Group Blog
 
All blogs
 
แม้นมั่นคำสัญญา 21

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ



++------++


21.


ภายในร้านกาแฟและเบเกอรีโฮมเมดขนาดย่อมไม่ห่างจากวัดนัก ตระการพาเจนใจเข้าไปนั่งในส่วนของโต๊ะด้านนอกซึ่งร่มครึ้มด้วยเงาต้นไม้ใหญ่และมีลมพัดโชยแผ่วเบา เนื่องจากในร้านไม่มีลูกค้าอื่นจึงทำให้ทั้งสองได้รับเครื่องดื่มที่สั่งอย่างรวดเร็ว

“ชามะนาวกับกาแฟเอสเปรสโซร้อนได้แล้วค่ะ”

สาวน้อยร่างเล็กเอ่ยพลางวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้สีสดใส เจนใจจึงหันไปยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ หลังจากคล้อยหลังเด็กสาวแล้วจึงเบนเบนสายตากลับไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จดจ่อกับไอสีขาวเหนือถ้วยกาแฟบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง เธอจึงเริ่มบทสนทนาก่อน

“ตกใจหมดเลยที่เจอต้นที่นี่ เจนนึกว่าต้นกลับเมืองไทยมาแล้วต้องช่วยธุรกิจของที่บ้านเสียอีก”

ตระการเหลือบตาขึ้นสบตากับเธอ จากนั้นจึงส่ายหน้าบางๆ “ตอนที่เพิ่งกลับมาต้นก็ยังไปช่วยอยู่ แต่ตอนนี้มีเหตุให้ต้องขอพักชั่วคราวน่ะ”

หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย “เหรอ? แล้วถ้างั้น...เอ่อ...น้องลิลลี่ล่ะ เจนจำได้ว่าเขากลับมาเมืองไทยไล่ๆกับต้นนี่นา”

เจนใจพยายามไม่ใช้คำพูดให้ตรงเกินไป แต่เพราะลลิตาไปเรียนภาษาที่อเมริกาช่วงเดียวกับที่เธอและตระการกำลังเรียนที่นั่นและคบกัน เธอจึงพลอยรู้จักหญิงสาวรุ่นน้องและรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายสนใจตระการตั้งแต่ตอนนั้น แต่เพราะความที่ลลิตาค่อนข้างจะติดเที่ยวและหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ตระการจึงไม่เคยแสดงความสนใจตอบ แต่เธอย่อมไม่รู้ว่าหลังจากทั้งคู่กลับมาเมืองไทยแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

ตระการหลุบตาลงแล้วตอบหลังยกกาแฟขึ้นจิบ “ก็มีเจอกันตามงานบ้างน่ะ แต่ต้นกับลิลลี่เป็นอะไรมากไปกว่าคนรู้จักไม่ได้หรอก”

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงความทรงจำของเมื่อสามปีที่แล้ว หนึ่งปีก่อนหน้านั้นเธอกับตระการเริ่มคบกัน และทุกอย่างก็ไปได้ดีจนเพื่อนรอบข้างพากันอิจฉา แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งเธอก็เริ่มรู้สึกว่าอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง และความรู้สึกที่เธอมอบให้ตระการก็เหมือนการตบมือฝ่ายเดียว เธอจึงตัดสินใจจะเป็นฝ่ายหยุดความสัมพันธ์นั้นเอง


สามปีก่อน...

“ต้น เราเลิกกันดีกว่านะ”

น้ำเสียงเย็นใสเอ่ยอย่างสงบนิ่ง นัยน์ตาหวานซึ้งที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาวทอดมองไปยังผืนน้ำใสเรียบดุจกระจกของทะเลสาบเบื้องหน้า ฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนผันในมหานครใหญ่ทำให้อากาศที่เคยหนาวเหน็บเริ่มอบอุ่น ตามกิ่งไม้สีน้ำตาลอมเทาทั่วสวนสาธารณะมีนกร้องเจื้อยแจ้ว และกองหิมะที่ยังละลายไม่หมดก็จับตัวเป็นกองเกล็ดน้ำแข็งแฉะๆ ตามโคนต้นไม้และสนามหญ้าไปทั่ว

บนม้านั่งตัวยาวที่ตั้งเรียงรายตามทางเดินในสวนสาธารณะ ชายหนุ่มกับหญิงสาวชาวเอเชียคู่หนึ่งนั่งเคียงข้างกัน แต่ทิ้งระยะห่างราวกับเว้นที่เอาไว้สำหรับใครอีกคนหนึ่ง และที่ว่างนั้นก็ราวจะตอกย้ำความห่างเหินที่เขาและเธอมีให้กันตลอดเวลาแรมเดือนที่ผ่านมา

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มที่นั่งเงียบไม่ปริปากได้แต่ทอดตรงไปข้างหน้า ปลายคางได้รูปวางอยู่บนหลังมือที่ประสานกันโดยแขนทั้งสองชันขึ้นเหนือหัวเข่า ใบหน้าคมเข้มไม่ได้แสดงอาการโกรธขึ้งหรือตกใจกับประโยคที่ได้ยิน และไม่เอ่ยคำพูดโต้ตอบหญิงสาวอยู่เป็นนานก่อนที่จะหลุบตาลง

“ถ้าเจนต้องการอย่างนั้น ต้นก็คงห้ามไม่ได้”

น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบราวเจ้าตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่าทีท่าซึ่งปราศจากความหวั่นไหวนั้นกลับทำให้มือของเจนใจที่ประสานกันอยู่บนตักสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ดวงตาสวยหวานกระพริบถี่เพื่อไล่ไอร้อนที่เอ่อขึ้นมาคั่งในหน่วยตาออกไป

การตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนที่เคยคบกันมาเป็นปี....ง่ายดายถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ

“ใจคอต้นจะไม่ถามเจนสักคำเหรอว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้?”

หญิงสาวเค้นเสียงถามผ่านลำคอที่แห้งผาก แม้แสงแดดยามบ่ายของปลายฤดูหนาวจะสาดส่องผ่านเมฆหนาลงมาอาบไล้บนร่าง แต่ปลายนิ้วเรียวที่ประสานกันอยู่กลับเย็นเฉียบไม่ต่างจากกองเกล็ดหิมะบนพื้นหญ้า

“ต้นรู้ว่าเจนมีเหตุผลและคิดทบทวนทุกครั้งก่อนจะทำอะไร การที่เจนตัดสินใจแบบนี้ก็แสดงว่าเจนคงจะคิดมาดีแล้ว”

หญิงสาวตวัดสายตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกัน ทั้งที่ระยะห่างซึ่งกั้นขวางนั้นไม่มากเกินจะทำลายด้วยการเอื้อมมือออกไปหา หากคำพูดที่แสดงการยอมรับสิ่งที่เธอต้องการโดยไม่โต้แย้งก็ได้เฉือนสายใยบางๆที่เคยหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไปแล้ว

“นั่นสินะ ใครๆ ก็ชอบพูดกันทั้งนั้นว่าเจนเป็นคนฉลาด เป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลและรอบคอบ ไม่น่าเชื่อนะว่าเจนไม่เคยเกลียดเวลาได้ยินคำนี้จากใครเท่ากับที่ได้ยินจากปากต้นเมื่อกี้เลย”

น้ำเสียงสั่นเครือกระตุกคิ้วของตระการให้ขมวดมุ่นก่อนจะหันไปหาคนพูด แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เบิกกว้างเมื่อเห็นหยดน้ำใสกลิ้งลงจากหางตาเรียวสวยโดยไร้เสียงสะอื้น

“เจน....”

มือใหญ่ที่กำอยู่บนเข่ายกขึ้นหมายจะเอื้อมไปรั้งไหล่บางให้เข้ามาอิงกับอก แต่แล้วมือนั้นก็นิ่งค้างก่อนจะค่อยๆ วางลงที่เดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบือนกลับไปด้านหน้าราวจะพยายามตัดใจไม่มองภาพข้างตัว

หญิงสาวเห็นอากัปกริยาทุกอย่างของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างโดยตลอด แม้จะเจ็บยอกในอกกับความเย็นชาที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่เธอก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วหลับตาลงราวจะปิดกั้นทำนบน้ำตาไม่ให้หลั่งออกมาอีก

ดีแล้วที่จบกันไป... ถ้าหากเธอไม่สามารถเป็นที่หนึ่งในใจของคนที่รักได้ ถ้าอย่างนั้นก็สู้ไม่ต้องเป็นอะไรกันเสียเลยจะดีกว่า แต่ถึงแม้จะปลอบตัวเองแบบนั้น หญิงสาวก็อดจะถามคำถามสุดท้ายที่ติดค้างในใจมาตลอดไม่ได้

“ต้น ที่ผ่านมาเจนเคยมีความหมายกับต้นบ้างหรือเปล่า? หรือว่าใครบางคนที่อยู่ในใจต้นมาตลอดเขาไม่เคยเหลือที่ว่างให้เจนแทรกเข้าไปได้เลย?”

“เขาไม่เกี่ยว”

ตระการหันขวับแล้วก็ตอบทันควันก่อนหญิงสาวจะทันพูดจบด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะคำถามนั้นแทงใจดำเกินไป หรือไม่ก็เพราะตระการต้องการจะปกป้องใครคนนั้นที่เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อสบตากับเธอ ชายหนุ่มก็เบนสายตาหนีอีกราวกับรู้สึกผิด เจนใจสัมผัสได้ถึงความเสียใจที่กำลังทำให้เธอรู้สึกราวกำลังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังอดนึกขันกับท่าทางของตระการไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองอย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยน

“ช่างเถอะต้น ลืมคำถามของเจนซะ ยังไงต่อให้เราไม่เลิกกันเจนก็ตั้งใจจะย้ายไปแคนาดาอยู่แล้ว ต่อจากนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรให้เราได้มาเจอกันอีกอยู่ดี”

หญิงสาวเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นยืน เสียงขยับตัวทำให้ตระการเงยหน้าขึ้นมอง เธอจึงยิ้มบางๆ ให้คนที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะกลายเป็นเพียงตัวตนที่อยู่ในความทรงจำเท่านั้น

“ลาก่อนนะ ยังไงเจนขออวยพรให้ต้นโชคดี”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบกับนัยน์ตาเรียวสวยก่อนจะเบนสายตาลงมองมือเธอที่ยื่นออกไปให้ มือใหญ่ยกขึ้นจับมือข้างนั้นตอบก่อนจะลุกขึ้นแล้วรั้งเธอเข้าไปกอดเอาไว้

“ขอโทษด้วยถ้าหากที่ผ่านมาต้นทำให้เจนไม่มีความสุข ต่อจากนี้ขอให้เจนได้เจอคนที่ดีกว่าต้นและรักเจนจริงๆ ก็แล้วกันนะ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขณะยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน ร่างในอ้อมกอดจึงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหลับตาแล้วเอนลงซบอกกว้าง หญิงสาวไม่ได้ยกแขนขึ้นกอดตอบ แต่ว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธอ้อมอกที่ถ่ายทอดความอบอุ่นให้ ขอเพียงได้ซึมซับไออุ่นนี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น และต่อจากนี้เธอกับเขาก็คงเป็นได้เพียงอดีตคนรู้ใจที่ไม่มีวันหวนคืนสู่สถานะนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

