Group Blog
 
All blogs
 
แม้นมั่นคำสัญญา 12

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++



12.


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเป็นจังหวะในห้องนอนที่มืดสลัว เสียงนั้นไม่ได้ดังจนถึงกับเสียดแทงโสตประสาท และสำหรับคนที่หลับลึกแล้วก็อาจจะไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่ามีสายเข้า แต่สำหรับคนที่หูไวเช่นตระการ เพียงแค่ได้ยินสัญญานดังเป็นครั้งที่สอง ร่างสูงใหญ่ก็หรี่ตาขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆพลิกตัวแล้วเหยียดแขนไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงก่อนจะดังเป็นครั้งที่สาม

ใครกันโทรมาตอนนี้...ยังไม่หกโมงเช้าเลย...

ชายหนุ่มคิดในใจขณะเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแบบดิจิตอลเรืองแสง เมื่อดูหมายเลขบนหน้าจอก็พบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มลังเลว่าควรจะรับดีหรือไม่ เพราะปกติเช้ามืดวันอาทิตย์เช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าคนที่โทรมามีธุระคอขาดบาดตายจริงๆ ก็คิดได้อีกอย่างว่าเป็นพวกขี้เมาที่นึกสนุกเลยกดเบอร์สุ่มมาแล้วบังเอิญตรงกับเบอร์เขา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่มองเลขขึ้นต้นที่บอกให้รู้ว่าปลายสายโทรจากโทรศัพท์มือถือ และเมื่อสัญญานยังดังไม่หยุด เขาจึงถอนหายใจแล้วกดรับ

มือใหญ่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วหลับตาลง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายในคอที่แหบแห้งเนื่องจากเพิ่งตื่นเพื่อจะได้มีเสียงพูด จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ

“สวัสดีครับ ใครครับ?”

ถึงแม้จะพยายามถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทว่าความที่ยังสะลึมสะลือ เสียงทุ้มต่ำจึงแหบห้าวและเจือด้วยความง่วงงุนอย่างปิดไม่มิด แต่ว่าตระการก็ไม่ได้รับคำตอบจากคนที่โทรมา นอกจากเสียงเหมือนลมหายใจสะดุดที่แผ่วจนเขาเกือบจะนึกว่าตัวเองหูฝาด และจากนั้นคู่สนทนาก็กดตัดสายโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เสียงสัญญานต่ำๆเป็นจังหวะบอกให้รู้ว่าคนที่โทรมาวางสายแล้ว ตระการจึงลืมตาขึ้นแล้วขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยบนหน้าจอ พลันความรู้สึกหงุดหงิดก็แล่นขึ้นเป็นริ้ว เพราะนั่นเท่ากับตอกย้ำว่าข้อสันนิษฐานของเขาที่ว่าปลายสายคงเป็นพวกโรคจิตนั้นเป็นความจริง

ร่างสูงใหญ่เอื้อมมือไปวางโทรศัพท์ลงบนหัวเตียงเช่นเดิมอย่างไม่เบามือนัก เพราะว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ทั้งที และเนื่องจากตั้งแต่บ่ายวันจันทร์เขาต้องเดินทางไปร่วมงานกับสำนักงานที่เกาหลีเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อช่วยเร่งปิดโครงการ เขาจึงอยากใช้เวลาพักผ่อนหลังทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ให้เต็มที่

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเคลิ้มหลับอีกครั้ง เสียงจากโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนหัวเตียงก็ดังขึ้นอีก ตระการนึกเสียดายที่ไม่ได้กดปิดเครื่องไปตั้งแต่เมื่อครู่ และเมื่อเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วคว้าเครื่องมาดูหมายเลขที่โทรเข้า ก็พบว่าเป็นหมายเลขเดียวกับที่โทรมาแล้วไม่พูดอะไรเมื่อครู่ก่อนจริงๆ

คราวนี้ชายหนุ่มกดรับทันทีโดยไม่รอให้ดังเป็นครั้งที่สอง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั้นห้วน “ไม่ทราบว่านี่ใครครับ? คุณมีธุระด่วนมากหรือเปล่าถึงต้องโทรมาตอนนี้?”

ตระการลุกขึ้นนั่งแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งเสยผมลวกๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตอบเขาโดยดีหรือวางสายหนีไปอีก แต่ดูเหมือนว่าเช้านี้เขาคงจะนอนหลับไม่ลงอีกแล้ว จึงตั้งใจว่าจะคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลยเพื่อจะได้เลิกโทรผิดมาหาเขาเสียที

ร่างสูงใหญ่พยายามข่มอารมณ์ด้วยการหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เนื่องจากหน้าต่างห้องนอนของเขาถูกรูดม่านหนาหนักคลุมไว้ ทำให้ภายในห้องอับแสงจนไม่อาจรู้ได้ว่าท้องฟ้าภายนอกเป็นเช่นไร และหากไม่ใช่เพราะหันไปมองนาฬิกาอีกครั้ง เขาก็คงไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีเท่านั้นก็จะเป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว

ปลายสายยังคงไม่เอ่ยคำพูดใด ทว่าเสียงหายใจที่ได้ยินก็ทำให้ตระการรู้ว่าคนที่โทรมายังถือสายอยู่ ไม่ใช่แค่เผลอกดโดนหมายเลขของเขาแล้วเดินหนีหรือนอนหลับ แต่เมื่อรออยู่หลายอึดใจก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ ชายหนุ่มจึงระบายลมหายใจยาวและตัดสินใจตัดบทเสีย

“ผมไม่รู้ว่าคุณมีธุระอะไร แต่ถ้าหากนี่ไม่ใช่เบอร์ของคนที่คุณจะโทรหา รบกวนครั้งต่อไปอย่าโทรมาอีก ผมจะวางสายล่ะนะ”

ตระการพูดจบก็ยกหูโทรศัพท์ลงเพื่อจะกดตัดสาย ทว่าเสียงที่ดังแผ่วๆมาจากลำโพงทำให้เขาชะงัก

“ต้น...”

เจ้าของชื่อนั่งนิ่ง มือที่ถือโทรศัพท์ค้างในอากาศราวกับเป็นอัมพาตไปในทันใด เสียงที่ได้ยินผ่านลำโพงนั้นช่างฟังแล้วแปร่งหู แต่ในขณะเดียวกันก็ปลุกความรู้สึกคิดถึงและโหยหาที่เก็บเอาไว้ให้เอ่อล้น ตระการรู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่รัวถี่ขึ้นเพราะความตื่นเต้นจนราวกับจะส่งเสียงดังสะท้อนไปทั่วห้องที่มืดสลัว

หรือว่า...ไม่จริงน่า...

“ไผ่...ไผ่ใช่มั้ย?”

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้งแล้วถามด้วยเสียงละล่ำละลัก มือใหญ่อีกข้างกำแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้ละเมอ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันว่าพรพฤกษ์ยอมคุยกับเขาแล้ว แต่ทุกครั้งเขากลับต้องตื่นมาพบกับความจริงที่ว่าพรพฤกษ์ไม่เคยโทรมาหา และอีกฝ่ายก็ยังคงหลบเลี่ยงการติดต่อจากเขาอยู่เหมือนเดิม

“อื้ม... ขอโทษที่โทรมาเช้าขนาดนี้...”

ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ตระการจึงรีบเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้พูดจบ “ไม่เป็นไรหรอกไผ่ ถ้าหากเป็นไผ่จะโทรมาตอนไหนก็ได้ ว่าแต่นี่ใช้เบอร์ใครโทรมาน่ะ? หรือว่าเปลี่ยนเบอร์ใหม่แล้ว?”

ชายหนุ่มพยายามระงับหัวใจที่เต้นรัวจนหูอื้อ เพราะเขากลัวว่าจะทำให้ได้ยินเสียงของพรพฤกษ์ไม่ชัด อึดใจต่อมาก็ได้ยินเสียงกึกกักราวกับคู่สนทนากำลังส่ายหน้าก่อนจะได้ยินคำตอบ “เปล่าหรอก พอดีอันนี้จะเป็นเบอร์ของซิมแบบพรีเพดน่ะ ก็ใช้สลับๆกับเบอร์ประจำนั่นแหละ แต่เอาไว้โทรออกอย่างเดียวก็เลยไม่ค่อยบอกใคร”

น้ำเสียงที่ได้ฟังนั้นรื่นหู ปราศจากร่องรอยความโกรธเคืองที่ตระการเคยหวั่นว่าจะได้ยินหากพรพฤกษ์ยอมติดต่อมาหา แต่เมื่อสิ่งที่เคยหวั่นเกรงไม่เกิดขึ้น ความปลอดโปร่งจึงหลั่งไหลไปทั่วร่าง และปัดเป่าความขุ่นข้องเนื่องจากถูกปลุกแต่เช้าตรู่ให้สลายไปจนหมดสิ้น ตระการหลับตาลงแล้วก็ระบายลมหายใจยาว ความปลาบปลื้มดีใจค่อยๆแผ่ซ่านไปทั้งอกที่ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงของคนที่คิดถึงมาตลอดหนึ่งปี

“ถ้างั้น...ไผ่ก็ได้อ่านจดหมายที่ฝากปาล์มไปให้แล้วใช่มั้ย?”

