Group Blog
 
All blogs
 
แม้นมั่นคำสัญญา 3

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


3.



จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องใช้เวลาแรมปีในการทำความคุ้นเคยกับใครบางคน?

เงื่อนไขอะไรที่ทำให้ต้องปิดกั้นตัวเองจากมิตรภาพที่พร้อมจะก่อกำเนิด?

หากได้เปิดใจสักครั้ง เวลาไม่กี่วันก็เพียงพอจะชักนำคนสองคนให้ใกล้ชิดกันได้มากกว่าที่ใครจะคาดคิด



เสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่หลังเคาน์เตอร์ใกล้บันไดดังขึ้นเป็นจังหวะ ร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินลงมาชั้นล่างจึงเอื้อมมือแข็งแรงไปยกหูขึ้นรับ

“สวัสดีครับ บ้านนฤมิตรครับ ...ห้องว่างวันเสาร์อาทิตย์ที่ 28-29 เดือนนี้เหรอ.....มีครับ อยากจองห้องทวินเบดสองห้อง...รอแป๊บนึงนะครับ”

ตระการเอาหูโทรศัพท์หนีบตรงซอกคอขณะเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบกระดาษโน้ตแบบมีกาวในตัวกับปากกาขึ้นมา จากนั้นจึงยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง

“ตกลงจองห้องทวินเบดสองห้องในชื่อคุณปาริดานะครับ ลงไว้ให้แล้วครับ...ค่าห้องพักมาจ่ายวันเช็คอินก็ได้ครับ ครับ...ขอบคุณมากครับ”

ตระการวางหูโทรศัพท์กลับลงบนเครื่องหลังจบบทสนทนา จากนั้นก็ฉีกกระดาษโน้ตที่เพิ่งจดรายละเอียดขึ้นแปะบนช่องวันที่ที่แขกแจ้งจะมาพักบนปฏิทินข้างฝา ขณะเดียวกัน เจ้าของที่พักตัวจริงก็ชะโงกหน้าออกมาจากในครัว ในมือข้างหนึ่งถือตะหลิวที่มีคราบอาหารติดอยู่ด้วย

พรพฤกษ์มองแผ่นหลังของคนที่กำลังยืนกอดอกจ้องปฏิทิน จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ตอนแรกที่โทรศัพท์ดังขึ้นนั้นเขากำลังวุ่นอยู่หน้าเตาจึงออกมารับไม่ทัน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ต้องกังวลว่าปลายสายจะติดต่อเขาไม่ได้แล้ว

...ไปๆมาๆ ดูเหมือนแขกของเขาจะตั้งตำแหน่งผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์ให้ตัวเองไปแล้วเรียบร้อย...

ตระการรู้สึกได้ว่ามีสายตาจับจ้องจากด้านหลังจึงหันกลับไปหา พอได้สบตากับคนที่กำลังยิ้มจึงเลิกคิ้ว พรพฤกษ์มองสีหน้าไม่เข้าใจของอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะ

“ต้นเริ่มคล่องแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวเรายกบ้านให้ช่วยดูแลแล้วหนีไปพักร้อนซักระยะดีกว่า”

พูดจบ คนที่ยังกำตะหลิวในมือก็หมุนตัวกลับเข้าไปในครัว ตระการจึงยิ้มขณะก้าวออกจากหลังเคาน์เตอร์ “อยากทำงั้นก็เอาสิ แต่กลับมาเจอบ้านร้างไม่รู้ด้วย”

ชายหนุ่มเย้าขณะเดินตามเข้าไปในครัวที่กรุ่นด้วยกลิ่นกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จ พอเห็นอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก็เอ่ยทักอย่างประหลาดใจ

“หือ ทำกับข้าวสามอย่างเลยเหรอวันนี้?”

เจ้าของบ้านซึ่งควบตำแหน่งพ่อครัวยักคิ้ว “พอดีงานที่เพิ่งแปลชิ้นล่าสุดมันเป็นรีวิวแนะนำร้านอาหารน่ะ หลังจากแปลเสร็จเลยคันไม้คันมืออยากทำเองขึ้นมา”

พรพฤกษ์อธิบายพลางตักผัดเปรี้ยวหวานใส่ชาม จากนั้นจึงวางลงบนโต๊ะที่มีแกงส้มผักรวมกับไข่ยัดไส้เรียงกันอยู่ก่อนแล้ว ตระการจึงหัวเราะในคอเบาๆ “ครับๆ เชื่อแล้วว่าวันนี้นึกครึ้มจริงๆ”

ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยก่อนจะหยิบจานเปล่าสองใบขึ้นมาคดข้าวสวยใส่ ขณะเดียวกัน เจ้าของบ้านก็หันไปหยิบแก้วและเหยือกน้ำเย็นออกมาจากตู้เย็น หลังจากจัดวางทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งสองจึงนั่งลงทานอาหารที่โต๊ะในครัวด้วยกัน

เวลาผ่านไปเกือบสองสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ตระการเข้าพักที่บ้านนฤมิตร ด้วยความที่ไม่มีแขกอื่นมาพักในช่วงเดียวกัน และพรพฤกษ์ก็ไม่มีงานเขียนหรือแปลเร่งด่วนในวันแรกๆที่อีกฝ่ายมาถึง ดังนั้นเขาจึงรับเป็นธุระพาตระการตระเวนเที่ยวในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ศึกษาข้อมูลท่องเที่ยวใดๆมาเลย ประกอบกับการที่อายุไล่เลี่ยกันและคุยกันถูกคอ ทั้งคู่จึงสนิทกันอย่างง่ายดายจนเปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นโดยไม่มีสรรพนามนำหน้าตั้งแต่วันที่สอง และพรพฤกษ์ก็ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเกรงใจหรือเพราะไม่มีอะไรทำ แต่ว่าตระการก็มักจะเสนอตัวช่วยงานต่างๆในเกสต์เฮ้าส์เป็นประจำด้วยความเต็มใจ

