของชายชรายกขึ้นเล็กน้อย แขนที่เริ่มเหี่ยวย่นยกขึ้นโอบหลานตัวเล็กแน่นขึ้นอย่างมันเขี้ยว “ตาก็รักไผ่ แม่เค้าก็รักไผ่ แต่เค้าอยู่กับไผ่ไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงตาก็จะเลี้ยงไผ่ให้โตเป็นคนดีนะลูกเอ๊ย”




พรพฤกษ์สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มปรือตาแล้วค่อยๆยกศีรษะขึ้นอย่างงัวเงีย ทำให้พบว่าหน้าจอโน้ตบุ๊คที่เขาใช้แปลงานมาหลายชั่วโมงได้เปลี่ยนเป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ไปแล้ว เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าเข็มนาฬิกาชี้เวลาเกือบห้าโมงเย็น นิ้วมือเรียวยกขึ้นนวดคลึงขมับตนเองเบาๆขณะที่ชายหนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แต่แล้วความสะโหลสะเหลก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้ยินเสียงเปาะแปะที่ดังเบาๆห่างๆก่อนจะเริ่มถี่และดังขึ้นเรื่อยๆ

“เฮ้ย!! ไม่จริงน่ะ ฝนตกอีกแล้วเหรอเนี่ย!?”

ร่างสูงเพรียวรีบวิ่งผ่านห้องครัวไปเปิดประตูหลังบ้านเพื่อเก็บผ้าที่ตากไว้ โชคดีที่กันสาดที่ยื่นออกมาจากหลังคาช่วยทำให้เสื้อผ้าบางส่วนไม่โดนน้ำฝน แต่ก็มีเสื้อกับกางเกงบางชิ้นที่เขาเก็บไม่ทันจนโดนน้ำฝนซึมเป็นดวง ชายหนุ่มจึงเอาเสื้อผ้าที่ยังชื้นมาคลี่ผึ่งบนโซฟากับเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น

หน้าฝนก็ฝนตกบ่อยสมชื่อจริงๆ...

ชายหนุ่มคิด และยังไม่ทันที่เขาจะผึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นเสร็จ ลมพายุที่กรรโชกแรงก็เปลี่ยนทิศทาง ฝนที่เมื่อครู่เทไปทางหนึ่งจึงสาดผ่านประตูมุ้งลวดด้านข้างของตัวบ้านเข้ามา ชายหนุ่มพ่นลมจากปากก่อนจะวางมือแล้วรีบก้าวไปเลื่อนปิดประตูกระจก จากนั้นก็หยิบไม้ถูพื้นมาถูน้ำฝนที่สาดลงบนพื้นก่อนจะปิดประตูทัน

พายุภายนอกกระหน่ำจนไม่เหลือเค้าท้องฟ้าใสกระจ่างเมื่อเช้า พรพฤกษ์ยืนเอามือข้างหนึ่งเท้าเอวขณะที่อีกข้างทาบลงบนประตูกระจก สัมผัสเย็นๆจากแผ่นกระจกใสที่มีหยาดน้ำฝนตกกระทบอยู่ด้านนอกถ่ายทอดมาที่ผิว ชายหนุ่มจึงแนบหน้าผากของตนลงไปเบาๆ

ความแรงของพายุฝนทำให้ทัศนวิสัยภายนอกพร่ามัว แม้แต่ต้นไม้ที่อยู่ตรงรั้วยังกลายเป็นภาพเลือนๆเท่านั้น พรพฤกษ์จึงนึกเป็นห่วงคนอีกคนที่เข้าไปในเมืองตั้งแต่ตอนสาย

“ต้นจะขับรถกลับมาอยู่หรือเปล่านะ ถนนทางขึ้นเขาตอนฝนตกมันลื่นด้วยสิ”

เจ้าของเกสต์เฮ้าส์หนุ่มพึมพำกับตัวเอง หากจะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตาของเขาจากไปที่พรพฤกษ์ได้ใช้ชีวิตกับใครบางคนอีกครั้ง เพราะถ้าหากไม่นับช่วงวัยเด็กจนถึงมัธยมที่เขาโตมากับตาแล้ว หลังจากสอบติดมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มก็ย้ายไปอยู่หอพักตามลำพังจนกระทั่งได้งานทำในกองบรรณาธิการนิตยสารที่กรุงเทพฯ แต่จุดหักเหสำคัญเกิดขึ้นเมื่อจู่ๆตาที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอดก็ล้มป่วย เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผู้เป็นบุพการีในวาระสุดท้าย และหลังจากชายชราที่เขาเทิดทูนดั่งพ่อและแม่จากไป ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเปลี่ยนบ้านให้เป็นเกสต์เฮ้าส์เพื่อจะได้ไม่ต้องขายทอดบ้านให้แก่คนอื่น โชคดีที่หัวหน้าบรรณาธิการที่พรพฤกษ์เคยร่วมงานด้วยให้ความเอ็นดูเขาเหมือนเป็นลูกหลานคนหนึ่ง จึงไม่ได้รั้งตัวเขาไว้ แถมยังคอยป้อนงานแปลและงานเขียนบทความเล็กๆน้อยๆมาให้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อรวมกับเงินส่วนแบ่งจากร้านอาหารกึ่งผับที่เขาลงทุนร่วมกับเพื่อนๆ พรพฤกษ์จึงมีรายได้ในแต่ละเดือนเพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างไม่ขัดสน

