L'aventure continue
พวกฉันหยุดที่ Tonnay-Charente ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ระหว่างนั้นก็พยายามเรียบๆเคียงๆ ประธานสมาคมกีฬาทางน้ำประจำเมืองเพื่อขออยู่ระยะยาว พวกฉันชอบที่นี่ด้วยหลายเหตุผล ท่าเรือเงียบสงบ คนที่นี่ก็ดูเป็นมิตร (แม้คนเมืองนี้จะพูดเสียงดังจนพวกฉันตกใจอยู่หลายครั้ง สงสัยจะเป็นเพราะเมืองนี้มีคนแก่เยอะ เลยต้องพูดเสียงดัง ไม่งั้นไม่ได้ยินแหงๆ) สะพานเทียบเรือมีน้ำไฟพร้อม แค่เสียค่าสมาชิกปีละ30ยูโรก็สามารถจอดเรือที่นี่ได้อย่างสบาย แต่คำตอบที่ได้คือ พวกเราไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ แม้เรือเราจะไม่ได้ลำใหญ่นัก แต่เมื่อเทียบกับเรือยนต์ขนาดไม่เกินสี่เมตรที่จอดเรียงรายกันอยู่แล้วละก็ เจ้า Voyage IIของเราดูจะกินพื้นที่มากไปหน่อย พวกเราจึงต้องล่องแม่น้ำขึ้นไปต่อ แต่ปัญหาคือเราต้องเอาเสากระโดงเรือลงก่อน เพราะมีสะพานรออยู่ข้างหน้าอีกหลายสะพาน ทางประธานสมาคมจึงเสนอตัวช่วยเราเอาเสาลงโดยการใช้ลอกยึดกับสะพานแขวนสูงลิบลิ่วที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า และแล้วเสากระโดงเรือที่เราติดตั้งเมื่อสองเดือนก่อนด้วยเวลาสองชั่วโมง ก็ลดยอดลงด้วยเวลาสิบนาที เอ่อ...พอจะง่ายก็เอาง่ายๆ ซะงั้น ดีเหมือนกันแฮะ




สองวันต่อมาพวกเราก็ออกเดินทางล่องขึ้นแม่น้ำ ฉันพูดว่าล่องขึ้นแม่น้ำก็จริงแต่แม่น้ำทอดลงไปทางใต้ของภาคตะวันตกค่ะ พวกเราเลือกช่วงเวลาน้ำขึ้นในการออกเดินทางเพื่อที่ว่า เมื่อไปถึงฝายกั้นน้ำจะได้เป็นช่วงน้ำขึ้นเต็มที่พอดีและที่สำคัญควรจะไปถึงก่อนหกโมงเย็น ไม่อย่างนั้นเราต้องรอกันทั้งคืน เพราะฝายนี้มีคนเปิดให้เราผ่านไป เมื่อออกเดินทางเครื่องยนต์ทำงานดีเยี่ยม ระบบระบายความร้อนทำงานอย่างดี ข้างหน้าเราเป็นสะพานแรกที่ต้องลอดผ่านไป ตอนนี้ไม่มีเสากระโดงเรือแล้วเราสามารถลอดใต้สะพานได้อย่างสบายๆ ก่อนถึงสะพานฉันเห็นสามีฉันทดลองอะไรสักอย่างที่ทำให้ฉันกังวลเล็กน้อย สะพานอยู่ห่างจากเราไปประมาณสองร้อยเมตร ฉันบอกเขาว่า “ดูข้างหน้าด้วย” เขาตอบกลับมาว่า “เธอจะมาสอนฉันเรอะ” อ้าว...สอนจระเข้ว่ายน้ำซะงั้น ฉันปิดปากเงียบ แต่ในใจกลับกังวล วันนั้นกระแสน้ำแรงมาก ฉันเห็นหัวเรือพุ่งเข้าหาสะพานแล้วท่องนะโมในใจ สามีฉันร้อง “Merde !” ซวยแล้วจริงๆนั่นแหล่ะ เขาหันหางเสือเรือไปทางขวาเต็มที่ เพื่อหลบไปทางซ้าย แต่เรือใกล้สะพานเกินไป กระแสน้ำซัดแรง แถมไอ้หางเสือเรือที่สามีฉันอ้างว่า มันแข็งและเสียงดังก็เพราะมันยังใหม่อยู่ก็ดันไม่ทำตามใจกัปตันเรือ เรือด้านขวาเฉี่ยวตีนสะพานไป เครื่องยนต์ยามาฮ่า 2 แรงม้าตกลงไปอยู่ใต้น้ำ แล้วVoyage II ก็ไปนอนเกยห่างไปสิบเมตร(นี่ฉันเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งรึป่าววะเนี่ย) ฉันเห็นสายตาสามีที่มองไปที่ตีนสะพานจึงบอกเขาว่า “น้ำแรงขนาดนี้ อย่าคิดจะตามไปเก็บเครื่องยนต์เลย” ทริปนี้เสียเครื่องยนต์ไปหนึ่ง ด้านขวาของเรือบุบเล็กน้อย ดีที่เป็นอลูมิเนียม ถ้าเป็นไฟเบอร์ป่านนี้คงเป็นรูเบ้อเริ่มไปแล้วหล่ะ !