“ไผ่ทำอาหารเก่งจัง”

ตระการเอ่ยชมหลังจากเริ่มทานมื้อเช้าที่ค่อนข้างสายกันได้ครู่หนึ่ง พรพฤกษ์จึงละสายตาจากจานข้าวขึ้นยิ้ม

“ก็แค่พอทำได้เท่านั้นแหละ มื้อนี้ก็มีแต่ของง่ายๆ ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้น”

คนทำกับข้าวพูดถ่อมตัวราวกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

“ทำได้กับทำแล้วอร่อยมันไม่เหมือนกัน ขนาดแค่ผัดกระเพราไก่ที่ไผ่ทำเมื่อวานยังอร่อยกว่าร้านป้าที่เคยสั่งมากินกันเลย”

ตระการเอ่ยแล้วก็ตักข้าวทานต่อ พรพฤกษ์ได้ฟังแล้วก็ยิ้ม คงเพราะว่าหลายปีมานี้เขาไม่ค่อยได้ทำอาหารให้คนอื่นทานนัก พอถูกชมมากเข้าจึงรู้สึกเขินๆ

“ถ้าจะชมว่าอร่อยก็ต้องขอบคุณสูตรของตานั่นล่ะ เพราะว่าตาคอยให้ช่วยทำกับข้าวมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างตาก็สอนตลอดว่าต้องประหยัดแล้วอย่าซื้อข้าวข้างนอกกินบ่อยนัก ก็เลยติดนิสัยชอบทำกับข้าวเองถ้ามีเวลา”

ตระการพยักหน้ารับรู้ “อย่างนี้ใครได้ไปเป็นพ่อบ้านสบายเลย”

พรพฤกษ์หัวเราะพลางเหยาะซอสลงบนไข่ยัดไส้ในจานของตัวเอง “สนใจจ้างไปทำกับข้าวที่บ้านมั้ยล่ะ? แต่บอกไว้ก่อนว่าค่าจ้างแพงนะ”

คนพูดเพียงแค่ตามน้ำไปโดยไม่ได้คิดจริงจัง แต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับตอบรับทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“เอา...ถ้าเป็นไผ่ แพงแค่ไหนก็จ่าย”

คำตอบสบายๆนั้นทำให้คนฟังชะงัก ริมฝีปากบางเผยอคล้ายไม่เชื่อว่าตนเพิ่งได้ยินอะไร และหากคนที่ฟังแล้วไม่ได้คิดอะไรก็อาจจะนึกว่าคนพูดเพียงเล่นมุกตามเขาก็ได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขากลับพบว่าตนเองต่อบทสนทนาไม่ถูก

ตระการเอะใจกับความเงียบที่เข้าครอบคลุมโต๊ะอาหารอย่างกะทันหัน ใบหน้าคมคายเงยขึ้นจากจานอาหารที่ทานเกือบหมดแล้วเพื่อมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำให้ได้เห็นว่าโหนกแก้มทั้งสองของพรพฤกษ์เป็นสีเข้มขึ้น ชายหนุ่มรีบนึกว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรไปจึงทำให้อีกฝ่ายแสดงกิริยาแบบนั้น ทันทีที่นึกออก เขาก็กระแอมและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

“เออใช่…เกือบลืมไปเลย วันนี้ว่าจะขอยืมรถเข้าเมืองไปร้านหนังสือหน่อย ไผ่จะไปด้วยกันมั้ย? หรือจะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า? เห็นว่าผงซักฟอกใกล้หมดแล้วนี่นา ทิชชูกับกาแฟก็ด้วยใช่มั้ย?”

คราวนี้ความเงียบถูกทำลายด้วยคำถามรัวเร็วและยาวเหยียด คนถูกถามจึงกะพริบตาปริบๆเพราะปรับอารมณ์ตามเกือบไม่ทัน จากนั้นก็หัวเราะพรืด

“ขออยู่บ้านดีกว่า ยังมีงานแปลที่เหลือต้องทำให้เสร็จทันส่งพรุ่งนี้ แต่เดี๋ยวจะจดรายการของที่จะฝากซื้อให้ก็แล้วกัน”

พรพฤกษ์เอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นพลางหยิบจานอาหารที่กินเสร็จแล้วไปวางในอ่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆดังมาจากด้านหลัง แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินออกจากครัวไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อหากระดาษกับปากกาสำหรับจดรายการของที่จำเป็นต้องซื้อเข้าบ้าน เพราะเขามั่นใจว่าเดี๋ยวตระการก็เก็บล้างให้เองเหมือนทุกครั้ง ซึ่งที่มาของการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเช่นนี้ก็เนื่องจากตั้งแต่วันแรกเป็นต้นมา เวลาพรพฤกษ์ทำอาหารก็จะทำเผื่อตระการด้วยทุกมื้อ แถมเมื่ออีกฝ่ายออกตัวว่าจะจ่ายค่าข้าวให้เขาก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นเจ้าตัวจึงอาสาเป็นฝ่ายเก็บล้างหลังจากทานข้าวกันเสร็จเพื่อเป็นการตอบแทน

ร่างสูงเพรียวเดินเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์ข้างบันไดแล้วก็หยิบกระดาษกับปากกาออกจากลิ้นชัก จากนั้นจึงเริ่มจดรายการของที่นึกได้ว่าใกล้จะหมดและจำเป็นต้องซื้อ ระหว่างที่กำลังใช้ความคิด ชายหนุ่มก็เคาะปลายปากกากับริมฝีปากตัวเองเบาๆพลางเหม่อมองเข้าไปในครัว

เพราะลักษณะการวางผังของห้องนั่งเล่น ที่ว่างด้านหน้าเคาน์เตอร์ข้างบันไดจึงโล่งเป็นแนวตรงเข้าไปในห้องครัว ทั้งนี้ก็เพราะว่าระหว่างวันพรพฤกษ์จะเดินเข้าๆออกๆระหว่างเคาน์เตอร์เข้าไปในครัววันละหลายครั้ง ตอนที่ปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้เป็นเกสต์เฮ้าส์ก็เลยจัดเฟอร์นิเจอร์บริเวณนี้ให้อำนวยความสะดวกในการเดินไปมา และจากมุมที่เขายืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้น ยามที่มองเข้าไปในครัวก็จะเห็นคนอีกคนที่กำลังหันหน้าเข้าหาอ่างล้างจานและหันข้างให้เขาได้พอดี

พรพฤกษ์ยอมรับว่าท่าทางคล่องแคล่วของตระการยามล้างจานหรือทำงานบ้านทำให้เขาประหลาดใจในบางครั้ง เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยเล่ารายละเอียดว่ากิจการของครอบครัวที่ต้องดูแลนั้นเกี่ยวกับอะไร แต่พรพฤกษ์ก็พอจะเดาได้จากวิธีการวางตัว การใช้คำพูด และเสื้อผ้าข้าวของที่ตระการใช้ว่าเจ้าตัวน่าจะเป็นคนมีฐานะดีทีเดียว ถึงแม้ว่าแต่ละชิ้นจะเป็นแบบเรียบๆไม่เตะตาก็ตาม แต่สุดท้ายก็ปัดข้อสงสัยทิ้งไปเพราะคาดว่าการที่เจ้าตัวเคยใช้ชีวิตในต่างประเทศหลายปีคงทำให้ต้องหัดพึ่งตัวเองพอสมควร

ชายหนุ่มเหม่อมองอีกฝ่ายนิ่งอย่างไม่รู้ตัว พลันก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆคนที่มองอยู่ก็หันกลับมาทางเขา อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะส่งยิ้มให้ และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้พรพฤกษ์ต้องรีบดึงสายตากลับมาแล้วพยายามนึกชื่อของที่จะฝากซื้อเพิ่ม

ให้มันได้งี้สิน่า...จะอะไรกันนักหนามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ...

พรพฤกษ์รำพึงกับตัวเองพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือปากกานวดขมับ แต่พอปรายตาไปทางครัวอีกครั้งก็สบตากับร่างสูงที่ยืนอยู่จนต้องรีบหันกลับมาอีก แต่ดูเหมือนคราวนี้อีกฝ่ายจะมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เพราะว่าตระการก็แสดงท่าทางตกใจที่ประสานสายตากับเขาเหมือนกัน

คราวนี้คนที่ยืนหลังเคาน์เตอร์รีบจดรายการของจิปาถะทุกชนิดที่นึกออก ชายหนุ่มฉีกกระดาษโน้ตแผ่นนั้นแล้วก็หยิบธนบัตรสีเทาสองใบออกจากกระเป๋าสตางค์ จากนั้นก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์กลับเข้าไปในครัวเพื่อขจัดบรรยากาศแปลกๆที่รายล้อมอยู่ในบ้าน

“นี่รายการของที่ต้องซื้อ ส่วนนี่เงินสองพันบาท คิดว่าน่าจะพอนะ แต่ถ้าไม่พอต้นก็กลับมาเบิกก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็ยัดกระดาษกับธนบัตรใส่ในมือของตระการที่ยังเช็ดไม่แห้ง ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วเมื่อโดนพรพฤกษ์จับเขาหมุนตัวแล้วก็รุนหลังไปทางโรงรถ พอมาส่งแล้วร่างเพรียวก็ทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านทันที ตระการจึงรีบหันไปเรียกอีกฝ่ายไว้

“เดี๋ยวไผ่ อยากกินขนมอะไรหรือเปล่า? ถ้าผ่านจะได้ซื้อมาฝาก”

พรพฤกษ์หยุดฝีเท้าบนบันไดหน้าระเบียงบ้าน จากนั้นก็หันกลับไปหาคนถามแล้วส่ายหน้า “ต้นอยากกินอะไรก็ซื้อมาเถอะ ยังไงฝากเติมน้ำมันกับเช็คลมยางรถตอนขากลับด้วยก็ดี”

อีกฝ่ายตอบทั้งที่นัยน์ตามองไปทางอื่น ตระการจึงยิ้มขำ

“งั้นจะรีบไปรีบกลับนะ”

ร่างสูงเปิดประตูแล้วก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ จากนั้นก็โบกมือให้เขาก่อนจะถอยรถแล้วขับออกไป ทิ้งไว้เพียงรอยล้อรถบนถนนโรยกรวดแฉะๆ

พรพฤกษ์มองตามหลังรถเก๋งสีน้ำเงินของตัวเองจนกระทั่งลับสายตา ความเป็นไปในบ้านตั้งแต่เริ่มทานอาหารกันจนถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนปลุกความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยให้แผ่ซ่านช้าๆในอก ส่วนหัวใจก็ดูจะเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติมาตั้งแต่นาทีที่บังเอิญสบตากับตระการในครัวเมื่อครู่จนต้องพยายามเลี่ยงการมองหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างกะทันหัน