ร่างสูงเพรียวยืนนิ่งอยู่ข้างประตูกระจกขณะนึกถึงความฝันก่อนที่จะตื่นเมื่อครู่ ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงแจ่มชัดในความทรงจำราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ชายหนุ่มไม่ได้ฝันถึงวัยเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับตามานานแล้ว การที่มีตระการเข้ามาอยู่ในบ้านตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คอยช่วยหยิบจับทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆและให้ความสนิทสนมคุ้นเคยคงไปสะกิดต่อมความคิดถึงบรรยากาศครอบครัวของเขากระมัง

เสียงบีบแตรจากรถยนต์ที่เลี้ยวเข้ามาตามถนนโรยกรวดฉุดพรพฤกษ์จากภวังค์ ชายหนุ่มหันไปคว้าร่มที่เสียบอยู่ในตะกร้าข้างประตูบ้านออกมากางแล้วก็วิ่งฝ่าฝนไปยังรถที่กำลังดับเครื่อง และจังหวะเดียวกันนั้นตระการก็เปิดประตูรถลงมาพอดีเช่นกัน พอเห็นสภาพของอีกฝ่ายถนัดตา คนที่ถือร่มอยู่ก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“โห! ทำไมต้นเปียกขนาดนี้ล่ะ ฝนเพิ่งตกเมื่อกี้เองนะ”

พรพฤกษ์เอ่ยถาม เพราะว่าร่างสูงที่เพิ่งลงมาจากรถนั้นเสื้อเปียกโชกจนแนบกับตัว ผมก็เปียกน้ำจนลู่ติดหน้าผาก อีกฝ่ายจึงตอบพลางหันไปฉวยถุงพลาสติกหลายใบออกจากเบาะหลัง

“พอดีในเมืองฝนมันตกไปก่อนแล้ว จะรอจนฝนหยุดก็กลัวมันจะค่ำมืด ไม่อยากให้ไผ่เป็นห่วงเลยรีบขับรถฝ่าฝนกลับมา”

น้ำเสียงและหน้าตาของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นว่ากลัวพรพฤกษ์จะเป็นห่วงจริงๆไม่ใช่แค่แกล้งพูดเพื่อเอาใจ พอเห็นสีหน้าเช่นนั้น คนถูกเป็นห่วงจึงยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า

“ขับรถขึ้นเขาตอนฝนตกแบบนี้สิจะทำให้เป็นห่วงมากกว่า ยังไงรีบเอาของเข้าบ้านแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

ตระการพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็รีบเดินเข้าบ้านโดยที่ร่างสูงใหญ่ถือถุงใส่ของต่างๆเต็มสองมือและมีพรพฤกษ์กางร่มให้ตลอดทาง ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในครัวแล้ววางข้าวของลงบนโต๊ะ ขณะเดียวกันพรพฤกษ์ก็ผละไปหยิบผ้าขนหนูมาให้อีกฝ่ายได้เช็ดตัว และคราวนี้ก็เป็นตระการที่ต้องเลิกคิ้วบ้างเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย

“อะไรไผ่ ขำอะไร?”

พรพฤกษ์เห็นสีหน้าสงสัยของอีกฝ่ายก็หัวเราะ “ก็...ตอนที่ต้นมาพักที่นี่วันแรกก็เปียกฝนมาแบบนี้เหมือนกันนี่นา ยังกับโดนเจ้าที่เจ้าทางกลั่นแกล้งเลย”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตวัดมองใบหน้ายามหัวเราะของคู่สนทนา ใบหน้าที่สดใสนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ้มตาม ได้แต่คิดในใจว่าถ้าหากเจ้าที่เจ้าทางแกล้งแล้วทำให้ได้อยู่ข้างๆพรพฤกษ์อย่างนี้ล่ะก็ จะให้เขาโดนแกล้งตลอดชีวิตก็ยอม แต่ว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา

“งั้นเดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อนนะจะได้มากินข้าวเย็นด้วยกัน นี่ซื้อขนมจีนแกงเขียวหวานมาเผื่อไผ่ด้วย เห็นที่ตลาดเขาว่าเจ้านี้อร่อย”

ตระการพูดพลางหยิบถุงพลาสติกใบใหญ่ที่มีแกงเขียวหวานเต็มถุงขึ้นชูให้ดู พรพฤกษ์มองตามแล้วก็กะพริบตาในความบังเอิญ เพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาก็เพิ่งฝันว่าทำแกงเขียวหวานกับตาไปเหมือนกัน ชายหนุ่มรีบส่ายศีรษะไล่ความคิดประหลาดๆออกไป เรื่องบังเอิญอย่างนี้มันก็มีกันได้ล่ะน่า...

“โอเค งั้นต้นขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวเราอุ่นแกงให้”


++------++


หลังจากทั้งสองทานอาหารเย็นและเก็บล้างจานชามเสร็จ พรพฤกษ์ก็ขอตัวไปอาบน้ำบ้างระหว่างที่ตระการเก็บล้างจานชามเหมือนทุกครั้ง หลังจากที่เช็ดโต๊ะและล้างมือเรียบร้อย ชายหนุ่มที่มาอาศัยในฐานะแขกก็ชงกาแฟให้ตัวเอง จากนั้นก็เดินไปนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลา ข่าวประจำวันยังคงเต็มไปด้วยการนำเสนอประเด็นระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เนื่องจากพรพฤกษ์ไม่ได้ติดตั้งจานรับสัญญานดาวเทียมเพราะปกติก็ไม่ค่อยดูโทรทัศน์นัก ช่องสถานีที่ดูได้จึงมีเพียงไม่กี่ช่องเท่านั้น

หลังจากเปลี่ยนช่องแล้วแต่ก็พบว่ามีแต่ข่าวเดิมๆ ชายหนุ่มก็หยิบหนังสือนิตยสารท่องเที่ยวที่วางอยู่แถวโต๊ะรับแขกขึ้นพลิกดูอย่างไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาในโทรทัศน์สักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ตระการก็ได้ยินชื่อที่คุ้นเคยจากพิธีกรสาวเสียงใสจึงเงยหน้าขึ้น ทำให้ได้พบว่าตอนนี้ทางสถานีเปลี่ยนรายการเป็นข่าวซุบซิบดาราและแวดวงชนชั้นสูงไปแล้ว

“และวันนี้เหยี่ยวข่าวสาวของเราจะไปเกาะติดสาวสวยที่กำลังฮอตสุดๆในขณะนี้ เพราะเธอเพิ่งถ่ายแบบลงนิตยสารชื่อดังและกำลังจะเปิดร้านเสื้อผ้าที่ออกแบบด้วยตัวเอง คุณลิลลี่ หรือลลิตา ธนประสิทธิ์ค่ะ”

ภาพตัดจากพิธีกรไปยังหญิงสาวสวยสะดุดตาที่เขารู้จักดี ใบหน้านั้นได้รับการแต่งแต้มอย่างพิถีพิถัน ผมยาวสลวยเป็นลอนล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ ชุดที่ใส่และแสงแฟลชที่วูบวาบเป็นระยะทำให้เดาได้ว่าหญิงสาวคงกำลังอยู่ในงานสังคมที่ใดสักแห่ง

ดูเหมือนพิธีกรภาคสนามที่ไม่เห็นหน้าคงส่งเสียงเรียกหญิงสาวจากระยะไกล เพราะเจ้าตัวหันหน้ามาทางกล้องทั้งที่ดูเหมือนกำลังคุยกับใครอยู่ จากนั้นภาพบนจอก็โคลสอัพที่ใบหน้าของอีกฝ่ายมากขึ้นเหมือนตากล้องเดินตามพิธีกรเข้าไปหา ชายหนุ่มหยิบแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบระหว่างที่ฟังบทสัมภาษณ์ไปด้วย

“ลิลลี่คะ ข่าวลือที่ว่าตอนนี้ลิลลี่กับคุณตระการ สุวรรณฤทธิ์ ทายาทกลุ่มธุรกิจสุวรรณฤทธิ์กำลังคบหาดูใจกันนี่จริงหรือปล่าคะ?”

ตระการแทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินคำถาม ชายหนุ่มเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อหู แล้วก็ต้องอึ้งมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำตอบจากปากนางแบบสาว “อ๋อ ตอนนี้พี่ต้นงานยุ่งมากค่ะก็เลยไม่ค่อยได้นัดเจอกัน แต่เราก็โทรคุยกันตลอดนะคะ เวลาเค้าไม่สบายใจอะไรก็จะโทรมาปรึกษาลี่ นี่ก็คุยกันอยู่ว่าพองานซาๆลงเมื่อไหร่คงจะนัดไปเที่ยวต่างประเทศกัน”

หลังจบบทสัมภาษณ์ ภาพในจอก็ตัดไปเป็นวิดีโอที่เป็นภาพของเขาและหญิงสาวกำลังยืนคุยกันอยู่ท่ามกลางแขกเหรื่อในงานสังคมงานหนึ่ง เขาจำได้ว่างานนั้นเขาถูกบิดาบังคับให้ไปเพราะเป็นงานเลี้ยงของหุ้นส่วนสำคัญ ทำให้บังเอิญได้เจอกับลลิตาในงาน เนื่องจากทั้งคู่เคยไปเรียนต่างประเทศในช่วงเวลาเดียวกันจึงรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเรียกได้ว่าสนิทสนมหากมองจากมุมมองของเขา ระหว่างที่ทั้งสองทักทายกันอยู่ก็มีนักข่าวเข้าไปขอถ่ายภาพ หญิงสาวจึงคล้องแขนเขาพลางหันไปยิ้มให้กล้องทันที ในตอนนั้นชายหนุ่มเกรงจะเสียมารยาทหากปฏิเสธจึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย

มันอะไรกันนี่...

ตระการคิดพลางยกมือขึ้นบีบขมับ ไม่น่าแปลกใจหากสื่อมวลชนหรือคนทั่วไปที่รู้จักเขาเพียงผิวเผินจะเชื่อเรื่องที่ลลิตาแต่งขึ้น ในเมื่อภาพที่ได้เห็นนั้นทั้งสองดูสนิทสนมจนยากจะตีความเป็นอื่น ทว่าความเป็นจริงก็คือเขาไม่มีแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวและไม่เคยคิดจะขอ เพียงแค่คิดว่าเมื่อกลับไปเขาจะโดนทั้งคนรู้จักและสื่อมวลชนซักถามเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับลลิตา ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่อยากกลับกรุงเทพฯมากขึ้นเรื่อยๆ

“ดูอะไรอยู่เหรอต้น?”

เสียงที่ดังจากด้านหลังโซฟาทำเอาตระการสะดุ้ง ชายหนุ่มรีบคว้ารีโมทมาปิดโทรทัศน์อย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปยิ้มให้คนถาม “ข่าวซุบซิบดาราไร้สาระน่ะ เปิดดูก็เปลืองไฟ ว่าแต่ไผ่จะทำงานต่อข้างล่างนี่หรือเปล่า? เดี๋ยวจะได้ไปชงกาแฟให้”

พรพฤกษ์ดูจะไม่เอะใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย เพราะร่างสูงเพรียวเพียงแต่ขยำผ้าขนหนูผืนเล็กบนผมที่เพิ่งสระ ทั้งใบหน้าและผิวกายส่วนที่โผล่พ้นเสื้อยืดกับกางเกงขายาวเป็นสีชมพูเรื่อเพราะน้ำอุ่น

“กาแฟคงมากไป ขอเป็นชาดีกว่า วันนี้ตั้งแต่เช้าก็ซัดกาแฟไปหลายแก้วแล้ว ถ้ากินอีกแก้วสงสัยได้ปวดหัวจนนอนไม่หลับแน่”

ตระการพยักหน้าแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบแก้วของตัวเอง “ได้ งั้นเอาเป็นเอิร์ลเกรย์แล้วกันนะ เห็นไผ่ชอบนี่”

ร่างสูงเอ่ยแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าไปในครัว พรพฤกษ์มองตามแผ่นหลังกว้างก็แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นี่ถ้าใครมาเห็นหรือได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่คงนึกว่าพวกเขารู้จักและสนิทกันมาแรมปีแล้ว ทั้งที่ความจริงเขากับตระการเพิ่งจะได้เจอกันเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเท่านั้นเอง แต่คงเพราะความที่อีกฝ่ายเป็นคนช่างสังเกต รายละเอียดปลีกย่อยเช่นนี้จึงไม่รอดจากสายตาไปได้

จะว่าไปก็แปลกดี...