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายมากไปกว่านี้พวกเราจึงเดินทางกันต่อและตัดสินใจไม่พูดถึงเครื่องยนต์ที่ตกน้ำไป พวกฉันพยายามยิงมุขกันตลอดทาง เรือล่องแม่น้ำขึ้นไปช้าๆ เราชมวิวทิศทัศน์ข้างทางไปเรื่อยๆ ด้วยความที่น้ำยังขึ้นไม่เต็มที่ เราจึงเห็นแต่โคลนในแม่น้ำ ไม่ค่อยจะงามตาเท่าไรนัก เราทักทายผู้คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำไปตลอดทาง ก็สุขไปอีกแบบ แต่ทุกครั้งที่ลอดใต้สะพานฉันบอกให้สามีระวังทุกครั้ง อย่ามาประวัติศาสตร์ซ้ำรอยนะ... พอใกล้ถึงเมือง Saint-Savinien ซึ่งเป็นที่ตั้งของฝายกั้นน้ำ ฉันเห็นหอนาฬิกาอยู่ลิบๆ ข้างหน้ามีป้ายห้ามผ่าน หมายความว่าเราต้องเลี้ยวไปทางขวา ด้านขวาเราเห็นฝายกั้นน้ำอยู่ใกล้นิดเดียว มีสะพานเทียบเรืออยู่ด้านซ้ายมือ เราต้องเอาเรือเข้าไปจอด ดูแล้วไม่ยาก ไม่มีกระแสน้ำ ลมสงบ ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย พวกฉันค่อยๆ แล่นผ่านสะพานเพื่อดูลาดราวแล้วเลี้ยวกลับช้าๆ เพื่อจะเอาเรือเข้าเทียบ สามีฉันบอกให้ฉันมาคุมหางเสือ อย่าไปจับอะไร เดี๋ยวเขาจะเอาเชือกลงไปมัดเอง ครั้งแรกในชีวิตที่ต้องทำหน้าที่นี้ ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย ระหว่างที่เรือค่อยๆ เข้าใกล้สะพาน ฉันมองดูแล้วมันต้องเลยสะพานแน่ จึงหักหางเสือเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็มีลมพัดพร้อมกับกระแสน้ำที่แรงขึ้น สามีฉันไม่สามาระกระโดดลงไปที่สะพานได้จึงรีบวิ่งกลับมาเพื่อหันหัวเรือกลับ เอ้า...เริ่มกันใหม่ ครั้งนี้กระแสน้ำแรงพัดเรือเราเข้าไปแทรกระหว่างสะพานเทียบเรือกับตลิ่ง ระหว่างนั้นสองคนผัวเมียเริ่มหงุดหงิด น้ำพัดเราไปติดทางเดินข้างหน้า ฉันต้องยันเรือไม่ให้ชนสุดแรง ส่วนสามีฉันลากเชือกลงไปที่สะพานเพื่อที่จะดันเรือออกมาข้างนอก ยื้อยุดดึงเข้าดึงออกกันอยู่กว่าสิบนาที ในที่สุดเราก็เอาเรือออกมาได้ พร้อมกับเชือกที่เข้าไปพันติดอยู่ที่ใบพัดเรือซึ่งเป็นสาเหตุให้เราเอาเรืออกมาอย่างยากลำบาก จากนั้นพวกเราจึงลงไปที่ออฟฟิศคนเปิดฝาย เพื่อขอให้เปิดให้เราผ่านไป แต่ต้องค่อยๆใช้เชือกลากเรือผ่านไป เพราะเชือกติดใบพัด พวกเราจึงค่อยๆลากเรือข้ามไป โดยที่ฉันอยู่บนเรือคอยดูไม่ให้เรือชนขอบซีเมนต์หนาด้านข้าง ในที่สุดเราก็สามารถผ่านไปได้ด้วยความลำบาก