คงไม่มีอะไรหรอก...ก็แค่ยังไม่ชินกับการมีแขกที่มาพักนานๆแล้วทำตัวสนิทกันเหมือนเพื่อนแบบนี้เท่านั้นเอง

ชายหนุ่มคิดก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเอาผ้าที่ซักไว้ออกจากเครื่อง เนื่องจากหลายวันมานี้มีฝนหยุมหยิมตกตลอดแถมวันละหลายเวลา เขาจึงต้องรีบฉวยโอกาสที่ฟ้ากำลังปลอดโปร่งรีบเอาผ้าออกตากเสียก่อน


++------++


ราวยี่สิบนาทีหลังออกมาจากบ้านนฤมิตร ตระการก็ขับรถเข้ามาถึงตัวเมือง ชายหนุ่มแตะเบรกเมื่อเห็นสัญญานไฟตรงสี่แยกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นสัญญานไฟสำหรับคนข้ามถนนก็สว่างวาบพร้อมกับเสียงสัญญานเร่งให้คนเดินข้าม

เมื่อได้มาใช้ชีวิตที่นี่หลายวันเข้า ตระการก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเมืองเชียงใหม่บางมุมก็ทำให้เขาคิดถึงกรุงเทพ เพราะความเจริญของถนนหนทางและย่านร้านค้าที่ไม่ต่างจากบางย่านที่เขาคุ้นเคยแถวบ้าน แต่ในบางมุมก็มีกลิ่นอายที่บ่งบอกความเป็นเมืองเหนือที่ยังมีเอกลักษณ์แตกต่างไปจนสัมผัสได้ ดังนั้นถึงแม้จะเพิ่งได้มาอยู่ที่นี่ไม่นาน แถมส่วนมากยังเป็นที่เกสต์เฮ้าส์ของพรพฤกษ์ที่นอกเมืองอีกด้วย แต่เขาก็เริ่มจะชอบบรรยากาศที่ไม่ค่อยวุ่นวายหรือพลุกพล่านเกินไปของที่นี่มากขึ้นทุกที

ระหว่างที่กำลังรอสัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว สามีภรรยาชาวตะวันตกคู่หนึ่งก็เดินข้ามทางม้าลายผ่านหน้ารถของเขา บนบ่าของผู้เป็นพ่อมีเด็กชายแก้มแดงยุ้ยนั่งคร่อมอยู่ ตระการเดาว่าเจ้าตัวน้อยที่ผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นน่าจะอายุราวสองถึงสามขวบเท่านั้น มือเล็กทั้งสองข้างเกาะศีรษะของพ่อเอาไว้ขณะที่นัยน์ตากลมโตสอดส่ายไปรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ชายหนุ่มเหม่อมองตามครอบครัวสามพ่อแม่ลูกจนกระทั่งเดินหายไปในตรอกเล็กๆ ภาพที่เห็นเรียกความทรงจำของเขาเองให้หวนกลับมา แต่ไม่ว่าจะนึกย้อนกลับไปตอนที่ยังเด็กขนาดไหน เขาก็ไม่สามารถจำภาพบรรยากาศที่อบอุ่นชื่นมื่นเช่นที่ได้เห็นออกเลย ตรงกันข้าม สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเขากลับมีแต่สิ่งที่ไม่น่านึกถึง



“คุณคะ ให้ต้นได้เลือกเรียนอย่างที่เค้าชอบเถอะนะคะ”

“เธอก็ดีแต่ตามใจ มันก็รู้ว่ายังไงมันก็ต้องกลับมาสานต่อกิจการที่ฉันเริ่มไว้ แล้วทำไมฉันจะต้องให้มันเสียเวลาไปเรียนอะไรที่ไม่มีประโยชน์อย่างนั้นด้วย”

“คุณตฤณ…ถือว่าเห็นแก่พิม อย่างน้อยตอนนี้ให้แกได้ทำสิ่งที่อยากทำเถอะค่ะ”




ตระการสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถคันหลังบีบไล่ นัยน์ตาคมเหลือบมองไฟสัญญานที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว จากนั้นจึงเปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนยางล้อรถบดถนนเป็นเสียงแหลมกรีดหู

คิดถึงเรื่องนี้ไปก็เปล่าประโยชน์...

ชายหนุ่มคิดในใจ จากนั้นก็หักเลี้ยวรถเข้าในตลาดแห่งหนึ่งและถอยรถเข้าจอดในที่ว่าง เมื่อล็อครถเรียบร้อยก็เดินเข้าไปด้านในตลาด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองหาตู้โทรศัพท์แบบใช้บัตรที่จำได้ว่าเคยเห็นตอนเข้าเมืองมาซื้อของกับพรพฤกษ์เมื่อคราวก่อน ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อพบสิ่งที่มองหา ตระการก้าวยาวๆไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วหยิบบัตรโทรจากกระเป๋าเสื้อขึ้นเสียบและกดหมายเลขเก้าหลักที่เขาจำได้ขึ้นใจ หลังจากฟังสัญญานเรียกอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของหญิงวัยกลางคนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากปลายสาย

“สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้านสุวรรณฤทธิ์ค่ะ”

ตระการระบายลมหายใจที่ไม่รู้ตัวว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมา นี่เขาคิดว่าใครจะเป็นคนมารับสายกันล่ะ...พ่อของเขางั้นรึ...

“ป้าแสน ผมต้นนะ พ่ออยู่ไหมครับ?”