ตระการเอ่ยถาม เขารู้สึกว่าความอึดอัดในใจที่สั่งสมมาตลอดชั่วเวลาหลายเดือนได้รับการปลดปล่อย เพียงเพราะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายที่ฟังเป็นมิตรเท่านั้น และเขาก็อยากจะเชื่อว่านั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเริ่มจะทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นและให้อภัยเขาได้แล้ว

คู่สนทนาเงียบไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็ตอบเสียงเบาเหมือนกำลังก้มหน้าพูด “อ่านแล้วล่ะ เพราะอ่านถึงได้โทรมาไง ต้นรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้คนอื่นเขาลำบากกันมากเลยนะ”

ชายหนุ่มฟังแล้วได้แต่กะพริบตาปริบๆ เนื่องจากเขาไม่ใช่คนที่เสนอความคิดให้ปฏิมาช่วยเป็นธุระให้ตั้งแต่แรก แต่เพราะหลังจากที่เขาพบอีกฝ่ายในงานเลี้ยงแถลงข่าวและเล่าเรื่องของเขาให้ฟังเมื่อหนึ่งเดือนก่อน จู่ๆเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากปฏิมาว่ากำลังจะไปทำธุระที่เชียงใหม่ และถ้าหากมีอะไรที่อยากจะให้ช่วยก็จะเจียดเวลาไปทำให้ เขาที่ไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งพาใครอีกแล้วจึงได้ตัดสินใจเขียนจดหมายให้ช่วยนำไปส่ง พร้อมกับความหวังเพียงครึ่งว่าหากอีกฝ่ายทำไม่สำเร็จ อย่างน้อยปฏิมาอาจกลับมาเล่าให้เขาฟังได้ว่าพรพฤกษ์เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ดูมีความสุขดีไหม...

หรือว่า...มีใครที่คอยอยู่ข้างๆแล้ว ถึงได้ไม่ต้องการจะรับการติดต่อจากเขาอีก...

จู่ๆใบหน้าที่แย้มยิ้มของพรพฤกษ์ระหว่างที่พวกเขาทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกันก็วาบขึ้นในหัว และกระตุ้นความรู้สึกอยากพบและพูดคุยกันต่อหน้าให้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เดินไปกระชากผ้าม่านเปิดออกทันที บริเวณขอบฟ้าที่เห็นลิบๆเริ่มมีขอบโค้งสีส้มจางทาบทับบนผืนฟ้าสีน้ำเงินซีด และอีกไม่นานความสว่างก็คงจะฉายให้ทั้งผืนฟ้ากลายเป็นสีฟ้าสดในที่สุด

ร่างสูงใหญ่คิดคำนวณเวลาในใจอย่างรวดเร็ว ตามกำหนดการแล้วเขาต้องบินไปเกาหลีในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้ แต่เพราะกว่าจะไปถึงและผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองก็คงค่ำแล้ว อย่างดีเขาก็เพียงแต่เช็คอินเข้าที่พักเท่านั้น ดังนั้นหากว่าเขาขยับไฟลท์ให้บินตอนกลางคืนแทนเพื่อไปให้ถึงที่นั่นทันประชุมกับพาร์ทเนอร์ตอนเช้าวันอังคารก็น่าจะไม่มีปัญหา

ชายหนุ่มกำผ้าม่านในมือแน่นขึ้นแล้วก็ตัดสินใจได้ทันที

“ไผ่...เดี๋ยววันนี้บินไปหานะ น่าจะไปถึงช่วงสายๆ”

“หา?”

ปลายสายทำเสียงสูงอย่างประหลาดใจ ร่างสูงจึงเอาโทรศัพท์หนีบไว้กับคอแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า “ไฟลท์เช้าสุดตอนเจ็ดโมงคงไม่ทัน แต่ว่าไฟลท์เก้าโมงน่าจะพอไหว ต้นคงไปถึงบ้านนฤมิตรสักก่อนเที่ยง วันนี้มีแขกมาพักหรือเปล่า?”

“เอ่อ...ไม่มี”

น้ำเสียงคนตอบตะกุกตะกักเหมือนตั้งตัวไม่ทัน ตระการจึงหยิบกระเป๋าสะพายที่เก็บไว้ด้านในสุดของตู้โยนไปบนเตียง ตามด้วยเสื้อผ้าอีกสองสามชุด “โอเค งั้นเดี๋ยวขอเก็บกระเป๋าอาบน้ำก่อนจะได้รีบไปสนามบิน สายๆนี้เจอกันนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็กดวางสายทันที ไม่ใช่เพราะไม่อยากคุยต่อ แต่เพราะอยากรีบเตรียมตัวให้เสร็จเร็วๆเพื่อจะได้ไปพบอีกฝ่ายได้เร็วขึ้น ตอนนี้เวลาทุกวินาทีที่เขาจะได้ใช้ร่วมกับพรพฤกษ์เพิ่มขึ้นต่างมีความหมายทั้งนั้น ไม่ว่าหลังจากที่ได้ไปเจอและพูดคุยกันแล้วจะได้ผลเช่นไรก็ตาม ร่างสูงใหญ่โยนมือถือลงบนเตียงแล้วยัดเสื้อผ้าสองสามชุดลงกระเป๋าสะพายใบที่เคยใช้ตอนไปบ้านนฤมิตรลวกๆ โชคดีว่าเขาจัดกระเป๋าใหญ่ที่ใช้สำหรับเดินทางไปเกาหลีเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนก่อน เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าวันอาทิตย์อยากพักผ่อนให้เต็มที่ จึงไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องข้าวของที่ต้องนำไปด้วยสำหรับทริปใหญ่อีก

ตระการวางแผนการเดินทางคร่าวๆในหัว หากเขาบินไปหาพรพฤกษ์ที่เชียงใหม่วันนี้ กระเป๋าใบใหญ่ก็ฝากไว้ที่สุวรรณภูมิก็ได้เพราะถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาที่นั่น แล้ววันนี้ก็โทรให้เลขาของเขาเลื่อนไฟลท์บินที่จะไปเกาหลีของวันพรุ่งนี้จากตอนบ่ายไปเป็นกลางคืนเสีย พอวันจันทร์เขาจะได้มีเวลาอยู่เชียงใหม่เพิ่มขึ้นอีกนิดก่อนจะจับเครื่องบินกลับมาสุวรรณภูมิเพื่อให้ทันเวลาเช็คอินสำหรับออกนอกประเทศ เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว โชคดีว่าเอกสารที่เขาต้องใช้ประชุมเมื่อเดินทางไปถึงวันอังคารนั้นอยู่ในอีเมล์ของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นค่อยไปหาร้านปริ๊นท์เอาที่เชียงใหม่ก็ได้ เลขาของเขาอาจจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่วันจันทร์ไม่ต้องเตรียมอะไรให้เพราะเขาไม่เข้าออฟฟิศ

ตระการถอดเสื้อกล้ามออกขณะเดินเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็เปิดสวิทช์ไฟเหนือกระจกแล้วรองน้ำเย็นจากก๊อกในอ่างขึ้นลูบหน้า ร่างสูงใหญ่เหลือบมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ใบหน้าคมเข้มซึ่งมีหยาดน้ำเกาะพราวจ้องมองเขาตอบกลับมา นัยน์ตาสีน้ำตาลใต้คิ้วดกหนาฉายประกายระยับขึ้น ส่วนบนริมฝีปากบางก็มีรอยยิ้มแต้มเมื่อนึกถึงบทสนทนาที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่

ในที่สุด... เขาก็จะได้เจอไผ่แล้ว...


