|
แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5
แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 สงกรานต์ของครอบครัว
12 เมษายน, วันก่อนวันมหาสงกรานต์
เสียงนกร้องที่ดังลอดมาจากนอกหน้าต่างย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ สร้างความรื่นรมย์ในยามเช้า เช่นเดียวกับความสงบสุขที่ดำเนินไปภายในห้องทานอาหารของบ้านสุวรรณฤทธิ์ที่ประกอบด้วยตระการ พรพฤกษ์ และตฤณเหมือนเช่นทุกๆ วัน แต่แล้วความสงบสุขก็สะดุดลงเมื่อตฤณวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านแล้วมองพรพฤกษ์ลอดแว่นพร้อมกับเลิกคิ้วสูง
อะไรนะ?
ผู้สูงวัยที่สุดในบ้านถามด้วยนึกว่าตนหูเฝื่อน พรพฤกษ์จึงสบตาตระการที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปหาตฤณที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ผมเห็นว่าไหนๆ สงกรานต์ปีก่อนผมกับต้นก็ไปเที่ยวญี่ปุ่น คุณลุงเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว ปีนี้เลยอยากชวนคุณลุงไปเยี่ยมบ้านผมที่เชียงใหม่ด้วยกันน่ะครับ
พรพฤกษ์ตอบตามตรง เพราะว่าตั้งแต่เข้าปีใหม่เป็นต้นมา ตระการก็งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาขึ้นไปเชียงใหม่กับเขาเลย ทั้งสองจึงตกลงกันว่าหยุดยาวสงกรานต์ปีนี้จะไม่ไปไหนไกลและเพียงแต่กลับไปบ้านนฤมิตร เพราะนอกจากจะคิดถึงเพื่อนๆ แล้ว พรพฤกษ์ก็อยากไปทำบุญกระดูกให้ตาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วย
ตฤณเหลือบตากลับมามองตระการ แต่ก็พบว่าบุตรชายเพียงแต่ยกกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร ผู้สูงวัยจึงถอดแว่นลงวางทับบนหนังสือพิมพ์ข้างถ้วยข้าวต้ม
ฉันไม่ไปดีกว่า ได้ยินว่าที่เชียงใหม่เขาเล่นสงกรานต์กันหนักมากไม่ใช่รึ? ฉันไม่ชอบอะไรอึกทึกตึงตัง อยู่กรุงเทพฯ ระหว่างวันหยุดยาวนั่นแหละดีที่สุดแล้ว
พวกเราไม่ต้องไปเล่นสงกรานต์กันก็ได้ครับคุณลุง เพราะบ้านผมอยู่นอกตัวเมืองพอสมควร รับรองว่าแถวนั้นไม่อึกทึกครับ
พรพฤกษ์ยังไม่ยอมแพ้ ดูท่าทางอยากชวนให้เขาไปเยี่ยมบ้านที่เมืองเหนือจริงๆ ตฤณจึงนั่งจ้องหน้าคนรักของลูกชายและยังนับได้ว่าเป็นลูกเลี้ยงของตัวเองนิ่งๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ชอบเดินทางไกลๆ ยายแสนไปบอกเจ้าสิงห์ให้สตาร์ทรถได้แล้ว ฉันมีนัดกับตาเกริกที่โรงพยาบาล
ตฤณไม่รอฟังว่าผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสองจะว่ากระไร แล้วก็เดินออกจากห้องอาหารไปเลย ตระการมองตามหลังบิดาที่เดินหายลับไปทางหัวมุมบันไดแล้วก็หันกลับมาส่ายหน้ากับพรพฤกษ์ยิ้มๆ
ต้นก็บอกแล้ว พ่อไม่ยอมไปหรอก
แต่ว่า...ให้คุณลุงอยู่บ้านคนเดียวระหว่างที่พวกเรากลับเชียงใหม่กันบ่อยๆ มันรู้สึกแย่นี่นา
พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะวางช้อนข้าวต้มลงบ้าง ความจริงเขาสังเกตมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่บ้านสุวรรณฤทธิ์ช่วงแรกๆ ว่าตฤณจะชอบปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังเวลาเขากับตระการอยู่บ้านพร้อมกัน แต่ในเมื่อบัดนี้พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็น่าจะใช้เวลาในวันหยุดเทศกาลร่วมกันบ้างจึงจะถูก
ตระการส่ายหน้าพลางลุกขึ้น ถ้าพ่อเขายืนยันจะไม่ไป ใครก็คงบังคับไม่ได้หรอกไผ่ อีกอย่างวันธรรมดาพวกเราก็อยู่ที่บ้านกับพ่อตลอดนี่นา ไม่ต้องคิดมากไปหรอก
พรพฤกษ์เดินตามตระการไปที่หน้าบ้าน รถกับคนขับรถของตฤณหายไปจากที่จอดแล้ว เหลือเพียงรถของตระการกับรถของพรพฤกษ์เท่านั้นที่ยังจอดอยู่ แต่เนื่องจากกองบรรณาธิการที่พรพฤกษ์ทำงานนั้นเริ่มหยุดตั้งแต่วันนี้ จึงเหลือเพียงตระการที่ยังต้องไปทำงานก่อนจะหยุดงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งทั้งสองมีกำหนดจะเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยกันด้วยเที่ยวบินตอนสายๆ
งั้นต้นไปแล้วนะ