ชายหนุ่มยังถามไม่ทันจบประโยค เสียงของคู่สนทนาก็ดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น “คุณต้น!! ตายแล้วพ่อคุณ! อยู่ดีๆก็หายไปจากบ้าน คุณท่านก็อารมณ์เสียตลอดที่ติดตามคุณต้นไม่ได้เลย แล้วนี่คุณต้นอยู่ที่ไหนคะ?”

ตระการตัดบทโดยไม่ตอบคำถามของหญิงแม่บ้านเลยสักคำถาม “ถ้าพ่ออยู่ ขอผมคุยด้วยหน่อยครับ”

น้ำเสียงที่เหมือนคนพูดกำลังสะกดอารมณ์ทำให้หญิงวัยกลางคนอึ้งไป อีกฝ่ายรีบรับคำอย่างละล่ำละลักก่อนจะบอกให้เขารอ หลังจากตระการยืนถือหูโทรศัพท์รออยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่ค่อนข้างแหบดังขึ้น

“แกอยู่ที่ไหน?”

คำถามสั้นห้วน น้ำเสียงนิ่งแต่ทรงพลังราวจะคุกคามเขาอยู่ในที ไม่มีแม้คำถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามแบบที่บิดาทั่วไปพึงถามลูกชายที่จู่ๆก็หายตัวไปจากบ้าน ทว่าตระการก็มิได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะได้ยินคำพูดที่แสดงความห่วงใยจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด เพราะดูเหมือนชีวิตที่ต้องต่อสู้สร้างฐานะมาตลอดในวัยหนุ่มคงเผาผลาญความรู้สึกอ่อนโยนของพ่อเขาให้เหือดแห้งไปหมดแล้ว

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบกลับ “ผมเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้แล้วนี่ครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องงานผมก็ฝากคุณวรชัยไว้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วน อาวีเขาจัดการได้พ่อก็รู้”

ดูเหมือนคำตอบที่ได้จะไม่ใช่สิ่งที่คู่สนทนาต้องการ เพราะน้ำเสียงที่เอ่ยประโยคต่อมาอาจจะเรียกได้ว่าดุดันยิ่งกว่าประโยคแรก “แต่ตอนนี้เรามีโครงการลงทุนร่วมที่ต้องคุยกับคุณลิขิตอยู่นะ”

ตระการกลอกตา “แต่เราไม่ใช่รายเดียวที่ทางนั้นกำลังเจรจาอยู่นี่ครับ”

ชายหนุ่มเพียงแต่ตอบไปตามที่คิด แต่สิ่งที่พูดไปกลับกระตุ้นต่อมฉุนเฉียวของอีกฝ่ายจนเสียงเข้มมากยิ่งกว่าเก่า “ไม่ต้องมาเถียง! แกคิดว่าแกมีสิทธิ์อะไรถึงจะมาทำให้ธุรกิจในเครือที่ฉันสร้างมาต้องตกต่ำเพราะแกไม่ดิ้นรน ฉันให้อิสระที่แกต้องการมามากเกินพอแล้วต้น! ตื่นจากความฝันแล้วมาเจอกับชีวิตจริงได้แล้ว!!”

น้ำเสียงและคำพูดอันเกรี้ยวกราดนั้นราวกับมีดที่บาดลึกในใจคนฟัง อีกแล้ว…คำพูดเดิมๆ บทสนทนาเดิมๆที่ซ้ำซากอยู่กับเรื่องเก่าๆราวกับอัดเสียงเอาไว้ บ่อยครั้งที่ตระการรู้สึกเหมือนกับตัวเองเกิดผิดที่ และบ่อยครั้งเช่นกันที่เขาถามตัวเองว่า ถ้าหากเขาได้เติบโตมาในครอบครัวของคนชั้นกลางทั่วไป ไม่ใช่ครอบครัวที่ผู้นำเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้าน ชีวิตของเขาจะมีอิสระเสรีและมีความสุขมากกว่านี้สักเพียงไหน ทว่าชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้เอ่ยโต้ตอบ พ่อของเขาก็สำทับใส่โทรศัพท์ตามมาอีก

“แล้วก็หนูลิลลี่น่ะ เขาโทรมาหาแกที่บ้านหลายรอบแล้ว ยังไงฝ่ายนั้นก็เป็นผู้หญิง อย่าทำให้เขาต้องงามหน้าไปมากกว่านี้ ติดต่อกลับไปหาเขาซะด้วย”

ตระการจับอะไรบางอย่างได้จากน้ำเสียงของบิดา ชายหนุ่มจึงรีบแก้ตัว “พ่อ... ผมกับลิลลี่ไม่ได้เป็นอะไรกันนะครับ เราเจอกันในงานเลี้ยงบ้างก็จริง แต่นักข่าวเอาไปเขียนข่าวกันเอง ผมไม่เคยนัดเจอเขาเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง”

“หึ...งั้นที่เขาให้สัมภาษณ์สื่อไปปาวๆว่าพวกแกสนิทสนมกันมากนั่นจะว่ายังไง ยังไงบ้านเขาก็มีหน้ามีตา ถ้าแกจะดองกับเขาฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ช่วยรักษาหน้าฉันด้วยการทำอย่างเปิดเผยด้วย”

น้ำเสียงลงท้ายนั้นมีประกายเหยียดหยันอยู่ในที ตระการกำหูโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว อันที่จริงเขาควรจะชินได้แล้วกับการที่บิดามักโยงเรื่องความสัมพันธ์ของคนให้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ถ้าไม่เพียงเพราะเขาเคยประสบมาแล้วด้วยตนเองว่าอย่างน้อยผู้ให้กำเนิดก็ยังมีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงตามประสาผู้ชายทั่วไปกับผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง เขาคงคิดว่าตฤณ สุวรรณฤทธิ์ ผู้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชั้นนำของประเทศนั้นมีหัวใจที่ตายด้านไปแล้วจริงๆ

