Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
11 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
O มหาภารตะยุทธ .. บทที่.๙.๔ - ๑๐ .. O







สัญชัย กำลังทูลเล่าเหตุการณ์การรบให้ท้าวธฤตราษฎร์พระราชาตาบอดพระบิดาของเการพทั้ง 100 คน ให้ทราบความเป็นไปในสนามรบ .. สัญชัยนี้ได้รับพรจากฤษีวยาสพระบิดาของท้าวธฤตราษฎร์ให้มีสัมผัสพิเศษมองเห็นความเป็นไปในสนามรบได้ตลอดในทุกๆเหตุการณ์.




เพลง .. BhagavadGita_LightPassionDarkness




= บทที่๙ .. สงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ๑๘ วัน =
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
00101110 - - - 110102
00101112 - - - 110103
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ


O หรุบแสงแสดงบทะสลด
พระอุรสะวายชนม์
ครึ้มฟ้าวลาหกะสถล-
พิศะหม่นและมัวหมอง

O ลิ่มเลือดเพราะเชือดระดะละหลั่ง
มรณังก็จับจอง
ล้มร่าง ณ กลางรณะสยอง
กุธะผองก็พลันสูญ

O แดงโร่ก็โลหิตะกระเซ็น
ทุขะเค้นทวีคูณ
มอดดับสำหรับภวะอดูร
บริบูรณะส่วนทรวง

O สิ้นแล้วทะแกล้วมุขะพหล
อนุสนธิบาปปวง-
ท้อแท้ก็แผ่พละทะลวง
ฤจะล่วงมลายหาย

O เกรงว่าจะหายนะ .. กฤปา-
ดละวาทะรำบาย
หลังตรองคระลองพระอภิปราย
มุขะวายก็หมดหวัง-

O จักต้านกะปาณฑพะพหล
อนุสนธิกำลัง
จอมทัพสำหรับรณะ .. จะยัง-
เหมาะจะตั้งจะมีหรือ

O ควรที่จะมีนยะประนอม
ระบุพร้อมจะร่วมมือ
ด้วยธรรมบุตระ .. และถือ-
สุขะศานติจำนง

O ฟังทูลอดูระก็ประดัง
ฤจะยั้งและหยุดลง
สายเกินเผชิญ .. นยะประสง-
คะจะคงจะขัดขืน

O ด้วยกาละผ่านรณะประยุทธ
บทะยุดก็เพื่อยืน-
หยัดชาติมุอาชวะ..จะฝืน-
บุพะกรรมะบันดล

O พงศ์ราชะชาติสมรรถะผู้
นิระรู้จะยอมตน-
คู้ค้อมและน้อมศิระ-สกน-
ธะขมานะอย่าหมาย

O แม้นชนม์จะป่นศิระจะขาด
เพราะพิฆาตะทำลาย
ยินดีจะพลีชิวะถวาย
ผิวะพ่าย .. ก็ย่อมพร้อม

O เพื่อนพ้องและน้องชิวะสลาย
นิระหมายจะยินยอม-
ยกแค้น .. เพราะแค้นฤจะประนอม-
ยุติล้อมและบีบเค้น

O ศิษย์ยังจะสั่งพละณรงค์
เพราะประสงคะเพียบเพ็ญ
จนกว่าจะวาระชิวะเข็ญ
วตะเว้นและดับหวัง

O จอมทัพะคือศัลยะราช
สหะชาติชิงชัง
ร่วมภาวะอาวุธะ .. ประดัง-
พละหาญทะยานรณ



= บทที่๑๐ .. สิ้นสุดสงคราม =



O จวบรุ่งอรุณอุทัยะส่อง
ทัพะสองก็เตรียบพล-
ฮึกเหิมจะเริ่มปะทะผจญ
กุธะล้นอุราเขา

O สิบแปดตะวัน ณ บุพะทิศ
นิรมิตะรูป-เงา
คือกาละปาณฑพะและเกา-
รพะเหล่าจะเข้าผลาญ

O เกริกก้องผยองพละกระบวน
ตละล้วนกระเหิมการณ์-
เร่งรุดประยุทธจะลุประหาร
อวสานอรินทร์ตน

O เการพประจบรหัสะลาง
สรรพะต่างก็แทรกปน
เสียงโห่ชโย .. ศัพท์พหล
ดุจะไห้ .. คระโหยตรม

O ธงชัยะในทัพะ .. บ่ผาย-
และสยายสะบัดลม
ม้วนพันกะคัน .. ดละผสม-
กะระงมกระแสเสียง-

O ปี่กลองทำนองรณะประยุท-
ธะประดุจะเรื่อยเรียง
บทโศกพิโยค .. ศัพท์จะเพียง-
พิเราะกล่อม .. ประดาลาญ

O เสียขวัญเพราะกรรณประลัยะชนม์
ตละคนประหวั่นการณ์
แกล้วมวละล้วนจิตะสะท้าน
บทะปานจะสิ้นหวัง

O เคยฮึกคะคึกจิตะผยอง
ภวะผองก็ภินท์พัง
เคยฝ่าพลา .. สหะพลัง
นิระดังจะเช่นเดิม

O ธรรมบุตระรุดมรรคะสมร
รณะตอนก็แต่งเติม-
ย้อนเหตุเทวษ .. ดละกระเหิม
นิระชัยะจากตน

O ทุกครั้งก็พลั้ง .. รณะกระบวน-
บทะล้วนบ่ควรยล
จึงร้องกะผองอนุชะ .. ดล-
รณะการณะลำพัง

O สองทัพลุถึงกุรุเกษตร
สหะเภทะกำลัง
สงครามก็ลามปะทะประนัง
นิระยั้งระย่อใจ

O ธรรมบุตระรุดรถะทะยาน
รณะการณะเกริกไกร
หมายศัลยะราชประลุประลัย
ชิวะขัยะด้วยขรรค์

O เลือดโซมประโลมวรรณะสกน-
ธะระคนตวัดฟัน
คมวาบก็ภาพ .. ศิระพระศัล-
ยะสะบั้นเพราะด้านคม

O ด้านภีมะปรี่ปะทุรชาติ
ทุศศาสน์ .. ก็ปรารมภ์-
แหวกทรวงจะล้วงหทัยะชม-
พิษะขมะดวงนั้น

O ทุดถ่อยชะรอยจะเลาะจะหลบ
เสาะประสบก็แดกดัน
โฉดเอย .. จะเผยนรกะทัณ-
ฑะเพราะพันธะสัญญา

O ย่างย่องกระบองพละพระโหม
ปะทะโถมทะลวงมา
แกว่งฟาดจะฆาตอริ .. ชิวา-
มรณา ณ บัดนั้น

O เพียงครู่ก็รู้ระยะก็ฟาด
ทุศศาสนะพลาด .. พลัน-
ร่างภีมะปรี่ .. ขณะถลัน
พะกระทั้นกระแทกถึง

O มือแทรกชำแรกอุระทะลวง
ฤดิดวงก็เหนี่ยวดึง
แดงโร่ก็โลหิตะจะพึง-
จะพะพุ่งทะลักสาย

O แล้วพลันจรัลจระปะเทรา-
ปทีเยาวะรำบาย-
โศกสุมระรุมอุระสลาย
ก็เพราะฉละชีพสูญ

O สิ้นศักดิ์และศักยะจะรบ
ขณะศพะเพิ่มพูน
สิ้นดับสำหรับทุขะอดูร
ก็ละหล่นปลาตหาย

O จึงแกล้วพลาพหละปาณ-
ฑพะลาญและทำลาย
เการพประจบภวะสลาย
ชิวะวายะทับถม




หลังการยุทธจบลง .. บรรดาครอบครัวผู้ร่วมรบก็มาเก็บศพญาติพี่น้องตัวเองไปเผา ...



O เสียขวัญก็พลันสถุละโฉด
ทุระโยธนะซานซม
เร้นร่างจะพรางทุขะระทม
ประลุถึง ณ บึงบัว

O จมร่างระหว่างระดะอุบล
ทุพพละซ่อนตัว
งันเงียบยะเยียบภวะสลัว
ดุจะรั้วระรายล้อม

O กลุ่มพรานลุผ่านอุบละบึง
ศัพท์อึง บ่ อด-ออม
เห็นม้าคฑาสถิตะพร้อม
พิเคราะห์การณ์ก็แจ้งใจ

O เร้นมาเสาะหาสกุละปาณ-
ฑพะผ่านลุความนัย
พาธรรมบุตรอนุชะไป-
เสาะระดมและค้นหา

O จนแจ้ง ณ แหล่งอุบละนั้น
ประจุขันธ์และสัญญา
แห่งผู้-บ่รู้ .. ปฏิปทา
สัมมาจะดำเนิน

O ก้องวาทะพาศัพท์อุโฆษ
ทะลุโสตะก้ำเกิน
ท้าทายเพราะหมาย .. ปะทะเผชิญ
หัตะชีพะลีบสูญ

O โอ่หนอ .. จะรอระยะ ฤ สุด
ธรรมบุตระเพียบพูน-
เมตตาพระวาทะอนุกูล
ยุติธรรมะหนักหนา

O มาเถิดจะเปิดรณะประลอง
เฉพาะสองนะสักครา
เลือกผู้จะสู้, สมรรถะอา-
วุธะกล้าณรงค์กัน

O สบโสตประโมทยะระบัด
ก็เพราะสัตย์พระทรงธรรม์
จึงโผล่ชโลทระประจัน
มุณรงคะต่อตี

O เลือกภีมะ .. อาวุธะคฑา
เฉพาะวาระยุทธี
เลือกนั้นเพราะมั่นจิตะทวี
ประลุชัยะมั่นคง

O สองศิษยาพระพ-ล-ราม
ขณะยามจะหมายปลง-
ชีพผู้ศัตรู .. นิระพะวง
ก็ประจง .. จ-รดพลอง

O โถมปราดก็ฟาดปะทะกระหน่ำ
ระยะทำก็ช่ำชอง
เหวี่ยงหลบ .. ประกบ, มรรคะกระบอง
ก็ผยองคะนองตี

O เพียงครู่ก็รู้รณะกระบวน
พละส่วนและท่วงที
โฉดฉละดล .. รณะพิถี
ปะทะภีมะแกว่งไกว

O เบือนพิศ .. พระกฤษณะพระคล้าย-
จะชม้ายและบอกนัย-
อรชุนจะหนุนพิชิตะชัย
เฉพาะตี ณ ต้นขา

O สื่อเลศกะเชษฐะจะบรร-
ลุผจัญะบีฑา-
กร-ตบกระทบเฉพาะจะสา-
ธิตะท่าจะให้เห็น

O ล่อหลอก .. ระลอก-มรรคะกระบอง
จิตะสองก็เพียบเพ็ญ-
หมายมาดพิฆาตประทุษะเข็ญ
พละเค้นประยุทธี

O เมื่อฉละเหินและเหาะทะยาน
มุจะลาญะไพรี
ช่วงขาก็เผยระยะ, พระภี-
มะก็ตี ณ ต้นขา

O เกินหลบ .. กระทบระยะกระดูก
ปะทะถูกก็หักคา
ร่วงร่างระหว่างประทุษะ .. สา-
หัสะว่าจะพร่าผลาญ

O จึง-ภีมะปรี่, ศิระพระเหยียบ
กุธะเพียบจะพอ .. ลาญ-
ล่มศักดิอัครสถาน
ยุติเกียรติยศฉล

O ดาล-ธรรมบุตระพิโรธ
พระมิโปรดจะหยามคน
เลือดเขาและเรา .. บุรพะชน-
ยุคะต้นก็คนเดียว

O ครั้งนั้นพระธรรมบุตระผู้
เฉพาะรู้จะกลมเกลียว
สั่งเคลื่อนขบวน .. นิระจะเหลียว-
พิศะฉละบนพื้น