ตระการเอ่ยลา พรพฤกษ์จึงยิ้มให้แล้วก็ยืนโบกมือจากบนบนไดหน้าบ้านขณะอีกฝ่ายถอยรถและขับออกจากรั้วไป กระทั่งรถยนต์ยุโรปคันใหญ่ลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงยืนเอามือกอดอกอย่างใช้ความคิด
ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกผิดที่จะทิ้งตฤณไว้ที่บ้านคนเดียวระหว่างวันหยุดยาวอยู่ดี แต่จะไม่กลับบ้านนฤมิตรก็ไม่ได้เพราะเขาบอกเพื่อนๆ ไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยม ไหนยังจะของขวัญสำหรับนำไปฝากลูกสาวคนแรกของดิษยะกับปฏิมาอีก จึงพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้เทศกาลวันหยุดนี้พิเศษขึ้นมาสำหรับตระการกับตฤณบ้าง
จากที่ป้าแสนซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก่เล่าให้ฟัง พรพฤกษ์จึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นหลังจากที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยนี่เอง และถึงแม้จะไม่อยากสำคัญตนผิดว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดนั้น แต่เขาก็สังเกตเห็นได้ว่าสองพ่อลูกจะพูดกันมากกว่าปกติเวลาที่เขาอยู่ด้วยจริงๆ ด้วย
ถ้าเป็นสมัยที่ตายังอยู่ ช่วงสงกรานต์เราทำอะไรนะ...
พรพฤกษ์คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ญาติผู้ใหญ่หนึ่งเดียวยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากช่วงบั้นปลายชีวิตนั้นตาของเขาป่วยหนักจนแทบไม่ได้ลุกจากเตียง ทำให้ธรรมเนียมหลายอย่างที่เคยทำร่วมกันสมัยเขายังเด็กถูกละเลยไป แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เขากับตามักทำด้วยกันในช่วงเทศกาลนั้นมีอะไรบ้าง นัยน์ตาสีนิลวาวก็ฉายประกายสดใสขึ้น
จริงสิ ทำไมลืมนึกถึงเรื่องง่ายๆ แบบนี้ไปได้นะ ปีที่แล้วก็มัวยุ่งกับทริปไปญี่ปุ่นเลยไม่ได้ถามต้นเลย แต่ดูท่าทางบ้านนี้คงไม่เคยทำกันแน่ๆ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำตามที่คิด พรพฤกษ์ก็เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อใส่ออกไปข้างนอก เมื่ออเดินลงบันไดมาอีกครั้งก็พบยายแสนที่ทำหน้าแปลกใจ
อ้าว? ตกลงวันนี้คุณไผ่ไม่ได้หยุดหรอกเหรอคะ?
แม่บ้านสูงวัยถามเมื่อเห็นพรพฤกษ์ถือพวงกุญแจอยู่ในมือ ชายหนุ่มจึงยิ้มพลางส่ายหน้า เปล่าหรอกครับ ผมจะไปซื้อของกับเดินเล่นหน่อย ป้าแสนจะฝากซื้ออะไรไหมครับ?
อุ้ย ตามสบายค่ะพ่อคุณ ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหรอกค่ะ
แม่บ้านสูงวัยตอบยิ้มๆ เธอถูกชะตาพรพฤกษ์ตั้งแต่แรกเห็นเพราะหน้าตาคล้ายกับพิมผกาที่เสียไปแล้วมาก แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ายมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนสำคัญของเจ้านายหนุ่ม ความอ่อนน้อมถ่อมตนและนิสัยชอบเข้าหาผู้ใหญ่ทั้งที่ไม่จำเป็นกับแม่บ้านก็ยิ่งทำให้ยายแสนรู้สึกดีด้วยมากขึ้นไปอีก
ก็ได้ครับ ถ้างั้นบ่ายๆ คงกลับนะครับ ถ้าคุณลุงกลับมาแล้วป้าแสนโทรบอกผมหน่อยก็ได้ เผื่อผมจะได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อน
ยายแสนพยักหน้าและยิ้มรับขณะมองพรพฤกษ์เดินออกจากบ้านไป จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำความสะอาดบ้านต่อ ในใจของแม่บ้านอาวุโสอิ่มเอมด้วยความสุขกับบรรยากาศที่สมกับความเป็นครอบครัวซึ่งแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่พรพฤกษ์เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้าน
++------++
13 เมษายน, วันมหาสงกรานต์
เวลาเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์บนขอบฟ้ายังลอยขึ้นไม่เต็มดวง ตฤณลุกตื่นจากห้วงนิทราด้วยลางสังหรณ์แปลกๆ ปกติผู้สูงวัยก็เป็นคนตื่นเช้าโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาจึงรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ทว่าพยายามคิดหาสาเหตุเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
หรือว่า...เพราะวันนี้สองคนนั้นจะไปเชียงใหม่กระมัง...