“...เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะติดต่ออาวีเรื่องโปรเจ็กต์ของคุณลิขิตเองก็แล้วกัน ส่วนเรื่องลิลลี่...ผมจะตัดสินใจเองว่าจะทำยังไงต่อไป”

ตระการตอบด้วยน้ำเสียงที่หวังว่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายจับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นได้ และอย่างน้อยๆ การคุยโทรศัพท์ที่ไม่ต้องเห็นหน้ากันก็คงช่วยให้พ่อของเขาไม่ระแวงสงสัยได้บ้างว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน

แต่ก็นั่นแหละ...พ่อของเขาเคยสนใจว่าเขาคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

“แกจะทำอะไรก็รีบทำ แล้วก็รีบๆกลับมากรุงเทพฯได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องให้คนไปพาแกกลับมา รู้ไว้ว่าจะตามตัวแกน่ะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน”

ปลายสายตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังถึงความรำคาญ ตระการได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไป เขาตระหนักดีว่าเวลาแห่งความสุขอันหอมหวานที่ตนเองลิ้มรสอยู่นั้นกำลังหดสั้นลงทุกที แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตที่แตกต่างไปจากตอนนี้

ชีวิตที่จะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ...

“ผมรู้ว่าพ่อทำได้ อย่างน้อยผมขอทำตามคำขอของแม่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วราวสัปดาห์หน้าผมจะกลับไป”

น้ำเสียงของเขาแผ่วกว่าที่ตั้งใจ แต่ดูเหมือนพ่อของเขาจะไม่ได้สังเกต เพราะอีกฝ่ายเพียงบ่นพึมพำรับรู้ในคอก่อนจะวางสายไป ตระการยืนฟังเสียงสัญญานสักครู่ก็วางหูโทรศัพท์ลงบ้าง ทว่าร่างสูงใหญ่กลับพบว่าร่างกายของตนหนักอึ้งจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปจากที่

ชายหนุ่มนึกย้อนไปยังวันแรกที่เขาออกจากเมืองหลวงมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเหนือเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน พลันในหัวก็มีแต่ภาพของใครบางคนฉายซ้ำไปมา ภาพของใครคนนั้นที่ยามยิ้มและหัวเราะทำให้หัวใจของเขาพองฟูด้วยความอิ่มเอมในใจ แล้วมือใหญ่ที่ยังไม่ละจากหูโทรศัพท์ก็กำแน่นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ขอเพียงตอนนี้... แม้มันจะเป็นแค่ความฝัน แต่ขอให้เขาได้อยู่ในฝันนี้นานขึ้นอีกนิดก็ยังดี...


+---tbc---+



A/N: เอิ้ก สำหรับเนื้อหาตอนนี้ พอเอามารีไรท์แล้วถึงเพิ่งรู้ตัวว่าในฉบับออริจินอลเราข้ามรายละเอียดไปหลายอย่างเลยค่ะ หวังว่าตอนนี้คนอ่านคงไม่สะดุดกันนะ หนทางยังอีกยาวไกลสำหรับเรื่องของสองคนนี้และการรีไรท์ของเราค่ะ แล้วพบกันตอนหน้า วันจันทร์หน้านะคะ



Create Date : 12 กรกฎาคม 2553
Last Update : 15 กรกฎาคม 2553 9:19:50 น. 26 comments
Counter : 721 Pageviews.

 
ตอนนี้มีรายละเอียดของต้นเพิ่มเข้ามา
ทำให้รู้สึกถึงเรื่องราวที่กว้างขึ้น
สงสารต้นที่ไม่ค่อยลงรอยกับคุณพ่อ
และรอลุ้นพัฒนาการของต้นกับไผ่ค่ะ
ตอนนี้ชักมีแอบมองกันแล้วนะ^-^


โดย: prontip IP: 113.53.173.150 วันที่: 12 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:49:28 น.  

 
คุณพ่อนี่เดี๋ยวจะมีบทอีกเยอะค่ะคุณ porntip ตอนนี้แค่ออกมานิดๆหน่อยๆพอเป็นกระสัย ส่วนต้นกับไผ่นี่ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปละค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:27:09 น.  

 
ชักชอบคู่นี้แล้วสิน้องริน
ท่าทางอุปสรรคจะเยอะนะ


โดย: พี่ยู IP: 202.12.118.61 วันที่: 14 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:48:52 น.  

 
โอ๊ยยยยยย อ่านแล้วเกิดอาการสงสัยมากๆๆๆๆๆ ต้นกับไผ่มีอะไรเกี่ยวพันกันหรือเปล่า คนแต่งอย่าใจร้ายน้า กำลังเริ่มจะหลงรักต้นกับไผ่แล้ว ดูแล้วเรื่องนี้คงจะเครียดพอควรเลยใช่ไหมคะ


โดย: leeO5 IP: 124.120.144.149 วันที่: 14 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:05:01 น.  

 
พี่ยู อุอุอุ ต้องลุ้นค่ะ

lee05 อ่า...คนเขียนไม่ใจร้ายหรอกค่า ส่วนที่ว่าสองคนนี้เกี่ยวกันพันอะไรกัน...เดี๋ยวจะกระจ่างในตอนหลังๆค่ะ คอยติดตามแล้วกันน้า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:27:04 น.  