O สู่ค่ายเพราะหมายพหละผ่อน
นิทระนอนระหว่างคืน
จึงองค์พระกฤษณะพระยืน-
บทะเพื่อปทัสถาน

O ปลีกทัพะเพื่อนิทระคระลอง-
นิระพ้องกะกลพาล
ปล่อยพลพหลนิทระสนาน
ณ กระโจมอรินทร์ตน

O อัศวัตถามั-นะและกิตติ์-
วรมันก็วางกล
รู้ภาวะกาละทุรชน
จะผจญกะมอดมรณ์

O ดลภาวะหายนะกะปาณ-
ฑพะลาญชิวาตม์รอน
เศียรธฤษฏ์ทยุม-นะกระดอน
ขณะขรรคะวาดคม

O เนื่องหนุนสถุลทมิฬะมาร
ก็ละลานกะอารมณ์
ชีพบุตระปาณฑพะระงม-
ระดะล้มเพราะคมขรรค์

O เศียรนั้นสะบั้นก็เพราะประทุษ
อริรุดและลอบฟัน
เลือดหยาดเพราะชาติสถุละนั้น
มุกระทำ ณ ค่ำคืน

O คุมแค้นเพราะแสนยะพละเกา-
รพะเหล่ามิอาจยืน-
หยัดสู้ริปู, และเพราะจะขืน-
บุพะกรรมะนำทาง

O เคียดแค้นเพราะโทรณะประลัย
มรรคะไหนก็เลือนลาง
อัศวัต-ะถามั-นะก็ว้าง-
ณ ระว่างหทัยศัลย์

O ขืนกรรมะอำมะหิตะเพื่อ
ชิวะเนื้อ .. จะเพื่อปัน-
ทุกข์โศกวิโยคประลุผจัญ
พิษะคั้นอรินทร์ตน

O ล้วนบุตระเทราปทีประอร
ชิวะมรณะถ้วนคน
จึงโฉดประโมทย์จระปะฉล
ระบุผล ณ ริมบึง

O แก้พัสตระหุ้มศิระก็งัน
อุระนั้นก็คำนึง
ไป่ผลาญะปาณฑพะจะพึง
ชิวะซึ่งจะควรผลาญ

O นี้เศียรกุมาร .. พระยุวราช
อริชาติใช่ปาณ-
ฑพพ่อ .. สิหนอชิวะจะลาญ
อวสานและลบสูญ

O สมเพทะเหตุชิวะประลัย
อุระไท้ก็อาดูร
รวดร้าวระราวนรกะพูน
พิษะเศร้าผสานทรวง

O อักโขสิโลหิตะกระอัก
ก็ทะลักทะลายดวง-
จิตผู้เพราะรู้ทุขะทะลวง
วตะล่วง .. ลุบรรลัย

O สิ้นดับสำหรับกรรมะระบือ
ฉละชื่อกระฉ่อนไกล
สิ้นแล้ว ฤ แคล้วมรรคะหทัย
จะคระไลบ่เห็นแสง

O สิ้นดับสำหรับทุระสมรรถ
อัตคัตบ่สำแดง
สิ้นดับสำหรับธรรมะจะแผลง
ทะนุแต่งหทัยชน


อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
00100 - - - 110102
00102 - - - 110103
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ


O อัศวัตถามัน - - - จิตะนั้นประหวั่นลน-
เกรงฆาตชิวาตม์ฉล - - - เพราะประหัตกุมารเขา

O เร้นกายและบ่ายหน้า - - - เลาะวนาและลำเนา
สิ้นวงศะผองเกา- - - - รพะเหล่าปลาตสูญ

O ครั้นรุ่งอรุณย่ำ - - - ทุรกรรมและอาดูร
แทรกเทราปทีพูน - - - ทุขะเหตุเทวษศัลย์

O ราวโลกจะแหลกยับ - - - รุจิดับและกัปกัลป์-
ก้องกัมปนาทบรร- - - - ลุถล่มและวอดวาย

O ปวดร้าวระราวว่า - - - จะลุวาระใจกาย
ต้องทัณฑะโถมหาย- - - - ะนะบ่ายจะปลิดปลง

O วอนองค์พระทรงเดช - - - ทะนุเจตะจำนง
ค้นหาสถุลวง- - - - ศะประเล่หะชาติพราหมณ์

O จึง-กฤษณ์พระเอ่ยวา- - - - ทะประการะโทษทราม
กฏฟ้าพยายาม - - - จะละลามพิพากษา

O อดทนเถอะบังอร - - - ทุขะร้อนจะย้อนพา
ฉลโฉดอุโฆษภา- - - - วะประณามและหยามหยัน

O ท่องโลกวเนจร - - - นิระผ่อนประทุษทัณฑ์
แม้นพรรษะถึงพัน - - - จะผจัญกะขุกเข็ญ

O จึงเทราปทีชี้ - - - บทะที่จะควรเป็น
เพชรงามผกายเพ็ญ- - - - คุณะค่ามหาศาล

O พราหมณ์โฉดสิหวงแหน - - - ดุจะแม้นกะดวงมาน
แย่งได้จะคล้ายผลาญ - - - จิตะผู้บ่รู้ดี

O ปาณฑพะครบหมู่ - - - ประลุสู่ก็เพื่อบี-
ฑาฉละปรนศรี - - - และมณีก็นำมา

O ออมขวัญเถอะขวัญเจ้า - - - ทุขะเศร้าจะลับลา
สร่างศัลย์เถอะขวัญตา - - - เฉพาะว่าจะรื่นรมย์

O จึงธฤตราษฎร์ผู้ - - - เฉพาะรู้จะตรอมตรม
ทุกขังก็สั่งสม - - - ระอุในหทัยองค์

O คานธารีสร้อยเศร้า - - - ทุขะเร้าประโลมลง
จิตผู้ บ่ รู้สง- - - - สัยะถ้อยจะบิดเบือน

O ร้อยองคะเการพ - - - ชิวะลบและลับเลือน
ใครเล่าจะเศร้าเหมือน - - - จิตะมาตุเมื่อรู้

O ร้อยบุตระชีพมรณ์ - - - ทุขะตอนก็ล้อมตรู
ตรองบทะอดสู - - - นิระรู้อุรสพาล

O ควรสุดจะสมเพช - - - กะวิเวทนาการ
บุตรผองเพราะต้องผลาญ - - - ทรมานะตราบวาย

O ด้วยพรตะบำเพ็ญ - - - มุหะเว้นบ่วุ่นวาย
จิตพร้อมประนอมกาย - - - ศิวะเทพะบูชา

O จึงองค์อิศวรผู้ - - - ประลุรู้ก็เต็มอา-
รีวัตระศรัทธา - - - กรุณา..พระตอบแทน

O ให้พจนัตถ์นุช- - - - ะประดุจบ่คลอนแคลน
เพียงสาปะบาปแสน- - - - ยะจะแล่นจำหลักลง

O หากสาปะตราสู่ - - - นิระผู้จะอาจปลง
ชนผู้จะรู้สง- - - - เคราะหะถอนนะห่อนมี

O กฤษณ์, ภีมะหวั่นนุช - - - กุธะฉุด..จะสาปชี-
วาตม์ตนกระวนบี- - - - ฑะประเล่หะทุกข์เข็ญ

O จึงภีมะค่อยยาตร - - - อภิวาทะหวังเอ็น-
ดู, โทษะเพียบเพ็ญ - - - จะละเว้นพระวาดหวัง

O พากย์ภีมะอ่อนน้อม - - - ศิระค้อมสดับฟัง
สำเนียงประเดียง..ดัง- - - - จะสุภาพะหนักหนา

O ลอบยิ้มพระกฤษณ์มี - - - ก็เพราะภีมะเจ้าปรา-
ศัยผิดจริตภา- - - - วะประพฤติเคยเห็น

O เสียงอ้อนสิอ่อนหวาน - - - ก็ละลานและอ่อนเย็น
วอนโทษพิโรธเว้น - - - นิระเค้นและบีบคั้น

O ตราบโทสะในอร - - - ยุติผ่อนบ่พัวพัน
กดข่มละโศกศัล- - - - ยะอภัยะปวงหลาน

O มองศพะถ้วนบท - - - พระอุรสะชีพลาญ
โอดครวญกำสรวล-ปาน- - - - ชิวะคราญบ่อาจคง

O ซากศพตระหลบกลิ่น - - - ระดะถิ่นจะรอปลง
ผ้าหุ้มและคลุมลง - - - เฉพาะจิตกาธาน

O ปาณฑพะครบอง- - - - คะก็สรงและโสรจ, ดาล-
จิตน้อมประนอมศาน- - - - ติอุทิศกุศลกรรม

O อวยจิตอธิษฐาน - - - วิญญาณะน้อมนำ
ดีงามละลามทำ- - - - นุกมละสุขศานติ์

O จึงธรรมบุตรครอง - - - ปุระสอง, พระรำบาญ-
ทุกข์ราษฎร์บ่สืบสาน - - - บริบาลบำรุงศรี

O อำมาตยะเสนา - - - ก็ตริวาระราวี
เสริมส่งพระภูมี - - - เฉพาะที่เฉลิมนาม

O สรรค์อัศวเมธมี - - - จระที่และเขตคาม
ทัพแกล้วก็แน่วตาม - - - พละเนื่องและอุดหนุน

O เมืองใดนะเห็นม้า - - - หทัยาบ่เจือจุน
ไป่น้อมประนอมบุญ - - - ก็จะรบณรงค์ผลาญ

O พลีกรรมะบำเพ็ญ - - - สรรพะเช่นอดีตกาล
เตรียมไว้จะใช้งาน - - - บริการพิธีกรรม

O จับจัดกระโจมเรียง - - - ระยะเคียงจะพอจำ-
นวนผู้จะรู้สัม- - - - ผัสะนัยะห้าวหาญ

O แนวอัฒจันทร์นั้น - - - เฉพาะพันธะมิตรปาณ-
ฑพร่วมฉลองการณ์ - - - อุปการะม้ากล

O จึงองค์พระทรงชัย - - - ประลุในกระโจมตน
เสนาอำมาตย์พล- - - - ะพหลกษัตริย์ล้อม

O ฐานันดระอันควร - - - ตละล้วนก็อดออม
คอยฤกษะงามพร้อม - - - จิตะน้อมประนอมตน

O แตรสังขะกังวาน - - - เสาะผสานผสมมนต์
พรพราหมณะบันดล - - - นฤนาทะเภรี

O ตรงฤกษะเริ่มอัศ- - - - ะวะเมธะ .. ภูมี-
พร้อมเทราปทีปรี- - - - ดิพิธีสนานสรง

O เสร็จแล้วพระครรไล - - - ดละไถจรดลง
พฤกษภะคู่องค์- - - - พละเคลื่อนและพลิกดิน

O โปรยปรายเมล็ดพัน- - - - ธุกระนั้นจะเพื่อยิน-
ดี..ช่วยอำนวยสิน - - - กสิกรรมะบำรุง

O พราหมณ์พร่ำพระคัมภี- - - - ระชลีประโยคปรุง-
แต่งความปณามฟุ้ง - - - นยะมุ่งถวายแถน

O ตรีเภทพิธีกรรม - - - ระบุทำนุถ้วนแมน
หอมหวนกำยานแม้น - - - รสะนั้นจะบรรสาร

O ขุดหลุมจะรอใส่ - - - สรรพะในระเบียบการ
เนยนมขนมหวาน - - - คละผสมสมุนไพร

O ถัดหลุมก็เป็นหลัก - - - ระยะปักระเรียงไป
ล่ามสัตวะรัดไว้ - - - แพะแกะโคกระบือนั้น