++------++


พรพฤกษ์ค่อยๆเลื่อนโทรศัพท์มือถือลงจากหู จากนั้นก็มองหน้าจอที่แสงดับไปแล้วหลังจากถูกคู่สนทนาตัดสาย นัยน์ตาสีนิลกะพริบปริบๆเนื่องจากเขายังรู้สึกเหมือนพวกเขาสองคนยังคุยกันไม่ทันรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ว่าอีกฝ่ายก็จะขอบินมาพบเขาเสียแล้ว

นี่หรือทายาทธุรกิจพันล้านที่มักใส่สูทวางท่าขรึมที่เคยเห็นในโทรทัศน์ แค่เขาโทรไปหาเท่านั้นก็กระตือรือร้นยังกับเป็นหนุ่มวัยรุ่นขึ้นมาเชียว และที่สำคัญ..เขายังไม่ได้ตอบตกลงสักคำว่าให้มาหาได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสรุปเข้าข้างตัวเองไปแล้วเรียบร้อย หวังว่าเวลาประชุมธุรกิจสำคัญคงไม่โมเมเข้าข้างตัวเองแบบนี้ด้วยหรอกนะ

ทั้งๆที่คิดค่อนในใจเช่นนั้น ทว่าพรพฤกษ์กลับรู้สึกว่ามุมปากของตัวเองยกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ขณะเดียวกับที่ความสับสนและหวาดหวั่นก่อนจะตัดสินใจโทรก็ค่อยๆถูกความโล่งใจแทรกเข้ามาแทนที่ ตอนที่เขาโทรหาและตระการรับสายครั้งแรกนั้น เพียงแค่ได้ยินเสียงง่วงงุนที่ถามว่าเขาเป็นใคร ชายหนุ่มก็เกิดอาการอึกอักตอบไม่ถูก เพราะนานเหลือเกินที่เขารู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคนตัวใหญ่ ทว่าความตกใจทำให้เผลอเลื่อนนิ้วไปกดวางสายโดยไม่เจตนา พอรู้สึกตัวว่าทำอะไรไปจึงได้รีบต่อสายหาอีกครั้ง และพบว่าคราวนี้คนที่โทรหาหงุดหงิดที่โดนปลุกไปเสียแล้ว เล่นเอาเขาแทบเริ่มบทสนทนาไม่ถูกเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีมาก่อน

ว่าแต่...นี่ถึงกับจำตารางของเที่ยวบินมาเชียงใหม่ได้เลยหรือว่ามีรอบไหนบ้าง...คงไม่ใช่ท่องไว้เพื่อรอมาเจอเขาอยู่แล้วหรอกนะ...

ความคิดนั้นดูเกินจริงไปจนไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าหากดูจากที่อีกฝ่ายวางแผนมาเจอเขาเมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งที่พยายามอีเมล์และโทรหา จนถึงขั้นฝากจดหมายมากับคนอื่นก็พอจะทำให้คิดได้ว่าตระการอาจจำตารางเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพกับเชียงใหม่ได้จริงๆก็ได้

พรพฤกษ์พบว่าตนเองไม่สามารถหุบยิ้มลง มือเรียวกำโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะหย่อนเก็บลงกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟาในห้องนั่งเล่นซึ่งมีเพียงแสงสีส้มสลัวจากโคมไฟตั้งโต๊ะแล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน อากาศยามเช้ามืดที่อวลไปด้วยไอเย็นกรูเข้ามาในตัวบ้านทันทีที่เปิดประตูออก บนผืนฟ้ามีเมฆปุยละเอียดโปร่งเบาลอยอยู่ห่างๆกัน ทำให้เห็นแสงสีส้มจางที่กำลังแผ่กว้างขึ้นจากขอบฟ้าทิศตะวันออกได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มจึงก้าวออกจากตัวบ้านไปยืนเท้าเปล่าบนทางเดินซีเมนต์กลางสวนหน้าบ้านที่เย็นชื้นด้วยละอองน้ำค้าง จากนั้นก็สูดอากาศเข้าเต็มปอดแล้วเหยียดแขนขึ้นผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า

ถึงจะยังไม่ค่อยอยากเชื่อ...แต่วันนี้ต้นจะเดินทางมาหาจริงๆ...

ร่างเพรียวระบายลมหายใจยาว เมื่อคืนนี้หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะโทรหาตระการหลังจบงานเลี้ยงของร้าน เขาก็พยายามให้เหตุผลกับตัวเองว่าควรจะโทรตอนเช้าเพื่อไม่ให้รบกวน จึงกลับมานอนที่ห้องซึ่งตนใช้พักเป็นประจำเวลามาค้างที่บ้านของนรพัฒน์เพื่อรอเวลา ทว่าหลังจากที่พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับจนเกือบรุ่งสาง สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเดินลงมาหาน้ำดื่มและนั่งเล่นตามลำพังที่ห้องนั่งเล่น ระหว่างที่รอเวลาให้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในหัวของเขาก็มีแต่ความคิดวุ่นวายว่าจะเริ่มบทสนทนากับตระการอย่างไร และอีกฝ่ายจะดีใจจริงหรือที่เขาติดต่อไปหา พรพฤกษ์ใช้เวลาให้ผ่านไปด้วยการตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้วกไปวนมาอย่างกระวนกระวาย จวบจนเหลือบมองนาฬิกาว่าใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ถึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก ทว่าบทสนทนาเมื่อครู่กลับจบลงอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้บ้าที่มัวแต่นั่งปวดหัวคิดคำพูดอยู่เป็นชั่วโมงๆ

หลังสูดอากาศยามเช้าให้สมองปลอดโปร่งได้สักพักจนขอบฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้น คนที่อดนอนมาทั้งคืนก็หมุนตัวกลับเข้าบ้านแล้วขึ้นไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าในห้องนอนบนชั้นสอง เพราะตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะมาค้างกับนรพัฒน์ตั้งแต่วันศุกร์จนถึงวันจันทร์ค่อยกลับบ้านนฤมิตร แต่เพราะตระการบอกว่าจะมาหาวันนี้ เขาจึงคิดว่าควรจะกลับไปรอที่บ้านตัวเองดีกว่า

“อ้าว? ไผ่ ตื่นแล้วเหรอ?”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่อโดนเรียกขณะกำลังจะเดินลงจากบันได เมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่าเจ้าของบ้านกำลังเดินทำหน้างัวเงียออกมาจากห้องน้ำซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนตัวเอง ชายหนุ่มจึงยืนอยู่กับที่แล้วยิ้มแหย

“อืม…”

เสียงตอบในคออุบอิบทำให้คนที่ได้ยินนึกสงสัย นรพัฒน์ที่ใส่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อน ถึงแม้ว่าตรงทางเดินจะยังค่อนข้างสลัวเพราะถูกปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่ความที่ชายหนุ่มเป็นคนตาไว จึงสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเสื้อผ้าที่พรพฤกษ์ใส่ยังเป็นชุดเดียวกับเมื่อคืน คนตัวสูงกว่าเหลือบลงมองกระเป๋าในมือของเพื่อน จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้นัยน์ตาคู่นั้นมีรอยยิ้มน้อยๆแฝงอยู่ด้วย

ตื่นแล้วเสียที่ไหน ท่าทางคงจะยังไม่ได้นอนเลยมากกว่าน่ะสิ...

นรพัฒน์นึกขันกับคำปดที่ไม่สมจริงของเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ทักให้กระอักกระอ่วนและถามเรื่องที่มองเห็นได้ชัดๆแทน “จะกลับแล้วเหรอ? ไหนเมื่อวานบอกว่าจะอยู่ค้างคืนนี้อีกคืนไง?”

พรพฤกษ์ย่นจมูกเมื่อถูกเพื่อนสนิททักอย่างรู้ทัน “ก็ไม่รู้มาก่อนนี่ว่าจะมีธุระ พอดีวันนี้มีแขกจะเข้าพักด่วนก็เลยต้องรีบไปจัดห้องรอน่ะ ขอโทษด้วยแล้วกันที่คืนนี้คงไม่ได้อยู่ช่วยที่ร้าน”

นรพัฒน์เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เพราะรู้ดีว่าบ้านนฤมิตรแทบไม่มีแขกเข้าพักในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา และถ้าหากจะมีคนมาพักวันอาทิตย์แบบนี้ ตามมารยาทก็น่าจะติดต่อมาจองห้องไว้ตั้งแต่เมื่อวานหรือวันศุกร์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเพื่อนของเขาก็น่าจะรู้ล่วงหน้าและคงไม่ตั้งใจจัดเสื้อผ้ามานอนกับเขาสามคืนติดแบบนี้ แต่นี่ปุบปับอีกฝ่ายก็จะรีบร้อนกลับเสียแต่ไก่โห่ ถ้าหากไม่ใช่แขกพิเศษจริงๆคงไม่ทำให้เพื่อนเขาต้องรีบร้อนกลับโดยไม่บอกกันก่อนแบบนี้แน่

“อืม...แขกมาเข้าพักด่วนสินะ...”