นายใหญ่บ้านสุวรรณฤทธิ์พยายามคิดว่าคงเป็นเหตุผลจากเรื่องที่รู้ดีอยู่แล้ว เมื่อสรุปกับตัวเองได้ดังนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปทานมื้อเช้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่แล้วก็ชะงักเมื่อลงมาถึงหัวบันไดชั้นล่าง
อรุณสวัสดิ์ค่าคุณท่าน วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะคะ
ตฤณกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นยายแสนยืนยิ้มรออยู่หน้าทางเลี้ยวไปห้องอาหาร เพราะปกติอีกฝ่ายจะเพียงแต่คอยยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านใน แต่ที่ทำให้วันนี้หัวหน้าแม่บ้านอาวุโสดูแปลกตากว่าทุกวันก็คือเสื้อเชิ้ตลายดอกสีสันสดใสซึ่งสวมทับผ้าซิ่นและมีผ้าขาวม้าผืนเล็กคาดเอว บนแก้มสองข้างมีรอยประแป้งน้ำเป็นวง รอบคอคล้องพวงมาลัยดอกดาวเรืองสีเหลืองแสดดอกใหญ่ แล้วยังมีดอกมะลิที่ร้อยสลับกับกลีบกุหลาบแดงมุ่นเอาไว้รอบผมมวยด้วย
ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ วันนี้ไม่ได้ทำมื้อเช้าหรือไง?
ตฤณถามพลางเดินต่อไปยังห้องอาหาร ยายแสนที่เดินตามจึงตอบพลางยิ้มแป้น วันนี้อิฉันไม่ได้ทำค่ะคุณท่าน คุณไผ่อาสาเป็นคนจัดการเองค่ะ เสื้อชุดนี้คุณไผ่ก็ซื้อมาให้ด้วยนะคะ
นายใหญ่ของบ้านเหลือบมองหัวหน้าแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมานานแล้วก็เลิกคิ้ว เริ่มจะเข้าใจว่าลางสังหรณ์แปลกๆ ที่รู้สึกเมื่อเช้าคืออะไร แต่แล้วเมื่อเดินเข้าไปในห้องอาหารก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
บนโต๊ะอาหารที่ปกติปูผ้าสีครีมและมีแจกันดอกไม้วางตรงกลางดูแปลกตากว่าทุกวัน เพราะว่าแจกันที่ปกติยายแสนจะปักดอกไม้ซึ่งตัดมาจากสวนในบ้านหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยพานสีทองใบใหญ่ที่มีขันเงินและพวงมาลัยวางอยู่ ตรงกลางพวงมาลัยคือพระพุทธรูปองค์เล็กที่คงนำลงมาจากห้องพระ ส่วนบนโต๊ะก็มีกลีบดอกไม้ไทยหลากสีทั้งดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และกลีบดอกดาวเรืองโรยไว้บางๆ
ตระการซึ่งนั่งที่เก้าอี้ประจำตัวอยู่แล้วลุกขึ้นเมื่อเห็นบิดา ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะให้ อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ
ตฤณยังงุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ตระการมาเลื่อนเก้าอี้ให้ แต่ก็เดินไปนั่งลงบนที่ประจำแม้จะรู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องเหนือความคาดคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที แต่อย่างน้อยการที่เห็นบุตรชายใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาก็ทำให้เขาค่อยวางใจว่าท่ามกลางบรรยากาศแปลกๆ อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่คุ้นเคยให้สบายใจอยู่บ้าง
อรุณสวัสดิ์ครับคุณลุง เช้านี้กินข้าวแช่นะครับ
พรพฤกษ์ถือถาดเดินออกมาจากในครัวแล้ววางลงตรงหน้าตฤณ เมื่อผู้สูงวัยเหลือบตาลงมองก็เห็นว่าในถาดมีข้าวแช่โรยดอกมะลิในถ้วยแก้วใส และมีเครื่องเคียงทั้งลูกกะปิทอด หัวไชโป๊วผัดหวาน ปลาแห้งผัดหวานและพริกหยวกสอดไส้
ตฤณปรายตากลับจากชุดอาหารตรงหน้าขึ้นมองพรพฤกษ์ที่ใส่เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวไม่ฟอกสีกับกางเกงสะดอสีเข้ม จากนั้นก็ถามด้วยเสียงแสดงความสงสัย
นี่ทำเองรึ?
พรพฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้า เปล่าครับ นี่ไปซื้อมา เจ้านี้เจ้านายผมแนะนำมาว่าอร่อย
เด็กแม่บ้านอีกคนและยายแสนยกถาดข้าวแช่อีกสองชุดมาให้สำหรับตระการและพรพฤกษ์ จากนั้นก็ถอยไปยืนรออยู่ด้านข้าง ตฤณเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าแม้แต่เด็กสาวก็แต่งตัวเหมือนหัวหน้าแม่บ้านไม่ผิดเพี้ยน
นึกอะไรกันขึ้นมา ปกติไม่เห็นเคยแต่งตัวแบบนี้
ผมซื้อให้เองแหละครับคุณลุง ไหนๆ วันนี้ก็วันสงกรานต์ทั้งที แล้วเดี๋ยวผมกับต้นก็จะไม่อยู่ ผมเลยคิดว่าถ้าเราได้ทำอะไรตามประเพณีกันบ้างก็ดีเหมือนกัน
พรพฤกษ์ตอบแทนแม่บ้านทั้งสอง ตฤณจึงมองหน้าคนตอบ จากนั้นก็หันไปเลิกคิ้วมองตระการราวจะถามด้วยสายตาว่ารู้เห็นเป็นใจอยู่แล้วหรือไม่ ตระการจึงยิ้มพลางยกช้อนขึ้นมาถือ
กินข้าวกันเถอะครับพ่อ
บุตรชายโทนตัดบท พรพฤกษ์เองก็เพียงแต่ยิ้มแล้วนั่งลงตักข้าวแช่ขึ้นทาน สุดท้ายตฤณจึงต้องทานบ้างเพราะดูจะไม่มีใครอยากขยายความให้เขากระจ่างเพิ่มขึ้นสักคน
หลังจากที่ทั้งสามทานมื้อเช้าเสร็จและให้แม่บ้านยกถาดไปเก็บแล้ว พรพฤกษ์ก็ยกพานตรงกลางโต๊ะมาวางตรงหน้าตฤณแล้วยกขันใบใหญ่ลงวางข้างๆ ในขันมีน้ำลอยดอกไม้ซึ่งเหยาะแป้งร่ำหอมฟุ้งเอาไว้และขันเงินใบเล็กๆ อีกใบลอยอยู่ ตรงกลางพานทองตอนนี้จึงเหลือเพียงพระพุทธรูปองค์เล็กกับพวงมาลัยที่ร้อยสลับสีอย่างพิถีพิถัน
ตฤณเลิกคิ้วมองพรพฤกษ์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่ผมอยู่กับตาสองคน พอถึงวันสงกรานต์เราจะไปทำบุญที่วัดด้วยกันแล้วก็รดน้ำพระสงฆ์กับพวกผู้ใหญ่ แต่ตั้งแต่ตาป่วยก็ไม่ได้ทำอีกเลย พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่าไหนๆ ที่บ้านนี้ก็มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ก็น่าจะรดน้ำขอพรให้เป็นสิริมงคลกันบ้าง
...แล้วแกก็เห็นด้วย?
ตฤณหันไปถามตระการ ซึ่งเจ้าตัวก็เพียงแต่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
บ้านเราไม่เคยทำแบบนี้กันเลยนะครับพ่อ ตอนไผ่เสนอขึ้นมาผมเลยคิดว่าก็เข้าท่าดี
พรพฤกษ์ยื่นขันใบเล็กให้ตฤณ ผู้สูงวัยมองใบหน้าที่ส่งยิ้มมาให้แล้วก็ยื่นมือไปรับขันอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรพฤกษ์ทำให้เขานึกถึงพิมผกา หรือเพราะว่าเขาแพ้วิธียิ้มเพื่อเอาใจของอีกฝ่ายกันแน่ เนื่องจากตระการซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ยังไม่เคยประจบเขาแบบนั้นสักครั้ง
เอ้า....อยากทำกันก็ตามใจ
พรพฤกษ์กับตระการลอบสบตากันแล้วก็ยิ้ม หลังจากที่ตฤณสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จ พรพฤกษ์ก็เข้าไปสรงน้ำพระต่อบ้าง ตระการยืนจับจ้องอิริยาบถตอนอีกฝ่ายตักน้ำรดไปบนพระพุทธรูปแล้วพนมมือไหว้อย่างไม่ให้คลาดสายตา ขณะที่ริมฝีปากบางก็มีรอยยิ้มน้อยๆ แต้มอยู่ตลอด
ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะคบกันมาเกือบห้าปี และพรพฤกษ์ก็เข้ามาอยู่ที่บ้านนี้จะครบสองปีแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังคงทำให้เขาประหลาดใจกับความสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมแม้กระทั่งคนหัวแข็งที่สุดในโลกอย่างพ่อของเขาได้ และการที่เจ้าตัวพยายามจะช่วยสร้างบรรยากาศของครอบครัวให้เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ก็ยิ่งทำให้ตระการภูมิใจที่ไขว่คว้าหัวใจดวงนี้มาครองได้สำเร็จมากขึ้นไปอีก
ต้นคิดไม่ผิดจริงๆ นะ ที่ขอให้ไผ่มาอยู่ด้วยกันที่นี่...