 
น้องรินพี่ติดอีกเรื่องแล้ว
ขอร้องว่าอย่าทิ้งกันนะ
จบแล้วอยากได้เป็นหนังสือด้วย
ตอนแรกไม่กล้าอ่านกลัวรอแล้วนอยด์
เปิดดูทุกวันก็เผลออ่านแล้วก็ชอบ
กลัว(อีกแล้ว)ไม่สมหวังจัง


โดย: พี่ยู IP: 202.12.118.61 วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:6:55:20 น.  

 
พี่ยู หวาย...ไม่ทิ้งค่า นี่ขุดขึ้นมารีไรท์เพราะจะเอาให้จบให้ได้นี่แหละ (ตอนที่หยุดไปนั่นก็ใกล้จะจบมิจบแหล่แล้ว) ส่วนแบบรวมเล่มคิดว่าน่าจะได้เห็นนะคะ เพราะมีคนถามอยู่เหมือนกัน ไงเอาไว้ใกล้ๆจะจบก่อนค่อยว่ากันอีกทีเนาะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:52:32 น.  

 
ขอบคุณจ้าน้องริน
ชอบอ่านเรื่องน้องรินสไตล์นี้
อ่านแล้วเหมือนตัวเองกลับไปช่วงวัยนั้นอีกครั้ง
มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นความรู้สึกของคนสองคนที่รักกัน
ซึ่งบางครั้งเวลาที่ผ่านไปบวกกับภาระที่มากขึ้นทำให้หลงลืมช่วงเวลาดีๆในอดีต
อ่านเรื่องของรินทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมา
ขอบคุณนะจ๊ะคนดี


โดย: พี่ยู IP: 202.12.118.61 วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:6:59:12 น.  

 
ด้วยความยินดีเลยค่ะพี่ยู หวังว่านอกจากจะเรียกความทรงจำเก่าๆได้แล้ว ก็อาจช่วยทำให้อยากสร้างบรรยากาศนั้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยนะคะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:17:11:06 น.  

 
หวา...
รู้สึกเหมือนว่าอุปสรรคจะตั้งเค้ามารออยู่ตรงหน้าเลยยังไงชอบกล
คุณพ่อคงเข้มงวดแล้วก็ทุ่มเทกับธุรกิจจนลืมนึกถึงจิตใจลูกสินะคะเนี่ย
หนูลิลลี่อะไรนี่...ไม่อยากจะจิ้นไปล่วงหน้าเลยอะค่ะ แหะๆ
แต่ๆๆๆๆ เค้ารู้สึกดีต่อกันแล้วสินะคะเนี่ย ต้นไผ่ อิอิ


โดย: milphinne* IP: 124.122.148.46 วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:35:47 น.  

 
อ้อ...ลืมค่ะ
จะบอกว่าอ่านตรงที่ไผ่เล่าเรื่องสมัยเด็กของตัวเองแล้วรู้สึกดีอะค่ะ คิดถึงเรื่องตัวเองเหมือนกัน
ตอนเด็กๆหนูก็ขลุกอยู่แต่กับคุณตาคุณยาย
หลายๆเรื่องที่เคยทำมันก็ทำให้เรายิ้มได้ มีความสุขเมื่อนึกถึงเนอะคะ แต่สำหรับบางคนที่จำได้แต่เรื่องไม่น่าจำคงน่าสงสารน่าดูเลย T T


โดย: milphinne* IP: 124.122.148.46 วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:40:27 น.  

 
น้องนุ่น คุณพ่อของต้นจะให้อารมณ์ประมาณนั้นล่ะค่ะ ส่วนน้องลิลลี่...ตอนนี้มาแค่ชื่อก่อน แต่เดี๋ยวจะได้เจอกันเยอะกว่านี้ค่ะ (หุหุ)

สำหรับประสบการณ์สมัยเด็กของต้นกับไผ่นี่จะค่อนข้างต่างกันชัดเจนเลยล่ะ เดี๋ยวอ่านต่อไปจะมีรายละเอียดตรงนี้เยอะขึ้น ว่าแต่ถ้าคิดถึงคุณตากับคุณยายก็มาเยี่ยมบ้างนะคะ (จำได้ว่าอยู่แถวบ้านพี่ใช่ไหมเอ่ย?)


โดย: ิำิำิำbellbomb (Applebee ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:34:16 น.  

 
ใช่ค่ะๆ เพิ่งไปเยี่ยมคุณยายคุณตามาอะค่ะ แต่คุณยายอายุมากแล้วลุกนั่งไม่ค่อยได้เลยค่ะ ดีที่มีป้าช่วยดูให้ ส่วนคุณตายังแข็งแรงปลูกต้นไม้ทำสวนได้อยู่เลย ^ ^

พี่รินจ๋า แอบไปอ่านมาละค่ะ ถึงตอนล่าสุดที่พี่ลงไว้เลยอะค่ะ แบบว่าปวดตับกันเป็นระยะๆ = =
แต่ว่าชอบอะค่ะ ดีใจที่พี่แต่งต่อ (ทำไมหนูไม่เห็นรู้สึกว่าสำนวนพี่แปลกหรือไม่ดีเลยก็ไม่ทราบอะค่ะ 555 คิดว่ามันก็ลื่นดีออกด้วยซ้ำค่ะ อิอิ)
ชอบนิยายพี่รินส่วนนึงก็เพราะภาษาที่ใช้ด้วยค่ะ ไม่ว่าจะอ่านเรื่องไหนก็รู้สึกว่ามันอบอุ่นไปหมดเลย ^ ^
แล้วจะรอทั้งเรื่องภัทรกับคุณเชษฐ์ แล้วก็ต้นกับไผ่เลยะคะ สู้ๆค่าา


โดย: milphinne* IP: 124.120.146.173 วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:3:53:36 น.  