พรพฤกษ์คิด แต่แล้วก็ปัดความคิดนั้นไปจากหัวอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มโยนผ้าขนหนูผืนเล็กที่ซับน้ำจนหมาดแล้วลงตะกร้าผ้ารอซักที่วางอยู่ข้างบันได จากนั้นก็เดินไปนั่งหลังเคาน์เตอร์ที่มีโน้ตบุ๊คคู่ใจวางอยู่และเปิดหนังสือต้นฉบับไปยังหน้าที่แปลค้างไว้

หลังจากได้ชาร้อนที่อีกฝ่ายเอามาให้ เจ้าของบ้านนฤมิตรก็เอ่ยขอบคุณ จากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มทุ่มความสนใจไปที่การทำงานแปลตรงหน้า ตระการเห็นดังนั้นจึงไปเอนหลังอ่านหนังสือเล่นที่โซฟา เพราะรู้ดีว่าเมื่ออีกฝ่ายเข้าโหมดนี้เมื่อใดก็ไม่ควรไปรบกวน

ตั้งแต่นาทีที่พรพฤกษ์เริ่มทำงาน ทั้งบ้านก็มีแต่ความเงียบ จะยกเว้นก็เพียงเสียงพัดลมกับเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ด และเสียงนกหรือแมลงกลางคืนที่ดังอยู่ด้านนอกเป็นระยะเท่านั้น เขาเคยถามพรพฤกษ์เหมือนกันว่าไม่ชอบเปิดเพลงฟังระหว่างทำงานหรือ แต่อีกฝ่ายให้คำตอบว่าถ้าหากต้องทำงานแปลที่ค่อนข้างด่วนหรือมีเนื้อหาเฉพาะทางมากๆ เขาจะฟังเพลงไม่ได้เลยเพราะสมาธิจะถูกแบ่งไปอยู่ที่การฟังและคิดตามเนื้อเพลงด้วย ดังนั้นหากเลือกได้จึงชอบที่จะทำงานเงียบๆมากกว่า และกลายเป็นว่าตอนนั้นพรพฤกษ์ถามเขากลับเหมือนเกรงใจว่าไม่ชอบความเงียบหรือ แต่ตระการกลับเพียงหัวเราะและตอบไปว่าที่ถามเพราะเห็นคนอื่นจะชอบฟังเพลงไปทำงานไปกันทั้งนั้น และโดยส่วนตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีปัญหากับความเงียบเลยสักนิด

แต่ที่เขาไม่ได้บอกก็คือ... นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้เวลาในการผ่านความเงียบนั้นไปกับใคร...

เนื่องจากมัวอ่านหนังสือที่หยิบลงมาจากห้องหนังสือบนชั้นสองเพลิน ตอนที่ตระการปิดหนังสือลงและเหลือบตามองนาฬิกาก็เห็นว่ากำลังจะตีสอง พลันชายหนุ่มก็เอะใจว่าไม่ได้ยินเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ดังเป็นระยะจากเคาน์เตอร์ของพรพฤกษ์นานแล้ว พอลุกขึ้นนั่งและมองผ่านพนักโซฟาไปจึงเห็นว่าเจ้าของบ้านฟุบหลับอยู่ที่หน้าจอนั่นเอง

ตระการวางหนังสือลงบนโต๊ะกาแฟตัวเตี้ย จากนั้นก็ลุกไปที่หลังเคาน์เตอร์ซึ่งอีกฝ่ายฟุบหลับบนท่อนแขนตัวเอง จึงได้เห็นว่ามีกระดาษโน้ตแปะอยู่บนหน้าจอซึ่งคงจะเขียนไว้ให้เขาโดยเฉพาะ

“ปวดตาของีบก่อน ถ้าต้นจะไปนอนช่วยปลุกด้วย”

ใบหน้าคมเข้มอมยิ้ม เขาก้มลงตั้งท่าจะปลุกพรพฤกษ์ให้ตื่นแล้วไปนอนต่อบนห้อง เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายคงทำงานต่อคืนนี้ไม่ไหวแน่ ทว่าเมื่อก้มลงไปหา กลิ่นหอมของแชมพูสระผมที่เจ้าตัวใช้เมื่อหัวค่ำก็กรุ่นมาเข้าเต็มจมูก

ชายหนุ่มชะงัก มือหนาที่ตั้งใจจะเขย่าปลุกคนหลับเมื่อครู่ค้างอยู่ในอากาศเหนือไหล่บาง หลังจากอึดใจใหญ่ผ่านไป มือแข็งแรงข้างนั้นก็เปลี่ยนทิศทางเป็นสางเข้าไปในเรือนผมสีดำสนิทแทน

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองคนตรงหน้าหรี่ลง ชายหนุ่มสางผมที่ระต้นคออีกฝ่ายอย่างเบามือเพื่อไม่ให้รู้สึกตัวตื่น พลันความในใจที่อัดอั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมาผ่านเสียงกระซิบเบาหวิว

“ไผ่… ไผ่จะรู้ไหมว่าต้นอยากเจอไผ่มานานแค่ไหนแล้ว ต้นอยากอยู่ต่ออีกนานๆแต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากถึงเวลาที่ต้องกลับไปกรุงเทพฯจริงๆ ไผ่จะคิดถึงกันบ้างหรือเปล่า?”