ตฤณมองสายตาของตระการที่ส่งให้พรพฤกษ์ขณะอีกฝ่ายยื่นขันใบเล็กให้เพื่อสรงน้ำพระบ้าง จากนั้นผู้อาวุโสก็ส่งเสียงหึขึ้นจมูกเบาๆ
ดูท่าทางลูกชายเขาคงหลงเด็กคนนี้จนกู่ไม่กลับแล้ว
เรียบร้อย ทีนี้ขอพวกผมรดน้ำคุณลุงบ้างนะครับ
หือ?
ตฤณยังคิดอย่างกระหยิ่มได้ไม่ทันไร พรพฤกษ์ก็หันมาหาเขา พวงมาลัยดอกมะลิที่ไม่รู้ว่าเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ถูกสวมลงมารอบคอก่อนที่เขาจะถูกดึงให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง และยายแสนก็ยกอ่างเปล่าอีกใบมาให้เพื่อจะได้เอาไว้รองน้ำ
รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ไงครับคุณลุง ต้นจะรดให้พ่อก่อนมั้ย?
ท้ายประโยคพรพฤกษ์หันไปถามตระการที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ คนถูกถามจึงส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ล่ะ ไผ่ทำให้ดูก่อนก็แล้วกัน ต้นไม่เคยทำ
พรพฤกษ์ฟังคำตอบแล้วก็เลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ดูเหมือนคนบ้านนี้จะไม่คุ้นเคยกับการทำอะไรตามประเพณีกันเอาเสียจริงๆ เขาจึงเริ่มก่อนด้วยการนั่งคุกเข่าลงกับพื้นหน้าตฤณ จากนั้นก็ลากอ่างเปล่ามารองไว้ใต้มือของผู้สูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วค่อยหันไปเอาขันใบเล็กตักน้ำลอยดอกไม้ที่เหลือในขันใบใหญ่มารดลงไปบนฝ่ามือของตฤณช้าๆ
ขอให้คุณลุงสุขภาพแข็งแรง โรคหัวใจไม่กำเริบอีก เจอแต่เรื่องดีๆ แล้วก็อยู่กับผมกับต้นไปนานๆ นะครับ
พอรดน้ำหมดขัน พรพฤกษ์ก็ยกมือไหว้ พอเห็นนัยน์ตาสีนิลสดใสที่เหลือบขึ้นมองเขาอีกครั้ง ตฤณก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไปครู่หนึ่ง
คำอวยพรของพรพฤกษ์นั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำอวยพรจากพวกลูกน้องหรือคู่ค้าทางธุรกิจที่มักเพียงแต่มอบให้เขาตามมารยาท และผู้อาวุโสก็ประดักประเดิดด้วยไม่เคยชินกับการแสดงความห่วงใยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น
ด้วยอายุที่ผ่านโลกมาหกสิบกว่าปี เขาย่อมต้องเคยทำพิธีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่สมัยยังเป็นหนุ่ม กระนั้นความที่ไร้ญาติมิตรก็ทำให้ไม่เคยเป็นฝ่ายถูกรดน้ำเองจากลูกหลานเช่นนี้ อึดใจหนึ่งผ่านไปจึงค่อยนึกได้ว่าต้องอวยพรให้อีกฝ่ายกลับ
มือผอมกร้านที่ยังหมาดชื้นจากน้ำลอยดอกไม้เมื่อครู่ยกขึ้นลูบผมของพรพฤกษ์เบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแห้งเล็กน้อย
ขอบใจ ขอให้เธอสุขภาพแข็งแรงเหมือนกัน
พรพฤกษ์ยิ้มตอบก่อนจะกราบลงบนตักเขา ร่างเพรียวลุกขึ้นพลางหันไปยื่นขันใบเล็กในมือให้ตระการ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยหันไปตักน้ำลอยดอกไม้แล้วนั่งคุกเข่าลงหน้าตฤณ
ความเงียบแขวนอยู่ในอากาศระหว่างพ่อลูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ตระการจะกระแอมเบาๆ แล้วค่อยรดน้ำลงบนมือของบิดาที่ยื่นออกมา
ตฤณจ้องมองกระหม่อมศีรษะของลูกชายที่กำลังรดน้ำใส่มือนิ่ง