นรพัฒน์ทวนคำแล้วก็ยกมือขึ้นกอดอก ร่างสูงเอียงตัวยืนพิงฝาโดยไม่ละสายตาจากคนที่ทำท่าเหมือนเตรียมจะเดินลงบันไดได้ทุกเมื่อ ความง่วงงุนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหายไปสิ้น ยิ่งได้เห็นพรพฤกษ์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างทำท่าหลบตาเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด ชายหนุ่มก็หัวเราะในคอเบาๆ

ถ้าหากประมวลจากสีหน้าท่าทางของเพื่อนเขาในตอนนี้ รวมกับเรื่องราวที่ดิษยะเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน นรพัฒน์ก็คิดว่าตนเดาได้ไม่ยากเลยว่าบัดนี้เพื่อนของเขาได้ ‘คำตอบ’ ให้ตัวเองกับใครอีกคนแล้ว เพียงแต่อาจจะเพราะความเขิน ยังลังเลไม่แน่ใจ หรืออาจเพราะสาเหตุอื่นที่เขาก็คร้านจะเดา แต่ดูเหมือนตอนนี้พรพฤกษ์จะยังไม่พร้อมเล่ารายละเอียดให้เขาฟัง แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่าอีกไม่นานเขาคงได้รู้เองเมื่อเจ้าตัวพร้อมที่จะเล่า จึงเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบไหล่เพื่อนและยิ้มให้

“งั้นถ้าจะกลับก็กลับเถอะ ฝากสวัสดีคุณแขกคนนั้นด้วยก็แล้วกัน ไผ่ก็ขับรถกลับดีๆล่ะ ถ้าง่วงก็รอให้ถึงบ้านก่อนค่อยหลับ”

พรพฤกษ์ค่อยยิ้มออกบ้าง อาจเพราะทั้งเขาและนรพัฒน์เล่นหัวกันมาตั้งแต่ยังเรียนอนุบาล ตาของเขากับพ่อแม่ของนรพัฒน์ก็คุ้นเคยกันดี ดังนั้นสายสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงแทบจะเหมือนพี่น้อง และถึงแม้เขาจะจงใจไม่เล่าความอึดอัดหมองใจของตนในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาให้เพื่อนรู้ แต่ก็นึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ไม่เคยถามเซ้าซี้หรือพยายามชี้นำความคิดเขาเลยสักครั้ง และเพียงคอยให้กำลังใจด้วยการแสดงความเคารพในการตัดสินใจของเขาอยู่ห่างๆ มือเรียวจึงยกขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายคืนด้วยความขอบคุณ

“อืม ยังไงฝากขอโทษแนนด้วยที่วันนี้เราไม่ได้อยู่รอรับตามที่สัญญา ไว้วันอื่นว่างแล้วจะมาอีกก็แล้วกัน”

นรพัฒน์พยักหน้า และยิ้มมองตามหลังเพื่อนที่เดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปจนออกจากประตูบ้าน จากนั้นก็ยกมือขึ้นเกาผมที่ยุ่งเพราะนอนทับมาทั้งคืนแล้วเดินกลับเข้าห้องนอน

หวังว่าหลังจากนี้ไป...เพื่อนเขาคงจะได้มีความสุขบ้างเสียที


++------++


ถนนหนทางในตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงเช้าวันอาทิตย์มีรถบางตา แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับย่านตลาดสดที่เริ่มขายของกันตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนแรกที่พรพฤกษ์ขับรถออกจากบ้านของนรพัฒน์นั้น เขาก็ตั้งใจจะตรงกลับบ้านนฤมิตรทันทีโดยไม่แวะที่ไหน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ากว่าตระการจะมาถึงก็คงเป็นเวลาเกือบจะเที่ยง ดังนั้นน่าจะหาซื้ออาหารสดไปตุนไว้ก่อน จึงกลับรถแล้วแวะที่ตลาดแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างใหญ่เพื่อจะได้มีของให้เลือกเยอะหน่อย

ชายหนุ่มเลือกซื้อแต่อาหารสดธรรมดาประเภทผัก ไก่ ไข่และเนื้อหมู เพราะรู้ดีว่าตู้เย็นที่บ้านตอนนี้นอกจากน้ำเปล่าแล้วคงไม่มีอะไรที่ทำอาหารได้เลย เนื่องจากตลอดช่วงสามเดือนที่ผ่านมาไม่มีแขกมาเข้าพัก เขาเองก็เลยไม่ค่อยได้กินข้าวกินปลาเป็นเวลาเหมือนกัน จะมีก็แต่ช่วงที่มาช่วยงานที่ร้านและค้างกับนรพัฒน์เท่านั้นที่จะโดนเพื่อนบังคับให้กินข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ

พรพฤกษ์จำได้จากครั้งที่ตระการเคยมาพักว่าอีกฝ่ายทานอาหารรสจัดมากๆไม่ค่อยได้ และชอบอาหารธรรมดาจำพวกผัดผัก ผัดกระเพราหรือแกงจืดมากกว่า จึงไม่ได้ซื้ออาหารจำพวกน้ำพริกเลยนอกจากน้ำพริกเผา และหลังจากที่คิดว่าน่าจะซื้อของพอแล้วก็เดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้ท้ายตลาด และคราวนี้ก็ขับตรงกลับไปที่บ้านนฤมิตรโดยไม่หยุดแวะที่ไหนอีก

วูบหนึ่งที่เขาคิดว่าจะขับรถไปรอรับตระการที่สนามบินดีไหม แต่พอคิดว่าต้องไปรออีกฝ่ายมากกว่าสามชั่วโมงโดยไม่มีอะไรทำ เขาก็ตัดสินใจว่าสู้กลับไปทำความสะอาดบ้านระหว่างรอยังจะดีเสียกว่า และที่สำคัญ หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหนึ่งปีและเขายอมโทรไปหาก่อนแล้ว ถ้าหากยังอุตส่าห์ไปนั่งรออีกฝ่ายและขับรถพากลับบ้านอีกก็จะดูเหมือนเขาใจดีมากเกินไป

ยังไงนายก็เป็นคนที่เรียกร้องอยากจะมาเจอ ถ้าอย่างนั้นก็หาวิธีมาให้ถึงบ้านเองเหมือนเมื่อครั้งแรกก็แล้วกัน...

พรพฤกษ์คิดในใจ ราวครึ่งชั่วโมงถัดมารถเก๋งสีน้ำเงินก็ถูกหักเลี้ยวเข้าจอดในโรงจอดข้างบ้านนฤมิตร ชายหนุ่มหยิบถุงกับข้าวทั้งหลายที่ซื้อมาออกจากหลังรถแล้วก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ทั้งที่ความจริงแล้วเพิ่งจะเข้าเมืองไปนอนที่บ้านของนรพัฒน์แค่สองวันเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มรีบเอาของสดที่ซื้อมาไปเก็บในตู้เย็น จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดหน้าต่างให้แสงยามเช้าส่องเข้ามาภายใน ร่างเพรียวยืนเคว้งอยู่กลางห้องนั่งเล่นชั่วครู่เมื่อคิดว่าควรจะทำอะไรต่อ แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าตระการไม่ได้บอกเขาว่าที่มาหานั้นจะค้างคืนด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าเตรียมห้องไว้เผื่อก็ไม่ได้เสียหาย เมื่อคิดได้แล้วจึงเดินขึ้นไปหยิบปลอกหมอนกับผ้าห่มจากตู้เก็บเครื่องนอนสำหรับแขกซึ่งอยู่ข้างห้องหนังสือ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนห้องที่ตระการเคยพักแล้วเริ่มทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนให้

พรพฤกษ์เปิดหน้าต่างห้องเพื่อให้แสงสว่างเข้ามาระหว่างที่กำลังทำความสะอาดไปด้วย อาจเพราะช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเขาก็ละเลยไม่ค่อยได้ทำความสะอาดห้องพักต่างๆนัก บางทีอาจจะแค่เดือนละครั้งด้วยซ้ำ เมื่อเห็นฝุ่นที่ปลิวในอากาศขณะใช้ไม้ขนไก่ปัดไปบนชั้นหนังสือเล็กๆในห้องจึงรู้สึกแย่กับความละเลยของตนเองขึ้นมาทันที

ไหนๆก็เริ่มทำแล้ว...งั้นก็ทำต่อมันทั้งบ้านเลยก็แล้วกัน...