O ถึงฤกษะเบิกมา - - - ทวิบาทะด้วยกัน
ผลาญพร่าชิวาบรร- - - - ลัยะเพื่อจะบวงสรวง

O ทำตามประเพณี - - - เสนาะคีตะพาทย์ปวง
ฟ้อนรำระบำบวง - - - คุณะแถน ณ แดนฟ้า

O เสียงกลองและฆ้องสัง- - - - ขะประดังระดมมา
พราหมณ์ร่ายพระเวท,วา- - - - ระกษัตริย์บัตรพลี

O ฤๅษีวยาสพลัน - - - ระบุพันธะควรมี
พร้อมขัตติยะลี- - - - ละลุที่นทีธาร

O น้อมนำชลาลัย - - - ประจุให้ประโลมปาณ-
ฑพ, เทราปทีคราญ - - - อภิเศกะด้วยสินธุ์

O หัวม้าก็รดหลั่ง - - - ระดะหลังประโลมริน
ร่วงหยดจรดดิน - - - ลุขนบบุราณมี

O ถูกถ้วนกระบวนความ - - - ขณะพราหมณะพากย์มี
ทูลองค์พระทรงศรี - - - อัศวาสะอางสม

O ปวงเทพะรับรอง - - - จะสนองกะปรารมภ์
รับม้า..กระนั้นคม- - - - ขรรคะภีมะวาบเงา

O หัวม้าก็หล่นร่วง - - - พละจ้วงและเถือเอา-
เนื้ออัศวาเคล้า- - - - คละผสมกะเครื่องปรุง

O เครื่องเทศวิเศษสรร- - - - พะประกันจะอำรุง
ทวยเทพะแดนรุ้ง - - - จะจรุงประนังพร

O ต่อองค์พระทรงธรรม - - - รณะกรรมะราญรอน
ไพรินทระถ้วนตอน - - - จะประนอมและยอมตน

O จึงบัณเฑาะว์เป่าศัง- - - - ขะประดังสนองกล
สรรพขัตติยาชน- - - - ะพสกะแซ่ซ้อง

O แจกพราหมณะพงศ์ราช - - - วรรณะทาสะเงินทอง
แพรพัสตระแจกผอง - - - คณะชนเพราะเมตตา

O พืชพรรณสมุนไพร - - - สละให้จะเป็นยา
เจ็บป่วยจะช่วยภา- - - - วะพยาธิปราศหาย

O โดยอัศวะเมธมง- - - - คละยศะกำจาย
แรกนาก็พาสาย- - - - พระพิรุณะรดริน

O ไร่นาเกษตรกรรม - - - เฉพาะทำนุพื้นดิน
เพิ่มทรัพยะรับสิน - - - ทะนุจินตะสุขศานติ์

O จึงอินทรปรัสถ์ถิ่น - - - หัสดินะสำราญ
ปวงราษฎระกล่าวขาน - - - สดุดีและชื่นชม

O องค์ธฤตราษฎร์นั้น - - - ก็ผจัญกะรันทม
คานธารีขื่นขม - - - ก็เพราะบุตระชีพสูญ

O จักเนาพนาไพร - - - เพราะหทัยพระอาดูร
พรตกรรมจะเพิ่มพูน - - - อนุกูละพ้นเข็ญ

O ธรรมบุตระสุดขัด - - - ปฏิบัติบำเพ็ญ
น้อมจิตะคิดเห็น - - - อนุโลมและคล้อยตาม

O คานธารีชายา - - - ปฤถาวิทูรยาม-
นั้น..ร่วมพฤฒาพราหม- - - - ณะเสด็จแสวงศานติ์

O ปาณฑพะพี่น้อง - - - ก็สนองประสงค์การณ์-
จำนงลุสงสาร - - - บริบาละสู่ไพร

O สองพรรษะผ่านล่วง - - - ชิวะปวงสนิทใน-
นิทรา, ก็เมื่อไฟ - - - ปะทุไหม้พนารญ

O หญิงชายก็ถึงกา- - - - ละชิวามลายปรน-
เปรอวัฏฏะรอบวน - - - ณ วิกาละครั้งนั้น

O ปาณฑพะเศร้าสา- - - - หัสะว่าจะถึงบรร-
ลัยล่วงกะปวงทัณ- - - - ฑะกระทั้นกระแทกทรวง

O สั่งให้ประกอบฌา- - - - ปนะกิจะเพื่อบวง-
เทพไท้ ณ ในสรวง - - - สมะเกียรติ์กษัตริย์วงศ์

O ผ่านพรรษะอีกคาบ - - - พละบาปก็ตามบง-
การณ์เรื่องจะเปลื้องพง- - - - ศะพระกฤษณะล่มสูญ

O เกิดเรื่องเพราะเคืองขุ่น - - - กุธะกรุ่นก็เพียบพูน
บาดหมางทวีคูณ - - - อนุกูละปราศหาย

O ใจญาติพินาศแตก - - - มุหะแทรกและทำลาย
เคยรักสมัครหมาย - - - ก็สลายปลาตเลือน

O ดลกฤษณ์พระผิดหวัง - - - นิระฟังพระตักเตือน
ป้องจิตะบิดเบือน - - - พระก็เนาพนาไพร

O แล้วถึงเคราะห์กรรมผ่าน - - - ระยะกาละเปลี่ยนไป
องค์กฤษณะจรใน - - - วนะป่าเสาะอาหาร

O ศรพรานทะลวงบาท - - - ชิวะราชก็ล่มลาญ
ปราศฤทธิ์จะทัดทาน - - - มรณังประดังผล

O จุดตาย ณ ปลายบาท - - - ทะลุชาติทะลวงชนม์
ปราศทิพะฤทธิดล- - - - ะจะป้องจะปัดหาย

O ยาฑพะกรรมซ้ำ - - - วตะ-น้ำสิกำจาย
เมืองล่มและจมสาย- - - - พระสมุทระบัดนั้น

O ปาณฑพะกำสรด - - - และระทดระทวยกัน
กล้ำโกรกกะโศกศัล- - - - ยะกระทั้นกระแทกใจ

O ดลมวละมุ่งหวัง - - - มนะตั้งจะจรไพร
ฝืนฝ่ากะอาลัย - - - วัตระพรตะดำรู

O อินทรปรัสถะมอบโคตร - - - ทุรโยธนะคอยดู
แล, โดย"ยุยุตสู" - - - กุละผู้จะครอบครอง

O หัสดินพระมอบบุตร- - - - อภิมัณยุรับรอง
นาม"ปริกษิต" .. สอง- - - - นคเรศะสุขล้ำ

O ปกครองนะด้วยจิต - - - ทศพิธะราชธรรม
ไป่ควร, บ่ควรสัม- - - - ผัสะด้วยกิเลศเผา

๑๔
O คือทาน .. ประการสรรพะจะเอื้อ-
คุณะเพื่อจะบรรเทา-
ทุกข์เข็ญละเว้นชิพิตะเขา
สุขะเข้าประโลมศรี

O คือศีล .. สำรวมจิตะสมรรถ
ปฏิบัติเพื่อบี-
ฑาฉละป่นพิษะกลี
เฉพาะที่จะนำใจ

O อวยทรัพย์สำหรับจะบริจาค
ทะนุภาคะถ้วนใน-
ขอบเขตประเทศ .. สุขะจะไพ-
บุลยาสถาวร

O ซื่อตรงดำรงสถิตะใน
หฤทัยะถ้วนตอน
ปวงราษฎร์เพราะอาชชวะสะท้อน
จะขจระสรรเสริญ

O อ่อนโยน-กมล, จริยะวัตร
พจนัตถะ, ดำเนิน
โลกทัศน์เพราะมัททวะเจริญ
จะประเมินและเกื้อกูล

O บำเพ็ญะเพียรกิจะประชา
ตบะวาระจำรูญ
เกียจคร้านประการนิระจะพูน-
พละเดชะเหนี่ยวดึง

O อักโกธะโทสะละสลาย
นิระหมาย ณ คำนึง
เต็มขันติธรรมขณะระรึง-
กะประเล่หะกล่าวหา

O ข่มฤทธิพิษะอวิหิง-
สะ
ประวิงพระเดชา
เบียดเบียน บ่ เพียรจิตะสถา-
ปนะภาวะแผดเผา

O อดทนผจญมุหะมหันต์
เฉพาะขันติธรรม..เอา-
กดข่มระทมทุขะระเร้า
ทะนุกิจะยากเข็ญ

O เที่ยงธรรมะนำนิติพิพัฒน์
ทะนุรัฐะร่มเย็น
เต็มสัตยาพิสุทธิ์เพ็ญ
อวิโรธนาศรี

O เสร็จแล้วพระแน่วจิตะประนัง
สละวังและบูรี
ทรงพัสตระดาบสะฤษี
จรลีลุไพรสณฑ์

O ร่อนเร่พเนจระประพฤติ
พรตะยึดนะถ้วนตน
แช่มชื่นระรื่นสุขะกมล
มรรคะหนแสวงหา

O ก้าวย่างระหว่างศัพท์ระทึก
สัตว์-พฤกษะบรรดา
ชวนชี้พิถีชิพิตะผา-
สุกะภาพะยลยิน

O โขดเขินและเนินสิขระสูง
คณะฝูงวิหคบิน
ผาพรายผกายรัตนะหิน-
รุจะพินทุวับไหว

O เขียวขาบประภาพะมรกต
รุจิบทะอำไพ
แดงก่ำเพราะน้ำรัศมิไข-
ภวะรับก็ทับทิม

O หม่นมัวสลัวนิละสยาย
รุจิผ้ายประกายพิมพ์
เหลืองบุศราคัมะถนิม
ก็พะพริ้มพะพรายตา

O เพทายระร่ายรุจะจรูญ-
ะพิฑูรยะมุกดา
ขับแสงจะแข่งพิจิตระภา-
สะประพาฬะดำรู

O โกเมนะเบนรัตะรุจี
รัศมีผกาย .. ดู-
โดดเด่นบ่เร้นดุจะจะบู-
ชิตะผู้แสวงหา

O โครมครืนก็คลื่นชละกระโจน
พละโผนระลอกมา
หินขวางระหว่างระยะ .. ชลา-
ก็กระเซ็นละเล่นสาย

๑๑
O ไหววาตะวูบผ่าน
รสะหวานก็กำจาย
พันลอกและดอกลาย
ภุมรินก็บินรอ

O ดอกช่อละออชู
รสะ-ภู่ ฤ รู้พอ
กลีบโง้งและโก่งงอ
ดุจะล่อจะให้หลง

O กลิ่นหวนก็ล้วนหอม
ขณะล้อม ฤ ล้างลง
กรุ่นดินและกลิ่นดง
รสะคงบ่จางคลาย

O แดดทอดตลอดถิ่น
ดละจินตะกำจาย
ภาพพิศวิจิตรผาย
มรรคะปลายจะปลอดปรุง

O สรรพสัตวะผ่านเสียง
เสนาะเพียงจะอำรุง
เมียงหมายกระจายมุง
นิระมุ่งจะเป็นภัย

O หวีดหวิวละลิ่ววน
วตะบนสะบัดใบ
กิ่งแกว่งเพราะแรงไกว
กละไหวจะวันทา

O มาลย์ลิ่วและปลิวล่วง
ดุจะบวงพระบาทา
ลาดสู่พระผู้ลา-
ละประภาพกำราบฝืน

O บาทเธียระเพียรธรรม
ระยะกรรมจะกลบกลืน
ล่วงคล้อยเพราะคอยขืน
อัตะตื่น ณ ในตน

O รอบาทะลาดใบ
ขณะไท้บ่รอทน
ทุกข์ผ่านจะลาญผล
มุหะหนจะบั่นหาย

O ลมวู่พบูวี
ปฐพีก็พร่างพราย
รังสีสุรีย์ฉาย
ฤจะหายขจ่างหาว

O เงาภาพกระหนาบพื้น
ภวะยื่นน่ะเหยียดยาว
ทุกข์ฤทธิพิษร้าว
จะละน้าวบ่จำนน

O เมื่อร้อนนะผ่อนแรง
ทิฐิแปร่งก็ผ่อนปรน
จิตไทก็ไม่ทน
จะผละพ้นจะผ่าเผย






Create Date : 11 สิงหาคม 2552
Last Update : 9 ธันวาคม 2559 13:20:30 น. 84 comments
Counter : 4815 Pageviews.

