Group Blog
 
All blogs
 
แม้นมั่นคำสัญญา 29

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


29.


ในชั่วโมงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่ยามเย็นจะแปรเป็นยามค่ำของวันเสาร์ ผืนฟ้าส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแกมน้ำเงิน โดยที่ขอบฟ้าด้านล่างยังมีริ้วสีส้มแดงแขวนอยู่เบาบาง บ่งบอกให้รู้ว่าแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า

พรพฤกษ์ยืนมองความเปลี่ยนแปลงของสีสันบนผืนฟ้าจากภายในห้องพักบนชั้นยี่สิบของโรงแรม เนื่องจากงานเลี้ยงฉลองในวาระครบรอบการก่อตั้งของเครือสุวรรณฤทธิ์จะมีขึ้นในคืนนี้ เขาจึงต้องเดินทางลงมาจากเชียงใหม่ตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวาน แล้วก็เข้าพักในโรงแรมเดียวกับสถานที่จัดงานเพื่อเลี่ยงการเข้าไปที่บ้านสุวรรณฤทธิ์ เพราะแม้จะตระหนักดีว่าถึงอย่างไรก็เลี่ยงการพบปะกับตฤณไม่พ้น เขาก็ยังไม่อยากเพิ่มเวลาที่ได้อยู่ในสายตาของฝ่ายนั้นอยู่ดี

ชายหนุ่มยืนอยู่กับที่ได้ครู่หนึ่ง เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็เรียกให้หันหลังกลับไป ค่ำคืนที่ผ่านมาตระการมาค้างที่โรงแรมกับเขาด้วย เมื่อเช้าทั้งคู่ออกไปไหว้พระที่วัดพระแก้วด้วยกัน จากนั้นก็ทานข้าวกลางวันก่อนจะกลับมาที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย ร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำหันไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาสวม จากนั้นก็เช็คเวลาจากนาฬิกาข้อมือแล้วหันมาหาพรพฤกษ์

“พร้อมหรือยังไผ่?”

“อื้อ ก็คงไม่พร้อมไปกว่านี้ได้อีกแล้วล่ะ”

พรพฤกษ์ตอบพลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับไปมองฟ้าภายนอกเช่นเดิม ตระการฟังคำตอบแล้วก็ยิ้ม ร่างสูงใหญ่สาวเท้าไปหาคนที่ยืนหันหลังให้แล้วก็จับให้หมุนตัวกลับมาหา

“ไหนดูซิ...สูทชุดนี้เข้ากับไผ่จริงๆ ด้วย”

ตระการเอ่ยชมพลางช่วยจับคอปกเสื้อและดึงสูทของพรพฤกษ์ให้เรียบ พรพฤกษ์จึงเหลือบตาลงมองตัวเองซึ่งอยู่ในสูทสีน้ำเงินเข้มแบบสองกระดุมและเข้ารูปเล็กน้อยช่วงเอว เนื้อผ้ามีการเดินลายทางเส้นเล็กๆ ด้วยไหมสีน้ำเงินคนละเฉดกับเนื้อผ้า ส่วนเนคไทเป็นผ้าไหมเงามันสีเทาเหลือบม่วงอ่อนกับเชิ้ตสีขาวซึ่งตระการเลือกให้ทั้งหมด ซึ่งต่างกับอีกฝ่ายที่ใส่สูทสีดำ เชิ้ตตัวในเป็นสีครีมและเนคไทเป็นผ้าไหมสีน้ำเงิน ทรงของสูทไม่เข้ารูปตรงเอวเหมือนกับของพรพฤกษ์และเสริมช่วงไหล่มากกว่า แต่ดูแล้วเสริมความภูมิฐานและดูเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง

“แหงล่ะสิ คนใส่แทบไม่ได้เลือกอะไรเองเลยนี่นา”

พรพฤกษ์เหลือบตากลับขึ้นมองตระการพร้อมกับตอบอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ เพราะว่าหลังจากที่เขาตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงคราวนี้ด้วยเมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้ว อีกฝ่ายก็โทรให้ช่างจากร้านสูทที่ใช้บริการประจำบินจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปวัดตัวเขาและเอาแคทตาล็อกแบบชุดสูทไปให้เลือกที่บ้านนฤมิตรตั้งแต่วันอาทิตย์ จากนั้นตระการก็ยังช่วยเจ้ากี้เจ้าการเลือกแบบกับเนื้อผ้าให้โดยที่เขาแทบจะไม่ได้ออกความเห็น ถึงแม้พรพฤกษ์จะรู้ว่าห้องเสื้อดังๆ มีบริการวัดตัวเพื่อตัดสูทให้นอกสถานที่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ถึงกับให้ช่างจากร้านที่กรุงเทพฯ บินไปหาเขาที่เชียงใหม่นี่ก็ค่อนข้างสุดโต่งไปหน่อย แต่นับว่าร้านที่ตระการเลือกใช้บริการก็มีฝีมือจริงๆ เพราะหลังจากเขามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวานและอีกฝ่ายพาไปลองสูทที่ตัดเสร็จแล้ว ก็ปรากฏว่าเขาได้ชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีตและพอดีตัวโดยที่ไม่ต้องปรับแก้เลย

ตระการฟังแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็ดึงข้อมือพรพฤกษ์แล้วจูงไปที่ประตูห้อง “ถ้างั้นก็ไปห้องจัดงานกันเถอะ ป่านนี้คงเริ่มมีคนมากันแล้ว เมื่อกี้อาวีก็โทรมาบอกว่ามาถึงแล้วเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ได้รู้ว่าวรชัยมาด้วยก็สบายใจขึ้น เพราะงานเลี้ยงในคืนนี้เป็นแบบนั่งโต๊ะ ไม่ใช่งานแบบค็อกเทลที่เขาสามารถเดินไปเดินมาได้ พรพฤกษ์จึงจำเป็นต้องนั่งโต๊ะเดียวกับตระการซึ่งตฤณก็จะนั่งด้วยอย่างไม่มีทางเลือก การได้รู้ว่าวรชัยซึ่งเป็นมิตรกับเขาจะนั่งที่โต๊ะเดียวกันทำให้พรพฤกษ์ใจชื้นขึ้น ไม่เช่นนั้นช่วงไหนที่ตระการต้องขึ้นไปพูดหรือมอบรางวัลให้พนักงานบนเวทีเขาคงจะอึดอัดแน่ๆ