พอถึงสะพานเทียบเรือ สามีฉันจึงจัดการถอดเสื้อแล้วดำลงไปเอาเชือกที่พันใบพัดออก แล้วทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนถามขึ้นว่า “มีน้ำเข้าเรือรึป่าว”ฉันก้มลงมองด้านล่างใต้เครื่องยนต์ ฉันเห็นน้ำกำลังไหลผ่านท่อเข้ามาภายในเรือ แล้วสามีฉันก็ตะโกนขึ้นว่า “เรือกำลังจะจม” ห๊าาาาา....อะไร ยังไง จมได้ไง คำถามพร่างพรูขึ้นมาจากปากฉันอย่างตื่นตระหนก แรงดึงของเชือกทำให้ใบพัดหลุดออกจากท่อน้ำจึงไหลเข้ามาในเรือ ฉันเห็นน้ำเริ่มจะล้นช่องที่กั้นเครื่องยนต์ไว้ สามีฉันดำลงไปเพื่อต่อใบพัดเข้าที่ ส่วนฉันด้วยความเร็วที่สร้างความแปลใจให้แม้กระทั่งตัวเอง ฉันคว้าประแจปากแบนไขน๊อตตรงทางลงที่ปิดเครื่องยนต์ออก คว้าถังน้ำและกระป๋องวิดน้ำแล้วเริ่มวิดน้ำออกอย่างรวดเร็ว น้ำผสมกับน้ำมันเครื่องสีเขียวน่าแหว่ะ แต่ฉันไม่มีเวลามานั่งแหว่ะจ้วงน้ำออกอย่างเดียว สามีฉันต่อใบพัดกลับเข้าที่ น้ำหยุดไหลเข้าภายในเรือ ส่วนฉันก็วิดน้ำออกจนเกือบจะแห้งสนิทด้วยเวลาไม่ถึงห้านาที สามีฉันกลับขึ้นมาบนเรือถึงกับอึ้งในความเร็วของฉัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องมาวิดน้ำออกจากเรือเพื่อไม่ให้เรือจม ฉันเคยมาแล้วตอนต้องช่วยชีวิตเรือที่สามีฉันสร้างตอนอยู่เมืองไทย เรื่องแค่นี้ ไม่ระคายมือฉันหรอก... สรุปว่าครั้งแรกของการผ่านฝายกันน้ำใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง(คนอื่นเค้าผ่านฝายกั้นน้ำได้อย่างยุ่งยากเหมือนพวกฉันมั้ยเนี่ย) นี่ขนาดมีคนเปิดฝายให้นะ อีกหลายฝายข้างหน้าเราต้องเป็นคนเปิดเอง แล้วมันจะยังไงเนี่ย

ปล 1.จะมีทริปที่เราล่องเรืออย่างสงบสุขมั้ยเนี่ย

ปล 2.ในที่สุดก็ใส่วิดีโอได้แล้ว แถมเปลี่ยนสีพื้นหลังก็ได้ เย้...



Create Date : 10 ตุลาคม 2553
Last Update : 10 ตุลาคม 2553 5:22:20 น.
Counter : 460 Pageviews.

1 comments
  
อิอิ สวัสดียามเที่ยงๆคร้าฟ


แวะมาทักทายยยนะคร้าฟ


วันนี้วันหยุด ไปเที่ยวไหนป่าววเอยยย



โดย: boyalonejang วันที่: 10 ตุลาคม 2553 เวลา:11:20:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tibou
Location :
Phisanulok  France

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เด็กอ้วนถือกำเนิดกลางตลาดเมืองสองแคว เมื่อ 31 ปีที่แล้ว จากนั้นก็ชีพจรลงเท้าไปเรียนประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างชีพจรก็พาสองเท้าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังเมืองน้ำหอมพร้อมกับความตั้งใจที่จะพูดภาษาฝรั่ีงเศสที่ใฝ่ฝันอยากเรียนสมัยมัธยมให้ได้ แล้วอุบัติรักกับหนุ่มเมืองน้ำหอม(สามีสุดเลิฟ)ก็เกิดขึ้น ปัจจุบันย้ายกลับมาอยู่ฝรั่งเศสอีกครั้งพร้อมทำหน้าที่แม่บ้าน กรรมกร(บนเรือ)กับสามีอันเป็นที่รัก พร้อมกับพยายามสานฝันอาชีพนักแปลให้สำเร็จ เพื่อให้นักอ่านบ้านเราได้มีโอกาสสัมผัสวรรณกรรมฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น สองคนผัวเมียตั้งฝันเดินทางรอบโลกด้วยเรือลำน้อยของเราในอีกสามปีข้างหน้า จุดหมายไปทางยังไม่ระบุ ที่แน่ๆขั้วโลกอยู่นอกเส้นทาง