 
สายันหสมัยภุมวารสวัสดิ์ค่ะ


เลือดท่วมเลย....

ทำไมมันน้อยจังคะ...
เหนื่อยแล้วหรือคะ...เชียร์อัพค่ะ...


สิริภุมวารสวัสดิ์-มัยมนัสรมเยศค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:17:35:21 น.  

 
ปีย่า...
มันน้อยเพราะเพิ่งเขียนต่อค่ะ...
เดี๋ยวก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ....วันหยุดจะได้อ่านกัน
ใกล้สิ้นสุดสงครามแล้ว....
เหลืออีกสัก 100-200 บทเอง....อิๆๆ


โดย: สดายุ... วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:19:10:23 น.  

 

มานั่งเล่นค่ะ คิดค่าพื้นที่ปะคะ


โดย: หยาดฝน IP: 10.0.0.96, 124.120.21.18 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:20:13:25 น.  

 
ฝน....
ตามสบาย...ไม่คิดตังค์
มานั่งรอเพื่อนซี้ที่นี่ได้...จะคุยกันเอง
โดยไม่เกี่ยวกับพี่ก็ได้....

แต่ห้ามเอาความเชื่อโง่ๆเรื่องพระเจ้า
มาโพสต์ละกัน

เจอเป็นลบ....

พี่เป็นเผด็จการทางความคิด....555


โดย: สดายุ... วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:23:07:13 น.  

 
เป็นอะไรที่ยาวมากกกกกกกกกกค่ะ


โดย: medkhanun วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:23:08:50 น.  

 
วางฉันท์การเมืองสักบท....

โตฎกฉันท์ ๑๒
110110…….110112
110112…….110113
1........ลหุ
0,2,3...ครุ




๐ เพราะระบอบและระบิล......กระจะจินตะประชา
ระยะกาละก็พา..................คุณะค่านะประเมิน

๐ เพราะระบอบและระเบียบ....ผิวะเปรียบก็จะเกิน
นยะคำสรเสริญ-.................เพราะเผชิญะประดา

๐ เพราะประสงคะจะรุก.........รณะทุกขะประชา
นยะข้อครหา.....................ฤจะว่ารึจะหวัง

๐ สุระกรรมทะนุเนื่อง...........ก็ประเทืองและประทัง
ทุขะชนเฉพาะยัง................กระแซะสั่งกระเสาะเสียง

๐ ปัญญ์ชนะประดา..............ดละวาทะเผดียง
พิเคราะห์เลศะก็เพียง...........อัตะเมียงจะลุหมาย

๐ สรรพะวาทะประการ..........ประลุผ่านจิตะกาย
นยะนั้นดุจะหมาย...............อธิบายะประชา

๐ ก็เพราะราชะระบอบ..........ถิระตอบระยะกา-
ละอดีตะสถา-....................ปนะกรอบจะประกัน

๐ อนุสนธิริปู.....................รณะสู้และผจัญ
มุขะพละถลัน....................นิระหวั่นชิวะปลง

๐ ขณะโลหิตะหลั่ง..............ศิระยังจะทนง
จิตะมั่นจะณรง-..................คะประสงค์อริวาย

๐ ขณะมึงน่ะฤรู้..................ขณะกูสละกาย
ขณะโคตระขาย.................ชิวะหมายทะนุเมือง

๐ เฉพาะภูษิตะชาด.............เฉพาะภาษะเมลือง
ขณะขุ่นขณะเคือง..............จะประเทืองฤประทุษ

๐ มหกรรมะธนา.................เสาะและหาเฉพาะฉุด-
จิตะด้อยคุณะวุฒิ................บริสุทธิ ฤ หมาย

๐ เพราะประสงคะประยุท-......ธะประดุจะระบาย
กิติศัพทะสยาย..................อภิปรายะกระพือ

๐ จะประลองมติชาติ............อภิวาทะระบือ
ชิ..!..ประเภทะกระบือ...........ก็กระเหิมจะณรงค์


โดย: สดายุ... วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:23:14:03 น.  

 
เม็ดขนุน...
ยาวสิ...เพราะเรื่องมันยาว...
เป็นบททดสอบก่อนจะเขียน...
"พุทธะมรรคา"...ต่อไป...

เป็นการฝึกซ้อมลองมือ
เรื่องต่อไปจะได้บรรจงให้บรรเจิดสุดมือยิ่งๆขึ้นไป



โดย: สดายุ... วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:23:21:43 น.  

 
ตั้งใจเข้ามาอ่านมหาฯ ตอนต่อนะเนี่ย...
แต่ scroll ลงมาเจอฉันท์การเมืองซะก่อน
มหาฯ ก็แย่เลยสิ... โดนดึงความสนใจไป
ซะงั้น 555+

ช่วงนี้ (คือก่อนวันหยุดนะ) พี่ว่างเหรอคะ
เห็นเขียนได้เหมือนก๊อกน้ำที่เปิดเมื่อไหร่
น้ำก็ไหลดีไม่มีหยุด (ห้ามบอกว่า วางท่อ
ไว้ดี เลยไม่มีท่อรั่ว ท่อแตก เน้อ)

เช้าที่จะถึงเป็นวันหยุดอีกแล้ว พี่พาคุณแม่
ของพี่ไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่าคะ ส่วนอัล
ไม่ได้หยุด ไม่มีอะไรต่างจากวันปกติเลย...

แต่จะว่าไปแล้วนะ อัลให้ค่าเฉลี่ยทุกวันมาก
กว่า... ไม่ได้มองว่า วันแม่ วันพ่อ วันเกิด
ฯลฯ เป็นวันที่พิเศษกว่าวันอื่นหรอก พี่ไม่เห็น
ด้วยก็ได้ค่ะ ก็นะ... รู้ตัวเองว่า เป็นพวกนอก
กรอบสังคม ..ยิ้ม..



*****

ฝน...

พี่เค้าเปิดโอกาสให้ใช้พื้นที่ฟรีแล้ว ต้องใช้ให้
คุ้มเน้อ แต่นะแต่ ถ้ามาคุยกันในนี้จริง ๆ มีหวัง
หน้าบล็อกโหลดไม่ขึ้นแหง ๆ... ก็ฝนคุยเก่ง
จะตายนี่เนอะ ขนาดโทรคุย ยังต้องคุยจนเงิน
หมดทั้งสองฝ่ายถึงยอมเลิก 555+


โดย: ปลิวตามลม วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:0:32:39 น.  

 
๐ หรุบแสงแสดงบทะสลด
พระอุรสะวายชนม์
ครึ้มฟ้าวลาหกะสถล-
พิศะหม่นและมัวหมอง

มันมืดสลัวมัวครึ้มไปจริงๆด้วยค่ะ...
ที่ถามว่าทำไมน้อย...ตอนนั้น สามบท มันน้อยจริงๆค่ะ
มาเพิ่มอีก สิบสี่..ดีจัง...
ความสามารถ...อันไม่มีสิ่งใดมาบดบังได้นะคะ
เก่งมากค่ะ

เพิ่งพักค่ะ รีบมาอ่านก่อน กำลังสนุก...


ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:0:41:38 น.  

 
สวัสดีครับ คุณ สดายุ

มาตามติด ติดตามนะครับ

จะมาอ่านไปเรื่อยๆ

ช่วงนี้กำลังสนุกครับ

แล้วจะมีช่วงหลังสงคราม

จนถึงช่วงขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมั้ยครับ

ขอบคุณครับ

ธรรมเทพ


โดย: ธรรมเทพ IP: 125.24.231.244 วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:9:09:37 น.  

 



สวัสดีวันแม่นะคะ
มีความสุขๆมากๆนะคะ

ได้อ่านตอนใหม่แล้วดีใจจังเลย
ตอนแรกนึกว่าจะเขียนกลอน
เกี่ยวกับวันแม่ซะอีก


โดย: บุปผาลีลาวดี วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:9:14:23 น.  

 

สวัสดีค่ะ พี่กาย

ใกล้จบแล้วนะคะ
ลุเข้าวันที่สิบแปดแล้ว
ก็คงจบที่ตอนที่ ๙.๔ นี้นะคะ
พอจบแล้ว รวมเล่มได้เลยค่ะ

วันนี้พี่กายพาแม่ไปไหนคะ
พูพาแม่ไปทานอาหารกลางวันค่ะ
แต่ก็ซาบซึ้งกันตั้งแต่เช้าแล้ว
ทำการ์ดค่ะ พร้อมมาลัยดอกมะลิไปไหว้
ส่วนตอนเย็น ก็รวมตัวกันพี่น้องที่บ้าน
จะได้มาทานอาหารกันพร้อมหน้า
ก็อบอุ่นและมีความสุขดีค่ะ
ที่จริงก็จะดูแลแม่ทุกๆ วันอยู่แล้ว
แต่วันหยุดแบบนี้ ก็พิเศษสักนิดค่ะ

กำลังคอยมองกลุ่มคนที่กระทำเกิน
กรอบของกฎหมายในวันที่ 17 นะคะ
พูว่า..ดันทุรังกันจริงๆ ค่ะ







โดย: พธู วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:11:29:32 น.  

 
อัล.....
จะมาอ่านมหาฯ...น่ะมหาอะไร....นึกว่ามหาจำลองที่รักยิ่งของเสื้อแดง
5555

ช่วงนี้พี่นั่งเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุน...ที่เลื่อนไหลผ่านหน้า
ไปมาแทบตลอด...พร้อมกับนึกว่าจะคว้ามันไว้ในอุ้งมือได้อย่างไร....
พอเมื่อยตาก็พักด้วยการเขียนฉันท์นี่แหละ.....มันเลยลื่นไหลประดุจ
กระแสเงินทุน(นิยม-ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์แต่เป็นปัจจุบัน) ฉะนี้เอง
อิๆๆ

วันนี้ไม่ไปไหนค่ะ....วันแบบนี้นอนดูหน้าหมวยๆของนางเอกเกาหลี
แล้วแช่โค๊กซีโร่ไว้เย็นๆในช่องฟรีซ จะดีที่สุด....เบื่อพวกเขมรอพยพ
ในทุกสถานที่จัดงาน....

อีกอย่างลูกตัวอย่างดีเด่น...แบบพี่ไม่ต้องรอวันแม่ค่ะ
ปรนนิบัติพัดวีทุกวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่แล้ว....วันนี้ก็จึงเหมือนทุกวัน
ไม่มีอะไรพิเศษสำหรับพี่.....555....(มากกว่ายิ้มเพราะเห็นถึงลิ้นไก่)






น้องปีย่า.....
วันนี้ที่อื่นคงไม่มีอะไรพิเศษ....น้องคงทำงานปกตินะคะ
พี่ก็เขียนฉันท์บ้าง....ดูหนังบ้าง....ฝากข้อความถึงสาวน้อยคนพิเศษ
บ้าง....

อย่าอ่านฉันท์มากจนลืมพักผ่อนนะคะ.....อิๆๆ
เดี๋ยวพี่จะถูกกล่าวโทษจาก”เบื้องบน” เสียเปล่าๆ....

ดูแลสุขภาพนะคะ
ฝากความระลึกถึง "คุณแม่" ของน้องทั้ง4คนด้วยค่ะ
โดยเฉพาะคนที่อยู่เมืองไทย....
อิๆๆ





คุณธรรมเทพ....
ผมเขียนไปเรื่อยๆครับ....ใกล้จบเต็มที....
คงเขียนเท่าที่มีในตำราคู่มือที่ใช้เดินเรื่องนะครับ....
คือ...บทที่ ๑๑ - - อวสานแห่งเทราปทีและห้าปาณฑพ
ที่จริงเรื่องปลีกย่อยมีมากมายจนสามารถเขียนเป็นเอกเทศได้อีกหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะ....ทุษยันต์...สาวิตรี...กฤษณะ...