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์จากชั้นห้องพักไปยังห้องจัดงานซึ่งอยู่บนชั้นสามสิบห้า บริเวณโถงด้านหน้าห้องจัดงานมีโต๊ะลงทะเบียนสำหรับแขกเหรื่อซึ่งกำลังทยอยกันมา และมีซุ้มถ่ายภาพที่ระลึกพร้อมกับป้ายแสดงความยินดีในวาระครบรอบและฉลองความสำเร็จของผลประกอบการที่ทะลุหมื่นล้าน อารยาซึ่งเป็นเลขาของตระการและวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเบจหันมาเห็นทั้งคู่จากโต๊ะลงทะเบียนจึงรีบเดินเข้ามาหา

“คุณต้น คุณไผ่ สวัสดีค่ะ เอ๋กำลังรอจะพาไปที่โต๊ะอยู่เชียว คุณตฤณกับพวกคุณวีอยู่ด้านในกันแล้ว จะเข้าไปกันเลยไหมคะ?”

“ก็ดีเหมือนกัน ผมยังไม่อยากถ่ายรูปตอนนี้”

ตระการเอ่ยพลางเหลือบตามองพรพฤกษ์ อารยาจึงพยักหน้าแล้วก็เดินนำทั้งคู่ไปยังประตูด้านข้างของห้องบอลรูม

“งั้นเดี๋ยวเราเข้าประตูข้างดีกว่าค่ะ จะได้เดินเข้าไปที่โต๊ะได้ง่ายหน่อย เพราะถ้าเข้าทางประตูหน้าเลยคุณต้นต้องโดนแขกยึดตัวไว้ถ่ายรูปแน่ๆ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วก็อดขำและชื่นชมความรู้ใจนายของเลขาสาวไม่ได้ หลังจากนำทั้งคู่เข้าไปด้านในแล้ว อารยาก็ผายมือไปทางโต๊ะที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าเวที “โต๊ะที่มีป้ายเขียนว่าวีไอพี 1 ค่ะคุณต้น อยู่ตรงกลางหน้าเวทีเลย เดี๋ยวเอ๋ขอตัวไปดูแลจุดลงทะเบียนก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวคุณเอ๋จะมานั่งกับพวกผมหรือเปล่าครับ?”

พรพฤกษ์ถาม เนื่องจากหญิงสาวเป็นอีกคนเดียวที่เขารู้จักในบริษัทนี้นอกจากวรชัย อารยาจึงรีบยกมือทั้งสองขึ้นโบกเป็นพัลวัน

“อุ้ย! เอ๋นั่งกับพวกท่านประธานไม่ได้หรอกค่ะ โต๊ะของเอ๋จะอยู่กับพวกเลขาของคณะกรรมการท่านอื่น แต่กว่าจะได้เข้ามานั่งก็คงต้องช่วยพวกพีอาร์ดูความเรียบร้อยหน้างานให้เสร็จก่อน ยังไงสู้ๆ นะคะคุณไผ่”

หญิงสาวเอ่ยแล้วก็เดินออกไปจากประตูข้างที่เดินนำพวกเขาเข้ามา พรพฤกษ์รู้สึกงงนิดหน่อยตรงที่อีกฝ่ายบอกเขาว่าให้ “สู้ๆ” แต่ก็เดาเอาว่าคงหมายถึงการที่เขาต้องไปเจอตฤณ พอชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นก็เห็นตระการกำลังยิ้มขำ

“ยิ้มอะไรต้น?”

“ก็...เปล่า...แต่เห็นไหมล่ะว่าไผ่มีบุคลิกที่คนชอบง่ายจริงๆ ด้วย ขนาดเอ๋เขาได้เจอไผ่ไม่เท่าไหร่ยังชอบเลย”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรและเพียงแต่เดินตามตระการไปที่โต๊ะ เพราะใครจะบอกได้ว่าอารยาชอบเขาจริงๆ หรือเพียงแต่สุภาพด้วยเพราะเห็นว่าเป็นคนสำคัญของเจ้านาย แม้เขาจะค่อนข้างแน่ใจว่ารอยยิ้มที่หญิงสาวมอบให้เวลาพบกันจะดูจริงใจเกินกว่าจะเสแสร้งก็ตาม

รอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยจางลงเมื่อเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่อารยาบอกเมื่อครู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นร่างผอมสูงในชุดสูทสีครีมซึ่งนั่งหันหลังให้ แม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่แผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครก็ทำให้เขารู้ตัวตนของคนที่นั่งอยู่ได้ทันที

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับอาวี อาดาว”

เสียงทักทายของตระการทำให้คนทั้งสามซึ่งนั่งที่โต๊ะอยู่แล้วหันมา พรพฤกษ์จึงสังเกตเห็นว่าข้างๆ วรชัยมีหญิงวัยกลางคนดูท่าทางภูมิฐานแต่นัยน์ตาอ่อนโยนนั่งอยู่ด้วย จึงเดาว่าคงเป็นภรรยาของเจ้าตัว เขาจึงยกมือทำความเคารพทุกคนบ้าง

“สวัสดีครับ คุณ..ตฤณ คุณวี คุณดาว”

พรพฤกษ์รู้สึกเหมือนตัวเองได้สบตากับตฤณแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะวูบเดียวอีกฝ่ายก็หันกลับ

และที่น่าแปลกใจกว่านั้น...ก็คือเขาคิดว่าแววตาที่ได้สบกันเมื่อครู่ดูไร้ซึ่งประกายของความไม่เป็นมิตร แต่ดูเหมือนเพียงแค่ ‘มองเห็นและรับรู้’ ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นเสียมากกว่า

“อะไรกัน ไม่ต้องเรียกพวกอาห่างเหินขนาดนั้นก็ได้ เรียกอาวีกับอาดาวเหมือนต้นเขานั่นแหละ นั่งกันก่อนสิ เดี๋ยวอีกสักพักแขกคนอื่นก็คงมากันแล้วล่ะ”

วรชัยเอ่ยบอกพรพฤกษ์อย่างใจดี พรพฤกษ์จึงสบตากับตระการแล้วก็หันไปพยักหน้าให้วรชัย แต่หลังจากที่มองไปรอบโต๊ะซึ่งมีสิบที่นั่งแล้วเห็นว่าผู้สูงวัยทั้งสองนั่งถัดไปทางด้านซ้ายของตฤณ เขาจึงคิดว่าตระการคงจะต้องนั่งข้างบิดา แต่ขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งตรงที่ซึ่งถัดไปจากนั้น ตระการกลับเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างตฤณออกแล้วดึงแขนเขาไว้

“ไผ่นั่งนี่สิ”

“หา?”