หยาดน้ำใสเอ่อขึ้นบนขอบตาที่ร้อนผ่าวอีกครั้ง ก่อนน้ำเสียงรื่นหูจะกล่าวขณะที่เธอค่อยๆ ผละตัวเองออกจากอ้อมแขนของคนตรงหน้า

“ขอบใจนะ เจนก็ขอให้ต้นมีความสุขกับคนที่รักจริงๆ เหมือนกัน”


เจนใจยกชามะนาวขึ้นจิบหลังจากหวนรำลึกภาพในความหลังจบลง ไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่ผันผ่านไม่ได้ทำให้ความทรงจำที่มีเกี่ยวกับตระการซีดจางลงเลยสักนิด เวลาเพียงสามปีหากจะว่านานก็เหมือนนาน แต่สำหรับคนที่ยังจดจำเรื่องเมื่อช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำ เวลาสามปีก็ถือว่าสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ชีวิตนักศึกษาในต่างแดนทำให้คนที่โหยหาความคุ้นเคยของบ้านเกิดเมืองนอนสานความสัมพันธ์กันได้ไม่ยาก และไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันหากความผูกพันนั้นจะพัฒนาไปเกินขอบเขตของความเป็นเพื่อน สำหรับเธอแล้ว ช่วงเวลาที่ได้คบหากับตระการซึ่งเป็นคนในฝันของสาวๆ นักเรียนนอกหลายคนเปรียบได้กับความทรงจำล้ำค่าที่อัดแน่นด้วยความสุข ทั้งความใจดีและเป็นสุภาพบุรุษของอีกฝ่ายต่างทำให้เธอรู้สึกเติมเต็ม แต่อาจเพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมาจากความเหงามากกว่าความรัก...วันหนึ่งเธอจึงต้องจำใจยอมรับความจริงที่ว่าตนเองยังไม่ใช่ ‘ใครคนนั้น’ ที่ใจของอีกฝ่ายต้องการ

“เจนอยู่ที่โตรอนโตสนุกมั้ย?”

นัยน์ตาหวานกะพริบเมื่อถูกน้ำเสียงทุ้มต่ำฉุดให้กลับจากภวังค์ หญิงสาวคลี่ยิ้มบางขณะเอียงถ้วยชาให้ของเหลวสีอำพันไหลวนไปมา ดูเหมือนว่าระหว่างช่วงเวลาที่ทั้งสองขาดการติดต่อกันไป ตระการจะสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อสามปีก่อนมากทีเดียว

“ก็เรื่อยๆนะ ที่นั่นทั้งเงียบทั้งสงบสุขจนบางทีเจนอิจฉาเพื่อนๆ ที่เมืองไทยเลยล่ะ มีแต่เรื่องให้ได้ตื่นเต้นกันตลอดเลย ทั้งการเมืองเอย เศรษฐกิจเอย ข่าวซุบซิบดาราเอยสารพัด”

หญิงสาวเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ และนั่นก็ทำให้มุมปากของคนที่นั่งทำสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดยกยิ้มบ้าง บรรยากาศอันน่าอึดอัดที่โอบล้อมรอบตัวคนทั้งสองเมื่อครู่จึงเริ่มผ่อนคลายลง แต่ถึงกระนั้นเจนใจก็ยังสัมผัสได้ถึงระยะห่างที่คนตรงข้ามดูจะจงใจรักษาเอาไว้

ตระการยกถ้วยกาแฟร้อนขึ้นจิบอีกครั้ง เขายอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่ได้พบกับหญิงสาวที่เคยคบกันช่วงที่เรียนอยู่ที่อเมริกา และยังเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยพัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นลึกซึ้งด้วยก่อนที่จะกลับเมืองไทย ทว่าความที่ทั้งสองห่างเหินกันไปตั้งแต่หญิงสาวบอกเลิกกับเขาและย้ายไปเรียนต่อที่แคนาดา ตระการจึงไม่เคยคาดคิดว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้พบกันอีก บัดนี้สาวน้อยที่เขาเคยคบหาได้กลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวที่เปี่ยมเสน่ห์สมวัยจนเขายอมรับว่าตะลึงตอนที่ได้เห็นอีกฝ่ายในตอนแรก แต่กระนั้นความกังวลใจถึงคนอีกคนที่เพิ่งหนีตัวเองไปก็ทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“จริงสิ ต้นยังไม่บอกเลยว่าทำไมถึงหยุดช่วยงานที่บ้านชั่วคราวแล้วมาอยู่เชียงใหม่?”

หญิงสาวพยายามชวนอีกฝ่ายคุย ถึงแม้จะยังหวั่นไหวกับการได้มาเจออดีตคนรักที่เธอเป็นฝ่ายบอกเลิก แต่ครั้นจะให้วางท่าห่างเหินก็จะดูเหมือนว่ามีแต่เธอที่ยึดติดอยู่กับอดีต

“พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย ก็เลยมาคอยดูแลแฟนน่ะ”

ตระการตอบโดยไม่อ้อมค้อม จังหวะการตอบและคำพูดที่ไร้ซึ่งความลังเลตอกย้ำปัจจุบันของอีกฝ่ายและอดีตที่หมดโอกาสรื้อฟื้นของเขาและเธอ และการที่เธอยังมีความรู้สึกเสียวยอกในอกก็แสดงว่าเธอยังไม่สามารถลบเยื่อใยกับคนตรงหน้าได้เสียทีเดียว

นัยน์ตาเรียวสวยมองตามนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหม่อมองไปด้านหน้าร้าน แล้วก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังคิดถึงชายหนุ่มอีกคนที่เธอได้พบเมื่อครู่ น่าแปลกที่ถึงแม้ชายหนุ่มทั้งสองจะไม่ได้แสดงทีท่าเฉกเช่นคนรักผ่านการถูกเนื้อต้องตัวกันเลย แต่สัญชาตญาณก็บอกเธอได้ทันทีที่เห็นสายตาของตระการว่านัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนความห่วงใยที่มีให้อีกฝ่ายอย่างเต็มเปี่ยม แล้วยังไม่นับคำพูดแปลกๆ ของเจ้าตัวในทำนองว่าปล่อยให้คนคนนั้นอยู่คนเดียวไม่ได้นั่นก็อีก

“แฟนของต้นชื่อไผ่สินะ? เป็นคนที่นัยน์ตาสวยมากเลย แต่สงสัยเจนจะโดนไม่ชอบขี้หน้าเข้าซะแล้วสิ”

หญิงสาวรำพึงพลางเอาสองมือประคองถ้วยชาของตัวเอง ตระการจึงหันกลับมาเมื่อได้ยินชื่อของพรพฤกษ์แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไผ่ไม่ใช่คนแบบนั้น เจนไม่ต้องคิดมากหรอก”

หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากอิ่มอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางรีบออกหน้าปกป้องคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

คนแบบไหนกันนะที่ทำให้ผู้ชายที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกแม้กระทั่งตอนที่เคยคบกับเธอร้อนรนได้ถึงขนาดนี้…

“ต้น เล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังหน่อยได้ไหม? เจนอยากรู้ว่าคนที่กุมหัวใจต้นได้ถึงขนาดนี้เป็นคนยังไง”

ตระการเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำขอ นิ้วมือแข็งแรงไล้หูถ้วยกาแฟขึ้นลงราวไม่แน่ใจ

“เจนอยากรู้จริงๆ เหรอ?”

ใช่ว่าชายหนุ่มจะไม่ชอบการได้พูดถึงคนที่ตัวเองรักให้ใครฟัง แต่เพราะเขามีคนรู้จักที่จะรับฟังเรื่องนี้น้อยเหลือเกินจนชินเสียแล้วที่จะไม่พูดถึง อีกอย่างเขาก็เคารพสิทธิ์ของพรพฤกษ์ที่อาจไม่อยากให้ตัวเองเป็นที่รู้จักของคนที่ไม่คุ้นเคยด้วย แถมเจนใจยังเป็นอดีตหญิงสาวที่เขาเคยคบหา ชายหนุ่มจึงยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาควรเล่าเรื่องของพรพฤกษ์ให้อีกฝ่ายฟังดีหรือไม่

เจนใจมองท่าทางเหมือนน้ำท่วมปากของอีกฝ่ายแล้วก็คลี่ยิ้ม ท่าทางแบบนั้นกระตุ้นให้เธอยิ่งอยากรู้เรื่องราวของชายหนุ่มหน้าหวานที่เพิ่งจะได้พบเพียงชั่วครู่มากเข้าไปอีก หญิงสาวพยักหน้าให้กับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ยืนยันคำเดิม

“อยากรู้สิ ต้นเล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังหน่อยนะ”


++------++


หลังจากนั่งรถโดยสารมาถึงที่หมาย พรพฤกษ์ก็จ่ายเงินให้กับคนขับรถก่อนจะก้าวลงและผลักเลื่อนประตูรั้ว ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นนรพัฒน์กำลังยืนกอดอกรออยู่หน้าบ้าน

“ไปไหนมาน่ะไผ่? ทำไมถึงมาช้านัก แล้วทำไมต้องปิดมือถือด้วย?”

พรพฤกษ์กะพริบตามองคนที่รัวคำถามใส่อย่างงงๆ จากนั้นจึงล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วก็ถึงบางอ้อ

“สงสัยแบตจะหมดน่ะ แล้วนอรู้ได้ไงว่าเราจะมา?”

ชายหนุ่มชูโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอมืดสนิทให้ดูเป็นหลักฐาน นรพัฒน์มองสีหน้างุนงงของคนตรงหน้าแล้วก็ขมวดคิ้ว ท่าทางของเพื่อนที่ดูเป็นปกติดีทำให้เขาเริ่มคิดว่าตระการอาจวิตกเกินเหตุไปเองตอนที่โทรหาเขา แต่ด้วยความที่เขาเองก็เล่นหัวกับพรพฤกษ์มาตั้งแต่ยังเด็ก ชายหนุ่มจึงยังไม่วางใจกับท่าทีไม่รู้ร้อนหนาวของอีกฝ่ายเสียทีเดียว

“ไม่มีอะไรหรอก พอดีต้นโทรมาเมื่อกี้แล้วบอกว่าไผ่มาเมื่อไหร่ให้โทรไปบอกด้วย ก็เลยสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า เสียงต้นถึงได้ฟังแล้วลนๆ ชอบกล”

นัยน์ตาสีนิลทอประกายเข้มขึ้นวูบหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เขาเพิ่งจะแยกจากมา ทว่าความเปลี่ยนแปลงชั่วเสี้ยววินาทีนั้นก็ไม่ได้รอดสายตาของคนที่คอยมองไปได้

"ต้นคิดมากไปเองมั้ง พอดีเราชวนไปทำบุญให้ตาที่วัดแล้วต้นเจอเพื่อนเก่า ท่าทางคงไม่ได้เจอกันนานแล้วเราเลยขอตัวออกมาก่อน เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

พรพฤกษ์อธิบายแล้วก็เดินเข้าบ้านของนรพัฒน์ด้วยความคุ้นเคย ฝ่ายเจ้าของบ้านมองตามหลังคนที่เดินเข้าไปก่อนแล้วก็ยกมือขึ้นนวดขมับ เขาเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมตระการถึงได้ขอให้ช่วยจับตาดูพรพฤกษ์เอาไว้ ก็เพื่อนเขาเป็นคนปากแข็งแถมยังชอบตีหน้าซื่อปิดบังความรู้สึกแบบนี้ มันดูแล้วน่าเป็นห่วงน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่