"อืออ..."

คนที่ยังฟุบหน้าอยู่กับเคาน์เตอร์ส่งเสียงครางในลำคอ ตระการจึงสะดุ้งและรีบยกมือขึ้น แต่แทนที่จะตื่นขึ้นมาหรือพูดโต้ตอบ อีกฝ่ายกลับเพียงแค่ขยับหันหน้าไปอีกด้านเท่านั้น

หรือว่าจะละเมอ...

ตระการคิดพลางยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับตัว เมื่อรอจนแน่ใจว่าพรพฤกษ์ยังไม่ตื่นอย่างแน่นอนแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นัยน์ตาคมจับจ้องแผ่นหลังของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย และแล้วก่อนที่จะได้ห้ามตัวเอง เขาก็เท้าแขนคร่อมคนที่กำลังหลับโดยพยายามไม่ให้น้ำหนักตัวทับจนอีกฝ่ายรู้ตัว จากนั้นก็ก้มลงประทับริมฝีปากที่ต้นคอเนียนด้านหลังอย่างแผ่วเบา

ขอโทษนะไผ่...เพราะต้นคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว ขอแค่นี้ให้ได้เก็บไว้ในความทรงจำก็พอ...

พรพฤกษ์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่บนต้นคอด้านหลัง แต่ด้วยความอ่อนเพลียและง่วงงุนจึงไม่ทันได้สนใจ ชายหนุ่มเพียงแต่ส่งเสียงคำรามในคอเหมือนขัดใจที่มีคนมารบกวนการนอนเท่านั้น

ตระการหัวเราะกับอากัปกริยาของคนตรงหน้า และคราวนี้ก็ตัดสินใจเขย่าปลุกพรพฤกษ์ให้ตื่นอย่างจริงจัง เพราะถ้าหากปล่อยไว้อย่างนี้ มีหวังเจ้าของบ้านนฤมิตรคงได้นั่งหลับเฝ้าเคาน์เตอร์จนเช้าแน่

“ไผ่ ไผ่ลุกเร็ว ง่วงก็ไปนอนบนห้องเถอะ งานน่ะค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้”

ดูเหมือนตอนแรกคนถูกปลุกจะไม่ค่อยอยากทำตามคำขอนัก แต่เมื่อโดนรบเร้ามากๆเข้า สุดท้ายพรพฤกษ์ก็ผงกหัวขึ้นอย่างเสียไม่ได้ หน้าตางัวเงียเหมือนคนยังไม่ตื่นรวมกับผมด้านหน้าที่ยุ่งเล็กน้อยเพราะโดนทับระหว่างหน้าผากกับแขนทำให้ตระการยิ้มมากขึ้น แต่แล้วจู่ๆรอยยิ้มนั้นก็ค้างเมื่อเสียงของใครบางคนที่ได้คุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อบ่ายดังก้องในหัว

“...ตื่นจากความฝันแล้วมาเจอกับชีวิตจริงได้แล้ว!!”

ถ้าหากทำได้ เขาก็อยากสลับที่ระหว่างความฝันกับความจริงอันแสนจะแตกต่างกันเหลือเกิน เพราะวันเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันนั้นมีแต่จะนำความสุขมาให้เขาควบคู่ไปกับความกระวนกระวาย และส่วนที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เช่นกัน ว่าเวลาที่จะได้ตักตวงความทรงจำอันมีค่านี้ยังเหลืออีกนานเท่าไร



+---tbc---+



A/N: ตอนใหม่มาแล้วค่ะ คุณคนเขียนนี่ก็พยายามบิ๊วท์คนอ่านเหลือเกิน ไม่รู้จะเริ่มสงสัยกันบ้างไหมว่าสิ่งต่างๆในความคิดของต้นมันมีที่มายังไง แต่ขืนบอกก่อนเดี๋ยวสปอยล์หมด ว่าแต่ถ้ามีใครสงสัยว่าที่เราเอามารีไรท์นี่ต่างจากเวอร์ชันเดิมแค่ไหน สำหรับดีกรีตั้งแต่ตอนที่ 1 มาถึงตอนนี้ ก็คงบอกได้ว่าประมาณ 30-40% ค่ะ แต่หลักๆคือการเสริมในแง่รายละเอียดของแต่ละฉากที่เวอร์ชันแรกเราข้ามช็อตเยอะไปหน่อย (ตอนนั้นวัยรุ่นใจร้อน...เอ๊ะ ได้ข่าวว่ามันก็ผ่านมาสามปีจากที่เขียนตอนแรกเองนะ -_-“) สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเวอร์ชันเดิม ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดอะไรไป เพราะเวอร์ชันรีไรท์นี้มีแต่เสริมเพิ่มให้ค่ะ ดังนั้นเริ่มติดตามจากเวอร์ชันนี้ไปเลยก็ได้