พรพฤกษ์หันไปมองตระการแล้วเลิกคิ้วสูง และนั่นก็เป็นปฏิกิริยาเดียวกับวรชัยและเดือนดาราเช่นกัน เพราะแม้จะรู้ดีว่าพรพฤกษ์เป็นคนรักของตระการ แต่ทั้งสองก็พอจะรู้ท่าทีของตฤณที่มีต่อพรพฤกษ์ด้วย จึงไม่คิดว่าทายาทหนุ่มจะกล้าถึงกับส่งพรพฤกษ์เข้าใกล้ ‘โซนอันตราย’ เช่นนั้น

ทว่าคนเดียวที่ดูจะไม่แปลกใจเลยสักนิด หรืออย่างน้อยก็ไม่แสดงความแปลกใจทางสีหน้าก็คือตฤณซึ่งเพียงแต่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

หลังจากที่เห็นชายหนุ่มทำท่ารีรออยู่ครู่หนึ่งราวกับไม่แน่ใจ คราวนี้คนที่ดูเหมือนกำลังกลายเป็นจุดสนใจจึงตวัดสายตาแล้วถามเสียงเรียบ

“จะนั่งก็นั่งสิ จะยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อีกนานไหม?”

“เอ่อ...ครับ ขอโทษครับ”

พรพฤกษ์เอ่ยตอบแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้กับตฤณซึ่งตระการเลื่อนไว้ให้ จากนั้นก็หันไปทำสายตาเขม่นใส่ตระการที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดไปซึ่งยิ้มตอบเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา

กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ!?

“เอ้อ...ที่จริงไผ่นั่งตรงนั้นก็ดีแล้วเหมือนกัน เพราะเดี๋ยวจะมีคณะกรรมการคนอื่นมานั่งกับพวกเราอีก เผื่อเขาชวนคุยขึ้นมาจะลำบาก ต้นนั่งตรงนั้นช่วยกันไว้ให้แหละดีแล้ว”

วรชัยเอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งนึกได้ว่าทำไมตระการถึงให้พรพฤกษ์นั่งติดกับตฤณอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงเพียงหันไปมองผู้สูงวัยแล้วพยักหน้า แต่เขาไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ตระการจับให้เขานั่งตรงกลางระหว่างตัวเองกับบิดาเช่นนี้

อึดใจถัดมาแขกเหรื่อที่ลงทะเบียนและถ่ายรูปด้านหน้ากันเสร็จแล้วก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องบอลรูม ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนจะให้หมายเลขโต๊ะที่นั่งกับแขกไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นแต่ละคนจึงเดินตรงไปหาโต๊ะซึ่งมีป้ายหมายเลขของตนวางอยู่โดยไม่ขลุกขลัก หลังจากแขกนั่งประจำที่ทั้งหมดและประตูด้านหน้าปิดลง แสงไฟบนเวทีก็ฉายไปที่พิธีกรคู่ชายหญิงซึ่งเดินขึ้นไปประจำที่ตรงหลังแท่นโพเดียมทางมุมด้านหนึ่งของเวที

หลังจากการกล่าวแนะนำตัวและเปิดงานจบไป พิธีกรทั้งสองก็เอ่ยเชิญตระการในฐานะตัวแทนของท่านประธานขึ้นกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อในวาระครบรอบการก่อตั้งและผลการปฏิบัติงานในปีที่ผ่านมา ตระการจึงยิ้มให้พรพฤกษ์และบีบมือเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะเบาๆ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวที โดยตลอดทางมีแสงสปอตไลท์ฉายตามตัวชายหนุ่มตลอด และมีภาพเคลื่อนไหวจากจอวีดีโอฉายขึ้นที่จอซึ่งตั้งเยื้องกับเวทีเพื่อให้แขกที่นั่งโต๊ะด้านหลังได้เห็นชัดๆ ด้วย

พรพฤกษ์ปรบมือให้ผู้บริหารหนุ่มเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้องจัดงาน ถึงแม้ว่าเขาจะได้แต่คอยให้กำลังใจตระการอยู่ห่างๆ และไม่เคยได้เห็นเวลาที่อีกฝ่ายทำงานสักครั้ง แต่เมื่อได้มาเห็นยามที่ตระการขึ้นไปอยู่บนเวทีซึ่งมีแสงไฟสาดส่องและสายตาหลายร้อยคู่จับจ้องที่เจ้าตัวด้วยแววตาชื่นชม เขาก็อดจะปลื้มใจแทนไม่ได้

ดูดีมากเลยนะต้น...ต้นเหมาะสมแล้วที่จะอยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย...

“เอ...ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ตอนแนะนำตัวกันดิฉันก็ไม่ทันฟังให้ละเอียด คุณชื่ออะไรนะคะ?”

ขณะที่ตระการกำลังกล่าวรายงานผลงานที่ผ่านมาอยู่บนเวที ซึ่งพรพฤกษ์จำได้ว่าเป็นบทพูดที่เจ้าตัวเขียนเองแล้วเอามาให้เขาช่วยดูเมื่อคืน หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งพรพฤกษ์จำได้ว่าเป็นภรรยาของหนึ่งในคณะกรรมการที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็ขยับมานั่งที่ของตระการและถามเขา พรพฤกษ์จึงเลิกคิ้วเล็กน้อยและหันไปตอบ

“ผมชื่อพรพฤกษ์ครับ เรียกไผ่ก็ได้”

“อ๋อ...แล้วคุณไผ่มีตำแหน่งอะไรเหรอคะ? ทำไมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย?”