ผู้เป็นแขกเดินตรงเข้าไปในครัวแล้วก็หยิบเหยือกน้ำในตู้เย็นออกมาเทใส่แก้วดื่ม พอเห็นนรพัฒน์ที่เดินตามเข้ามาก็หันไปมองรอบตัวเหมือนเพิ่งนึกได้

“จริงสิ บอยไปไหนล่ะ? ปกติก่อนเปิดร้านชอบมางีบที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

พรพฤกษ์ถามถึงเด็กเสิร์ฟในร้านที่สนิทกับนรพัฒน์มากจนเจ้าตัวแทบจะรับเป็นน้องบุญธรรม คนถูกถามจึงหยุดยืนใกล้เขาก่อนจะยักไหล่

“วันนี้บอยโทรมาลาหยุดเพราะว่าไข้ขึ้น ก่อนไผ่จะมาเราก็ว่าจะออกไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน แต่เดี๋ยวรอให้ต้นมาก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า”

“อ้าว? จะรอทำไมกันล่ะ ถ้าอยากเยี่ยมก็ไปเลยสิ เดี๋ยวเราไปด้วยตอนนี้เลยก็ได้”

นรพัฒน์ตกใจกับท่าทางของเพื่อนที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างกะทันหัน บทเพื่อนเขาจะพลิกอารมณ์ขึ้นมา บางครั้งเขาเองก็ตั้งรับแทบไม่ทัน “เฮ้ย! ไม่ต้องหรอกไผ่ ไปตอนนี้บอยมันก็คงกำลังนอนพักอยู่ดี ไม่ต้องรีบร้อนไปเยี่ยมขนาดนั้นหรอก”

ชายหนุ่มกดบ่าทั้งสองของเพื่อนให้นั่งลงเหมือนเดิม แต่แล้วก็ขมวดคิ้วกับความบอบบางของสัมผัสใต้ฝ่ามือ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าเข้ารูปจึงทำให้เขาไม่ทันสังเกต แต่เมื่อได้พิจารณาใกล้ๆ ก็ทำให้นรพัฒน์ได้เห็นว่าพรพฤกษ์ซูบลงจากที่ตอนเจอกันครั้งล่าสุดมากทีเดียว

พรพฤกษ์เห็นสายตาพินิจพิเคราะห์ของเพื่อนก็หลบตาก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม การที่ทั้งสองคบกันมายี่สิบกว่าปีคงทำให้เขายากจะปิดความรู้สึกในใจจากเพื่อนสนิทได้ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่คิดจะเล่าต่อให้นรพัฒน์ถามออกมาตรงๆ และดูเหมือนเพื่อนเขาก็คงจะรู้เหมือนกันว่าต่อให้คาดคั้นไปก็ไม่เกิดประโยชน์

“เอาเป็นว่าไผ่รออยู่ที่นี่แหละดีแล้ว เพราะต้นก็บอกไว้แล้วว่าเสร็จธุระเมื่อไหร่จะรีบตามมา”

คนถูกฝากฝังหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็ใช้นิ้วปาดไล้หยดน้ำที่จับเป็นฝ้าอยู่นอกผิวแก้วขณะเหม่อมองไปยังสวนนอกบ้าน

“จะรีบทำไมก็ไม่รู้ อุตส่าห์บอกแล้วแท้ๆ ว่าให้ตามสบาย ต้นนี่ห่วงไม่เข้าเรื่อง...”

แววตาของนรพัฒน์อ่อนลงเมื่อได้ยินเสียงรำพึงที่ฟังแล้วเศร้าอย่างบอกไม่ถูกนั้น ชายหนุ่มจึงบีบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ พรพฤกษ์สูดหายใจเข้าลึกแล้วก็หันกลับไปยิ้มให้กับเพื่อนสนิท

“โทษทีนะนอ เราชักง่วงๆ แล้วสิ ขอไปนอนที่ห้องที่เราเคยนอนได้มั้ย?”

พรพฤกษ์หมายถึงห้องที่เขามักใช้นอนเวลามาพักที่บ้านของอีกฝ่าย นรพัฒน์มองหน้าของคนขอแล้วก็พยักหน้า

“เอาสิ กำลังจะทักเหมือนกันว่าไผ่ดูหน้าซีดๆ บางทีได้นอนพักหน่อยอาจจะดีขึ้น”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดินนำอีกฝ่ายขึ้นไปยังห้องบนชั้นสองแล้วก็ช่วยดูความเรียบร้อยให้ พรพฤกษ์เลือกหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือบนหัวเตียงมาทำท่าจะนั่งพิงหมอนอ่าน แล้วก็สบตากับเจ้าของบ้านที่ยืนกอดอกพิงประตูเข้าจึงเอ่ยถาม

“มีอะไรอีกหรือเปล่า? เราไม่ได้เป็นคนเจ็บแล้วนะ ไม่ต้องอยู่เฝ้าจนกว่าต้นจะมาก็ได้”

นรพัฒน์ได้ยินเพื่อนเอ่ยไล่ก็กลอกตา ยิ่งเจ้าตัวออกปากเช่นนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรละสายตาเข้าไปใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่าพรพฤกษ์มีวุฒิภาวะพอที่จะไม่ทำอะไรหุนหันพลันแล่นยามอยู่ตามลำพัง แต่กระนั้นเขาก็คิดว่าต้องกระทุ้งให้อีกฝ่ายหัดปลดปล่อยความในใจออกมาเสียบ้าง

“ไผ่ เราไม่อยากจุ้นหรอกนะ แต่ว่าถ้ากำลังมีเรื่องอะไรกับต้นอยู่ก็เปิดอกคุยกันไปเลยดีกว่า ยังไงเราก็คงแนะนำได้แค่นี้ ที่เหลือไปคิดเองก็แล้วกันว่าควรจะทำอะไร”

เจ้าของบ้านพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป พรพฤกษ์มองตามหลังประตูห้องที่ปิดลง แล้วรอยยิ้มที่ฝืนปั้นมาตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านก็จางหาย ชายหนุ่มวางหนังสือที่หยิบขึ้นมาลงที่เดิมเพราะไม่ได้ตั้งใจจะอ่านตั้งแต่แรก หมอนที่เมื่อครู่ถูกตั้งขึ้นพิงหัวเตียงถูกวางราบก่อนเจ้าตัวจะเอนลงนอนตะแคงแล้วโอบแขนกอดตัวเองไว้

นัยน์ตาสีนิลเพ่งมองลายไม้ข้างผนังที่เริ่มพร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้น ก่อนที่หยาดหยดที่ถูกกลั้นไว้จะไหลลงจากตาจนซึมเป็นวงกว้างบนปลอกหมอน ไหล่บางสั่นขณะที่พรพฤกษ์ขบปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่ดูจะเกินการควบคุมขึ้นเรื่อยๆ

เขารู้ดีว่าทำไมเพื่อนจึงให้คำแนะนำเมื่อครู่ เพราะนรพัฒน์คงปะติดปะต่อได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากการได้ฟังคำพูดของตระการและจากท่าทีของเขา แต่ผิดหรือที่เขาหวั่นไหวเมื่อได้เห็นภาพคนรักยืนคู่กับหญิงสาวที่ดูสมกันจนเขารู้สึกเป็นส่วนเกิน แล้วผิดหรือเปล่าที่จู่ๆ จะคิดขึ้นมาว่าถ้าหากเขากับตระการไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน ตอนนี้ต่างคนก็คงต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง และคนที่เขารักก็คงได้แต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ และสร้างครอบครัวที่มีความสุขไปแล้ว บางทีทุกอย่างอาจจะเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ตระการเริ่มก้าวเข้ามาในชีวิตเขาแล้วก็เป็นได้

พรพฤกษ์ซุกหน้าลงกับหมอนเมื่อเสียงสะอื้นหลุดจากริมฝีปาก ถ้าหากเขาย้อนเวลากลับไปได้และไม่ต้องพบกับตระการตั้งแต่แรกก็คงดี…


++------++


รถจี๊ปสีเขียวเข้มถูกเทียบจอดริมถนนในตรอกแคบๆ หลังจากที่รถของพรพฤกษ์เสียหายเพราะชนกับรถสิบล้อ ตระการก็ซื้อรถคันใหม่นี้ให้แทนและแทบจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้นั่งหลังพวงมาลัยอีกเลยเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก เมื่อล็อกรถแล้วชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงนับจากที่พรพฤกษ์แยกจากเขาที่วัด และนรพัฒน์เองก็โทรมาบอกแล้วว่าอีกฝ่ายมาถึงโดยปลอดภัยและไม่แสดงท่าทีผิดปกติ แต่ตระการก็ยังไม่วางใจเต็มที่ โชคดีที่เจนใจก็ดูจะเข้าใจความรีบร้อนของเขา จึงไม่ได้รั้งตัวเขาไว้และอำลากันที่ร้านกาแฟนั่นเอง

“อ้าวต้น ว่าจะโทรตามพอดี”

นรพัฒน์หันกลับไปทักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่เพิ่งเข้ามาในบ้าน ตระการเห็นว่าเจ้าของบ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพังจึงเอ่ยถาม

“แล้วไผ่อยู่ไหนล่ะครับ? หรือว่าไม่ได้รอผมเลยกลับไปแล้ว?”

“เปล่าๆ นอนเล่นอยู่บนห้องด้านในสุดที่ชั้นสอง ตั้งแต่พี่โทรไปหาเราเมื่อกี้ก็ยังไม่เห็นไผ่ออกมาจากห้องเลย สงสัยจะหลับอยู่ล่ะมั้ง”

ตระการค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก “เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปหาก็แล้วกัน”

ร่างสูงใหญ่เดินไปที่บันได แต่แล้วก็ถูกมือของเจ้าของบ้านรั้งไหล่ข้างหนึ่งไว้ ชายหนุ่มจึงหันไปถามอย่างสงสัย

"พี่นอมีอะไรหรือเปล่าครับ?"

ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกพรพฤกษ์ด้วยชื่อเล่นโดยไม่มีสรรพนามนำหน้า แต่กับเพื่อนๆ ของเจ้าตัวนั้นเขาถือว่าถึงอย่างไรก็อายุมากกว่าจึงเรียกด้วยคำว่าพี่เสมอ นรพัฒน์สังเกตสีหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยมือลงแล้วกอดอกแทน

“ตกลงเมื่อกี้มีเรื่องอะไรกัน ไผ่บอกแค่ว่าต้นเจอเพื่อนเก่าก็เลยขอปลีกตัวมาที่นี่ก่อน แต่ความจริงแล้วเพื่อนที่ว่าคงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาหรอกใช่ไหม?”

ตระการรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสายตาคาดคั้นของอีกฝ่าย แต่ก็คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องโกหก จึงเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยตอบ

“ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนครับ แต่ผมไม่รู้ว่าไผ่จะเข้าใจอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า เพราะงั้นผมถึงได้เป็นห่วงตอนที่เขาแยกมาก่อนว่าจะไปที่อื่นแทนที่จะมาหาพี่นออย่างที่บอก”

ตระการตอบพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายตรงๆ เขาไม่สงสัยเลยว่าพรพฤกษ์จะต้องคิดมากกับการปรากฏตัวของเจนใจอย่างแน่นอน เพราะตอนที่เพิ่งจะกลับมาคืนดีกันยังเคยทะเลาะกับเขาเนื่องจากข่าวลือของลลิตามาแล้ว

นรพัฒน์พยักหน้ารับรู้ นัยน์ตาฉลาดเฉลียวฉายแววครุ่นคิด “เข้าใจล่ะ มิน่าเจ้าตัวถึงได้ทำท่าแบบนั้น ว่าแต่ช่วงหลังนี้ไผ่ดูซึมๆ ไปหรือเปล่า? เมื่อก่อนเพื่อนพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ต้นก็น่าจะรู้ใช่มั้ย?”

ตระการเริ่มเหนื่อยกับการตอบคำถาม และยิ่งร้อนใจที่จะไปหาพรพฤกษ์มากขึ้น จึงเอ่ยตอบพร้อมกับตัดบท “ครับ เพราะงั้นผมถึงต้องรีบไปคุยกับไผ่ตอนนี้เลยก่อนจะคิดมากอีก ถ้าพี่นอมีอะไรค่อยถามทีหลังเถอะนะครับ”

“เดี๋ยวต้น”

ตระการเริ่มหงุดหงิด แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์และหันกลับไปหาคนเรียก “ครับ?”

“ขอโทษที่ต้องเรียกไว้อีกที แต่พี่จำเป็นต้องถามในฐานะที่เป็นเพื่อนกับไผ่มานาน ตกลงต้นจะเอายังไงกันแน่ คงไม่คิดจะอยู่กันไปเรื่อยๆ อย่างนี้โดยไม่เคลียร์เรื่องที่บ้านหรอกใช่ไหม?”

ตระการชะงักไปกับคำถามของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยความสงสัยจนคนถามต้องถอนหายใจ

“คือพี่ก็เคยคุยเรื่องนี้กับไผ่แล้วแต่ดูหมือนเจ้าตัวคงไม่อยากพูดถึง แต่ว่าต้นคิดจะทิ้งงานทิ้งครอบครัวที่กรุงเทพฯ โดยไม่ติดต่อกับทางนั้นเลยเหรอ แล้วเคยคุยกับไผ่เรื่องอนาคตบ้างหรือยัง พี่ไม่สงสัยหรอกว่าต้นแคร์ไผ่จริงๆ ถึงได้พักงานมาดูแลตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา แต่ว่าหลังจากนี้ไปล่ะ เรื่องความรับผิดชอบกับพ่อของต้นอีกล่ะ ยังไงลองเปิดใจคุยเรื่องนี้กับไผ่อย่างจริงจังดูสักครั้งเถอะ พี่มีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ”

นรพัฒน์เอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่ยืนอึ้งอยู่กับที่ มือแข็งแรงบีบราวบันไดแน่นพลางคิดตามสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ทุกอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยกระทบใจเขาหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบิดา ถึงแม้เขาจะไม่เคยปริปากเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนๆ ของพรพฤกษ์หรือแม้แต่เจ้าตัวฟัง แต่ข่าวของธุรกิจของเครือสุวรรณฤทธิ์ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นระยะก็คงไม่รอดพ้นการสังเกตของคนที่รู้จักเขาไปได้

เป็นความจริงว่าตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาเขามัวแต่พยาบาลคนเจ็บจนไม่เคยได้พูดคุยกับพรพฤกษ์เรื่องอนาคต ประกอบกับท่าทางเซื่องซึมของเจ้าตัวหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นต้นมา เขาจึงไม่ต้องการให้อีกฝ่ายไม่สบายใจหากได้รู้ว่าพ่อของเขาเคยยื่นคำขาดเอาไว้อย่างไร เขาจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดจะทิ้งบิดาที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงเอาไว้กับธุรกิจในเครืออันยิ่งใหญ่เพียงลำพัง แม้จะไม่เคยมีใครมาบอกตรงๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าตฤณตั้งความหวังกับเขาในการรับช่วงกิจการมากเพียงใด

ตระการส่ายหน้าก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ถึงอย่างไรสักวันเขาก็ต้องคุยกับพรพฤกษ์เพื่อช่วยกันหาทางออกว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายก่อนว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะไม่ปล่อยมือและทิ้งเจ้าตัวไปอย่างเด็ดขาด

มือใหญ่เคาะประตูห้องที่นรพัฒน์บอกไว้ก่อนจะบิดลูกบิดเข้าไป ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกที่เห็นพรพฤกษ์เพียงนอนตะแคงหันหลังอยู่บนเตียง จึงเข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วก็ยกนิ้วขึ้นลูบผมที่ปรกอยู่บนหน้าผาก ทว่าเสียงสูดหายใจลึกของอีกฝ่ายทำให้เขาเอะใจจึงพลิกไหล่ให้หันมาหา ใบหน้าที่อาบน้ำตาจ้องเขาเงียบๆ แต่นัยน์ตาไม่แสดงความรู้สึกอะไรราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า

“ไผ่! เป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม!?”

ตระการรีบฉุดร่างที่นอนอยู่ให้ลุกนั่งแล้วกอดไว้แนบอก ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายขึ้นลงหนักๆ ด้วยความร้อนใจ ทว่าคนในอ้อมแขนเอาแต่นิ่งเงียบจนเขาต้องจับไหล่อีกฝ่ายดันออกเพื่อมองหน้า พรพฤกษ์สบตาเขาวูบหนึ่งก็หลุบตาลงแล้วตอบเสียงเรียบ

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร”

คำตอบที่ได้ทำให้ตระการขมวดคิ้วมุ่น นี่พรพฤกษ์คิดว่าตัวเองยังเล่นบทพี่ชายอยู่ต่อหน้าเขากับเจนใจหรืออย่างไรกัน

“ไผ่ ตอนนี้ไผ่อยู่กับต้นแค่สองคนนะ และไผ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไผ่ไม่ใช่พี่ชายของต้น เพราะงั้นเลิกเรียกตัวเองแบบนั้นได้แล้ว”

ตระการเอ่ยเสียงเข้มตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น เพราะเขาดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งแง่ห่างเหิน ไหล่ผอมใต้ฝ่ามือของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงกระนั้นพรพฤกษ์ก็ยังปฏิเสธที่จะสบตากลับ

“ทำไมล่ะ? ก็ในเมื่อแม่พี่กลายไปเป็นแม่ของต้น เราก็ต้องเป็นพี่น้องกันไม่ถูกเหรอ? ถ้าหากไม่ให้เป็นพี่ชาย แล้วเราสองคนจะเหลือความสัมพันธ์แบบไหนให้เรียกล่ะ?”

คำถามที่ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทำให้ตระการรีบรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอดอีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บในอกเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นแม้อีกฝ่ายจะพยายามกลั้นไว้ ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนขมับของพรพฤกษ์ก่อนตระการจะลูบหลังอีกฝ่ายไปมาเมื่อคนในอ้อมแขนสั่นมากขึ้น

“ต้น...พวกเราไม่น่ามาเจอกันเลย”

คำตัดพ้อเจือเสียงสะอื้นทำให้คนฟังยิ่งใจแป้ว ตระการหลับตาอย่างข่มอารมณ์เมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นจากน้ำตาของอีกฝ่ายที่ซึมผ่านเสื้อของเขา

“ไม่เอานะไผ่ อย่าพูดอย่างนี้ ต้นอยากเจอไผ่ถึงได้มาตามหา ต้นเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าต้นรักไผ่ เพราะงั้นอย่าพูดอย่างนี้อีก”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงพร่า เขารู้ดีว่าหากตัวเองหวั่นไหวตามและไม่เป็นหลักที่มั่นคงให้อีกฝ่ายยึดไว้ พรพฤกษ์คงยิ่งสูญเสียความมั่นใจในตัวเขามากเข้าไปอีก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกะพริบถี่ไล่ไอร้อนในกระบอกตาก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงดันร่างเพรียวออกห่างแล้วจูบซับน้ำตาและลูบผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบหน้าผากออกให้ แต่ว่าพรพฤกษ์ก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นสบตากับเขาและเม้มปากแน่นท่าเดียว

“ไผ่...ลืมตามองต้นสิ”

ตระการขอด้วยความรู้สึกร้อนใจยิ่งขึ้น แต่คนถูกขอกลับยิ่งหลับตาแน่นขึ้นและส่ายหน้า แต่แล้วนัยน์ตาสีนิลก็เบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงตวาด

“ไผ่ ต้นบอกว่าให้มองต้นไง!!”

ตระการหอบหายใจแรงจนตัวโยน แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่สะท้อนความกลัวซึ่งจ้องมาที่เขาพร้อมกับไหล่บางที่สั่นไหวขึ้นอีก ชายหนุ่มก็หลับตาลงด้วยความเจ็บปวดใจ

นอกจากจะไม่มีน้ำยาที่จะทำให้คนรักสบายใจแล้ว นี่เขายังทำให้อีกฝ่ายกลัวเขาเพิ่มขึ้นอีกหรือ?

“ขอโทษที่ขึ้นเสียง แต่ขอร้องล่ะไผ่ อย่าทำตัวเย็นชาแบบนี้ ฟังสิ่งที่ต้นจะพูดบ้าง”

พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายรั้งเอวเขาเข้าไปโอบไว้หลวมๆ แล้วก้มหน้าลงซบบนบ่า ทว่าตระการก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั้นราวกำลังสำนึกผิดที่ทำให้เขาตกใจเมื่อครู่ ชายหนุ่มฟังเสียงหายใจแรงของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นทาบบนแผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ พรพฤกษ์แนบแก้มลงกับศีรษะของคนที่ซบหน้าอยู่บนไหล่ก่อนจะระบายลมหายใจยาว แต่แล้วความเข้มแข็งที่ถูกดึงกลับมาชั่วครู่ก็พังทลายลงเมื่อได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของอีกฝ่าย

เพราะเขา...ตระการถึงแสดงความอ่อนแอออกมาถึงขนาดนี้...

“ต้น ต้น ขอโทษ ขอโทษ”



Create Date : 15 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2553 2:17:29 น. 13 comments
Counter : 2476 Pageviews.