ปล. เนื่องจากสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้เป็นวันหยุดยาว และคนเขียนเองก็จะไปต่างจังหวัดด้วย ดังนั้นสำหรับอัพเดตเนื้อหาตอนต่อไป คงจะต้อง.... ขอเป็นวันพุธนะคะ (แอบคิดว่าจะงดไปเลยกันอยู่หรือเปล่า? อิอิ) เพราะเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาวันจันทร์หรืออังคาร แต่ถ้าจะบอกว่าจะมาลงก่อนไปเที่ยวก็คงไม่ไหว เพราะกะว่าในสัปดาห์นี้จะเอาตอนใหม่ของคุณเชษฐ์กับภัทรมาลงให้ได้ (สัญญาไปหลายครั้งแล้วด้วยสิ) เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็ลุ้นแล้วกันค่ะว่าจะได้อ่านกันวันไหน สำหรับตอนนี้ก็ขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้าเช่นเคยค่า




Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 15:35:39 น. 17 comments
Counter : 693 Pageviews.

 
มีความรู้สึกว่าตอนนี้ทำไมมันสั้นจัง ชอบคำ

บรรยายต่างๆมากกกกก อ่านแล้วรู้สึกตามที่

บรรยายเลยทีเดียว ชอบมากค่ะ ต้นเคยเจอ

ไผ่แล้วหรือ ชอบที่ตาเรียกไผ่ว่า "หน่อไม้"

อะ น่ารักมากกกกก


โดย: leeO5 IP: 124.120.151.155 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:22:39 น.  

 
หวานจัง
ทั้งบรรยากาศและสองหนุ่ม
น้องรินบรรยายได้เห็นภาพ
อยากอ่านต่อเร็วๆจัง


โดย: พี่ยู IP: 202.12.118.61 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:28:56 น.  

 
นั่งอ่านไปก็อมยิ้มไป...
อากาศกำลังเย็นสบายได้อารมณ์พอดีเลยค่ะ ^ ^

พี่รินไปเที่ยวต่างจังหวัดช่วงหยุดยาวเหรอคะ? เที่ยวเผื่อด้วยนะคะ อิจฉาจังอยากไปมั่ง ฮ่าๆ หนูไม่ได้ไปไหนเลย~


โดย: milphinne* IP: 124.120.156.94 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:53:28 น.  

 
คุณ lee05 โรคสั้นนี่โรคประจำตัวสมัยเราเริ่มเขียนนิยายเลยค่ะ (เดี๋ยวนี้บางทีก็ยังเป็น ^^") ส่วนต้นเคยเจอไผ่มาก่อนหรือเปล่า...อันนี้จะมีเฉลยในตอนต่อๆไปอีกหลายตอนเหมือนกัน พูดถึงชื่อเล่นหน่อไม้นี่ ตาคงเห็นว่าหลานไผ่ยังเด็ก เหมือนต้นไผ่ที่ยังไม่โต เลยให้สมญาหน่อไม้ซะเลยค่ะ

พี่ยู ตอนหน้าคงต้องรอกลางๆอาทิตย์หน้านะคะ นานๆที่คณะจะหยุดเสาร์อาทิตย์ให้ ขอไปร่อนนอกกรุงหน่อย อิอิ

น้องนุ่น เดี๋ยวพี่เที่ยวเผื่อนะคะ ความจริงก็จะไปจังหวัดเดียวกับที่ไผ่อยู่นี่แหละ แต่หวังว่าคงไม่ต้องเจอพายุเข้าแบบต้น เพราะคงไม่โชคดีมีเจ้าของที่พักมาคอยเทคแคร์


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:19:49 น.  

 
น้องรินไปที่เดียวกับน้องพี่เลยแต่เค้าไม่ได้ไปเที่ยวไปเยี่ยมแม่น่ะ
ยังไงน้องรินก็เที่ยวให้สนุกนะซึมซับบรรยากาศมาลงในฟิค
พี่จะคอยจ้ะ


โดย: พี่ยู IP: 202.12.118.61 วันที่: 21 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:09:31 น.  