พรพฤกษ์มองอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะถึงแม้มือที่ยื่นมาแตะแขนเขาเบาๆ นั้นจะดูเหมือนการแสดงออกอย่างมีไมตรี แต่นัยน์ตาที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็นอย่างออกนอกหน้าก็ทำให้เขาอึดอัดไม่ใช่น้อย และท่าทางวรชัยที่นั่งถัดไปจากตฤณก็จะสังเกตเห็นได้เหมือนกัน จึงรีบหันมาช่วยตอบ

“คุณเรืองครับ ไผ่เขาเป็น…”

“หลานของผมเองครับ คงไม่แปลกที่คุณเรืองจะไม่เคยเห็นหน้า พอดีแกเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”

คำตอบจากคนที่ไม่คิดว่าจะช่วยออกโรงปกป้องทำให้พรพฤกษ์หันขวับไปหาตฤณอย่างไม่อยากเชื่อหู เช่นเดียวกับวรชัยที่อ้าปากค้างเพราะยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดหน้า ฝ่ายคนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณเรือง’ จึงยกมือข้างที่แตะแขนพรพฤกษ์เมื่อครู่กลับไปทาบอกตัวเอง

“อ้าว! ตายจริง คุณตฤณมีหลานชายด้วยหรือคะนี่? เพิ่งกลับจากเมืองนอกนี่เองถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แหม...หน้าตาดีสมกับเป็นหลานคุณตฤณจริงๆ เชียว หวังว่าหลังจากนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ นะคะ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำชมดี ในเมื่อเขาไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกับตฤณเลยแม้แต่นิด ชายหนุ่มลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายถูกสามีสะกิดให้กลับไปนั่งที่เดิมด้วยรู้ว่าภรรยากำลังเสียมารยาท ขณะเดียวกันนั้นก็เป็นเวลาที่ตระการกำลังกล่าวสรุปพอดี

“...ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานให้ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อพัฒนาธุรกิจในเครือสุวรรณฤทธิ์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น และความสำเร็จนั้นก็มาจากความร่วมมือของคณะกรรมการบริหาร พนักงานทุกท่าน รวมทั้งผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจเรามาตลอด และผมก็คงจะทำงานอย่างทุ่มเทเหมือนทุกวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังใจจากคนสำคัญที่สุดของผมซึ่งอยู่ตรงที่นี้ด้วย ขอบคุณจริงๆ ที่อยู่เคียงข้างกันตลอดมา สุดท้ายนี้ ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่ดีสำหรับทุกท่านครับ”

หลังจากตระการพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน แสงสปอตไลท์ยังคงจับที่ร่างสูงใหญ่ขณะอีกฝ่ายเดินกลับมาที่โต๊ะ เช่นเดียวกับจอภาพที่กำลังฉายภาพเคลื่อนไหวขึ้นบนจอข้างเวที ก่อนที่จะตัดกลับไปที่ภาพของพิธีกรคู่ซึ่งเดินกลับขึ้นไปบนแท่นโพเดียม ขณะเดียวกันพนักงานโรงแรมก็เริ่มนำอาหารจานแรกมาเสิร์ฟตามโต๊ะต่างๆ ไปด้วย

ตระการเดินมานั่งประจำที่ของตัวเอง จากนั้นก็ดึงมือพรพฤกษ์ไปกุมไว้ใต้โต๊ะ สายตาสองคู่ลอบประสานกันสั้นๆ แต่ต่างรู้ดีว่าด้วยความรู้สึกอย่างไร สำหรับคนอื่นๆ ที่ได้ฟังผู้บริหารหนุ่มพูดเมื่อครู่อาจจะคิดไปว่า ‘คนสำคัญที่สุด’ ซึ่งตระการพูดถึงบนเวทีนั้นหมายถึงบิดาที่วันนี้มาร่วมงานด้วย แต่อย่างน้อยที่โต๊ะนี้ก็มีคนห้าคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่ตระการพาดพิงถึงโดยไม่เอ่ยชื่อนั้นคือใคร

“พูดได้ดีมากต้น สมแล้วที่ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดทั้งปี”

“ขอบคุณครับอาวี”

ตระการเอ่ยขอบคุณวรชัย จากนั้นก็เหลือบตาไปทางบิดาซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของพรพฤกษ์ แต่ผู้สูงวัยกว่าไม่สบตาด้วยและทำทีเป็นใช้มีดกับส้อมหั่นอาหารในจาน

“ก็ดี...จากนี้ไปฉันจะได้วางมือได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเสียที”

“โธ่ คุณตฤณพูดอะไรอย่างนั้นครับ คุณตฤณยังดูแล้วแข็งแรงกว่าผมเสียอีก”

หนึ่งในคณะกรรมการบริหารอีกคนซึ่งไม่ได้พาภรรยามาด้วยเอ่ยขึ้น จากนั้นทุกคนก็เริ่มทานอาหารและพูดคุยกันเรื่องอื่น ซึ่งหลักๆ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจหรือคนในแวดวงที่พรพฤกษ์ไม่รู้จักทั้งสิ้น ขณะที่อาหารแต่ละคอร์สถูกนำมาเสิร์ฟก็จะมีการแสดงหรือการมอบรางวัลบนเวทีหมุนเวียนไปตลอดเวลา บางครั้งคนที่ต้องขึ้นไปมอบก็จะเป็นตฤณบ้าง ตระการบ้าง หรือแม้แต่วรชัยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้วย

ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารนั้นตระการมีคนแวะเวียนมาหาแทบจะไม่เคยว่าง หากว่าไม่ติดพูดคุยกับคณะกรรมการบริหารซึ่งนั่งที่โต๊ะเดียวกัน ก็จะมีใครสักคนเดินมาที่โต๊ะและกล่าวอวยพรหรือแสดงความยินดีกับผู้บริหารหนุ่มตลอดเวลา และตระการก็จะยิ้มและพูดคุยกับทุกคนอย่างไม่ถือตัวว่ามีตำแหน่งสูงกว่า แต่ในขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งที่กุมมือของพรพฤกษ์อยู่ใต้โต๊ะก็แทบจะไม่ปล่อยออกเลยเช่นเดียวกัน และพรพฤกษ์ก็ไม่ปฏิเสธว่าการแสดงออกอันใกล้ชิดเช่นนั้นทำให้เขาอบอุ่นกับตัวตนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปของตระการนับตั้งแต่ได้พบกันเมื่อสามปีก่อน

ทั้งสองรู้ดีพอที่จะไม่พยายามสบตาหรือส่งยิ้มให้กันมากนักด้วยอาจทำให้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางผิดสังเกต แต่แน่นอนว่าคนที่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งคู่ย่อมจับได้ เช่นเดียวกับวรชัยและเดือนดารา บางครั้งผู้สูงวัยทั้งสองก็จะมองตระการกับพรพฤกษ์แล้วยิ้มอ่อนๆ ด้วยความเอ็นดูเนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ไม่มีทายาท