บุปผา....
กลอนวันแม่....เป็นเรื่องของพวกอยู่ในกรอบของสังคมกำหนด...
เขาชอบจะแห่ทำตามๆกัน
แต่พี่ไม่ใช่....มัน nothing ในความคิดพี่....
จะเขียนตามใจตัวเอง....ไม่เอาใจกระแสสังคม....5555






พู.....
วันนี้พี่อยู่บ้าน....ไม่มีอะไรพิเศษ...เย็นๆว่าจะไปผลไม้ทาน
ดูหนังฟังเพลง....ช่วงนี้ไม่ชอบวันหยุดเท่าไร....
กระแสทุนนิยมไม่ไหลผ่านหน้านี่มันหงุดหงิด....555

พี่มันพวกอำนาจนิยมทุนนิยม.....ไม่ชอบประชา(สังคม)นิยม
แบบ เอกชน วีรชน สักเท่าไร
ไม่ชอบมีผู้นำความคิด...คอยมาจูงจมูกให้คิดตามมัน
ชอบคิดเอง....

ไม่ชอบไปตากแดดตากฝนนั่งฟัง...คนโง่เขลาอวดฉลาดตาม
เวทีชุมนุมทางการเมือง....555



โดย: สดายุ... วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:14:33:09 น.  

 
ไม่ว่าจะเหินห่างไปนานเพียงไร
แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสเข้าบล๊อค
อดที่จะมาเยือนที่นี่มิได้สักครา
ยังคงรักษาคอนเซปต์ได้อย่างมั่นคง
เน๊อะ..ท่าน.. เน๊อะ




โดย: เรือรักแล่นลิ่วเริงร่า วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:19:15:19 น.  

 

เข้ามาแล้วจะไม่คุยกับเจ้าของบ้านก็จะกระไรอยู่นะคะ
คำนี้อ่านยังไงคะ"เผชิญะ"ฝนหาในพจนานุกรมไม่เห็นมี
มีแต่ "เผชิญ"





อัล
เห็นเค้าเป็นคนโม้เก่งไปซะแล้ว เราน่ะนานๆจะได้คุย
กันที เรื่องคุยมันก็เลยเยอะเท่านั้นเอง แต่ไหน ๆ เจ้า
ของบ้านก็ออกปากอนุญาตแล้ว สนองตอบทันใด


โดย: ไลเดเลีย วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:20:59:25 น.  

 
อ๋อ.. ลูกดีเด่น ต้องคารวะสักหน่อยแล้ว ..โค้งให้งาม ๆ..

อ๋อ... มิน่าล่ะ จ้องจอเงินสลับจอฉันท์ ดีนะ ไม่เผลอเขียน
เรื่องหุ้นปนเข้าไปในฉันท์ด้วย ท่าจะสนุกน่าดู 555+


ว่าแต่ พี่สนใจแนวเกาหลีตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทุกทีเห็นสนใจ
แนวอื่น ๆ แต่อัลนะ ชอบดูแนวเอเชียเป็นประจำค่ะ เพียงแต่
ช่วงนี้เอาเวลาว่างน้อย ๆ นี้มาเล่นบล็อก เลยไม่ได้ดูซีรี่ย์...
พูดถึงแล้วก็อยากดูเรื่องที่โหลดทิ้งไว้นานแล้ว น่าจะต้องแบ่ง
เวลาเล่นบล็อกไปให้ซีรี่ย์บ้างเนอะ ..ยิ้มกว้าง..


โดย: ปลิวตามลม วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:23:30:54 น.  

 
คุณเรือรัก ฯ.....
สวัสดีครับ....ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านหรอกครับ
ไม่ได้เจอกันนาน...สบายดีนะครับ

บล็อคกลอน...จะไปเขียนอะไรล่ะครับ
ก็ต้องเขียนกลอน....





ฝน.....
สระอะ...ที่ใส่หลังคำนั้นเพื่อบอกผู้อ่านว่าต้องอ่านลากหาง
ก่อนไปที่คำต่อไป....มันไม่ใช่ภาษาไทยและไทยเราเอาของเขามาใช้
สำหรับคำบาลีสันสกฤตคงไม่มีปัญหาอะไร....

แต่”เผชิญ”นี่เป็นคำเขมร ต้องการให้อ่านว่า....ผะเชินยะ

ตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ...เมื่อมาปกครองพื้นที่บริเวณ
ลุ่มน้ำป่าสักอยู่ช่วงหนึ่งก็เอาภาษามาใช้และเผยแพร่ในราชสำนักอยุธยา...
และตั้งแต่เจ้าสามพระยายกทัพไปตีเมืองพระนคร(นครวัด)จนล่มสลาย
ก็กวาดต้อนปุโรหิต นักปราชญ์ ราชบัณฑิตมาไว้ในราชสำนักอยุธยามากมาย...
และน่าจะเป็นเหตุให้คำราชาศัพท์ของไทยจำนวนมากมาจากคำเขมร

และขอมนี่รับอารยะธรรมมาจาก
อินเดียอีกที...จึง-รูปแกะสลักหินนูนต่ำในนครวัดจึงมีเรื่องราวในมหาภารตะ
ยุทธ...มากมายยาวเหยียด....จึงอนุมานเอาว่าคำเขมรต้องลากหางได้ด้วยเหมือน
ภาษาบาลี สันสกฤต....

คำจำนวนมากที่เอามาใช้ในฉันท์...ได้เปลี่ยนรูปเพราะต้องการเสียงลหุ
เช่น....พิเคราะห์.....เวลามาเขียนฉันท์ก็เอาตัวการันต์ออก...จะได้..พิเคราะหะ
เพราะรูปเดิมนั้นไม่มีการันต์..ไทยมาเอาตัวการันต์ใส่เพื่อไม่ต้องออกเสียง
อย่ามาหาในพจนานุกรมให้ยาก....พิเคราะหะ....มันไม่มีหรอก

รวมทั้งการเปลี่ยนรูป
เธียร...เป็น....ธิระ
เศียร....เป็น....ศิระ
เจียร....เป็น....จิระ
เสถียร....เป็น....สถิระ
โกรธ....เป็น....กุธะ
โศก....เป็น...ศุกะ

มันค่อนข้างเข้าใจยาก....จำไปตามนี้ก็แล้วกัน....อิๆๆ




อัล....
เคยเขียนเหมือนกัน....ไม่เคยเห็นเหรอ....
เอามาลงอีกที....
v
v
v

เลขไฟจะไหวขณะกมล-
อลวนบ่เว้นวาย
เขียวแดงจะแฝง..คุณะสยาย
ฤ มลาย และ-ดับหวัง..

เมื่อวาระปรากฏะสภาพ
ผิวะบาปะเข้าบัง
ไร้บุญจะหนุน..นิระจะกัง-
วละหยั่งประดังจินต์

หม่นมัวก็ชั่วระยะจะมี
ดัชนีทะลวงดิน
เพียงภาวะการณะบ่สิ้น
ตละยิน..บ่สับสน

ตรึกตรองคระลองสัทะประการ
ตละสาระผ่านตน
แยกเหตุเภทพิเคราะหะผล
อนุสนธิรังสรร

มาดมั่นบ่หวั่นผิวะจะตก
ฤ จะวกระหว่างวัน
รอคอยทะยอยระยะ..จะพลัน-
มุถลันและเข้ารับ

5555

หนังเกาหลีเหรอ....ก็เห็นเด็กวัยรุ่นชอบแนวหนังกุ๊กกิ๊กสมัยใหม่
คนแก่ชอบหนังแนวโบราณองค์ชาย...พระสนม..
พระมเหสี...อะไรแบบนั้น....ก็เลยต้องดูตามๆเขาไป
ก็เลยถูกจริต....

พี่ไม่ชอบหนังที่มีการส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด...ดูแล้วมัน
low class .....555
เพราะหนังพวกนั้นของช่อง 3 ช่อง 7 เหมาะกับแม่ค้า
ในตลาดสดมากกว่า

เฮ้อ....สงสารคนไทย




โดย: สดายุ... วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:8:29:00 น.  

 
สายัณหสมัยคุรุวารสวัสดิ์ค่ะ


กำลังสนุกเชียว...
คำท้าทาย..ของลูกผู้ชาย....

บนนี้บ่นอะไรอีกคะท่านผู้ประกาศข่าว..
โอ้ว่าปาก..หนอปาก...


นีค่ะลูกอม สารพัดรส...
อมลูกอมให้เย็นสบายคอ..
หวานๆ เปรี้ยวๆ ให้ชื่นใจนะคะ

คุณแม่คนที่ 4 ท่านเป็นห่วงค่ะ...
เลยฝากมาให้...

เขียนฉันท์ต่อนะคะ อย่าขี้บ่นนักเลยค่ะ


วรสวัสดิ์สิริคุรุวาร-ปรีดิ์มานรมเยศนะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:18:28:48 น.  

 
ปีย่า....
พี่ไม่ได้ขี้บ่นนะคะ....ก็แค่พูดความจริงที่
เป็นอยู่เท่านั้นเอง....อิๆๆ

ขอบคุณนะคะอุตส่าห์เอาลูกอมมาปิดปาก
ไม่ให้บ่นมาก....555
พี่ชอบลูกอมรสบ๊วยค่ะ...รู้ไว้นะคะ

มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า....การนอนหลับให้สนิทและยาวนาน
เพียงพอไม่ต่ำกว่า 8-10 ชม.เป็นการพักผ่อน
ที่ดีที่สุด...ที่จะทำให้เราตื่นขึ้นมาด้วยความแจ่มใส
และตื่นตัว....มากกว่านี้ หรือ น้อยกว่านี้จะไม่เหมาะสม

มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า...ความเครียดอาจทำให้คนเรา
นอนไม่หลับทั้งๆที่ร่างกายต้องการ "shut down"
แต่ความครุ่นคิดกังวลจะฝืนร่างกายไว้
เพราะฉะนั้นการทำจิตให้เป็นสมาธิก่อนนอนจึงเป็น
ทางที่สามารถจัดการกับความเครียดได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ....

ฝากความระลึกถึงคุณแม่คนที่ 4 ด้วยค่ะ


โดย: สดายุ... วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:19:44:44 น.  

 
คุณแม่คนที่สี่ถามว่า...
ลูกอมรสบ๊วยของจีนแดงดี...
หรือลูกอมรสบ๊วยของมาเลย์มีแต่ตัวอักษรจีนดีคะ...

ผู้รู้คนละสำนัก...บอกว่า...
พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้ยืนตั้งฉากกับโลก
อย่าพยายามอยู่ในลักษณะขนานกับพื้นโลกมากนัก..

พระสุปฏิปัณโณ พระปฏิบัติสายป่าทั้งหลาย...
ท่านจะทำสมาธิให้มีปัญญา
ท่านว่าอย่านอนมาก...ใช้นั่งสมาธิเอา...

คนที่นอนน้อยกว่าจำนวนเวลาบล็อกข้างบนนี้
เขาบอกว่า... กำลังคิดการใหญ่ค่ะ...5555

รออ่านฉันท์ต่อนะคะท่านผู้ประกาศข่าว...


โดย: sirivinit วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:20:59:39 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณสดายุ...

หมู่นี้พี่ยุ่ง ๆ วุ่นวายทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน
เลยไม่ค่อยได้เข้ามาทักทายให้ทั่วถึง
พอแว๊บ ๆ มาได้ก็เดี๋ยวด๋าว รีบไปตอบเม้นท์เสียก่อน
อู้ทั้งงานราษฎร์และงานหลวงไม่ค่อยได้เลย...