ชายหนุ่มนึกฮึดขึ้นมา หลังจากจัดการห้องของตระการเสร็จแล้วจึงเดินลงไปที่ห้องของตัวเองเพื่อถอดสร้อยข้อมือออกเก็บเพราะไม่อยากให้ดำ จากนั้นจึงค่อยกลับขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักอีกห้องที่อยู่บนชั้นเดียวกับห้องของตระการ เมื่อเสร็จจากห้องนั้นก็ลงไปชั้นล่างและทำความสะอาดห้องพักแขกอีกสองห้องที่เหลือ แล้วก็ต่อด้วยการทำความสะอาดห้องหนังสือ ห้องนอน และสุดท้ายก็ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและห้องครัวที่ชั้นล่างด้วย

พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาทำความสะอาดบ้านอยู่นานแค่ไหน รู้แค่ว่าไม่เคยตั้งใจและใช้สมาธิกับการปัดกวาดเช็ดถูแต่ละส่วนของบ้านมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีหลังจากดึงผ้าจากไม้ถูพื้นมาซักและเอาออกผึ่งที่หลังบ้าน แสงแดดยามสายภายนอกก็แผดจ้าจนตาทั้งสองพร่าไปหมด

ร่างเพรียวเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับความรู้สึกเหนียวเหงื่อไปทั้งตัว เมื่อยกหลังมือขึ้นปาดหน้าผากก็พบว่ามีเหงื่อติดมือจนเป็นรอยชุ่ม จึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำแล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนไว้บนราวขึ้นมาซับหยาดน้ำออก

หลังจากที่จัดการงานบ้านทั้งหมดเรียบร้อยจนไม่เหลืออะไรให้ทำอีก เจ้าของบ้านนฤมิตรก็เดินกลับไปนั่งแผ่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นอย่างหมดแรง ชายหนุ่มหลับตาแล้วหงายคอลงพิงบนพนักด้านหลังเพื่อคลายความเมื่อยจากการที่เอาแต่ก้มหน้าทำความสะอาด ความรู้สึกแสบร้อนที่หลังเปลือกตาทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้พักผ่อนสายตามาทั้งคืน และตอนนี้ความเหนื่อยล้าจากการออกแรงทำงานบ้านอย่างเต็มที่เมื่ออึดใจก่อนก็เริ่มจะคืบคลานขึ้นมาตามกล้ามเนื้อทั่วร่าง

บ้าชะมัด...ทำอย่างกับจะมีคนใหญ่คนโตที่ไหนมาเยี่ยมเลยต้องเก็บกวาดบ้านซะเนี้ยบอย่างนั้นแหละ...

พรพฤกษ์บ่นตัวเองในใจก่อนจะผงกศีรษะกลับมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากเมื่อครู่นี้ตนเองไม่หาอะไรทำให้เวลาผ่านไปล่ะก็ สุดท้ายก็คงไม่พ้นได้นั่งกระวนกระวายเพราะเอาแต่คิดว่าพอได้เจอตระการแล้วจะพูดอะไรเหมือนกับเมื่อช่วงเช้ามืดแน่ๆ และเขาก็ทนปล่อยตัวเองให้ทำตัวไร้สาระโดยไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเช่นนั้นไม่ไหว แถมตอนนี้ก็ไม่มีงานจากพี่บรรณาธิการมาให้ทำเพราะเขาเพิ่งช่วยเขียนบทความส่งให้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนี้ทางนั้นจึงน่าจะยุ่งกับการตรวจอาร์ตเวิร์คและส่งต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์จนยังไม่มีเวลาส่งงานใหม่มาให้

นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนัง และพบว่าเข็มสั้นชี้ใกล้เลขสิบเข้าไปทุกที ส่วนเข็มยาวก็ชี้ไปถึงเลขสิบเอ็ดแล้ว

จะสิบโมงแล้วหรือ...ถ้าหากต้นบินมาไฟลท์เก้าโมงเช้าจริงๆก็แปลว่าตอนนี้คงใกล้จะถึงเชียงใหม่แล้วสินะ

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดหาหมายเลขในเครื่อง จากนั้นก็โทรออกไปยังเจ้าของหมายเลขที่ได้คุยเมื่อเช้า มือเรียวยกมือถือสี่เหลี่ยมแบนๆขึ้นแนบหูระหว่างฟังเสียงรอสายด้วยใจระทึก

ทั้งที่ได้ยินน้ำเสียงกระตือรือร้นของตระการที่เสนอตัวจะเดินทางมาหาเขาเองแล้ว และตระหนักดีถึงความพยายามของอีกฝ่ายที่พยายามจะติดต่อเขาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ยอมรับว่ายังไม่มั่นใจในตัวของตระการเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลาที่ห่างหายกันไปและภาพข่าวของอีกฝ่ายที่เคยเห็นทำให้เศษเสี้ยวของความไม่เชื่อใจยังคงฝังแน่น และถึงแม้ว่าจะรอพบอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกตื่นเต้นสักเพียงใด แต่ความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวมานานก็ทำให้เขาไม่อาจดีใจได้เต็มที่

นิ้วมือเรียวยาวกดวางสายเมื่อได้ยินแต่สัญญานอัตโนมัติว่าติดต่อไม่ได้ จึงสรุปได้เพียงว่าตระการคงกำลังอยู่บนเครื่องบินจริงๆเท่านั้น ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยตรงหน้า จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักโซฟาและถอนหายใจยาว

หลังจากเครื่องแลนดิ้งแล้วต้นต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะมาถึงที่นี่นะ...ครึ่งชั่วโมง? เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงยังไงก็คงต้องหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างเร็ว...

ชายหนุ่มคิดอย่างสะลึมสะลือ ความเพลียและความเวียนหัวเนื่องจากพักผ่อนไม่พอตั้งแต่เมื่อคืนก่อน บวกกับแรงดึงดูดของเบาะโซฟานุ่มๆทำให้ร่างเพรียวเอนตัวลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจนอนราบลงแล้วเอาหมอนอิงใบเล็กมาหนุน ภาพที่เห็นจากมุมที่นอนอยู่ก็คือโต๊ะทานอาหารในห้องครัวที่ถูกส่วนหนึ่งของฝาผนังบังเอาไว้ นัยน์ตาสีดำสนิทหรี่ปรือขณะมองภาพที่พร่าขึ้นทุกทีด้วยต้านเปลือกตาที่หนักอึ้งไม่ไหว เช่นเดียวกับจังหวะการกะพริบตาที่ดูจะทิ้งช่วงห่างนานขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

จริงสิ...เมื่อกี้ว่าจะหมักหมูไว้สำหรับทำแกงจืดก็ยังไม่ได้ทำเลย...น้ำก็ยังไม่ได้อาบมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เหนียวตัวชะมัดยาด...

พรพฤกษ์คิดในใจ ทว่าก็ได้แต่คิดโดยไม่ได้ลุกขึ้นทำอะไรสักอย่าง และในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไปบนโซฟาทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นเอง


++------++


เสียงสัญญานให้รัดเข็มขัดดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงประกาศจากกัปตันของเครื่องบิน ตระการจึงเลื่อนบานหน้าต่างจนสุดแล้วหรี่ตามองแสงสว่างภายนอกที่อาบไปทั่วแนวทิวเขาและท้องถนน ภาพที่เห็นผ่านกระจกหน้าต่างชัดมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเครื่องเริ่มลดเพดานบินลง และร่างสูงใหญ่ก็นั่งกำมือเข้าออกสลับกันบนพนักวางแขนด้วยความตื่นเต้นผสมผเสไปกับความกระวนกระวายที่ในที่สุดก็ได้กลับมาเหยียบเชียงใหม่อีกครั้ง

ชายหนุ่มพยายามจะเพ่งหาสถานที่ที่ตนตั้งใจจะไปเยือน แต่จากมุมสูงเช่นนี้ทำให้ยากจะดูออกว่าบ้านนฤมิตรตั้งอยู่ตรงไหน ถึงกระนั้นตระการก็รู้ดีว่าหัวใจของเขาพุ่งไปรอที่นั่นตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านไปสนามบินที่กรุงเทพฯแล้ว นับเป็นโชคดีของเขาที่ไฟลท์ตอนเช้าวันอาทิตย์เช่นนี้มีที่นั่งเหลือ ทำให้ไม่ต้องรอยาวไปจนถึงช่วงบ่ายและยืดเวลาการพบกันของเขากับพรพฤกษ์ให้ช้าออกไปอีก

ร่างสูงใหญ่พยายามจะจินตนาการว่าคนที่กำลังจะไปหาจะรอพบเขาด้วยสีหน้าเช่นไร แต่เพราะว่าน้ำเสียงตอนที่ได้คุยกันเมื่อเช้านั้นไร้ซึ่งร่องรอยของความขุ่นใจหรือโกรธเคือง เขาจึงได้แต่หวังว่าการต้อนรับจากอีกฝ่ายคงไม่เฉยชาเช่นเดียวกับตอนที่ไล่เขาให้จากมาเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว

หลังจากเครื่องบินต่ำลงจนใกล้ถึงพื้นก็ค่อยๆถูกปรับระดับให้เป็นแนวระนาบกับรันเวย์อีกครั้ง ภายในห้องโดยสารโคลงเล็กน้อยเมื่อล้อด้านล่างกระทบกับพื้นราบและไถลไปตามแรงกระแทกและแรงส่งของเครื่องยนต์จนเกิดเสียงแสบหู ไม่นานนักกัปตันก็ประกาศแจ้งเวลาที่เครื่องลงจอดและสภาพอากาศภายนอกอีกครั้งขณะควบคุมเครื่องให้เลี้ยวเข้าหาอาคารผู้โดยสาร ตระการรอจนเครื่องจอดสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจงใจระบุที่นั่งแถวหน้าสุดตั้งแต่ตอนที่ซื้อตั๋วเพื่อที่เวลาลงจอดจะได้ไม่ต้องรอคิวยาว