 
อืม คนแก่นี่ต้องดูแลเยอะๆหน่อยละเนาะ บางเรื่องเขาช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เลยเหมือนเด็กๆเลย ยายพี่ก็อายุมากแล้วเหมือนกัน แต่รายนี้ยังลุกเดินไหว แถมไฮเปอร์ชอบเดินไปนั่งเม้าท์กับคนขายข้าวแกงหน้าหมู่บ้านประจำ 555

เอิ๊ก น้องนุ่นอ่านไวจังค่ะ ถ้าตามไปถึงตอนท้ายๆแล้วจะเห็นว่าภาษาไม่ค่อยต่างกับสไตล์ตอนนี้ แต่ช่วงต้นๆถึงกลางๆเรื่องนี่พี่รู้สึกว่าตัวเองติดการใช้ประโยคยาวๆเกินไป (อ่านแล้วแทบไม่ต้องหายใจกันเลย) กับบรรยายรายละเอียดน้อยไปหน่อย เลยอยากปรับแก้ตรงนี้น่ะค่ะ แล้วไม่แน่ก็อาจเสริมเนื้อหาบางส่วนให้สมบูรณ์ขึ้นด้วย (อารมณ์เหมือนตอนเอาเป้วิวมารีไรท์เพื่อรวมเล่ม เพราะเวอร์ชันต้นฉบับสั้นสุดๆ) ยังไงติดตามต่อเรื่อยๆนะคะ ตอนต่อไปของคุณเชษฐ์กับภัทรก็กำลังจะได้มาลงแล้วละค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:08:34 น.  

 
เข้ามารอตอนที่ 4 ค่ะ


โดย: leeO5 IP: 124.120.147.207 วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:33:36 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณ lee05 ตอนใหม่มาลงเรียบร้อยแล้ว ขอให้เอ็นจอยการอ่านนะคะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:11:06:24 น.  

 
โอ้ ปมมาแล้ว ต้นมาทำอะไรให้คุณแม่หนอ... แล้วจะเกี่ยวอะไรกับพ่อแม่ของไผ่มั้ยน้า... ปมๆๆๆ

ฉาก "ถ้าเป็นไผ่ เท่าไหร่ผมก็จ่าย" นี่... แอบหวิวตามนะครับ วิ้วววว...


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:11:43:15 น.  

 
พี่พีท งืม ปมๆๆๆ ผูกไว้ให้แกะ อิอิอิ ส่วนประโยคนั้น... รอคนมาพูดด้วยอยู่เนี่ยค่ะ ก๊ากกก


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:22:02:53 น.  

 
อ๊ายยยยยยย ชอบตอนนี้จังค่ะ

สนิทกันแล้วคู่นี้ ไม่มีคุณนำแล้วด้วย ความรู้สึกเหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามันเลยนะคะเนี่ย

2คนนี้เค้าเริ่มชอบกันขึ้นมาแล้วใช่มั้ยคะ ดูจากอากัปกริยาของแต่ละคนแล้ว

ไม่อยากให้ต้นต้องกลับกรุงเทพเลยค่ะ ฝันหวานๆมลายหายกันพอดี แต่ถ้าไม่กลับก็โดนตามตัวอีก ทำไมชีวิตต้องถูกขีดเ้สนแบบนี้ด้วยน้า


โดย: Aikiz IP: 125.25.130.225 วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:1:35:33 น.  

 
คุณ Aikiz จากท่าทางแต่ละคนตอนนี้ก็คล้ายๆ จะโน้มเอียงไปทางนั้นแล้วมั้งคะ แต่เส้นทางของทั้งคู่ยังอีกยาว ว วววววววว


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:10:19:32 น.  

 
คล้ายๆคู่สามีภรรยากันเลยอ่ะคะ อีกคนทำกับข้าวอีกคนล้างจาน ช่วยกันช่วยกัน
....
ฝันของคุณต้นคืออะไรน๊า


โดย: ตัวกลม IP: 10.0.0.27, 58.11.142.188 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2554 เวลา:20:26:21 น.  

 
คุณตัวกลม อิอิอิอิ เห็นภาพกันปานนั้นเลย


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:0:09:55 น.  

 
ตอนนี้น่ารักมากๆเลย
อย่างที่คุณตัวกลมบอกจร้า
เหมือนจริงๆ


โดย: อันจร้า IP: 182.53.204.30 วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:15:53 น.  

 
คุณอันจร้า หุหุหุ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:23:04:53 น.  

 
ความเครียดขมึงเกลียวงวดเข้ามาบีบรัดอยู่กลายๆ ความรู้สึกอบอุ่นในสภาพแวดล้อมสบายๆระหว่างเพื่อนร่วมบ้านกำลังจะต้องหมดลงเพราะความต้องการจากคนสำคัญในชีวิตที่คอยเข้ามาบงการให้ทายาทดำเนินตามรอยเท้าที่ตนร่างไว้ อยากให้เวลาแห่งความสุขยืดไปอีกนิด


โดย: khun only IP: 223.204.177.6 วันที่: 22 กรกฎาคม 2556 เวลา:14:51:31 น.  

 
อยากให้ยืดเวลาแห่งความสุขระหว่างเพื่อนร่วมบ้านให้นานขึ้นอีกหน่อย แต่ทุกอย่างบีบบังคับให้ช่วงเวลาแห่งความสุขสั้นลงซะแล้ว เฮ้ออออ


โดย: khun only IP: 223.204.177.6 วันที่: 22 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:00:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.