ผมหวังว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของพ่อ เช่นเดียวกับปีต่อๆ ไปหลังจากนี้ ขอให้ปัญหาทางสุขภาพหมดไป จะได้คอยดูความสำเร็จของผมไปเรื่อยๆ นะครับ
ตระการอวยพรเสร็จก็วางขันที่รดน้ำกลับลงในขันใบใหญ่ จากนั้นก็ก้มลงกราบบนตักของพ่อตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็ประสานสายตากับตฤณที่มองลงมาอยู่แล้ว
คำอวยพรนั้นแทนความในใจของเขาได้ดีที่สุด ว่าจะมุ่งมั่นดูแลธุรกิจที่ได้รับมอบหมายต่อไป เช่นเดียวกับความปรารถนาดีที่มีต่อบิดาไม่เคยเปลี่ยน ถึงแม้ทั้งคู่จะเคยห่างเหินและไม่เข้าใจกันมายี่สิบกว่าปีก็ตาม
ตฤณจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองตรงมา ถึงแม้จะไม่อาจพูดได้ว่าเขารักแม่ของตระการเท่ากับพิมผกา แต่ถึงอย่างไร...ชายหนุ่มตรงหน้าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขที่เขาเลี้ยงดูและทุ่มเทฝากความหวังมาตลอด และหลายปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้อย่างไม่บกพร่อง แถมยังทำได้ดีเกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้เสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าการที่ไม่เคยบอกรักบุตรชายมาก่อนจะทำให้คำนั้นยากจะหลุดจากปาก แต่อย่างน้อยตฤณก็ยังมีวิธีแสดงความรู้สึกของเขา ถึงแม้จะอ้อมค้อมไปบ้างตามประสาคนแก่ที่ไม่ชินกับการแสดงความอ่อนโยนก็ตาม
มือผอมกร้านยื่นออกไปลูบผมที่ตัดสั้นของลูกชาย ฝ่ามือนั้นค้างไว้นานกว่าตอนที่อวยพรกลับให้พรพฤกษ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้น
อย่าทำให้ฉันผิดหวังก็แล้วกัน
ตระการยิ้มก่อนจะก้มลงกราบเขาอีกครั้ง พรพฤกษ์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในอก อาจเพราะเขาเริ่มชินแล้วที่สองพ่อลูกคู่นี้จะไม่พูดแสดงความรู้สึกห่วงใยกันตรงๆ แต่อย่างน้อย...สิ่งที่สัมผัสได้ในน้ำเสียงและแววตาก็ชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปจากคำพูดที่ฟังเผินๆ อาจดูเหมือนห่างเหินได้แล้ว
จริงสิ...ป้าแสนกับนิดจะรดน้ำคุณลุงด้วยไหมครับ? พรพฤกษ์หันไปทางหัวหน้าแม่บ้านเมื่อนึกขึ้นได้ คนถูกถามจึงยกมือขึ้นตบอกพร้อมกับสีหน้าตกใจ
อุ้ย! ได้เหรอคะ?
ยายแสนทำน้ำเสียงตื่นๆ พลางหันไปมองเด็กผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังยิ้มแหยๆ พรพฤกษ์จึงหันกลับไปหานายใหญ่ของบ้านพลางเอ่ยยิ้มๆ
ต้องได้สิครับ ป้าแสนกับนิดก็ทำงานกับคุณลุงมาตั้งนานแล้วนี่นา
ตฤณเลิกคิ้ว แต่ก็พบว่ามาถึงขั้นนี้ จะวางท่าปฏิเสธไปก็เสียเวลาเปล่า จึงเพียงปรายตามองไปทางสองแม่บ้านต่างวัยแล้วพูดเสียงนิ่ง
ถ้าจะรดน้ำก็รีบมา
ว้าย! ขอบคุณค่ะคุณท่าน
ยายแสนยิ้มแย้มพลางรดน้ำขอพรตฤณ ก่อนที่นิดจะทำตามบ้างด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ หลังจากทั้งสองรดน้ำขอพรจากนายใหญ่ของบ้านเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าแม่บ้านก็ทำท่าจะหยิบขันน้ำลอยดอกไม้และอ่างไปเททิ้ง พรพฤกษ์จึงรีบห้ามไว้และหยิบขันมาถือเอง
เดี๋ยวก่อนครับป้าแสน ผมว่าจะเอาขึ้นไปรดน้ำรูปของแม่บนห้องพระด้วย ยังไม่ต้องเก็บก็ได้ครับ
อ้อ? จะเอางั้นเหรอคะคุณไผ่?