และแน่นอนว่าตฤณก็สังเกตเห็นท่าทางของบุตรชายและคนรักที่นั่งอยู่ทางขวาของเขาได้เช่นกัน

เมื่องานดำเนินไปเรื่อยจนถึงช่วงที่พนักงานนำของหวานมาเสิร์ฟ พรพฤกษ์ก็อิ่มจนท้องตื้อไปหมด แม้ว่าช็อกโกแลตซูเฟล่กับผลไม้สดที่ทางโรงแรมนำมาเสิร์ฟจะน่าทานและรสชาติดีแค่ไหน แต่เขาตักทานได้ไม่ถึงครึ่งชิ้นก็ต้องยอมแพ้

“ต้น ไปห้องน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมานะ”

พรพฤกษ์กระซิบกับตระการพลางเขย่ามือที่กุมกันอยู่เบาๆ ตระการจึงหันไปถามยิ้มๆ

“ให้ต้นไปด้วยมั้ย?”

พรพฤกษ์ไม่ตอบ เพียงแต่ทำตาดุใส่คนถาม ตระการจึงหัวเราะเบาๆ และยอมปล่อยมือเขาแต่โดยดี และพรพฤกษ์ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีคนอื่นอยู่ที่โต๊ะด้วย อีกฝ่ายคงได้ดึงมือเขาไปจูบเพราะความมันเขี้ยวก่อนจะยอมปล่อยให้ลุกออกมาแน่ๆ

หลังจากทำธุระที่ห้องน้ำเสร็จ พรพฤกษ์ไม่ได้เดินกลับไปที่ห้องจัดงานในทันที ชายหนุ่มเลือกเดินไปทางเทอเรซซึ่งอยู่ด้านข้างห้องจัดงานเลี้ยงซึ่งไม่มีหลังคาและมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟซึ่งติดตั้งไว้เป็นจุดๆ บนกำแพง ทำให้เขามองเห็นดวงดาวของท้องฟ้ายามค่ำเช่นเดียวกับทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ได้ถนัดตา

อยากเปลี่ยนชุดชะมัด...

พรพฤกษ์คิดในใจขณะยืนเท้ากำแพงและมองภาพวิวตรงหน้า จริงอยู่ว่าสูทชุดนี้ตัดมาพอดีตัวเขา แต่ก็ไม่ได้ฟิตเข้ารูปจนถึงกับทำให้อึดอัดหรือขยับตัวลำบาก แต่เพราะปกติเขาชอบใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าโปร่งกับเสื้อตัวหลวมๆ มากกว่า พอต้องมาใส่ชุดสูทราคาแพงจึงทำให้ไม่ชินและรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่

หลังจากยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกและได้ทอดสายตาไปไกลๆ ครู่หนึ่ง พรพฤกษ์ก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นและคิดว่าควรจะกลับเข้าไปข้างในเสียที เพราะเสียงพูดคุยอื้ออึงที่เล็ดลอดมาจากประตูหน้าห้องบอลรูมทำให้เขาเดาได้ว่างานเลี้ยงคงจบและแขกเริ่มทยอยกันกลับแล้ว ทว่าเมื่อหันหลังกลับไป พรพฤกษ์ก็ชะงักเมื่อพบว่าใครบางคนเดินออกมาที่เทอเรซเช่นเดียวกัน

“คุณตฤณ...”

ผู้สูงวัยเลิกคิ้ว แววตาที่แสดงความแปลกใจเล็กน้อยทำให้พรพฤกษ์คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งใจตามเขามาที่นี่ แต่แค่บังเอิญเดินออกมาแล้วเจอเขาตรงนี้มากกว่า

“อยู่นี่หรอกรึ ลูกชายฉันก็มัวแต่กังวลว่าเธอหายไปไหนตั้งนาน”

ผู้สูงวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงบอกเล่า ไม่ได้แฝงแววเยาะหยัน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ฟังแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น พรพฤกษ์จึงเพียงแต่หลบตาแล้วก็จะเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อกลับเข้าไปข้างใน

“เข้าใจแล้วครับ ผมก็กำลังคิดว่าจะกลับเข้าไปอยู่พอดี”

“เดี๋ยว”

พรพฤกษ์ชะงักเมื่อถูกเรียกไว้ เมื่อหันกลับไป ตฤณก็พยักหน้าไปทางม้านั่งตัวยาวที่วางเรียงกันเป็นระยะบนเทอเรซ

“ตอนนี้หมอนั่นโดนจับถ่ายรูปกับพวกคณะกรรมการแล้วก็แขกคนอื่นๆ อยู่ คงไม่ถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ หรอก ระหว่างนี้ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ ไปนั่งตรงนั้นด้วยกันก่อน”

เมื่อเอ่ยจบ ร่างผอมสูงในสูทสีครีมก็เดินหลังตรงไปยังม้านั่งตัวหนึ่งก่อนจะนั่งลงอย่างไม่รอฟังคำตอบ ฝ่ายพรพฤกษ์ได้แต่ยืนงงด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแน่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่เหลือบมามองก็รีบสืบเท้าเข้าไปหา โชคดีว่าตฤณนั่งที่ริมขวาสุดของม้านั่ง เขาจึงเลือกนั่งลงที่ริมด้านซ้ายสุด ซึ่งเป็นระยะที่ห่างกันมากพอชนิดที่ถ้าไม่เอื้อมแขนออกไปก็ไม่มีทางโดนตัวกันเด็ดขาด

พรพฤกษ์รู้สึกว่าในใจเต้นแรงขึ้น พลันมือทั้งสองก็กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จริงอยู่ว่าเมื่อครู่ตอนที่เขาถูกคนไม่รู้จักถามว่าเป็นใครนั้นตฤณจะช่วยตอบให้ ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าวางใจว่าจะอีกฝ่ายจะไม่ใช้คำพูดเชือดเฉือนน้ำใจเหมือนตอนที่คุยกันในโรงพยาบาลเมื่อหนึ่งปีก่อนอีก

“เธอคิดยังไงกับงานวันนี้?”