คุณสดายุ สบายดี..นะคะ

พี่คงต้องใช้เวลาอาทิตย์หน้า
มานั่งอ่านมหาภารตะยุทธย้อนหลังอีกหลายรอบเลยล่ะ
ยิ่งอ่านเก่ง ๆ อยู่ด้วย สงสัยต้องงมอีกนาน..อิ อิ

ไปก่อนล่ะค่ะ แค่อยากจะแวะมาบอกว่า ระลึกถึงเสมอ
วันนี้ ราตรีสวัสดิ์...นะคะ




โดย: พรหมญาณี วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:21:01:45 น.  

 

เป็นการอยากนะคะ สำหรับคนไม่ถนัดฉันท์อย่างฝน
ที่จะรู้ว่าบางคำนั้นเปลี่ยนรูปมาจากคำว่าอะไร คงต้อง
ศึกษากันอีกนานค่ะ ในเมื่อไม่ค่อยตั้งใจซะที..อิอิ


นั่งอมยิ้ม โดยที่ไม่ต้องมีอมยิ้มอยู่ในปาก..แหะ ๆๆ


โดย: ไลเดเลีย วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:21:34:42 น.  

 
พี่กายขา

ธรรมดาต้นขาแข็งแรงไม่ใช่หรือคะ
ฟาดสุดแรงนั้น..ทำให้กระดูกแตกเทียวรึคะ

นึกถึงกระบองแขกยาม...
กระบองตำรวจปราบจลาจล...
หรือไม้เบสบอล...

หวาดเสียวจังเลยค่ะ...

ป่านฉะนี้คงหลับแล้วกระมัง..


ศุกรวารศุภสวัสดิ์-มานมนัสรมณีย์นะคะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 14 สิงหาคม 2552 เวลา:1:53:38 น.  

 
ปีย่า.....20, 23
ลูกอมรสบ็วยของจีนแดงสิคะ....ต้นตำรับ
จีนมาเลย์นั้นอพยพมาอีกทีสูตรอาจเพี้ยน....อิๆๆๆ

อ้อ..ค่ะ..ผู้รู้สำนักไหนนะนี่ว่าไว้....
คนไม่งอตัวขนานกับพื้นโลกแบบสัตว์เดรัจฉานเพราะคนมีสมอง
คิดได้ว่า...เราควรยืนตัวตั้งตรงและทรนงไว้ให้ได้ด้วยตัวเอง
หากไม่ยืนหยัดเช่นนี้..คนเราก็จะคลานสี่ขาตามที่พระเจ้าสร้างแล้วสิ
คนจึงเป็นอิสระจากพระเจ้าเพราะคนมี....สติสัมปชัญญะเจ้าค่ะ

ทีนี้หากว่า..คนคนไหนมีแต่ศรัทธามากเกินไปไม่อาจยืนหยัดทรนง
ด้วยตนเองได้...ใจที่ท่วมศรัทธานั้นก็จะคอยแต่คิดว่า..ต้อง..มีอะไรสักอย่าง
ที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเองแน่ทำให้ตนเองคิดขึ้นมาแบบนี้...จึงสร้าง”ตัวตน” ที่
จะยึดเหนี่ยวใจขึ้นมา...และเรียกมันว่า “พระเจ้า” ไงคะ....

ตกลงใครสร้างใครนี่......อิๆๆ

ค่ะ..ปีย่าเข้าใจถูกแล้ว....ต้นขาคนแข็งแรงมาก
แต่เพราะภีมะตัวใหญ่เป็นยักษ์...มีกำลังมาก..แม้จะไม่ค่อยฉลาดนัก
แต่ก็เป็นคนที่รักพระนางเทราปทีมากที่สุด....จึงสาบานเมื่อครั้ง
ทุรโยธน์สั่งให้ทุศศาสน์จับตัวนางมาเปลื้องผ้าต่อหน้าธารกำนัล
แต่เทวดาช่วยต่อผ้าให้จนไม่มีที่สิ้นสุด.....เท่านั้นยังไม่พอทุรโยธน์
ยังสั่งให้ทุศศาสน์จับพระนางมานั่งบนตักตนเอง.....ภีมะจึงสาบาน
ไว้ว่าจะทุบหน้าตัก หรือ หน้าขา ให้แหลกคามือ....

ส่วนทุศศาสน์นั้น...ภีมะก็สาบานขอแหวกอกเด็ดหัวใจดื่มกินเลือดเนื้อ
ให้ได้และก็ทำดั่งนั้น....

กระบอง...พลอง...คฑา...จะเป็นความหมายเดียวกัน....คล้ายไม้เบสบอล
และก็คือ...ท่อนจันทน์...สำหรับประหารชีวิตเจ้านายสมัยอยุธยานั่นเอง

พักผ่อน....ดูแลสุขภาพนะคะ




พี่พรหมญาณี.....
ครับ...เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว....การงานคงเริ่มเดินหน้ากันอีกครั้ง
ดูแลสุขภาพมากๆนะครับ....

ผมสบายดีตามอัตภาพ....

แช่หน้านี้ไว้นานไปสักหน่อยแล้ว....อาจจะสลับไปเขียนกลอน
นารีปราโมชอีกสัก 2-3 บท เป็นการพักผ่อนหย่อนใจแฟนๆ
ไปด้วย....อิๆๆๆๆ

เรื่องราวมันก็นับว่าผ่านจุด ไคลแมกซ์ ไปแล้วตอนนี้แค่เก็บ spare
เองครับ




ฝน.....
อืม...ใช่มันก็ต้องนับว่ายาก...สำหรับคำที่เปลี่ยนรูปไปเลย
นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของความนิยมที่ลดน้อยลงของคำฉันท์
คือมันเสื่อมลงตั้งแต่เราเลิกเรียนหนังสือกับพระที่วัด....แล้วมาเรียน
ที่โรงเรียนนั่นแหละ

เพราะคำบาลี สันสกฤต มันไม่มีสอนในชั้นเรียนปกติ....
ยิ่งวิธี สนธิ สมาส คำ ยิ่งแล้วใหญ่ มีแต่พวกจบเปรียญหลายๆประโยค
นั่นแหละถึงจะพอ...เป็น...

ก็อ่านเอาความรวมๆละกัน.....อิๆๆๆ




โดย: สดายุ... วันที่: 14 สิงหาคม 2552 เวลา:8:25:48 น.  

 
สายสวัสดิ์ศุกรวารค่ะ


แค่นี้ก็พ้นจากเรื่องขี้บ่น...555

ชอบชื่อทั้งอรชุน และภีมะ...
ลากไปหาพระเอกในนิยาย ..
อรชุน ของป้าทม...ชิดอรชุน ..อรชุนกับชิดชไม
ภีมะ..ภีมกับพุดกรองและวรรณนรี...ของกฤษณา อโศกสิน

คนอ่านหนังสือเก่ง จำได้ไหมคะ
ว่ามาจากเรื่องอะไร
ดังเปรี้ยงปร้างทั้งสองเรื่องค่ะ


ตอนต้องใส่เฝือกนั้น..มีคนนำน้ำมันเหลือง
น้ำมันประสานกระดูก...คุณวิเศษบอกว่า...
สามารถประสานได้ทั้ง 206 ชิ้นค่ะ มาให้มากมาย

ท่านสี่ผู้เฒ่ามีเพื่อนวัยปลายเยอะ เลยได้มาแยะ
ขอลานำไปทุ่งกุรุเกษตร...ไปชโลม..
ผู้กระดูกหักก่อนนะคะ...อิอิอิ


สิริสวัสดิ์ศุกรวาร-มโนมัยมนมานโชติฉายฉานค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 14 สิงหาคม 2552 เวลา:9:15:28 น.  

 
ปีย่า....

ชื่อแขกน่ะเพราะๆทั้งนั้น....
ดูชื่อเด็กรุ่นใหม่ๆสิ....พ่อแม่เอาหนังสือของ
เสถียรพงษ์ วรรณปก มาตั้งส่วนมากก็บาลีสันสกฤต
ทั้งนั้น.....

นิยายที่น้องพูดถึงพี่ไม่เคยอ่านค่ะ....
ไม่เคยอ่านงานของ กฤษณา อโศกศิลป์ เลย
ทมยันตีเองก็มาอ่านตอนหลังๆ แต่เป็นนามปากกา
ลัษณาวดี เป็นส่วนมาก....

เรื่องกระดูกหักนั้น...คนในวัยหนุ่มสาว หรือ เด็ก
จะประสานเองไม่ยาก...การเข้าเฝือกเป็นเพียงการ
จับแนวให้อยู่ตรงกันเหมือนเดิม....แคลเซี่ยมในสาร
อาหารจะประสานกระดูกเข้าเอง....
ใครกระดูกหักก็ต้องทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง
เช่นนม...ปลาตัวเล็กๆทอดกรอบกินทั้งตัวได้...
ผักก็มี..คะน้า

แต่อย่างไรก็แล้วแต่...การป้องกันดีกว่าการรักษาเสมอ

ดูแลสุขภาพนะคะ



โดย: สดายุ... วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:8:22:30 น.  

 


พูมาอ่านทบทวนอีกรอบค่ะ
จะได้เข้าใจกับคำมากยิ่งขึ้น



โดย: พธู วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:11:09:51 น.  

 
สายสวัสดิ์อาทิตยวารค่ะ


ในที่สุดก็แพ้แล้วพี่กายขา
กฤษณา อโศกสิน...ยอดเยี่ยมวรยุทธ์ในการใช้คำและความ แม้เนื้อเรื่องจะเป็นนวนิยายครอบครัว แต่ทันสมัย ร่วมสมัยค่ะ

ทั้งปฐพินทร์ถิ่นสยามนี้นักเขียนสตรีมิมีผู้ใดเทียบเลยค่ะ

ท่านศาตราจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปกนั้น ก็เยี่ยมยอดวรยุทธ์ของผู้ครองเรือนในทุกวันนี้หลังจากละเพศบรรพชิต ท่านสอนธรรมะง่ายๆ เข้าใจง่ายราวกับไต้ ตามทางกระนั้น... และตั้งชื่อได้เก่ไก๋มะไหลก๋ามากค่ะ

เป็นเณรแล้วสอบได้เปรียญ 9 ประโยคนี่มิเลิศหรือ เมื่อบวชนั้นได้เป็นนาคหลวงเชียวนา...

พี่นาถ..คุณแม่คนที่สี่ เวลาไปเยี่ยมเพื่อน..มักจะชวนกันไปทานอาหารฝั่งตรงข้าม คือร้านมิ่งหลี ที่คุณชายถนัดศรี เรียกว่า "วิทยาเขตมิ่งหลี" เพราะหนุ่มเหน้าสาวสวยชาวศิลปากรเอาเป็นที่สิงสถิตย์

ได้ไปสบนัยน์ตาปิ๊งๆ กับท่านเสฐียรพงษ์ ขณะกำลังทานเนื้อเรียง และหมี่กรอบอันเลื่องชื่ออย่างเอร็ดอร่อยมาแล้ว...

แน่นอนค่ะ สาวยีบสามกระดูกแข็งแรงดีแล้ว เพราะสารพัดยา รวมทั้งปลาชิ้งช้างเมืองใต้อีกหลายโหล...ขอบคุณปลานี้ที่มีอยู่ในน่านน้ำไทยค่ะ

กำลังอร่อยผัดไทยโบราณจานสังกะสีสุดแสนโปรดอยู่ละซี้...


กึ่งวันเลยบุพพัณห์อาทิตยวาร-กมลมานพิสุทธิ์พิเศษศรีค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:11:28:01 น.  

 
พู....
เขียนรายละเอียดน้อยไปหน่อย....
ที่จริงแล้วรายละเอียดบางช่วงนั้น...สามารถบรรยาย
ได้ยืดยาวกว่านี้....