หัวหน้าแม่บ้านสูงวัยเลิกคิ้ว ตระการหันไปมองพรพฤกษ์แล้วก็เข้าใจ จึงหยิบอ่างน้ำในมือของยายแสนไปถือบ้าง
เดี๋ยวผมช่วยไผ่เอาไปข้างบนเองครับ
พรพฤกษ์หันไปทางตฤณ คุณลุงก็ไปด้วยกันสิครับ
ตฤณที่กำลังหยิบทิชชู่มาซับมือเพียงแต่พยักหน้าบางๆ แต่ไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยตามขึ้นไป
เมื่อคล้อยหลังชายหนุ่มทั้งสอง ตฤณยังคงนั่งนิ่งมองมือของตนที่เพิ่งถูกรดน้ำไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งร่ำและดอกไม้ยังคงอวลอยู่เจือจางแม้จะไม่ยกมือขึ้นแตะจมูก และความอบอุ่นของบรรยากาศที่ยังอ้อยอิ่งก็ทำให้ในอกของผู้สูงวัยอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันไม่เคยคุ้น
วันของครอบครัว....เป็นแบบนี้เองสินะ เด็กคนนั้นก็พยายามเกินคาด
มุมปากของตฤณยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่พรพฤกษ์ทำในวันนี้เพื่อให้เขากับตระการได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะลุกจากเก้าอี้ก็เห็นแม่บ้านอาวุโสที่ยืนอยู่ไม่ห่างยิ้มแป้น เขาจึงวางสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิมและถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญหน่อยๆ
ไม่มีงานอะไรต้องไปทำหรือไง?
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสูงวัยขยายกว้างกว่าเดิม มีเจ้าค่ะคุณท่าน แต่พอดีอิฉันเพิ่งนึกได้ ว่าจริงๆ แล้วที่คุณท่านไม่ยอมไปเชียงใหม่กับคุณต้นคุณไผ่ จริงๆ ไม่ใช่เพราะเกลียดการเดินทางอย่างเดียวหรอก แต่เพราะไม่อยากไปเป็น ก.ข.ค. สองคนนั้นใช่ไหมล่ะคะ?
เพราะว่าทำงานรับใช้มานานสามสิบกว่าปี หัวหน้าแม่บ้านอาวุโสจึงมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับทั้งนายใหญ่และนายน้อยของบ้านมากพอจะอ่านสีหน้าท่าทางของแต่ละคนออก ดังนั้นนอกจากจะมองออกว่าตระการทั้งรักทั้งหลงพรพฤกษ์เอามากๆ แล้ว ยายแสนก็มองออกด้วยว่าสายตาของตฤณมักจะอ่อนโยนกว่าปกติเวลาที่เห็นตระการกับพรพฤกษ์แสดงความห่วงใยกันและกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะนึกถึงตัวเองสมัยยังหนุ่มกับพิมผกาซึ่งเป็นผู้หญิงที่เคยรักที่สุดก็เป็นได้
ตฤณมองแววตารู้ทันของหัวหน้าแม่บ้านอย่างหน่ายๆ แต่ก็คร้านจะเอ็ดเพราะเดี๋ยวจะทำลายบรรยากาศดีๆ ที่พวกลูกชายสร้างไว้เสียหมด จึงเพียงเลื่อนเก้าอี้เข้าที่เดิมแล้วเดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไป
ฉันไม่จำเป็นต้องไปขัดเวลาความสุขของลูกฉันนี่
ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับตรงๆ ต่อหน้า แต่หลังจากที่ทำใจยอมรับพรพฤกษ์และอนุญาตให้ตระการพามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ผู้สูงวัยก็สังเกตเห็นว่าบุตรชายมีชีวิตชีวามากขึ้น และดูเหมือนความอ่อนโยนและช่างเอาใจใส่ของพรพฤกษ์จะทำให้บรรยากาศที่เคยอึมครึมระหว่างพ่อลูกและคนอื่นๆ ในบ้านค่อยๆ จางหาย เพื่อเป็นการตอบแทน และชดเชยที่เคยพรากทั้งสองจากกัน เขาจึงอยากปล่อยให้ตระการกับพรพฤกษ์ได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างเป็นอิสระโดยที่มีเขาไปข้องเกี่ยวให้น้อยที่สุด
ยายแสนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเมื่อนายใหญ่ของบ้านเดินออกจากห้องอาหารไป ความเปลี่ยนแปลงของตฤณจากที่เคยเห็นมาตลอดสามสิบกว่าปีทำให้แม่บ้านสูงวัยอดคิดไม่ได้ว่าแม้แต่ไม้แก่ก็ยังอาจดัดได้ ถึงแม้ว่าจะยากกว่าไม้อ่อนอยู่มากก็ตาม แต่หากไม้แก่ต้นนั้นได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างระมัดระวังเพียงพอ แม้แต่สิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่ใครๆ ก็ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็สามารถเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดูจากท่าทีของตฤณที่เริ่มโอนอ่อนให้ผู้คนรอบตัวมากขึ้น แล้วยังอาการโรคหัวใจที่ดีวันดีคืนนั่นเป็นตัวอย่างปะไร
โชคดีจริงๆ ที่คุณต้นพาคุณไผ่มาอยู่ที่นี่...