 
ทำนบน้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วของเขาทลายลงมาอย่างรุนแรงกว่าเดิม ทั้งสองร่างโอบกอดกันและกันแน่นขณะที่เอ่ยคำขอโทษและปลอบโยนให้แก่กันไม่หยุด ครั้งนี้ตระการยอมให้คนในอ้อมแขนร้องไห้อย่างเต็มที่เพราะรู้ว่าที่ผ่านมาพรพฤกษ์เก็บกดความอัดอั้นตันใจเอาไว้จนนานเกินพอแล้ว

“ไม่อยากรู้สึกแบบนี้แล้วต้น ถึงจะดีใจที่ต้นกลับมาหา แต่ไม่มีอะไรที่ชี้ว่าเราสองคนจะเป็นไปได้ในอนาคตเลยสักอย่าง แล้ววันนี้ก็เจอผู้หญิงคนนั้นอีก ทำยังไงถึงจะหยุดความอึดอัดนี่ได้สักที ต้น...ต้น”

ตระการฟังแล้วก็สูดหายใจลึก ใช่ว่าเขาจะไม่คุ้นกับอาการร้องไห้แล้วพูดเพ้อของอีกฝ่าย เพราะที่ผ่านมาเขาก็ต้องคอยตื่นมาปลอบยามอีกฝ่ายร้องไห้ละเมอกลางดึกอยู่แล้ว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พรพฤกษ์แสดงอาการแบบนี้ทั้งที่มีสติครบถ้วนและพูดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจกับเขาตรงๆ

“ต้นอยู่ตรงนี้ตลอดนะไผ่ ต้นไม่ทิ้งไผ่ไปไหนแน่นอน ต้นสัญญา”

ชายหนุ่มประคองท้ายทอยเหนือลำคอเรียวให้เงยขึ้นรับจูบที่แนบลงบนริมฝีปากนิ่มอย่างแผ่วเบา พรพฤกษ์กะพริบตาที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเมื่ออีกฝ่ายผละออก จากนั้นจึงเอนหน้าลงซบบ่าหนาเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่โน้มต้นคอเบาๆ อ้อมแขนเรียวกระชับรอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตระการก็กำลังทำเช่นเดียวกัน

พรพฤกษ์สูดหายใจเข้าลึกเพื่อชดเชยอากาศที่หายไปตอนที่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อครู่ ชายหนุ่มกำเสื้อตระการแน่นก่อนจะเอ่ยถามเสียงเครือ เขาแค่ต้องการฟังความจริงเพื่อให้ความกระวนกระวายที่เกาะกุมจิตใจหลุดไปเสียที

“ผู้หญิงคนที่เจอเมื่อกี้...แฟนเก่าของต้นใช่มั้ย?”

ตระการเงี่ยหูฟังคำถามที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ชายหนุ่มลูบหลังบางไปมาก่อนจะฝังจมูกลงบนเรือนผมนุ่ม เขารู้นิสัยพรพฤกษ์ดีว่าเปล่าประโยชน์หากคิดจะโกหกอีกฝ่ายเพื่อเอาใจ และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องราวที่ผ่านเลยมาแล้วในเมื่อมันไม่ส่งผลใดๆ กับเขาอีก

“ต้นยอมรับว่าเคยคบกับเจนจริงๆ แต่เราเลิกกันตั้งแต่ก่อนต้นจะกลับเมืองไทยแล้วล่ะ อีกอย่างเขาเป็นฝ่ายที่บอกเลิกก่อนด้วยซ้ำ”

“งั้นถ้าไม่ถูกบอกเลิก…ตอนนี้ต้นก็คงยังคบกับเขาอยู่น่ะสิ?”

เสียงที่เอ่ยถามไม่ได้บ่งบอกว่าน้อยใจ เหมือนกับถามตามหลักของความน่าจะเป็นเสียมากกว่า ตระการจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“ถึงเจนจะไม่บอกเลิกก่อน พอถึงวันที่ต้นจะกลับมาก็คงต้องบอกเลิกเจนอยู่ดี เพราะต้นตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบจะกลับมาตามหาคนที่อยากเจอให้พบ แล้วก็เพราะคนคนนั้นน่ะแหละที่ทำให้เจนรู้ว่าต้นมีคนอื่นอยู่ในใจมาตลอด เขาถึงได้ขอเลิกไง”

พรพฤกษ์ปล่อยให้ความหมายของสิ่งที่ได้ยินค่อยซึมซับเข้าในหัวอย่างช้าๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าความอบอุ่นซ่านไปทั่วอกที่กำลังพองฟูด้วยความดีใจ เขายังจำได้ดีที่ตระการเคยเล่าให้ฟังว่ารู้จักเขาได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยปักใจเชื่อมาก่อนว่าการที่แค่ได้เห็นรูปถ่ายกับได้ฟังเรื่องราวจากแม่เท่านั้นจะทำให้ตระการยึดติดกับเขาถึงเพียงนี้

หรือว่าความจริงยังมีเรื่องอื่นที่ตระการยังไม่ได้เล่ากันแน่...

“งั้นต้นก็นิสัยไม่ดีน่ะสิ ทั้งที่ไม่ได้รักเขาแล้วยังไปคบกับเขาอีก”

ตระการยิ้มกับคำตำหนิของคนที่กำลังซุกตัวเข้าหาอ้อมอกของเขา น้ำเสียงที่เริ่มเป็นปกติแม้จะยังขึ้นจมูกเล็กน้อยทำให้เขาโล่งใจว่าอีกฝ่ายคงอารมณ์ดีขึ้นแล้ว จึงดันพรพฤษ์ให้เอนลงนอนบนเตียงก่อนจะเท้าศอกคร่อมไว้

“ก็ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าจะได้เจอคนนี้หรือเปล่านี่นา แต่ตอนนี้เจอแล้ว รักแล้ว จะไม่ไปหาคนอื่นอีกแล้วด้วย”

พรพฤกษ์รู้สึกว่าเลือดอุ่นๆ ฉีดขึ้นใต้ผิวหน้ากับคำบอกรักอย่างแน่วแน่ของตระการที่กำลังจ้องตัวเองนิ่ง นัยน์ตาสีนิลวาววับปิดลงเมื่อคนเบื้องบนก้มหน้าลงแล้วประทับริมฝีปากบนกลีบปากของเขา ชายหนุ่มเผยอริมฝีปากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าปลายลิ้นอุ่นกำลังไล้บนมุมปากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายลิ้มรสหวานภายในด้วยความเต็มใจ

ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา พรพฤกษ์ใช้เวลาทุกวันที่ไหลผ่านหมดไปกับความไม่มั่นใจ ทั้งที่มีความสุขที่คนที่รักคอยห่วงใยและดูแลอยู่เคียงข้าง แต่เขากลับรู้สึกราวกับความสุขนั้นพร้อมจะถูกกระชากไปจากเขาได้ตลอดเวลา และบางทีความขัดแย้งกันเองของความรู้สึกทั้งสองนั้นคงเป็นสาเหตุให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละน้อย จวบจนความอึดอัดใจที่เก็บสั่งสมไว้ถึงคราวระเบิดออกเพราะการได้เห็นคนรักเก่าของตระการนั่นเอง

ชายหนุ่มส่งเสียงในคอเบาๆ แต่แล้วนัยน์ตาสีนิลก็เบิกกว้างทันทีที่รู้สึกถึงความร้อนรุ่มซึ่งกำลังกดทับจากร่างเบื้องบน พรพฤกษ์ตัวสั่นเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนเข้าลูบแผ่นอกของเขาใต้เสื้อยืดตัวหลวม ขณะที่ซอกคอก็ถูกริมฝีปากอุ่นจัดขบเม้มจนเขาต้องบีบต้นแขนของตระการด้วยความตกใจ

“ต้น…เดี๋ยวก่อน!”

“อืม...ไม่เดี๋ยวแล้ว คิดว่าต้นรอมานานแค่ไหน ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้เขามีลูกกันแล้วนะไผ่ โอ๊ย!”

ตระการอุทานด้วยความเจ็บเมื่อโดนมือที่บีบแขนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นบิดเนื้อ แต่กระนั้นมืออุ่นก็ยังไม่หยุดการเล้าโลมผิวเนื้อเนียนแน่นขณะที่เขาจงใจเบียดหน้าขาลงกับร่างเบื้องล่างมากขึ้น พรพฤกษ์ตวัดสายตามองเขาตาเขียวทั้งที่หน้าซับสีเลือดจนแดงก่ำไปทั้งหน้า

“แต่นี่มันบ้านคนอื่นนะ! เกิดนอขึ้นมาตามจะบอกว่ายังไง!?”

พรพฤกษ์เอ่ยจบก็รีบยกมือขึ้นปิดเสียงครางที่เล็ดลอดออกมา เพราะว่ามือข้างหนึ่งของตระการเลื่อนลงไปลูบผิวบนท้องน้อยใต้ขอบกางเกงของเขา เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองท่าทางของคนที่กำลังถูกสัมผัสแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็ก้มลงบนจูบปลายจมูกมนแล้วดึงชายเสื้อยืดขึ้นให้พ้นร่างของพรพฤกษ์ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามขืนเต็มที่

“ก็ไม่เห็นต้องบอกว่าไงเพราะเขาก็รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน อีกอย่างเขาอยากให้เรารีบๆ ดีกันจะตาย ไม่ขึ้นมาขัดจังหวะอยู่แล้วล่ะ”

“แต่ว่า...”

พรพฤกษ์เอ่ยตะกุกตะกักเมื่อร่างสูงใหญ่ถอดเสื้อออกบ้างแล้วทาบทับลงหา จริงอยู่ว่าบางคืนตระการก็เข้านอนโดยที่เปลือยท่อนบนและนอนกอดเขาทั้งอย่างนั้นจนชิน แต่คงเพราะดูออกว่าสภาพจิตใจและร่างกายของเขาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลนั้นไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ทางกาย อีกฝ่ายจึงไม่เคยสักครั้งที่จะเร่งเร้าหรือแสดงความต้องการให้อึดอัดใจ แต่ดูเหมือนคราวนี้คนตัวโตกว่าจะไม่ยอมอดทนเป็นสุภาพบุรุษให้อีกแล้ว

ถึงแม้จะรู้ว่าคู่รักวัยเดียวกับเขาที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งทั้งที่คบกันมาหลายเดือนคงฟังแล้วแปลก แต่พรพฤกษ์ก็ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจู่ๆ จะถูกรุกไล่เอากะทันหันแบบนี้ทั้งที่พวกเขาเพิ่งจะมีเรื่องผิดใจกัน ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกดึงกางเกงลงและตระการใช้มืออุ่นอีกข้างโอบรอบส่วนอ่อนไหวของเขาไว้ นัยน์ตาดำลับปิดแน่นเมื่อมือข้างนั้นค่อยๆเร่งการเคลื่อนไหวมากขึ้น แม้จะไม่รุนแรงจนทำให้เจ็บ แต่ก็ปลุกเร้ากระแสความต้องการให้ซึมซาบไปถึงปลายนิ้วจนเจียนจะคลั่ง

“ต้น...อย่า...”

ทั้งที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน แต่พรพฤกษ์ก็พยายามจะเอ่ยทัดทานเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วแข็งแรงที่พยายามจะรุกล้ำเข้ามาในร่างกาย แต่สัมผัสอุ่นชื้นจากปลายลิ้นที่แหย่เย้าลงบนติ่งเนื้อบนอกก็ทำให้เกือบสำลักลมหายใจ ชายหนุ่มส่ายใบหน้าชื้นเหงื่อไปมาขณะกัดริมฝีปากแน่น ความไม่คุ้นเคยกับอารมณ์และสัมผัสที่กำลังถูกปรนเปรอให้ทำให้ชายหนุ่มเกร็งไปทั้งตัวเพราะไม่อยากแสดงท่าทางและน้ำเสียงน่าอายออกไป

“ไผ่ อย่ากัดปากสิ ไม่มีใครได้ยินหรอก”

คนที่กำลังถูกฉวยโอกาสปรือตาขึ้นมองคนพูดด้วยนัยน์ตาเยิ้มปรอย แม้ส่วนลึกในหัวที่กำลังเริ่มคิดอะไรไม่ออกจะยังนึกแย้ง แต่เมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ว่างดุนที่ริมฝีปาก พรพฤกษ์ก็เข้าใจคำขออย่างไร้เสียงนั้นและเผยอปากออกดูดดุนนิ้วใหญ่อย่างขวยเขิน ตระการยิ้มกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากกับหน้าผากเนียน จากนั้นถึงถอนนิ้วที่เพิ่งใช้สร้างความคุ้นเคยให้ร่างกายของพรพฤกษ์ออกและแทรกตัวเข้าแทนที่

“อึ๊! ต้น…เจ็บ!!”