ลองเปิดศัพท์ดูหากไม่เข้าใจบทไหน







ปีย่า.....
อ้อ..ค่ะ...กฤษณาน่ะหรือเยี่ยมยอด...รับทราบค่ะ
อิๆๆ

ผัดไทยเจ้าอร่อยยังอร่อยอยู่มิเสื่อมคลาย
คงเป็นเพราะการผัดเส้นก๋วยเตี๋ยวกับน้ำมะขามเปียก
ด้วยนะพี่ว่า...ทำให้เส้นอ่อนนุ่ม...และถั่วคั่วป่น
ที่วางข้างจานให้คลุกนั่นแหละ...ที่พี่ไม่เห็นใน
กรุงเทพเลย...ไม่ว่าเจ้าไหน-แม้ของ S&P

กระดูกแข็งแรงดีแล้วก็ระมัดระวังให้มากนะคะ


โดย: สดายุ... วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:7:09:36 น.  

 
สายสวัสดิ์จันทร์ค่ะ


น้ำมะขามเปียกเคี่ยวกับน้ำตาลปี๊บต่างหากคะ
ถ้าเส้นแข็งก็น้ำเยอะๆ เท่านั้นเอง

ที่บ้านจะเคี่ยวไว้มากๆ ผสมกับหอมกระเทียมเผาโขลกละเอียดผัดน้ำมันพอไม่ติดกะทะ เคียวจนหอมเลยค่ะทำได้ราว 50 จาน เพราะมีคนมาเยี่ยมบ่อย หากยังไม่หมดก็ใช้ภายหลังได้ จะได้รสชาติเดิม เพราะชั่ง ตวง ตอนปรุงค่ะ

ผัดไทยบ้านนอก เขาจะใส่ถั่วลิสงคั่ว กับพริกป่น ไว้ขอบจาน อีกข้างก็มีหัวปลีสดแช่น้ำผสมมะนาว ขาวจั๊วกับใบกุยช่ายและมะนาวอีกซีก...ทั้งนั้นแหละค่าคุณซาดายู้ขา...

เมื่อไรจะร่ายฉันท์ต่อล่ะคะ...


จันทรวารสิริสวัสดิ์-มัยมนัสสวัสดิ์ปรีดิ์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:8:26:26 น.  

 


ด้วยความที่..อ่อนด้อยในภาษา
ก็มักจะเปิดพจนานุกรมอยู่เสมอค่ะ
ตอนนี้วางไว้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
จะได้สะดวกในการใช้ เพราะแม้แต่
การตีความในกฎหมาย หลายครั้งหลายหน
ที่ผู้พิพากษาเอง ก็ยังตัดสินโดยตีความ
จากคำอธิบายศัพท์ในพจนานุกรมค่ะ

เมื่อทำใจได้แล้วกับสิ่งที่ผ่านมา
ความสุข สงบ ก็เกิดขึ้นในใจนะคะ



โดย: พธู วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:11:00:11 น.  

 
ปีย่า....
อืม...ท่าทางจะเป็นงานครัว...สำคัญจริง
มีครูการเรือนดี...ใช้ได้ทีเดียว

ทางใต้เขาจะเคี่ยวน้ำตาลปี๊บกับน้ำมะขามเปียก
แล้วผัดคลุกกะเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กจนนิ่ม
และมีรสชาติในตัวเองเรียบร้อย...จากนั้นจะตัก
วางบนแผ่นใบตอง มีถั่วงอกสด แตงกวาปอกเปลือก
ผ่าสี่ส่วนตามยาวลูกวางไว้...มีถั่วคั่วบด...มีพริกป่น
น้ำตาลทราย...และมะนาวสด

เท่าที่นึกได้...บางร้านจะใส่เนื้อปูฉีกฝอยโรยหน้า
หรือกุ้งสดลวกจนสุกใส่มาด้วย....
แต่สมัยนี้คงไม่มีแล้ว...เพราะมันแพง

เรียกว่าเส้นหมี่ผัด...ทานเส้นที่ผัดแล้วเปล่าๆยังได้
เพราะรสชาติกลมกล่อมอร่อย...

เริ่มเขียนฉันท์ต่อแล้ว...เปลี่ยนหน้าหลักเป็นฉันท์แล้วค่ะ






พู....
อ้อ..ค่ะ...เป็นธรรมดาที่เราไม่อาจรู้ได้ทุกคำ
จำเป็นต้องเปิดเพื่ออ้างอิง....
ในการตีความทางกฎหมายนั้น...พจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน..จะใช้อ้างอิงมากกว่าอย่างอื่น
หากเป็นการตีความตามตัวอักษร....

ภาษากฎหมายค่อนข้างเป็นภาษาที่เป็นทางการมาก
และประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ยาก....

อาชีพทนายจึงจะช่วยลูกความได้ตรงนี้
หากเรารู้ภาษาได้ดี




โดย: สดายุ... วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:21:24:47 น.  

 
แวะมากล่าว " ราตรีสวัสดิ์ "...ค่ะ


โดย: พรหมญาณี วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:22:50:44 น.  

 
อัลเข้ามาอ่านหลายครั้งตอนที่พอมีเวลาว่าง แต่ได้
อ่านครั้งละนิดเดียว... เคยกด save ไป ว่าจะเอาไป
อ่านทีหลัง สุดท้ายก็ไม่ได้อ่านอยู่ดี เลยอ่านเฉพาะ
บนบล็อกนี่แหละ...

เพราะงั้นพี่ก็ทำใจให้จำนวนคลิ๊ก Page Today ขึ้น
ไปเยอะหน่อยเน้อ เวลามีจำกัดจริง ๆ ..ยิ้ม..



โดย: ปลิวตามลม วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:22:59:58 น.  

 
สายสวัสดิ์ภุมวารค่ะ


เพราะอวิชชามาครอบงำ จึงเป็นเช่นนี้


๐ ดาล-ธรรมบุตระพิโรธ
พระมิโปรดจะหยามคน
เลือดเขาและเรา..บุรพะชน-
ยุคะต้นก็คนเดียว


มนุษย์นี้หนา หากละกิเลสลงได้ จะอยู่เป็นสุขยิ่งนัก...
คนชื่อเพราะๆ ตายหมดแล้ว...

แม้พระขรรค์จะมีสองคม แต่มันสั้นมาก...
ตัดคอคนได้เทียวนะคะ..
หากเป็นดาบเสี้ยววงเดือนของเบดูอินยังคล้ายเคียว
ยังไม่น่าสงสัยลักษณาการปลิดชีวิตเท่า...

อย่างนี้เลือดก็ต้องกระฉูด กระเซ็นใส่ซีนะคะ...
รออ่านต่ออย่างจิตใจจดจ่อค่ะ


สิริสวัสดิ์ภุมวาร-สิริมานกมลปรีดิ์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:7:02:07 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณสดายุ...

วันนี้ได้มีเวลาอู้งานเสียที...อิ อิ

รวดเดียว ๑ จบเลย..ค่ะ
ตอนแรกนึกว่าจะไม่รอด แต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้
นี่ถ้าให้อ่านออกเสียงให้คุณครูสดายุฟัง
สงสัยจะได้คะแนนไม่ถึง ๕๐% เป็นแน่แท้
เอาเป็นว่า อ่านแล้วพอรู้เรื่องเป็นใช้ได้ก็แล้วกัน..เนอะ
อ่ะ...ช่วย เนอะ กับพี่หน่อยก็แล้วกัน..อิ อิ

อ่านแล้วรู้สึกหวาดเสียวตามไปด้วย
ที่ว่าหวาดเสียวเพราะบรรยายซะเห็นภาพเลย..ค่ะ
พอดีพี่เป็นคนกลัวของมีคมโดยเฉพาะมีด เลยเสียวคอตามไปด้วย
สงสัยจะอินมากไปหน่อย...หุ หุ

เพลงประกอบ " ภควัตคีตา "
ถึงแม้จะไม่รู้ความหมาย แต่ก็ฟังเพราะดี
ที่รู้ความหมายก็มีอยู่คำเดียว " นมัส "
ฟัง ๆ ไปเหมือนมีคำสวดภาษาบาลีอยู่ด้วย..นะคะ

ภาพประกอบเรื่องก็งาม...นะคะ ดูราวกับมีชีวิตจริงเลย
ยิ่งภาพที่ญาติผู้ตายมาเก็บศพไปเผาด้วยแล้ว
กลิ่นไอของความสูญเสีย สื่อออกมาได้ดีทีเดียว
มองแล้วก็เห็น " โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา " ชัดเจน..

ขอบคุณสำหรับผลงานอันทรงคุณค่าที่เผื่อแผ่ให้ได้อ่านกัน..นะคะ

ไปก่อนล่ะค่ะ แล้วจะแวะมาใหม่..เหมือนเดิม เหมือนเดิม..ค่ะ

โชคดี มีความสุข...นะคะ


โดย: พรหมญาณี วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:13:51:43 น.  

 
งานเขียนในบล็อคพี่เยอะมาก ๆ
อ่านจนตาลาย ตั้งแต่ ปักษาสดายุ...
จนถึงปัจจุบัน ต้องผ่อนคลายบ้าง
ด้วยการฟังเพลงบรรเลง


โดย: บุปผาลีลาวดี วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:17:09:05 น.  

 
เถ้าแก่เนี้ย….
อ่านเวลาว่างเถอะ....พี่ก็เขียนรอๆคนอ่านอยู่เหมือนกัน
ช่วงนี้คงยุ่งหลายเรื่อง...พี่เข้าใจ....เถ้าแก่มือใหม่หัดขับ
น้องคงต้องทุ่มเทให้มันมากหน่อย....

ส่วนมหาภารตะนี่เขียนมาตั้งหลายพันปีแล้ว....ไม่ต้องรีบอ่าน
พี่จะเขียนให้จบในไม่ช้า....มีเวลาก็ค่อยแวะมาอ่านมาคุย....
งานยุ่งก็ไปทำงาน คุมลูกน้อง คุมเงินให้ดีๆ....

ยิ้ม.....






ปีย่าตัวน้อย.....
ยุธิษธีระ....หรือ ยุธิษเฐียร นั้นเป็นลูกพระนางกุณฑี กับพระยายม
ซึ่งพระยายมนี้มีหน้าที่พิพากษา ลงโทษคนที่ตายไปแล้ว...จึงเปรียบ
เหมือนผู้พิพากษาบนโลกที่จะต้องมีความเที่ยงธรรมยุติธรรม
จึงเรียกเทพองค์นี้ว่า....ธรรมเทพ...ลูกชายจึงเรียก...ธรรมบุตร
อันเป้นพี่ชายคนโตของ พวกปาณฑพ.....

เป็นเรื่องบังเอิญที่ แม่ผัว กับลูกสะใภ้มีประการหนึ่งที่เหมือนกัน
คือมีสามี 5 คน เหมือนกัน.....
พระนางกุณฑี มารดาของปาณฑพทั้ง 5 นั้นมีลูกตัวเอง 4 คน
คนแรก...กรรณะ...เกิดกับพระอาทิตย์ก่อนที่จะมาสมรสกับท้าว ปาณฑุ
กับท้าวปาณฑุเอง ไม่มีลูกด้วยกัน เพราะสุขภาพพระสวามีไม่แข็งแรง
พระนางงจึงใช้มนต์เรียกเทวดามาทำลูกให้....
กรรณะ เข้าร่วมกับเการพและถูกศรอรชุนซึ่งเป็นน้องต่างบิดาตัดเศียรขาด

คนที่สอง....ยุธิษเฐียร...เกิดจาก...ธรรมเทพ
คนที่สาม...ภีมะ...เกิดจาก..พระพาย
คนที่สี่....อรชุน...เกิดจากพระอินทร์...หรือ...อมรินทร์เทพ

ท้าวปาณฑุ มีมเหสีอีกคนคือพระนางมัทรี....
ซึ่งมีลูกสองคนคือ นกุล และ สหเทพ เป็นคู่แฝดกัน เป็นบุตรที่เกิดจาก
เทพอัศวิน....