แม่บ้านสูงวัยเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อสั่งให้เด็กผู้ช่วยทำความสะอาดห้องอาหาร ก่อนที่ตัวเองจะเดินต่อไปยังห้องด้านหลังเพื่อนำผ้าที่ซักไว้ออกตาก ท้องฟ้าที่สดใสและมีกลิ่นสดชื่นของสายลมจางๆ เป็นสัญญาณที่ดีว่าวันนี้คงจะอากาศแจ่มใสไปทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวว่าผ้าจะไม่แห้ง
ในวันธรรมดาที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ เช่นนี้....ความสงบสุขก็ยังคงกรุ่นกำจายภายในบ้านสุวรรณฤทธิ์เหมือนเช่นทุกวัน
++---End---++
A/N: อันว่าทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป อย่างตอนพิเศษสำหรับสงกรานต์ของต้นกับไผ่นี่ก็ไม่เคยมีไอเดียมาก่อนเลยว่าจะเขียน แต่พอดีเมื่อช่วงต้นเดือนไปเที่ยวเชียงใหม่มา แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนก็หยิบแม้นมั่นคำสัญญาฉบับรวมเล่มมาอ่านทวนอีกครั้ง ทีนี้พอกำลังจะเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อทำงาน ไอเดียของตอนพิเศษนี้มันก็ดันไหลเข้ามาเองซะอย่างนั้นล่ะค่ะ เพียงแต่บรรยากาศโดยรวมจะเน้นไปทาง ความเป็นครอบครัว มากกว่าความหวานแหวว ก็ได้แต่หวังว่าจะช่วยให้แฟนๆ ที่เคยทักว่าอยากอ่านตอนพิเศษของต้นกับไผ่หายคิดถึงกันบ้าง แล้วก็ไหนๆ แล้ว ใครที่เคยบอกไว้ว่าอยากอ่านตอนพิเศษคู่นี้ก็มาลงชื่อและทิ้งคอมเม้นต์ให้คนเขียนชื่นใจกันหน่อย จะได้มีกำลังใจเขียนตอนใหม่มาให้อ่านกันอีกน้า
ปล. เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เรื่องนี้เขียนจบและรวมเล่มมาครบปีแล้วล่ะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
ปล.2 ที่นับตอนนี้เป็นตอนพิเศษ 5 เนื่องจากตอนพิเศษ 2 กับ 3 นั้นอยู่ในรวมเล่มเท่านั้นนะคะ
Create Date : 15 เมษายน 2555 |
Last Update : 15 เมษายน 2555 10:56:56 น. |
|
18 comments
|
Counter : 2672 Pageviews. |
|
|
|
โดย: sunisa IP: 125.24.30.94 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:12:00:31 น. |
|
|
|
โดย: Niii IP: 118.174.59.7 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:13:09:30 น. |
|
|
|
โดย: Phueng IP: 124.122.130.43 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:16:04:45 น. |
|
|
|
โดย: Ning kulanit IP: 58.8.133.162 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:20:34:52 น. |
|
|
|
โดย: oato IP: 124.121.71.109 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:20:56:43 น. |
|
|
|
โดย: ฝน IP: 118.174.92.159 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:22:42:49 น. |
|
|
|
โดย: maioo2000 IP: 223.204.130.64 วันที่: 15 เมษายน 2555 เวลา:23:17:01 น. |
|
|
|
โดย: Ning kulanit IP: 110.168.245.218 วันที่: 16 เมษายน 2555 เวลา:14:53:16 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (ไม่ได้ล็อกอิน) IP: 58.9.249.227 วันที่: 16 เมษายน 2555 เวลา:22:27:10 น. |
|
|
|
โดย: aew IP: 125.27.111.6 วันที่: 17 เมษายน 2555 เวลา:10:36:26 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:10:30:40 น. |
|
|
|
โดย: เอิงเอย IP: 182.53.128.210 วันที่: 20 เมษายน 2555 เวลา:17:15:30 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:8:59:38 น. |
|
|
|
โดย: ภัทร IP: 58.11.150.74 วันที่: 21 พฤษภาคม 2555 เวลา:12:48:21 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 23 พฤษภาคม 2555 เวลา:19:32:06 น. |
|
|
|
โดย: หมูหวาน IP: 223.207.108.215 วันที่: 1 กันยายน 2555 เวลา:20:07:05 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 2 กันยายน 2555 เวลา:16:15:42 น. |
|
|
|
โดย: khun only IP: 223.207.183.234 วันที่: 13 เมษายน 2557 เวลา:10:24:05 น. |
|
|
|
| |
|
|