สัมผัสแรกยามอีกฝ่ายดึงดันเข้ามาส่งความเจ็บแปลบให้แล่นสู่สมอง พรพฤกษ์พยายามจะถอยหนีร่างแกร่งที่ยังคงเคลื่อนตัวเข้าหา แต่ว่ามือใหญ่ทั้งสองข้างที่รั้งสะโพกเขาไว้ก็ทำให้ขยับหนีอย่างที่ต้องการไม่ได้

“ชู่ววว ไม่เป็นไร ไผ่หายใจออกช้าๆนะ อย่าเกร็ง ต้นไม่ทำแรงหรอก อย่าเกร็งนะ”

พรพฤกษ์กัดฟันขณะพยายามเต็มที่ที่จะผ่อนคลายตามที่อีกฝ่ายบอก ทว่าความแข็งแกร่งซึ่งกำลังแทรกเข้ามาภายในไม่ใช่สิ่งที่เขาจะบอกร่างกายให้รับได้ง่ายๆ ชายหนุ่มจิกเล็บลงบนไหล่กว้างแน่นจนตระการต้องสูดลมหายใจลึก เขารู้ดีว่าพรพฤกษ์คงกำลังทรมานแค่ไหน จึงใช้ฝ่ามือลูบต้นขาและส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อเบนความสนใจจนเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าลึกขึ้นได้ทีละนิด

หลังจากเวลาอันยาวนานราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดผ่านไป ตระการก็หอบหายใจและก้มลงเอ่ยปลอบพรพฤกษ์ที่ปิดตาแน่นเพราะความสุขสมปนทรมาน “ต้นเข้าไปหมดแล้วนะไผ่”

พรพฤกษ์ไม่ตอบและไม่ยอมลืมตา แต่ลมหายใจที่เริ่มผ่อนจังหวะลงบอกให้รู้ว่าร่างกายคงเริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว ตระการจึงก้มลงจูบซับน้ำตาที่ซึมจากหางตาของอีกฝ่าย เขาเองเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกับคนที่รักและเฝ้าดูแลมานานก็แทบจะทนที่จะไม่ทำตามความปรารถนาไม่ไหว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้พรพฤกษ์มีประสบการณ์ไม่ดีกับครั้งแรกจนหวาดกลัวครั้งต่อไป จึงพยายามข่มใจแล้วอ่อนโยนกับคนในอ้อมแขนอย่างเต็มที่

ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อให้พรพฤกษ์ได้คุ้นชินกับร่างกายของเขา พรพฤกษ์หลับตาแน่นด้วยความอายขณะที่ตระการพรมจูบลงมาบนใบหน้า ชายหนุ่มรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของคนเบื้องบนและความปั่นป่วนจากรสสัมผัสจนไม่กล้าลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่าย แต่กระนั้นความสุขสมที่ได้รับก็ทำให้เผลอหลุดเสียงครางเป็นระยะแม้ว่าจะพยายามยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็ตาม

“อื้อออ....ต้น...อึ๊...ฮึก!”

จังหวะของตระการโหมเร้ามากขึ้นเมื่อรู้สึกถึงการตอบสนองของพรพฤกษ์ ชายหนุ่มรั้งอีกฝ่ายเข้าหาและโถมกายเข้าใส่อย่างไม่เก็บกลั้นความต้องการอีก พรพฤกษ์กรีดร้องเมื่อความหวานซ่านที่ได้รับนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ตระการจึงประสานปลายนิ้วเข้ากับมือทั้งสองข้างของพรพฤกษ์และก้มลงจูบปิดเสียงร้องเมื่อพายุอารมณ์กรรโชกถึงขีดสุด ร่างแกร่งกระตุกเกร็งเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นแน่นที่รองรับเขาก่อนจะปลดปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติโดยไม่ควบคุมอีกต่อไป

หลังจากคลื่นความเสน่หาเริ่มอ่อนกระแสลง ตระการก็ทิ้งตัวลงกอดคนในอ้อมแขนที่ตัวอ่อนปวกเปียกไปหมดเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน เสียงหอบหายใจแรงดังประสานจากสองร่างที่ต่างลูบไล้ผิวกายชื้นเหงื่อของกันและกันไปมา ตระการแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากของพรพฤกษ์ที่มีปอยผมระอยู่อย่างรักใคร่ ความรู้สึกเต็มตื้นจากความสุขที่เพิ่งแลกเปลี่ยนให้แก่กันทำให้เขาไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายในทันที แต่เมื่อได้ยินเสียงครางประท้วงจึงยอมถอนกายออกช้าๆแล้วล้มลงนอนข้างเจ้าตัวแทน

นัยน์ตาสีนิลของพรพฤกษ์ยังคงปิดสนิท ทว่าริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย แผ่นอกเรียบกระเพื่อมถี่ตามจังหวะการหอบหายใจหลังความสุขสมที่ร่างกายเพิ่งได้รับ ใบหน้าเนียนซึ่งเป็นสีชมพูเรื่อมีหยาดเหงื่อฉาบบางๆจนล้อแสงในห้องเป็นประกาย ตระการยิ้มกับภาพที่เห็นก่อนจะรั้งร่างที่นอนข้างๆ มากอดแนบอกจนสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจอย่างชัดเจน

“นึกว่าจะตายแล้ว...”

หลังจากเริ่มควบคุมลมหายใจได้ พรพฤกษ์ก็กลืนน้ำลายแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว ตระการจึงเลิกคิ้วแล้วพยายามจะดันอีกฝ่ายออกเพื่อมองหน้า แต่ร่างในอ้อมแขนกลับยิ่งซุกเข้าหาอกเขามากขึ้นเหมือนไม่อยากสบตา ชายหนุ่มจึงลูบแผ่นหลังที่ชื้นเหงื่อของพรพฤกษ์ไปมาพลางกระซิบถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“บอกแล้วว่าต้นไม่ทำไผ่เจ็บหรอก คราวนี้จะเชื่อได้หรือยัง?”

พรพฤกษ์ยกมือข้างหนึ่งยกขึ้นทุบไหล่กว้างอย่างอ่อนแรงเมื่อถูกกระเซ้า แต่ท่าทางเขินอายนั้นกลับทำให้คนถูกทุบหัวเราะ การได้แนบกายชิดใกล้กันเมื่อครู่ยิ่งทำให้ตระการตระหนักว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับอีกฝ่ายนั้นลึกซึ้งมากแค่ไหน และต่อให้จะต้องพบเจอกับความยุ่งยากเพียงใดต่อจากนี้ เขาก็จะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องคนในอ้อมแขนและสิ่งที่พวกเขามีร่วมกันเอาไว้ให้ได้อย่างแน่นอน

“ไผ่ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ นี่กะจะไม่มองต้นทั้งวันเลยเหรอ?”

คำถามของคนที่กำลังใช้ปลายนิ้วคลึงท้ายทอยให้เบาๆ ทำเอาพรพฤกษ์ทำหน้าไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดื้อดึงที่จะไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย พรพฤกษ์เคยนึกกลัวการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระการเพราะไม่มีคนรู้จักรอบกายที่จะขอคำปรึกษาได้ และยามใดที่จินตนาการภาพของเขาทั้งคู่ก็จะให้เขินอายขึ้นมาทุกครั้ง สุดท้ายจึงแสร้งทำเป็นลืมไปว่าตระการเองก็คงมีความต้องการทางกายกับเขาเหมือนคู่รักทั่วไป การที่จู่ๆ ก็ต้องมาเรียนรู้จากประสบการณ์จริงทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนจึงทำให้เขาหัวตื้อจนนึกคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรทั้งระหว่างและหลังจากที่ทำ ‘เรื่องนั้น’ เสร็จแล้ว

พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนลงไปบีบเนินเนื้อด้านหลังของเขา จริงอยู่ว่าเมื่อครู่ตระการอ่อนโยนกับเขาจนถึงช่วงที่ต่างฝ่ายต่างลืมตัว แต่ความระบมที่ยังตกค้างก็ทำให้ชายหนุ่มไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะให้อีกฝ่ายย่ามใจได้ติดต่อกัน พรพฤกษ์จึงรีบคว้ามือที่กำลังอยู่ไม่สุขเอาไว้แล้วถอยออกมองอีกฝ่ายตาเขียว

“อย่านะต้น ถ้ายังอยากทำอีกรอบจะไม่เตือนดีๆ แบบนี้แน่”

ทั้งที่เอ็ดด้วยเสียงดุจนคาดว่าคงได้เห็นสีหน้าผิดหวัง แต่ใบหน้าของตระการกลับทอยิ้มจนนัยน์ตาเป็นประกาย เมื่อพรพฤกษ์เห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงคิดได้ว่าเสียรู้เข้าให้แล้ว ใบหน้าเนียนจึงซับสีเลือดจนแดงก่ำแล้วก็รีบลุกหนีทันที แต่กระนั้นก็ไม่ไวไปกว่าร่างสูงใหญ่ที่ลุกนั่งแล้วคว้าเอวของเขากลับไปกอดไว้เสียก่อน

“ต้น...อื้มม...”

พรพฤกษ์ยังเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ทันขาดคำก็ถูกมือใหญ่บิดคางให้หันไปรับจูบ แต่ว่าแทนที่จะเป็นจูบที่ปลุกเร้าการสนองตอบทางกาย สัมผัสที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมาให้ผ่านปลายลิ้นอุ่นกลับเสมือนคำขอบคุณและการตอกย้ำความรู้สึกที่มีให้ พรพฤกษ์จึงค่อยผ่อนแรงต่อต้านและหันไปกอดคออีกฝ่ายไว้เมื่อตระการถอนริมฝีปากออก

“ขอบคุณนะไผ่ ต้นรักไผ่จริงๆนะ”

คำหวานที่มอบให้กับริมฝีปากอุ่นที่แนบลงบนไหล่ทำให้พรพฤกษ์หลับตาพลางระบายลมหายใจยาว แม้จะยังเขินอายกับสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ว่าการกระทำทุกอย่างของอีกฝ่ายคือหลักฐานยืนยันว่าเขาจะไม่ต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในอนาคตอย่างแน่นอน อ้อมแขนเรียวจึงกระชับรอบลำคอแข็งแรงแน่นเข้าก่อนจะกระซิบตอบเสียงเบา

“พี่ชายก็รักต้นเหมือนกัน”

ตระการรีบดันคนในอ้อมแขนออกทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘พี่ชาย’ คิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะชายหนุ่มมองคนที่กำลังอมยิ้ม

“เคยบอกว่าอย่าเรียกตัวเองว่าพี่แล้วไง”

พรพฤกษ์ตีหน้าซื่อ “ก็ไม่ได้เรียกว่าพี่นี่นา เรียกว่าพี่ชายต่างหาก อีกอย่างก็เคยเรียกตัวเองว่าพี่ชายเวลาคุยกับต้นมาหลายครั้งแล้วนี่”

น้ำเสียงหยอกล้อและเสียงหัวเราะที่ตามมาทำให้ตระการที่หน้าบึ้งเริ่มจะผ่อนคลายคงและยิ้มตามบ้าง ถึงแม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้คนรักคนเก่าก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุกลับมาเสียที

“เอ้า พี่ชายก็พี่ชาย ว่าแต่ต้นชักหิวแล้วสิ ยังไงอาบน้ำกันแล้วลงไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านดีมั้ย?”