เมื่อเดินผ่านงวงช้างออกมาจนเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร ตระการก็ขยับสายกระเป๋าเป้บนหลังที่พาดไว้บนไหล่ข้างเดียวแล้วยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา เนื่องจากเครื่องดีเลย์เล็กน้อยตอนที่ออกมาจากสุวรรณภูมิ เขาจึงมาถึงช้ากว่าเวลาที่คาดไว้กว่าสิบนาที แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ได้มาเยือนสนามบินเชียงใหม่อีกจนได้

ร่างสูงใหญ่มองไปรอบตัว แล้วก็พบว่าบรรยากาศภายในไม่ต่างไปจากเมื่อตอนที่เขาเดินออกจากที่นี่เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯเมื่อหนึ่งปีก่อนแม้แต่น้อย ในห้องสำหรับรอรับผู้โดยสารมีคนนั่งรอบนเก้าอี้ไม่หนาตานัก และจากการใช้สายตาคมกริบกวาดมองเพียงแวบเดียว ตระการก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่เขาอยากมาหาก็ไม่ได้มารอเขาที่นี่เช่นกัน

ไม่มารับจริงๆสินะ...แต่ไม่เป็นไร...เดี๋ยวต้นไปหาเอง

ระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องบินกลางท้องฟ้าสีครามเหนือหมู่เมฆเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขาเผลอคิดไปเหมือนกันว่าพรพฤกษ์อาจจะทำให้แปลกใจด้วยการมารอรับที่สนามบิน แต่ก็แทบจะโยนความคิดนั้นทิ้งในทันทีเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายไปตามหาและงอนง้อ และการที่ไม่พบเจ้าตัวที่นี่ก็ช่วยตอกย้ำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดถูก

เพราะรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าพรพฤกษ์คงจะไม่มารับ ตระการจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรือน้อยใจแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเพียงแวะเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้สดชื่นขึ้น หลังจากที่ออกมาแล้วและกำลังจะเดินออกจากอาคารผู้โดยสาร ร่างสูงก็ชะงักเพราะโดนเรียกเอาไว้ด้วยเสียงที่คุ้นเคย

“อ้าว? ต้น?”

ตระการหันหลังกลับไปทางเจ้าของเสียง ทำให้พบว่าคนที่เรียกเขาเอาไว้คือปฏิมา หญิงสาวยืนอยู่หน้าร้านขายอาหารฟาสต์ฟู้ดกับเพื่อนๆอีกสามคน ร่างสูงเพรียวที่ผมซอยสั้นหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนคนหนึ่งสองสามคำ จากนั้นก็ผละมาหาเขา

“ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ? หรือว่า...ได้คุยกับไผ่แล้ว?”

ตระการพยักหน้า ถึงแม้จะกำลังรีบแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากเสียมารยาทกับคนที่ช่วยให้เขากับพรพฤกษ์ได้มีโอกาสที่จะปรับความเข้าใจกัน จึงยิ้มเรียบๆและตอบรับ

“อืม เพิ่งคุยกันเมื่อเช้านี้เพราะไผ่ได้อ่านจดหมายแล้ว ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์อาสาเป็นธุระให้”

ปฏิมายกมุมปากนิดหนึ่งจนแทบไม่เห็นว่ายิ้มแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ถ้างั้นก็ยินดีด้วยก็แล้วกัน เราเองก็ไม่ได้แน่ใจหรอกว่าเขาจะอ่าน ถ้างั้นนี่คงกำลังจะไปหาล่ะสิ?”

“อืม ผมคงจะเรียกแท็กซี่ไปจะได้เร็วหน่อย แล้วนี่พวกปาล์มจะกลับกันแล้วหรือ?”

หญิงสาวยักไหล่แล้วก็เบนสายตากลับไปทางกลุ่มเพื่อนๆที่อยู่ห่างออกไป “เสร็จงานแล้วนี่จะอยู่ต่อไปทำไม เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ยังต้องเข้าออฟฟิศ อีกอย่างขืนไม่รีบกลับคงได้เป็นบ้าเพราะใครบางคนแน่”

ตระการเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ทันได้ถามเพราะหนึ่งในเพื่อนของปฏิมาส่งเสียงเรียก หญิงสาวจึงหันไปตอบรับแล้วก็หันมาตบไหล่ตระการเบาๆ “ยินดีด้วยนะ ยังไงรีบไปหาเร็วๆเข้าเถอะ เขาเองก็คงอยากเจอนายไม่แพ้กันหรอก”

ชายหนุ่มทำตาโตขึ้น แต่ว่าปฏิมาก็หมุนตัวแล้วเดินกลับไปหาพวกเพื่อนๆแล้วโดยไม่รอ ร่างสูงใหญ่จึงหันหลังแล้วเดินออกไปโบกรถแท็กซี่ด้านนอกเพื่อไปยังที่หมายของตัวเองบ้าง ทว่าหลังจากที่ออกมาไกลจากสนามบินได้ระยะหนึ่งแล้ว ประโยคสุดท้ายของปฏิมาก็ยังคงดังสะท้อนอยู่ในหัว

‘เขาเองก็คงอยากเจอนายไม่แพ้กันหรอก’

จริงหรือที่ว่าไผ่ก็อยากเจอเขา? หรือว่าปาล์มเพียงแต่พูดให้กำลังใจเท่านั้นโดยไม่ได้มีความหมาย?

ตระการนั่งทบทวนคำพูดนั้นกับตัวเองตลอดระยะทางที่เหลือ แต่เมื่อในที่สุดรถแท็กซี่ก็เลี้ยวผ่านทางแยกริมถนนขึ้นสู่เชิงเขาที่คุ้นเคย ชายหนุ่มก็นั่งยืดตัวตรงแล้วเลิกคิดถึงประโยคนั้นอีก

คำคาดเดาของคนอื่นจะสำคัญอะไร ในเมื่อตอนนี้เขากำลังจะได้พบคนที่คิดถึงด้วยตัวเองแล้ว...

“เลี้ยวเข้าไปตรงป้ายบ้านนฤมิตรนั่นเหรอครับคุณ?”

คนขับซึ่งเป็นชายวัยกลางคนมองตระการผ่านกระจกมองหลังแล้วเอ่ยถาม ชายหนุ่มจึงพยักหน้า “จอดแค่ตรงหน้าทางเข้าก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง”

รถแท็กซี่สีเหลืองน้ำเงินชะลอเข้าจอดริมถนนตามที่ตระการบอก หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ร่างสูงใหญ่ก็ลงจากรถและเดินเข้าไปตามทางโรยกรวดสั้นๆที่ทอดตัวสู่สถานที่ที่เขาคิดถึงและอยากกลับมาหาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ลมที่พัดอ่อนๆทำให้ได้ยินเสียงยอดไม้เสียดสีกันและเสียงนกร้องซึ่งให้ความรู้สึกร่มรื่น แสงแดดที่แผดจ้าทั้งที่อยู่กลางฤดูฝนสาดสะท้อนบนพื้นหินกรวดจนเกิดเงาระยิบชวนแสบตา

ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวๆลงบนพื้นหินกรวดจนเกิดเสียงในแต่ละฝีก้าวที่พื้นรองเท้าผ้าใบย่ำกระทบ ยิ่งระยะทางระหว่างตัวเขากับประตูบ้านหดสั้นเข้ามากเท่าไหร่ ตระการก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นจนหูแทบอื้อได้เท่านั้น

ไผ่จะกำลังทำอะไรอยู่นะ กำลังทานข้าวอยู่ในครัว หรือว่ากำลังนั่งทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์เหมือนทุกครั้งหรือเปล่า...