หลังจากต่างคนต่างเงียบไปพักหนึ่ง ตฤณซึ่งเป็นคนรั้งตัวเขาเอาไว้ก็ถามขึ้น พรพฤกษ์จึงเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่วางประสานกันอยู่บนตัก ชายหนุ่มใช้ความคิดเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ก็ดีครับ...ผมดีใจที่ได้เห็นว่าต้นประสบความสำเร็จแล้วก็เป็นที่ยกย่องแค่ไหน เขาทำงานหนักมากมาตลอดจริงๆ สมควรแล้วที่ทุกคนจะได้รู้เรื่องนั้น”

“หลายคนคงคิดว่า ‘คนสำคัญที่สุด’ ที่หมอนั่นพูดขอบคุณตอนอยู่บนเวทีคือฉัน แต่ฉันคิดว่าเธอเองก็คงจะรู้ ว่าคนที่หมอนั่นหมายถึงจริงๆ คือเธอ”

“...เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ”

พรพฤกษ์โกหกแม้จะรู้แก่ใจว่าตฤณพูดถูก แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะนำบทสนทนาไปทางไหน จึงไม่อยากจะพูดทุกสิ่งตามที่คิดมากนัก

ตฤณได้ยินคำตอบก็แค่นยิ้ม ทว่าไม่ได้หันหน้าหรือเหลือบตามาหา “เวลาผู้ใหญ่ถามอย่าเล่นลิ้น ถ้าเธอคิดอะไรก็ตอบมาตรงๆ ตกลงเมื่อกี้เธอรู้ใช่ไหม?”

พรพฤกษ์เม้มปาก จากนั้นจึงยอมตอบตามตรง “ครับ”

ทั้งสองเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากนั้น พรพฤกษ์ค่อยๆ ระบายลมหายใจยาว ทำให้พบว่าเมื่อครู่ตนกลั้นหายใจไว้จนเกือบแน่นหน้าอก เมื่อหัวใจของเขาเริ่มกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ หูก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากในห้องจัดงานอีกครั้ง

“คุณตฤณ...ช่วงนี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ?”

เมื่อเห็นแล้วว่าหากจู่ๆ ก็ขอตัวลุกหนีจะทำให้เขาดูเหมือนคนขี้ขลาด และท่าทางอีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะปล่อยตัวเขาไปง่ายๆ พรพฤกษ์จึงทำลายความเงียบด้วยการถามก่อนบ้างเสียเลย

“ยังสบายดี น่าแปลกนะที่เธอถามขึ้นมา เพราะลูกฉันยังไม่เคยถามสักครั้ง”

คำตอบนั้นทำให้พรพฤกษ์หันไปทางคนข้างตัวทันที และพบว่าตฤณก็ยังคงนั่งหลังตรงและตามองไปข้างหน้าเช่นเดิม ดูจากท่าทางภายนอกแล้วก็ยากที่จะบอกหากเจ้าตัวมีอาการเจ็บไข้ที่คนอื่นไม่รู้

“อาจเพราะต้นเห็นคุณตฤณทุกวันอยู่แล้ว แล้วก็มัวแต่ทุ่มเทกับงานอยู่เลยไม่ทันได้ถามมั้งครับ ผมคิดว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจพ่อของตัวเองหรอก”

พรพฤกษ์รู้ดีเพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อน ช่วงที่เขายังทำงานที่กรุงเทพฯ และเดินทางไปเยี่ยมตาที่เชียงใหม่เป็นระยะนั้น ตาของเขาไม่เคยปริปากบอกให้รู้ว่ากำลังเป็นมะเร็งเลยสักครั้ง พรพฤกษ์จึงแค่ไถ่ถามตามปกติทั่วไปว่าไม่สบายบ้างไหมหรือว่าเจ็บข้อประสาคนแก่บ้างหรือเปล่า กว่าเขาจะรู้ว่าตาเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายซึ่งหมดทางจะรักษาก็หลังจากนรพัฒน์โทรมาบอก ทำให้เขาเสียใจที่ไม่เคยสังเกตให้ดีว่าก่อนหน้านั้นตาเคยมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ และทำให้เขาตัดสินใจเด็ดขาดลาออกจากงานเพื่อกลับไปดูแลผู้มีพระคุณให้ถึงที่สุด

“เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ รึ?”

คราวนี้ตฤณหันมามองพรพฤกษ์ตรงๆ และชายหนุ่มก็สบตากลับอย่างไม่หลบเลี่ยง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงช้าชัด

“ครับ ผมอาจจะคบต้นมาแค่ไม่กี่ปีก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเนรคุณแน่ หรือถ้าหากต้นละเลยคุณจริงๆ ต่อให้รักเขาแค่ไหน ผมก็จะตัดใจทิ้งเขาเหมือนกัน”

ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครหลบตาก่อน จากนั้นก็เป็นตฤณที่เบนสายตาไปอีกทางและลุกขึ้นก่อน

“เธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

ผู้สูงวัยทิ้งท้ายอย่างกำกวมแล้วก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ทิ้งให้พรพฤกษ์มองตามอย่างงุนงงกับประโยคที่ได้ยิน หลังจากอีกฝ่ายคล้อยหลังไปไม่นานและพรพฤกษ์กำลังจะตามเข้าไปบ้าง ตระการก็เดินเร็วๆ ออกมาหาจนทั้งสองเกือบจะชนกัน

“ไผ่! ต้นโทรไปก็ไม่รับ ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ มาทำอะไรอยู่แถวนี้น่ะ?”

พอตระการทักขึ้น พรพฤกษ์จึงเอามือตบไปตามกระเป๋าเสื้อกับกระเป๋ากางเกง ทำให้นึกขึ้นได้ว่าคงจะลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องเพราะเสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรีไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย

“ขอโทษที สงสัยจะลืมเอามือถือลงมา แล้วนี่ต้นถ่ายรูปเสร็จแล้วเหรอ?”