พรพฤกษ์กะพริบตามองคนถาม แล้วก็พยักหน้าช้าๆ แม้จะรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนขึ้นมาอีกกับประโยคที่ว่า ‘อาบน้ำกัน’ ทั้งที่ป่านนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเขินแล้วแท้ๆ ในเมื่อตอนที่เขายังใส่เฝือกนั้นตระการก็ต้องช่วยอาบน้ำเช็ดตัวให้เป็นประจำ แต่เหตุการณ์เมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่แค่การคบหาดูใจกันธรรมดา แต่ว่าเป็นอะไรที่ก้าวไกลกว่านั้นไปอีกขั้นแล้ว และการอาบน้ำคราวนี้ก็จะเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ในสถานะที่ต่างไปจากที่เคยเป็นมาก่อน

ดูเหมือนตระการจะมองออกว่าพรพฤกษ์กำลังคิดอะไรอยู่ จึงเพียงยิ้มบางๆ ก่อนจะกดปลายจมูกลงบนหน้าผากเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ไม่ต้องห่วง บอกแล้วไงว่าอาบน้ำเฉยๆ ดูทำหน้าเข้าสิ พี่ชายชักทะลึ่งแล้วนะเนี่ย”

“ไอ้บ้า! ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง”

พรพฤกษ์ทำเสียงดุใส่คนแซว แต่ว่าก็ยอมลุกไปอาบน้ำด้วยแต่โดยดี ตระการรักษาคำพูดที่ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยและยังให้เขาออกมาเช็ดตัวก่อน พรพฤกษ์จึงรู้สึกสบายใจขึ้นที่อีกฝ่ายรักษาคำพูด แต่แล้วขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้ารอตระการอยู่ในห้อง ชายหนุ่มก็พลันนึกอะไรขึ้นได้

ไม่ใช่แค่เรื่องอาบน้ำด้วยกันเมื่อครู่เท่านั้น ที่ผ่านมาตระการไม่เคยผิดคำพูดกับเขาเลยสักครั้ง หากอีกฝ่ายออกปากเองว่าจะทำอะไรให้ก็จะทำตามที่พูดเสมอ ไม่เคยหลอกลวงหรือให้ความหวังลมๆ แล้งๆ หากไม่มั่นใจว่าจะทำไม่ได้เป็นอันขาด

“เสร็จแล้วไผ่ ไผ่... มีอะไรหรือเปล่า?”

ร่างที่พันผ้าขนหนูผืนเดียวไว้รอบเอวเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องรีบสาวเท้าไปนั่งลงข้างพรพฤกษ์เมื่อเห็นขอบตาอีกฝ่ายที่แดงเรื่อ พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะยื่นแขนมาโอบเอวของเขาไว้ แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่ตระการก็เพียงแต่โอบไหล่เจ้าตัวกลับโดยไม่ถามอะไรอีก

พรพฤกษ์หลับตาขณะซึมซับไออุ่นจากร่างของอีกฝ่าย แล้วก็ให้สำนึกผิดที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองฝ่ายเดียวตลอดมา แต่ไม่เคยคิดในมุมกลับเลยว่าคนที่เขารักยอมเสียสละมากแค่ไหนที่ทิ้งชีวิตสุขสบายมาคอยดูแลอยู่ข้างๆตลอดเวลาที่ผ่านมา และไม่ว่าอะไรจะเป็นสาเหตุให้ตระการรักเขามากขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งเจอตัวจริงเพียงไม่ถึงสองปีก่อนก็ตาม แต่เขาก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดแล้วที่ได้คนคนนี้มาอยู่ข้างๆและคอยเอาใจใส่เช่นนี้

ตระการระบายลมหายใจยาวพลางนึกถึงสิ่งที่นรพัฒน์เอ่ยเตือนเขาไว้ก่อนที่จะขึ้นมาปรับความเข้าใจกับพรพฤกษ์ แม้จะหลบเลี่ยงปัญหาไปอีกนานแค่ไหน อย่างไรเสียปัญหาก็ยังคงมีอยู่ตราบใดที่ไม่จัดการให้หายไป ต่อให้ทั้งสองจะพยายามทำเป็นไม่เห็นแล้วก็ตาม สำหรับเรื่องการทำให้พรพฤกษ์มั่นใจในตัวเขานั้นตระการคิดว่าตนประสบความสำเร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว แต่ปัญหาเรื่องอนาคตยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทั้งสองต้องปรึกษากันต่อ

“ไผ่...คิดถึงแม่มั้ย?”

คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้พรพฤกษ์ถอยตัวออกมองหน้าตระการอย่างงุนงง จริงอยู่ว่าเขามีความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ถูกเอ่ยถึงน้อยนิดเต็มทีเพราะอีกฝ่ายจากเขาไปตั้งแต่ยังเด็กมาก แต่ถ้าจะบอกว่าไม่คิดถึงเลยก็คงจะไม่ถูก

“ก็มีบ้าง แต่แม่เค้าก็เสียไปนานแล้วนี่ต้น”

ชายหนุ่มจำได้ดีถึงเรื่องที่ตระการเล่าให้ฟังว่าเพราะมารดาเสียระหว่างเจ้าตัวเรียนอยู่เมืองนอก จึงเป็นจุดพลิกผันให้อีกฝ่ายมุ่งมั่นที่จะมาตามหาเขาให้เจอตามสัญญาที่ฝ่ายนั้นขอไว้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ คนตรงหน้าจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลานี้

“อยากไปไหว้แม่ไหมล่ะ?”

ตระการดึงมือเรียวทั้งสองข้างไปกุมไว้แล้วจ้องคนข้างกายนิ่ง พรพฤกษ์มองตอบสายตาที่มองเขาอย่างคาดหวังนั้น ประกายที่ฉายอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มราวจะวอนขอว่าอย่าปฏิเสธ หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงพยักหน้า พรพฤกษ์มองท่าทางระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งใจของอีกฝ่ายแล้วก็ฉุกนึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วก็ได้แต่หวังว่าตนคงเพียงแค่คิดไปเอง เพราะเขายังไม่พร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับใครบางคนที่ตระการต้องการ...อย่างน้อยก็ในตอนนี้

“ต้น...ว่าแต่ที่ที่จะพาไปไหว้แม่น่ะ อย่าบอกนะว่า...”

ตระการลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่ายอีกครั้ง ไม่มีประโยชน์ที่จะเฉไฉต่อไป เพราะถ้าพรพฤกษ์ถามแบบนี้ก็แปลว่าอีกฝ่ายคงพอจะเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาได้แล้ว

“อืม ที่บ้านต้นเอง เราจะกลับไปไหว้แม่ แล้วก็ไปเจอพ่อของต้นด้วยกัน”


++---tbc---++


A/N: โอยยยย เท่าที่รีไรท์มา ไม่มีตอนไหนทำปวดหัวเท่าตอนนี้แล้วค่ะ แถมต้นฉบับยังยาวมาก ตั้ง 21 หน้าเอสี่แน่ะจนต้องแบ่งเป็นสองโพสต์ สารภาพว่าเพราะไม่ได้เขียนฉากผู้ใหญ่ๆมานาน ตอนที่อ่านทวนตอนนี้เพื่อจะรีไรท์เลยเล่นเอาเขินแทบม้วนว่าตอนนั้นฉันเขียนแบบนี้ไปเร้อออ แต่ก็มีแก้คำและซีเควนซ์เล็กน้อยเพื่อความละเมียด หวังว่าอ่านแล้วคงไม่สะดุดกันน้า (=w=")

สำหรับสัปดาห์หน้าเราอาจจะมาลงวันอังคารนะคะ เพราะว่าตั้งแต่คืนพรุ่งนี้จะบินไปเที่ยวเกาหลี ตอนแรกก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่ แต่เพื่อนสนิทสมัย ป.ตรีจะไปกันตั้งห้าหกคน เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ไปคงพลาดอะไรไปหลายอย่าง กว่าจะบินกลับมาก็คืนวันอาทิตย์ตอนดึกๆเลยไม่รู้วันจันทร์จะมีสติพอจะรีไรท์และเอามาลงหรือเปล่า แต่ยังไงก็จะพยายามมาอัพไม่ให้เกินวันอังคารค่ะ

แล้วก็เนื่องจากลองมารีวิวตารางการอัพดู ก็ต้องตกใจที่พบว่าเรื่องนี้เหลืออีกไม่กี่ตอนก็คงจะจบแล้วล่ะ (=[]=) ถ้าไม่มีอะไรขลุกขลักก็น่าจะได้เห็นตอนอวสานในเดือนธันวา ตอนนี้เลยลองจัดหน้าสำหรับรวมเล่มกับติดต่อคนวาดปกไปแล้ว แล้วก็คิดฟุ้งเฟ้อถึงอย่างอื่นอีกด้วย แต่เอาไว้ถ้าทำชัวร์ๆถึงค่อยมาบอกดีกว่า ไม่งั้นจะเหมือนกับเราเอาแต่พล่ามไว้แล้วทำไม่ได้น่ะค่ะ

เป็นทอล์คที่ยาวมากเลยแฮะ ก่อนจะเวิ่นเว้อไปกว่านี้ ขอให้สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ดีสำหรับทุกๆคนนะคะ แล้วเดี๋ยวจะหอบอากาศเย็นๆ กับกิมจิมาฝากกันในสัปดาห์หน้าค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:2:18:48 น.  

 
อ๋ายยยยยยยยยนู๋รินจ๋า อิจฉาคนจะไปเที่ยวเกาหลี ต่อด้วยเชียงคาน ตามด้วยหัวหิน ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะค่ะ...

อ่านมา 20 กว่าบทแล้ว มันอึมครืม ปวดหนึบในหัวใจ บทต่อๆ ไปขอหวานๆๆๆ ด้วยนะจ๊ะ ไม่งั้นหัวใจคนอ่านจะแย่แล้ว...

ไปเที่ยว อากาศเย็น ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอุ่นๆ นะค่ะ ถ่ายรูปสวยๆ มาฝากด้วยค่ะ เดินทางปลอดภัย เที่ยวอย่างมีความสุข มีช่วงเวลาดีๆ นะจ๊ะ


โดย: เอิงเอย IP: 68.224.193.220 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:8:52:32 น.  