ชายหนุ่มซอยเท้าขึ้นบันไดไปยืนบนชานเตี้ยๆหน้าตัวบ้าน จากนั้นก็ยื่นมือไปจับประตูมุ้งลวดแน่นแล้วเปิดออก หัวใจของเขารัวถี่จนเจ็บหน้าอกเมื่อคิดว่าจะได้เห็นใบหน้าของคนที่คิดถึงเงยขึ้นจากจอโน้ตบุ๊คขึ้นมาแล้วยิ้มทักทาย และคำแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยกับเขาจะเป็นคำว่าอะไร แต่ภาพที่ได้เห็นตรงหน้ากลับทำให้จินตนาการที่วาดไว้ถูกพัดหายไปโดยสิ้นเชิง

ที่เคาน์เตอร์ใต้บันไดว่างเปล่าไม่มีใครนั่ง แต่ตัวเจ้าของบ้านกลับกำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตรงกลางห้องนั่งเล่น ด้านปลายเท้ามีพัดลมตั้งพื้นที่ส่ายไปมาให้ความเย็นและทำให้เกิดเสียงยามใบพัดหมุน เสียงเปิดประตูของเขาไม่ทำให้ร่างบนโซฟาที่ใส่เสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงยีนส์ขยับหรือลืมตาขึ้นแม้แต่น้อย ช่วงอกที่สะท้อนขึ้นลงสม่ำเสมอตามจังหวะหายใจบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับสนิท

ภาพที่ไม่คาดฝันทำให้ตระการหยุดยืนนิ่งตรงหน้าประตู ความรู้สึกต่างๆที่ได้สัมผัสนับตั้งแต่ได้ยินเสียงของพรพฤกษ์ผ่านโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเมื่อครู่ก่อนเทียบไม่ได้เลยกับช่วงเวลานี้ เวลาที่เขาได้เห็นคนที่คิดถึงมาตลอดอยู่ตรงหน้าให้จับต้องได้แล้วจริงๆ ถึงแม้ภาพที่ได้เห็นจะไม่ตรงกับที่คิดไว้ก็ตาม แต่สำหรับวินาทีนี้ จินตนาการต่างๆเหล่านั้นก็ดูจะไร้ค่าและไม่จำเป็นอีกต่อไป

ร่างสูงใหญ่ปิดประตูมุ้งลวดอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เกิดเสียง จากนั้นก็ปลดกระเป๋าสะพายจากไหล่แล้ววางลงบนมุมหนึ่งของพื้นห้อง ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้โซฟาที่พรพฤกษ์ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้สึกตัวด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด

ผมด้านหน้าของพรพฤกษ์พลิ้วเล็กน้อยตามลมเวลาที่พัดลมส่ายมาโดน ผิวบริเวณใต้ตาที่ถูกแพขนตายาวบดบังไว้เป็นรอยคล้ำเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากบางใต้แนวจมูกโด่งเล็กก็ปิดสนิท มือข้างหนึ่งยกขึ้นวางทับบนหน้าท้องที่แบนราบ ส่วนอีกข้างวางขนานไว้ข้างตัวและงอนิ้วเข้าน้อยๆ

เขาไม่เคยเห็นเวลาอีกฝ่ายนอนกลางวันมาก่อน เพราะตอนที่เคยมาพักอยู่ด้วยระยะสั้นๆ เจ้าของบ้านนฤมิตรเป็นคนที่มีตารางเวลาตื่นและนอนในแต่ละวันค่อนข้างแน่นอน ซึ่งเขาเคยนึกชื่นชมเสมอที่แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ทำงานประจำแต่ก็เป็นคนมีวินัยกับการแบ่งสรรเวลาของตัวเองได้ดี ดังนั้นการที่เห็นอีกฝ่ายหลับสนิทบนโซฟาตั้งแต่ก่อนเที่ยงเช่นนี้จึงทำให้เดาได้ว่าคืนที่ผ่านมาคงจะพักผ่อนไม่พอหรือทำงานหนักมากเกินไป

ตระการทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ที่ถูกเช็ดถูจนสะอาด จากนั้นก็ยกศอกข้างหนึ่งขึ้นเท้าบนที่ว่างของโซฟาใกล้กับช่วงเอวของคนที่กำลังหลับไหล ส่วนมืออีกข้างค่อยๆเลื่อนไปประสานนิ้วมือตัวเองเข้ากับนิ้วมือเรียวข้างที่วางราบอยู่ข้างตัว พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวออกมาทีหนึ่งเมื่อตระการค่อยๆกระชับนิ้วมือที่เกี่ยวประสานกับอีกฝ่ายแน่นเข้า แต่ว่าก็ไม่ได้แสดงกิริยาอื่นที่บ่งบอกว่ารู้ตัว และเสียงหายใจสม่ำเสมอเบาๆก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวยังไม่ตื่น

คงจะเหนื่อยมากสินะถึงหลับลึกขนาดนี้...ถ้างั้นต้นไม่ปลุกก็แล้วกัน...

คนที่นั่งบนพื้นห้องค่อยๆตะแคงหน้าลงบนศอกข้างที่วางเท้าอยู่บนเบาะ ส่วนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็จับจ้องบนใบหน้าของคนที่ยังหลับสนิทในมุมที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าที่เคยคาดหวัง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าหากพรพฤกษ์ตื่นขึ้นมาจะโกรธไหมที่เขาถือวิสาสะมานั่งจ้องตัวเองอยู่ใกล้ๆแถมเอามือไปจับด้วยแบบนี้ แต่เขาก็คิดว่าคุ้มแล้วกับการที่ได้กลับมาที่นี่และได้มองอีกฝ่ายในระยะใกล้แบบนี้ เพราะตลอดเวลาที่ไม่ได้พบเจอหรือเห็นหน้า แต่ละวันของเขาก็ผ่านไปด้วยความแห้งแล้งและเย็นชาเนื่องจากต้องแบบรับภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ รวมทั้งต้องปั้นหน้าเข้าสังคมเพื่อแย้มยิ้มและพูดคุยกับคนแปลกหน้ามากมายที่เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันหรืออยากใกล้ชิดด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว

ตรงกันข้าม...เมื่อได้มาถึงที่นี่ ที่ที่ปลอดสายตาคนที่คอยอยากจะเข้ามาทำความรู้จักเพื่อหวังผลประโยชน์จากความใกล้ชิด เขาสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้เอย่างแท้จริงได้โดยไม่ต้องคอยระวังตัวหรือคำพูดที่ใช้ และได้ค้นพบว่าบรรยากาศที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขจริงๆได้...เรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง

ตระการโยกมือที่อยู่ในอุ้งมือของตัวเองเบาๆก่อนจะระบายลมหายใจยาว จากนั้นก็ปิดเปลือกตาทั้งสองลงช้าๆ เสียงพัดลมตั้งพื้นที่ส่ายไปมาเยื้องไปทางด้านหลังราวกับเสียงขับกล่อมภายในตัวบ้านที่เงียบสงัด เช่นเดียวกับเสียงนกและเสียงไม้ภายนอกที่ดังแทรกเข้ามาให้ได้ยินแว่วๆ ไม่ช้าชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาเกาะกุมตามร่างกาย เพราะดูเหมือนพลังงานที่เกิดจากความตื่นเต้นเพราะได้รับโทรศัพท์จากพรพฤกษ์เมื่อเช้าตรู่จะถูกใช้ไปหมดแล้ว และในที่สุดก็เห็นแต่ความมืดมิดและไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก

ร่างสูงใหญ่ไม่รู้ว่าตนเองหลับทั้งที่นั่งอยู่ข้างโซฟาไปนานแค่ไหน หรือว่าเผลอปล่อยตัวให้หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วมือของเขาที่เกาะเกี่ยวไว้กับนิ้วมือของใครอีกคนก็ถูกขยับเบาๆ พร้อมกับสัมผัสอบอุ่นจากปลายนิ้วที่กำลังยื่นมาเสยผมบนหน้าผากให้ช้าๆ

ความง่วงงุนเมื่อครู่ก่อนเริ่มละลายหายไปทีละน้อย ตระการค่อยสูดหายใจเข้าลึกๆช้าๆ แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาหรือยกศีรษะขึ้นจากท่อนแขนที่ตนซบหน้าทับอยู่ และดูเหมือนคนที่นอนอยู่บนโซฟาก็จะรู้ว่าเขารู้สึกตัวแล้วจึงชะงักมือไปนิดหนึ่ง แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ปลายนิ้วเรียวก็แตะลงมาบนหน้าผากของเขาและสางผมให้อย่างแผ่วเบาเช่นเดิม

ตระการรู้สึกราวกับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติเมื่อครู่เริ่มรัวเร็วขึ้นอีกครั้ง เขากระชับนิ้วมือข้างที่ประสานกับนิ้วของคนบนโซฟาแน่นขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเขารู้สึกตัวจริงๆ และรอวินาทีนี้ที่จะได้พบกับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกโหยหาเพียงใด

ชายหนุ่มพยายามหายใจเข้าออกยาวๆเพื่อปรับจังหวะหายใจให้เป็นปกติ จากนั้นก็ปรือตาขึ้นและค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากท่อนแขนที่ซบอยู่ เมื่อศีรษะที่ทิ้งน้ำหนักทับมานานถูกยกออกไป เขาจึงได้รู้ตัวว่าท่อนแขนข้างที่โดนทับนั้นชาเหน็บไปทั้งท่อน ส่วนแผ่นหลังก็ปวดเนื่องจากนั่งหลับผิดท่าเป็นเวลานาน แต่ความรู้สึกไม่สบายตัวทั้งหลายก็แทบจะถูกลืมในทันทีที่ได้สบตากับนัยน์ตาสีนิลวาวที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว บนมุมปากบางของคนที่นอนอยู่มีรอยยิ้มอ่อนโยนแตะแต้ม ความรู้สึกแห้งผากในคอจากรอยยิ้มที่ส่งมาให้ทำให้คนที่ได้เห็นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะเดียวกับที่เผลอออกแรงกำมือในอุ้งมือแน่นขึ้นเหมือนต้องการความมั่นใจว่าเขาตื่นเต็มตาแล้วจริงๆ

นานแค่ไหนแล้ว...ที่เขารอวันที่จะได้เห็นรอยยิ้มนี้ด้วยตาตัวเอง...