ตระการส่ายหน้า จากนั้นก็ดึงแขนพรพฤกษ์ให้กลับไปนั่งที่ม้านั่งซึ่งเขาเพิ่งจะลุกมาหยกๆ “ต้นขอตัวออกมาก่อน โชคดีว่าพ่อเดินเข้าไปแล้วบอกว่าไผ่อยู่นี่ ตอนนี้ทุกคนก็คงถ่ายรูปกับพ่ออยู่ ก็ดีแล้วล่ะ เขาน่าจะอยากถ่ายกับท่านประธานตัวจริงกันมากกว่า”

ตระการเอ่ยพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้จับมือพรพฤกษ์เอาไว้คลายเนคไทบนคอ พรพฤกษ์มองเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อยแล้วก็เขย่ามืออีกฝ่ายเบาๆ

“เมื่อกี้...พ่อของต้นเขามานั่งคุยด้วยนะ”

ตระการชะงักมือแล้วก็หันมาขมวดคิ้วทันที “พ่อมาคุยกับไผ่? คุยอะไรบ้าง? ไม่ได้ว่าอะไรไผ่ใช่ไหม?”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เปล่า แค่คุยถามเรื่องทั่วไปเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยสักคำ”

ตระการยังทำหน้าไม่เชื่อ พรพฤกษ์จึงกลอกตาก่อนจะยกมือขึ้นบีบจมูกอีกฝ่ายเบาๆ “บอกว่าไม่ได้พูดอะไรไม่ดีจริงๆ ไง อย่ามองพ่อตัวเองว่าต้องร้ายตลอดเวลาแบบนั้นสิ เรื่องแบบนี้ไม่โกหกกันหรอกน่า”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แล้วไป...ต้นไม่อยากให้คนสำคัญของต้นทั้งสองคนมีปัญหากัน”

ตระการเอ่ยพลางรวบเอวพรพฤกษ์ไปกอดแล้วซบหน้าลงบนไหล่ พรพฤกษ์จึงยกมือหนึ่งอ้อมไปโอบไหล่กว้างไว้แล้วแนบแก้มลงบนขมับอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วสางผมตรงท้ายทอยให้เบาๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกต้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ถูกชะตาด้วยแล้วจะต้องโดนเย็นชาใส่ไปตลอดนี่ บางทีพอไม่ได้เจอกันนานๆ คุณตฤณก็เลยเริ่มปลงได้แล้วล่ะมั้ง?”

พรพฤกษ์พูดเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดอะไรมากเพื่อให้คนฟังคลายใจ แต่ดูเหมือนคำพูดของเขาจะตรงกับสิ่งที่ตระการกำลังคิดอย่างจัง ร่างสูงใหญ่จึงโอบเอวผอมแน่นขึ้น

“แล้วถ้าหากพ่อเขาปลงได้จริงๆ ล่ะ? ไผ่จะยอมมาอยู่กับต้นเสียทีได้หรือยัง?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์เงียบไป นี่อาจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากลับไปเชียงใหม่ที่ตระการถามเรื่องนี้ตรงๆ โดยไม่ยกข้ออ้างล้านแปดมาโน้มน้าวให้เขาเห็นดีกับการย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ และยังเป็นการถามโดยยกเงื่อนไขข้อใหญ่ที่สุดมาใช้อีกด้วย

แต่ว่าคนที่เป็นเงื่อนไข...จะพร้อมอ่อนข้อให้พวกเขาทั้งคู่แล้วจริงล่ะหรือ...

“...อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลยต้น คอยดูไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า อย่างน้อยถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราก็ยังได้เจอกันทุกอาทิตย์นี่นา”

คำตอบนั้นทำให้คนถามเพียงแต่ถอนหายใจแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ตระการเพียงแต่กอดพรพฤกษ์เงียบๆ และพรพฤกษ์ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายซบบ่าเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างคิดถึงวันคืนนับตั้งแต่ที่เริ่มคบกันมา ความสัมพันธ์ทางไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไปหรือว่าจะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ เมื่อไหร่ แล้วก็ต่างไม่รู้จะคุยอะไรต่อนอกจากให้กำลังใจกันผ่านการยืนยันว่าทั้งสองยังอยู่เคียงข้างกันในนาทีนี้

ท่ามกลางไอเย็นของอากาศยามค่ำคืนและแสงดาวที่กะพริบตัดกับผืนฟ้าที่ทวีความเข้มจนลึกล้ำ ทั้งพรพฤกษ์และตระการที่นั่งคู่กันบนม้านั่งต่างไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งยืนฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ในมุมมืดหลังประตูที่เชื่อมต่อระหว่างห้องจัดงานกับเทอเรซอยู่เป็นนาน และสิ่งที่ได้ยินรวมทั้งภาพที่เห็นก็ทำให้คนคนนั้นตัดสินใจบางสิ่งได้ และครู่หนึ่งก็เดินย้อนกลับเข้าไปภายในห้องจัดงานด้วยแววตาของผู้ที่ยอมรับความจริงได้ในที่สุด


++---tbc---++


A/N: ตั้งแต่หลังเดาตอนจบพลาด จากนั้นมาสปีดการเขียนก็เต่าขึ้นเยอะเลยค่ะ เกรงใจแฟนประจำทุกคนมากๆ ที่ปกติต้องได้เจอกันในวันจันทร์ แบบว่าช่วงท้ายเรื่องนี่เนื้อหามันเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้อะค่ะ (สารภาพแบบไม่อาย) ทีนี้พอจะเขียนตอนใหม่ทีเลยต้องคิดเผื่อล่วงหน้าถึงตอนต่อไปไว้ด้วย ก็เลยใช้เวลามากขึ้น อ่า...ฟังเหมือนข้อแก้ตัวไหมนิ เอาเป็นว่าหลังจากนี้เราเปลี่ยนนัดกันแบบเผื่อๆ เวลา ประมาณว่าไม่ใช่วันจันทร์ก็วันอังคารละกันนะคะ ไหนๆ ก็ใกล้จะจบแล้ว คิดว่าน่าจะรับกันได้เนอะ? จะได้เจอต้นไผ่นานขึ้นอีกนิดด้วยค่ะ แหะๆ

แล้วก็สำหรับใครที่อาจยังไม่ได้อ่านเรื่องสั้นเทศกาลคริสต์มาส เราเพิ่งแปะไว้ที่ห้องรวมเรื่องสั้นค่ะ คลิกอ่านที่นี่ก็ได้

ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก



Create Date : 11 มกราคม 2554
Last Update : 11 มกราคม 2554 20:11:17 น. 10 comments
Counter : 884 Pageviews.

 
แหม คุณต้นค่ะ ตัดสูทให้คุณไผ่ซะโมเอ้ขนาดนี้ ระวังนะเธอ โฮะๆๆๆ

คุณพ่อคิดอะไรอยู่คะ หรือจะเรียกลูกสะใภ้เข้าบ้านแล้ว!


โดย: NannY IP: 182.52.194.17 วันที่: 11 มกราคม 2554 เวลา:16:43:59 น.  