 
ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ
บรรยากาศหวานๆ เย็นๆ ดีจัง
วันหยุดยาวขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ
ส่วนเราหง่าวอยู่บ้านตามเดิม แล้วจะรอตอนต่อไปค่ะ^-^


โดย: porntip IP: 125.26.156.69 วันที่: 21 กรกฎาคม 2553 เวลา:11:00:47 น.  

 
พี่ยู โอเคค่า เดี๋ยวไปกินข้าวซอยกับแคบหมูเผื่อนะคะ ^^

คุณ porntip ขอให้มีเวลาว่างไปเที่ยวบ้างเร็วๆนะคะ แล้วเจอกันตอนใหม่กลางสัปดาห์หน้าค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 21 กรกฎาคม 2553 เวลา:17:32:11 น.  

 
แวะมาทักทายรอคู่รักสุดประทับใจ
เปล่าทวงนะน้องรินแค่คิดถึงน่ะ อิอิ


โดย: พี่ยู IP: 125.24.19.137 วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:34:37 น.  

 
โอเคไม่มีปัญหาค่า รออีกวันสองวันละกันน้าตะเอง เพิ่งกลับมาถึงบ้านก็เลยต้องเคลียร์อะไรต่อมิอะไรเต็มเลยค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:34:55 น.  

 
โอ้ น้องต้น มีความลับความหลังแหงๆ หวานอะ อ๊าก (อิจฉา)

ไม่ได้เห็นคนคั้นกะทิแบบไอ้หน่อไม้มานาน... มาก... แล้วนะเนี่ย


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:11:51:39 น.  

 
พี่พีท จริงค่ะ ไม่ได้เห็นคนคั้นกะทิแบบนี้หรือว่ากระต่ายขูดมะพร้าวมานานมาก เขียนไปก็นึกถึงความหลังไป ว่าแล้วก็คันไม้คันมืออยากขูดมะพร้าวเล่นแฮะ...


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:22:15:33 น.  

 
มาสวัสดีค่ะ คุณริน

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมกันค่ะ
ตูนชอบงานของจั้นชิงเหมือนกัน


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 19 สิงหาคม 2553 เวลา:10:11:45 น.  

 
สารภาพว่าฉากแรกนึกไปถึงแม่เบี้ยเลยค่ะ แหะๆ แต่อ่านอ่านแล้วอยากร้องไห้ตอนตาคุยกับไผ่เรื่องพ่อแม่มากเลยค่ะ มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นตาหลานที่น่ารักมากเลย

ตอนนี้น่ารักอีกแล้วค่ะ อยากรู้จังเลยค่ะว่าต้นมีปมอะไรกับไผ่ เคยเจอกันมาก่อนที่ไหนน้า เป็นรักแรกพบรึเปล่าคะเนี่ย

มีแอบลักหลับซะด้วย

ชักมีแววดราม่าลอยมาแต่ไกลเลยค่ะ


โดย: Aikiiz IP: 125.25.130.225 วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:5:38:46 น.  

 
คุณ Aikiz ไผ่โชคดีที่ตอนเด็กๆ ถึงจะกำพร้าก็ยังมีตาคอยดูแลค่ะ เลยได้นิสัยอ่อนโยนใจดีมาจากตานี่ละ

เดี๋ยวปมและมาม่า เอ๊ย ดราม่าจะค่อยๆ มาทีละนิดค่ะ ติดตามไปเรื่อยๆ เน้อ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:10:32:46 น.  

 
ไผ่คือหน่อไม้ แล้วต้นเป็นไรดีน๊า
ว่าแต่2คนนี้ตอนเด็กต้องเคยเจอกันแน่ๆเลย
ฝันของต้นคือการได้เจอไผ่ใช่มั๊ย
แค่ได้เจอก็พอหรอต้น


โดย: ตัวกลม IP: 10.0.0.27, 58.11.142.188 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2554 เวลา:21:17:19 น.  

 
คุณตัวกลม นั่นสิคะ ไผ่เป็นหน่อไม้ ถ้างั้นต้นก็เป็น...เอ่อ...ต้นกล้า? ^^"

ว่าแต่แค่ได้เจอกันมันพอสำหรับต้นไหมน้อ ต้องดูกันต่อไปละค่ะ ;D


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:0:07:43 น.  

 
มันมีอดีตที่ตกค้างอยู่ในความรู้สึกของต้นอยู่รึไงกัน เคยรู้จักหรือแอบรู้จักอีกฝ่ายมาก่อนที่จะมาเจอกันใช่มั๊ยน๊อ แค่อยากมาเก็บเกี่ยวความทรงจำเอาไว้เป็นพลังในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกรึเปล่า อยากรู๊..................


โดย: khun only IP: 49.49.174.75 วันที่: 23 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:41:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.