“มาถึงนานแล้วหรือยัง?”

คนบนโซฟาเอ่ยถามเสียงเบา เสียงนั้นแหบเล็กน้อย บ่งบอกว่าให้รู้ว่าพรพฤกษ์คงจะรู้สึกตัวตื่นก่อนเขาไม่นานนี่เอง แต่เสียงแหบแห้งนั้นก็ไม่อาจปกปิดร่องรอยของความยินดีที่สอดแทรกอยู่ในคำถามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาได้เลย ตระการจึงยกมือข้างที่ตนนอนทับเมื่อครู่ขึ้นจับมือที่กำลังลูบผมบนหน้าผากให้แล้วบีบเบาๆ จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงไปบนหลังมือเรียวนั้น ส่วนมืออีกข้างที่ประสานนิ้วกันอยู่ตั้งแต่แรกก็ยิ่งกุมแน่นมากขึ้นอีก

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบขึ้นสบตากับเจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิท ก่อนชายหนุ่มจะยิ้มและตอบรับสั้นๆด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจมายาวนาน

“อื้ม”


+---tbc---+



A/N: อิอิ คราวนี้มาลงตอนกลางวันได้สำเร็จค่ะ หลังจากเลื่อนวันที่เริ่มรีไรท์ให้เร็วขึ้น (ปกติเริ่มคืนวันเสาร์ แต่ถ้าตอนไหนรู้ว่าต้องโดนรีไรท์เยอะก็จะพยายามเริ่มตั้งแต่วันศุกร์) หมดไปหลายหน้ากระดาษทีเดียวกว่าจะให้สองคนนี้กลับมาเจอกันได้ (แฮ่กๆ ยิ่งเขียนยิ่งไม่เหมือนของเดิมเข้าไปทุกที) แล้วเอาไว้พบกันใหม่ตอนหน้าในวันจันทร์หน้านะค้า



Create Date : 13 กันยายน 2553
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 13:06:22 น. 11 comments
Counter : 1534 Pageviews.

 
โอ๊ย โอ๊ย รักคุณรินจังเลย...

ชอบตอนนี้มากๆ (อ่าน 3 รอบ) ตอนแรกลุ้นแทบตายว่าคุณรินจะใจดีให้เค้าเจอกันหรือเปล่าน๊า และแล้วคุณรินก็ใจดีให้เค้าทั้งสองเจอกัน ไม่ต้องรอจันทร์หน้า

คุณรินเขียนซะเราสัมผัสได้ถึงความรักที่เค้าทั้งสองมีให้แก่กัน...

ไผ่น้อไผ่ ปล่อยให้ตัวเองทุกข์มาเป็นปี บทจะทำใจได้ก็หวานซะ...

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ทั้งคุณริน ไผ่และต้น
รักษาสุขภาพนะค่ะ




โดย: เอิงเอย IP: 68.224.193.220 วันที่: 13 กันยายน 2553 เวลา:21:06:07 น.  

 
ตอนนี้ไผ่น่ารักจัง
^
^
ทำงานบ้านเหนื่อย แต่ก็มีความสุข :))

คุณรินให้ต้นแคนเซิลประชุมที่เกาหลีไม่ได้เหรอคะ (แหะ แหะ อ่านแล้วอินจัด เห็นคนรักที่จากกันไปเป็นปีกลับมาเจอกันแล้วก็อดเอาใจช่วย อยากให้อยู่ด้วยกันนานๆไม่ได้น่ะค่ะ)


โดย: sherry IP: 114.128.161.91 วันที่: 13 กันยายน 2553 เวลา:21:31:22 น.  

 
อ่านแล้วยิ้มค่ะ :')))
ไผ่น่ารัก (เนอะคะคุณ sherry) เหมือนจะพยายามไม่ตื่นเต้น ไม่กระวนกระวาย แต่จากการกระทำมันก็ทำให้รู้ว่าจริงๆดีใจแค่ไหนที่จะได้เจอต้น
จำไม่ได้ว่าต่างกับก่อนรีไรท์ยังไงบ้างแต่อ่านแล้วอินจังค่ะ 555
เป็นกำลังใจให้แล้วก็จะรออ่านต่อทั้งเรื่องนี้ละก็ภัทรกับคุณเชษฐ์นะคะพี่ริน :)


โดย: milphinne* IP: 124.122.98.204 วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:1:13:35 น.  

 
กี๊ด ฮือๆ น้องต้น นายแน่มาก บินด่วนทันที ต้องอย่างนี้สิน้องชาย ฮือๆ

ไผ่ยังไม่ได้อาบน้ำ... โอ้... จิ้นตาม กร๊าก...

พรุ่งนี้วันจันทร์ใช่ปะ ^^


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:16:54:26 น.  

 
ครั้งนี้มาตอบคอมเม้นต์ช้าหน่อย ขอโทษทีนะค้าทุกคน ^^

คุณเอิง ตอนนี้ให้หวานกันพอเป็นกระสัยค่ะ ต้นกับไผ่อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันหลังจากผ่านไปตั้งหนึ่งปีทั้งที ดีใจที่ชอบตอนนี้นะคะ


คุณเชอร์รี แหะๆ เรื่องต้นเลื่อนประชุมนี่ไม่รู้จะมีหวังหรือเปล่าหนอ โครงการยักษ์ใหญ่กับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศซะด้วยสิ แต่ยังไงก่อนไปก็ได้มาเติมกำลังใจก่อนละค่ะ


น้องนุ่น จำของเก่าไม่ได้ดีแล้วค่ะ XD เพราะอยากให้ยึดเวอร์ชันใหม่นี้มากกว่า ส่วนของคุณเชษฐ์กับภัทร แอบกระซิบว่าตอนนี้กำลังพยายามจุดธูปเรียกองค์กลับมาอยู่ล่ะ นานเกินเดี๋ยวคนเขียนเองจะต่อไม่ติด 555


พี่พีท จิ้นอะไร...จิ้นทำไม ไผ่แค่ยังไม่ได้อาบน้ำเอง จิ้นไปถึงหนายยย

ปล. พี่พีทใช้ปฏิทินสำนักไหนเนี่ย นับวันจันทร์ทุกๆสามวันเหรอค้า เค้าขอนับตามปฏิทินของบ้านเค้าละกันนะ ^^"


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:21:39:33 น.  

 
ยกนิ้วโป้งให้ต้นเลยค่ะ มุ่งมั่นมาก ไม่พูดพร่ำทำเพลง บินด่วนกันเลยทีเดียว ความรักของต้นนี่น่าปลาบปลื้มจริงๆค่ะ

มีโชว์หวานกันตั้งแต่พบกันเลย อ่านแล้วอมยิ้มเลยค่ะ คู่นี้น่ารักมากๆ แต่จะสงสัยคงไม่ราบรื่นแน่เลยใช่มั้ยคะ มีเค้าว่ามันยังต้องมีอุปสรรคตามมาอย่างแน่นอน


โดย: Aikiiz IP: 125.25.134.49 วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:1:06:25 น.  

 
คุณ Aikiiz ต้นยอมทนไม่ไปหาไผ่มาตั้งปีนึง พอได้รับอนุญาตแล้วเลยไม่ยอมเสียเวลาเลยค่ะ แต่หลังจากนี้จะราบรื่นกันต่อไหมหนอ...หุหุหุ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:12:51:41 น.  

 
หึ้ยยยย อ่อนโยนอ่อนหวานนน


โดย: Niii IP: 202.12.73.65 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:14:13:03 น.  

 
น้องนิ หุหุ นี้ดนึง ;D


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:14:52:04 น.  

 
บางทีการดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ดีอีกแบบ ค่อยๆซึมซับการกระทำของตัวละคร
ชอบครึ่งตอนหลังนี้จัง


โดย: ตัวกลม IP: 10.0.0.166, 124.122.66.79 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:18:23:49 น.  

 
ฮือออออ รักน้องรินจริงๆน๊าาาาา
ขอบคุณนะคะที่ยอมย่นระยะของความห่างจนทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีก 1 ปีนานมั๊ย สำหรับบางคนอาจะไม่นาน แต่สำหรับการรอคอยช่างยาวนานแน่นอน ไม่ต้องรอแล้ว ได้พบกันอีกครั้ง รีบปรับความเข้าใจกันนะจ๊ะ


โดย: khun only IP: 49.49.67.50 วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:20:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.