 
ทุกอย่างกำลังจะจบลงด้วยดีใช่มั๊ยค่ะ ดีใจจังเลยถ้าพ่อจะเข้าใจและยอมรับได้ในที่สุด ว่าแต่ไผ่เท๊อะ จะยอมเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ หรือเปล่า ตอนนี้คนตัังเงื่อนไขไม่ใช่พ่อแล้ว แต่เป็นไผ่ต่างหาก


โดย: เอิงเอย IP: 118.172.57.6 วันที่: 11 มกราคม 2554 เวลา:17:43:47 น.  

 
ใครคนนั้นหลังประตูน่ะ ใช่คุณป๋าปล่าวน้า..
คืนนี้คุณป๋าทำตัวน่ารักมากเลยนะคะ มีการออกตัวให้ว่าที่ลูกสะไภ้ด้วย ดีใจแทนน้องไผ่จริงๆค่ะ ก็บอกแล้วว่าน้องไผ่ของพี่น่ะน่ารักใครอยู่ใกล้ก็ต้องเผลอหลงรักกันทั้งนั้นแหละ แม้แต่คุณป๋าก็ไว้เว้นเหอะ

" ตระการยังทำหน้าไม่เชื่อ พรพฤกษ์จึงกลอกตาก่อนจะยกมือขึ้นบีบจมูกอีกฝ่ายเบาๆ “บอกว่าไม่ได้พูดอะไรไม่ดีจริงๆ ไง อย่ามองพ่อตัวเองว่าต้องร้ายตลอดเวลาแบบนั้นสิ เรื่องแบบนี้ไม่โกหกกันหรอกน่า”

โอ๊ย... ทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้น้องไผ่กับน้องต้นน่ารักมากเลยอ่ะ "น้องไผ่บีบจมูกน้องต้นเบาๆ" อร๊ายยยย อยากละลาย หวานกันไม่แคร์พี่เลยน้า...

ปล. เอาใจช่วยให้ตอนต่อไปเกิด "ปฏิบัติการขันหมากฟ้าผ่า" ด้วยเถ๊อะ อยากให้คุณป๋ารับน้องไผ่ไปอยู่กะน้องต้นเร็วๆ อยากอ่านฉากครอบครัวสุขสันต์อ่ะ(จะเป็นไปได้มั้ยนั่น เหอๆๆๆ)



โดย: aew IP: 125.27.78.124 วันที่: 12 มกราคม 2554 เวลา:13:36:13 น.  

 
น้องแนน ต้นคงตั้งใจโชว์ออฟไผ่เต็มที่ค่ะ เลยเลือกสูทแบบโมเอ้สุดๆ ให้ (555) ส่วนป๊ะป๋า อืม...คิดอะไรอยู่กันแน่ละเนี่ย


พี่เอิง นั่นสิคะ ต่อให้ป๊ะป๋าใจอ่อนแล้วจริงๆ ก็อยู่ที่ไผ่นี่ละที่จะฟันธงว่าจะยอมย้ายมาอยู่กับต้นหรือเปล่า


พี่แอ๋ว ฮ่าๆๆ ชอบชื่อ "ปฏิบัติการขันหมากฟ้าผ่า" จริงๆ ค่ะ ว่าแต่คราวนี้ป๊ะป๋าทำตัวน่ารักจริงๆ นิ เดี๋ยวมาคอยดูกันค่ะว่าพี่แอ๋วจะได้อ่านฉากครอบครัวสุขสันต์หรือเปล่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:12:41:08 น.  

 
ขออนุญาติแอบรออ่านตอน "ครอบครัวสุขสันต์" ด้วยค่ะ ^^


โดย: sherry IP: 65.201.194.227 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:15:11:07 น.  

 
คุณเชอร์รี อิอิ ได้ค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 17 มกราคม 2554 เวลา:9:34:09 น.  

 
ต้นพูดได้ดีมากๆ บนเวที
ซึ้งแทนไผ่อ่ะ
คุณพ่อเหมือนจะอ่อนลงมากแล้วนะ
โฮฮฮฮดีใจ


โดย: both^^ IP: 125.24.163.188 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:06:40 น.  

 
ตาล ป๊ะป๋าก็คงถึงวัยต้องเริ่มเปิดใจและยอมรับความจริงละจ้ะ หุหุ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:9:41:09 น.  

 
อยากเห็นต้นกับไผ่ในชุดสูทจังเลยค่ะ จะดูดีขนาดไหนกันน้า สำหรับไผ่แนนว่าต้องออกมาดู”สวย”มากกว่าดู”เท่”แหงๆเลย ส่วนต้นก็คงทั้งหล่อทั้งเท่แน่นอน หุๆ

พาร์ทนี้ก็มาอึ้งอีกแล้วค่ะ พ่อตฤณออกหน้าช่วยไผ่ซะด้วย เอ๊ะ ยังไงกันเนี่ย แถมยังพูดจาดี(ถึงจะไม่ได้ดีมากเท่าไหร่) แล้วก็คำพูดแฝงนัย ประมาณว่ายอมรับแล้วอีก แบบนี้แสดงว่าต้นกับไผ่จะฝ่าฝันอุปสรรคได้แล้วใช่มั้ยคะเนี่ย ถ้าใช่นี่ก็ดีใจแทนจริงๆเลย ใช้เวลาเป็นแรมปีในที่สุดก็จะได้มีความสุขกันสักที เอ๊ะ แต่ตลอดมาสองคนเค้าก้มีความสุขกันอยู่แล้วนี่นา



โดย: Aikiiz IP: 125.24.111.102 วันที่: 26 มิถุนายน 2554 เวลา:1:24:19 น.  

 
พ่อคงเห็นถึงความตั้งใจของต้นแล้ว และรับรู้ได้ว่ารักของทั้งคู่มั่นคงแค่ไหน ถึงแม้จะไม่ได้รับการยอมรับก็ไม่ได้ดึงดันจะพ่อต้องรีบเปลี่ยนใจมายอมรับไผ่ ขอเพียงแค่ไม่รังเกียจหรือต่อต้านคนเป็นลูกก็พร้อมจะรับฟังเหตุผลของพ่อเสมอ เห็นใจและยอมอ่อนลงให้ลูกได้เจอกับความสุขได้บ้างหรือยังคะ คุณตฤณ


โดย: khun only IP: 49.49.166.116 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:12:32:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.