 
ตอนนี้ยาวมากจริงๆ ด้วยเท่าที่ไล่ๆ ดูมา
เหอๆ
ไม่อยากบอกเลยว่าอ่านผ่านๆ อีกแล้ว แต่ยังไงก็ได้อ่านฉากหวานๆ ของต้นกะไผ่และ แหะๆ ^-^
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีรวมเล่มก็ค่อยไปอ่านแบบละเอียดทีเดียวเลยดีกว่า
แล้วจะรอข่าวรวมเล่มนะคะ
ปล. อิจฉาคนได้เที่ยวอีกแล้ว
แต่ยังไงก็ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ แล้วเอาประสบการร์มาเล่าให้ฟังบ้างนะ และขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับค่ะ



โดย: porntip IP: 125.26.147.10 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:20:00 น.  

 
ปลอบใจกันไป ปลอบใจกันมาถึงขั้นนี้ได้ไงเนี่ย อร๊ายยย

น้องต้นอ่อนโยนหน่อยนะคะ เด๋วพี่ไผ่ลุกไม่ขึ้น ฮ่าๆๆ

แหมๆๆๆๆ แต่คู่พี่นอกับน้องบอยนี่ชักจะยังไงๆๆ

กิ๊วๆๆ อยากอ่านตอนที่พี่นอไปเยี่ยมน้องบอย ป้อนข้าวป้อนยาจังเลยคร่า อิอิ


โดย: NannY IP: 127.0.0.1, 61.19.197.11 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:29:24 น.  

 
“ต้น...อย่า...” อย่า...ต้น....อย่าหยู๊ดดดดดดดดดด 555+ ในที่สุดพี่ก็สมใจ เด็ดทิชชู่ไม่ทันกันเลยทีเดียว ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลยนะเนี่ย นึกว่างวดนี้จะอึมครึมกันอีกซะแระ

เป็นตอนที่อิ่มมากเลยค่ะริน มีครบทุกรสชาติเลย แรกๆเนี่ยเรียกน้ำตาได้เลยนะ พี่งี้น้ำตาซึมตามหนูไผ่เลยอ่ะ อึดอัดใจกะน้อง ไม่รู้น้องจะเครียดไปไหน สงสารก็แต่ตาต้น ไม่รู้จะทำงัยดีมีแฟนคิดมากก็ลำบากเนอะ ทั้งคิดมากทั้งปากหนัก ลุ้นตาต้นจนเหนื่อยเลยนะเนี่ยกว่าจะกิ๊บกิ๊วกันได้ ยังไม่ทันจะหยิบทิชชู่มาซับน้ำตา พี่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเช็ดกำเดากะน้ำลายแทนซะงั้น เฮอะๆๆ บทจะกุ๊กกิ๊กกันเนี่ยไม่เกรงใจสถานที่กันเล้ย... บ้านเราก็ม่ายช่าย (ทำยังกะแกอยู่บ้านเดียวกัน แหม..เต็มปากเต็มคำ "บ้านเรา" 555+ ) แบบนี้พี่ตั้งกล้องไม่ทันนะค่ะเนี่ย เหอๆๆๆ ไปกันใหญ่แระ

ฮาตอนน้องไผ่บอกว่า “นึกว่าจะตายแล้ว...” โถ... น้องคง...มากเนอะ ไหนตาต้นบอกว่า " ต้นไม่ทำแรงหรอก " งัย เชื่อไม่ได้เลยตาต้นเนี่ย กลับบ้านมาแม่จะตีให้ซักเพี๊ยะ 2 เพี๊ยะ โทษฐานทำน้อยเกินไป ( เอ๊ย..ม่ายช่ายแระ )

ปล. ได้ข่าวว่าอังคารหน้าตาต้นจะพาน้องไผ่ไปพบพ่อสามี(แต่งไม่แต่งไม่รู้ ตูสรุปไปแล้วว่าเป็น 555+ ) หวังว่าคุณป๋าจะเอ็นดูน้องนะค่ะ ฝากหนูรินช่วยบอกคุณป๋าด้วยนะค่ะว่าพี่การันตี+ฟันธง+ขีดเส้นใต้+คอมเฟิร์มว่าน้องน่ารักจริงๆค่ะ คุณป๋าหนูไม่ได้โกหกนะค่ะ คุณป๋าต้องเชื่อหนูนะค่ะ น้องน่ะน่ารักน่าชังจริงๆค่ะ รับรองได้รับไว้เป็นสะไภ้ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ฮิ้ววววว

แถมท้าย... ถ้าป๋านอไปเยี่ยมน้องบอยเมื่อไหร่ฝากบอกด้วยนะค่ะว่าพี่เป็นห่วง เหอๆๆๆ

" อิจฉาคนไปเที่ยวเกาหลีวุ้ย "


โดย: aew IP: 125.27.94.27 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:20:40 น.  

 
คุณริน
อ้ายยยยยย ถึงกับพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว
ตอนแรกจะกดเข้ามาcommentในใจยังนึกว่าทำไมตอนนี้จบแบบห้วนๆยังไงไม่รู้ พอกดเข้ามาก็เลยงงว่ามีตอนสำคัญซ่อนอยู่ใน
commentด้วย
อ่านจบทั้งหมดแล้วต้องบอกว่าถูกใจมากค้า
หนูต้นทำดีจริงๆ ชอบจ้า ชอบจ้า
เทียวเกาหลีให้สนุกน้าได้ข่าวว่าตอนนี้ที่เกาหลีหนาวมากกก snowเริ่มตกแล้วด้วย
Take care นะเจอกันอาทิตย์หน้าจ๊ะ

พี่ลี


โดย: พี่ลี IP: 124.120.86.8 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:19:55:20 น.  

 
คุณรินนนนนนน...
อัพตอนนี้ได้ไงคะเนี่ย ยาวมาก ถึงมากที่สุด
อ่านจนเหนื่อยเลย แต่ไม่ถึงกับจะตายแบบไผ่นะคะ ei ei...

ปล. ฉากที่เป็นเรท ฉ ดูเหมือนกับว่าคุณรินจะยังยั้งไว้รึเปล่าคะ ข้าพเจ้าอ่านไปแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้สึกกระมิดกระเมี้ยนเท่าไหร่ (ฮา ปน หื่น... ^^ )


โดย: sherry IP: 223.205.157.29 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:24:29 น.  

 
พี่เอิง ขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่า หวังว่าอ่านตอนต่อไปแล้วคงได้บรรยากาศหวานๆ แทนอึมครึมแล้วนะคะ


คุณ porntip ไปเที่ยวกลับมาแล้วค่ะ ถ้าว่างก็อ่านบันทึกการไปเที่ยวของเราได้ ส่วนเรื่องการรวมเล่มจะคอยอัพเดทเป็นระยะแน่นอนค่า


คุณแนน ไม่รู้พี่นอไปเยี่ยมน้องบอยแล้วจะหายไปเลยจนลืมเปิดร้านเพราะเยี่ยมไข้หรือเปล่านะคะเนี่ย ฮ่าๆๆ


พี่แอ๋ว อิอิ เป็นตอนที่รู้สึกว่าพลิกอารมณ์จังนิเหมือนกันค่ะ แต่แบบว่าหลังทะเลาะกัน คู่รักเขาก็ต้องมีกิจกรรมทำร่วมกันเพื่อให้ความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้นใช่ม้า (โอ้ย เขียนไม่อายเลยวุ้ย) ส่วนกับป๊ะป๋านี่ยังไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน ต้องดูกันต่อไปเน้อ


พี่ลี ไปเที่ยวแล้วไม่เจอหิมะค่ะ สงสัยเพราะไม่ค่อยได้ออกไปนอกเมืองเท่าไหร่ แต่เรื่องหนาวนี่ได้ใจเลยทีเดียว ใส่เสื้อผ้าวันละสี่ห้าชั้นแน่ะ ว่าแต่ดูเหมือนตอนนี้ต้นจะได้คะแนนแม่ยกไปเยอะนะเนี่ย


คุณเชอร์รี เหอๆ นี่ถ้าไม่มีต้นฉบับเก่าอยู่ก่อนแล้วก็คงเขียนยาวววขนาดนี้ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ ตอนแรกมันแบ่งเป็นสองตอนด้วยนะ แต่คิดว่ารวบดีกว่าจะได้ไม่อารมณ์ค้างกัน ส่วนของ ปล. พอดีของคู่นี้เขาไม่ค่อยวัยรุ่นแล้วเลยต้องยั้งๆไว้หน่อยค่ะ แต่ในตอนพิเศษตอนรวมเล่มนี่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรให้ลุ้นหรือเปล่านะ หุหุ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:00:42 น.  

 
อ๊ายยยยยยย และแล้วต้นก็สมใจอยากสักที ฮ่าๆๆๆ ตอนแรกคิดว่าครั้งแรกของทั้งคู่จะเป็นที่บ้านนฤมิตรซะอีกค่ะ ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นที่บ้านของนอไปซะได้ ว่าแต่จะทำยังไงกับผ้าปูที่นอนล่ะคะนั่น ถ้านอมาเห็นไม่ตกใจเหรอ อิอิ

แต่ไผ่นี่เป็นอ่อนไหวมากเลยนะคะเนี่ย เปลี่ยนอารมณ์เร็วมากด้วย ชักเริ่มสงสารต้นที่ต้องมาปรับอารมณ์ตามไผ่ เหนื่อยแย่เลย แต่เพราะรักซะอย่าง ยังไงต้นก็เต็มใจอยู่แล้วล่ะเนาะ


โดย: Aikiiz IP: 125.25.128.156 วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:16:18:33 น.  

 
คุณ Aikiiz อ่า อันนี้สถานการณ์มันพาไปน่ะค่ะ แย่หน่อยที่ดั๊นไปปรับความเข้าใจกันที่บ้านนอแทนที่จะเป็นที่บ้านนฤมิตร แต่ไผ่ก็คงเอาผ้าไปซักให้แล้วล่ะ ฮ่าๆ



โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:11:01:47 น.  

 
ว้าวววววว พระเอกของเราบีบน้ำตาได้ด้วย ถูกใจๆ แสดงความอ่อนแอออกมาบ้างก็ได้เนอะ ชีวิตคู่มันก็ต้องประคับประคองช่วยกัน


โดย: Niii IP: 202.12.73.65 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:23:15:50 น.  

 
ดีนะที่ต้นชิงอธิบายด้วยการแสดงออกถึงความรักที่แท้จริงให้ไผ่ได้รับรู้ ความหวั่นไหวที่ก่อเกิดในคว่มรู้สึกไผ่คงจะค่อยๆสลายหายไปทีละนิด เปิดตัวกับทางบ้านต้นเพื่อแสดงความจริงใจ ไปเถอะนะไผ่ไปดูให้เห็นกับตา ว่าน้องชายที่น่ารักคนนี้จะสามารถปกป้องคนที่รักได้ยังไงบ้าง


โดย: khun only IP: 49.49.166.137 วันที่: 25 กรกฎาคม 2556 เวลา:14:15:29 น.  

 
khun only อ๊ายยย ขอบคุณมากเลยค่ะที่มาตามอ่าน+คอมเม้นต์ให้ทุกตอนเลย อาจไม่ได้ตอบคอมเม้นต์ให้ทุกตอนนะคะ แต่ยิ้มแก้มปริด้วยความดีใจและปลาบปลื้มมากๆ ที่มีนักอ่านใหม่ได้เข้ามาซึมซับกับเรื่องราวความรักของสองคนนี้ ขอให้สนุกกับการติดตามเรื่องราวต่อจากนี้ของต้นและไผ่ด้วยค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:16:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.