เมื่อ ภีมะ ตีหน้าขา ทุรโยธน์ แหลกละเอียดด้วยกระบองแล้ว
ด้วยความเกลียดชังก็ปรี่เข้าไปเอาเท้าเหยียบหัวเป็นการหยามเกียรติ
ทำให้ ยุธิษเฐียร ไม่พอใจและบอกให้น้องหยุดการกระทำเสีย
ซึ่ง ภีมะ ก็เชื่อฟัง พี่ชาย.....

สังคมอินเดียแต่ก่อนนั้น....ลูกต่างพ่อ หรือ ลูกต่างแม่ จะนับเป็นพี่น้อง
เช่นเดียวกันไม่มีแบ่งแยก....และหากพ่อตายไปแล้ว...พี่ชายคนโตจะ
ได้รับความเคารพ เชื่อฟัง จากน้องๆเหมือนพ่อเลยทีเดียว

เมื่อท้าวปาณฑุ ตายไป..พระนางมัทรีกระโดดเข้ากองไฟตายตามสามี
พระนางกุณฑีจึงมีลูกทั้งสิ้น ห้าคน คือ
ยุธิษเฐียร
ภีมะ
อรชุน
นกุล
สหเทพ
และทั้งห้าคนนี้...นับเป็นหลานปู่ของท้าวภีษมะ บุรุษเคราขาวผู้ยอม
สละบัลลังก์และยอมอยู่เป็นโสด เพียงเพื่อให้พ่อคือ ราชาศานตนู ได้นาง
สัตยาวดี เป็นมเหสี โดยมีน้องต่างมารดาคือ วิจิตรวีรยะ เป็นกษัตริย์ต่อ
จากพ่อ....ท้าวภีษมะต้องคำสัตย์ที่ให้ไว้ว่าจะปกป้องกรุงหัสดินปุระ
จนตัวตาย....จึงจำใจเข้าร่วมฝ่ายเการพ...ทั้งๆที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรม
ของทุรโยธน์เลย....จึงตั้งข้อแม้จะไม่ฆ่าห้าพี่น้องปาณฑพ

วิจิตรวีรยะนี้ไม่อาจมีบุตรได้เองเมื่อตายไป...ผู้เป็นแม่คือพระนางสัตยาวดี
ก็เรียกฤาษีวยาสมาทำพิธีนิโยคกับ นางอัมพิกา มเหสีลูกชายก็ได้
ท้าวธฤตราษฎร์ซึ่งตาบอดออกมา...เพราะอัมพิการังเกียจขยะแขยงฤๅษี
เลยหลับตาปี๋...ตอนนิโยค...ลูกออกมาจึงตาบอด...ท้าวธฤตราษฎร์เป็นพ่อ
ของเการพทั้ง 100

ส่วนน้องสาวนางอัมพิกา...คือ...อัมพาลิกา...ก็นิโยคกับฤๅษีเช่นเดียวกัน
แต่คนนี้กลัวจนตัวซีดขาว...ได้ลูกออกมาจึงมีตัวซีดขาวคือท้าวปาณฑุ...
ท้าวปาณฑุเป็นพ่อของปาณฑพทั้ง 5

ท้าวปาณฑุ เป็นน้อง ท้าวธฤตราษฎร์ ก็จริง แต่เนื่องจากพี่ชายต่างแม่นั้น
ตาบอด จึงได้ครองบัลลังก์ หัสดินปุระ....จนเมื่อไปตายในป่าลูกๆยังเล็ก
ท้าวธฤตราษฎร์ผู้เนตรบอดจึงครองเมืองต่อ....เหมือนรักษาการณ์จนกว่า
ปาณฑพจะโตพอที่จะครองเมืองได้เอง.....

เมื่อ ทุรโยธน์ ซึ่งว่าราชการงานเมืองแทนพ่อตาบอด..ไม่ยอมคืนบัลลังก์ให้
ก็เลยต้องรบกัน.....





พี่พรหมญาณี.....
สวัสดีครับ....
ครับรูปภาพแนวอินเดียให้รายละเอียดดีมาก....ผมชอบแบบนี้
เพลงก็มีจำกัด...บ้านเราไม่เคยแจ้งกับเพลงอินเดีย...

เรื่องภาษานั้น..ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าภาษากลางของอินเดียคือ
ภาษาอะไรแน่....เพราะภาษาท้องถิ่นเขามีมากมายเหลือเกิน
แคว้นหนึ่งก็มีภาษาของตัวเอง....

แต่ภาษาบาลี หรือ ประโยค นั้นเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว....มีก็แต่
สันสกฤตที่เป็นภาษาชั้นสูง มีกฎเกณฑ์สร้างไว้สมบูรณ์ จะยังมี
ใช้ในบางขอบเขตอยู่.....เนื่องจากอิทธิพลทางภาษาแฝงมาทาง
ศาสนา...เราจึงค่อนข้างมีรากเหง้าของคำจากอินเดียมากมาย

ครับ....ความเชื่อในยุค มหาภารตะยุทธนั้น เป็นยุคก่อนพุทธกาล
สังคมจัดระเบียบไว้มั่นคงเป็นหลักเป็นฐานมานานแล้ว....
ผมเข้าใจว่าจะก่อนหน้ายุคอุปนิษัท ด้วยนะครับ
เป็นความเชื่อแนว เทวะนิยม...ที่มีหลายองค์นับกันไม่ไหว

คติของเขาที่ปรากฏในเรื่องจึงออกจะขัดแย้งกับหลักธรรมทาง
พุทธมากอยู่....เป็นต้นว่าการตายในสนามรบจะได้ขึ้นสวรรค์

รักษาสุขภาพครับพี่





บุปผา....
ก็มันจะ 4 ปีแล้วก็เยอะเป็นธรรมดา
งานช่วง 2548-2549 ยังไม่ค่อยดีนัก....อย่าไปเสียเวลาอ่านเลย
ว่าจะลบออกไปบ้างเหมือนกัน....

อ่านนิราศ...เรื่องยาวสิ....ผ่อนคลายดี




โดย: สดายุ... วันที่: 18 สิงหาคม 2552 เวลา:22:08:14 น.  

 
วุธวารวรสวัสดิ์-มนัสมัยรมณีย์ค่ะพี่กายขา


ขอบพระคุณพี่กายค่ะ ที่กรุณาเล่าเรื่องให้ฟังอีกครั้ง
เคยทำเรื่องย่อให้พี่กายดูเมื่อหลายเดือนก่อน
ที่ถามคุณยายมา
รายละเอียดอันน้อยนิดนั้น
แตกขยายออกได้พะเรอเกวียน...

แม้จะทราบเรื่องแล้ว
แต่ชอบที่จะมาเสพสุนทรียรสทางภาษา
ที่จรสรจนาได้งดงามไพเราะนัก

สองคุณแม่ยังสาวก็ชื่นชอบมากค่ะ
รออ่านต่ออยู่นะคะ

คงนอนหลับสบายไปแล้วนะคะ...


ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:0:21:08 น.  

 
ปีย่าตัวน้อยๆ...อิๆๆ
ช่วงนี้เขียนช้าหน่อย...เหตุจากกิจกรรมบางประการ
ค่อนข้างยุ่งนิดหนึ่ง

คุณแม่ยังสาว (เพราะยืนยันเสียงแข็งมากๆ...ว่าเพิ่ง
ผ่านวัยรุ่นมาไม่นาน...จริงๆ) คงสบายดีทั้งสองคน
นะคะ...

เรื่องเล่าจากมหาภารตะยุทธของคุณวีระ ธีระภัทร
จะให้รายละเอียดมากกว่าหนังสือเล่มที่พี่มีอยู่
จึงบางช่วงจะสอดใส่รายละเอียดลงไปจากการฟัง
เรื่องเล่าแทรกลงไปด้วยค่ะ....

เรื่องนี้จะสมบูรณ์ได้คงต้องเกลาคำ และ ความกัน
อีกสักหน่อย...แทรกรายละเอียดบางช่วงลงไป
แล้วหากได้รูปแกะสลักหินจากระเบียงคดที่ปราสาท
นครวัด..มาใช้ประกอบเรื่องราวแล้วจะเยี่ยมมากเลย

น้องนึกดูสิว่าการแกะสลักหินเป็นรูปการรบมันจะ
ยากเย็นขนาดไหน...

มีความสุขกับงานที่ทำนะคะ




โดย: สดายุ... วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:9:10:39 น.  

 
สายสวัสดิ์วุธวารค่ะพี่กายขา


การแกะสลักหินมันยากมาก ไม่ว่านูนต่ำนูนสูง...
หากการแกะสลักนั้น เพื่อบำบวง บูชาสรวง..
ด้วยพลังศรัทธาแล้ว...ไม่ยากเลยค่ะ

ดูจากศิลปตะวันตกซีคะ...


คุณแม่คนที่สี่นี่ ใจ..ท่าจะสาวกว่าคนลูกอีกค่ะ
แต่...เป็นเพียงแค่ใจเท่านั้นดอก...

รออ่านอยู่อย่างใจจดจ่อค่ะ



สิริสวัสดิ์วรวุธวาร-กมลมานปราโมทย์นะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:10:37:48 น.  

 
ปีย่าตัวน้อย....

การแกะสลักหินเพื่อสร้างมหาเทวาลัยบูชาเทพเจ้า
ของกษัตริย์ขอมนั้น...ทำจนความมั่งคั่งของทรัพยากร
และกำลังแรงงานของราษฎร์ต้องระดมมาใช้อย่างสิ้น
เปลืองต่อเนื่องยาวนาน....จนถึงกับทำให้อาณาจักร
ที่เคยยิ่งใหญ่ถึงกาลล่มสลาย

และวัตถุโบราณล้ำค่าเหล่านี้ถูกขนส่งไปไว้ใน
พิพิธภัณฑ์ในฝรั่งเศสมากมายนับไม่ถ้วนช่วงที่
ตกเป็นเมืองขึ้นเขา....อย่างน่าเสียดาย...รวมทั้ง
การสูญเสียไปในระหว่างสงครามการเมืองอันยาวนาน
ของขบวนการเขมรแดงภายใต้การนำของพอลพต

มหาภารตะยุทธนั้นยิ่งใหญ่กว่ารามายณะมากมาย
ในแง่เนื้อหาและหลักการทางปรัชญา....
น่าแปลกที่ไม่เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประเทศใกล้เคียง
เท่ารามายณะ...ซึ่งภาคอินเดียนั้นคนละเรื่องกับ
รามเกียรติ์ของไทยเลยทีเดียว....

อ้อ...ค่ะ
ฝากความระลึกถึงคุณแม่คนที่สี่ด้วยนะคะ...




โดย: สดายุ... วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:13:10:03 น.  

 
ค่อนเพลาวุธวารสิริทินสวัสดิ์ค่ะ


๐ อักโขสิโลหิตะกระอัก
ก็ทะลักทะลายดวง-
จิตผู้เพราะรู้ชิวะ..และปวง
วตะล่วงลุบรรลัย


....กลิ่นเลือดคลุ้งไปหมด....


๐ สิ้นดับสำหรับทุระสมรรถ
อัตคัตบ่สำแดง
สิ้นดับสำหรับธรรมะจะแผลง
ทะนุแต่งหทัยชน


ดวงใจอันมืดบอดนั้น
อาภาใดๆ ก็หาชอนใชส่องถึงได้ไม่...
แม้แต่แสงแห่งธรรมะอันเรืองส่องรองจ้าแจ้งเจิดจรัส

ตายเกือบหมดแล้ว...
ชิวิตมันสั้นนัก...จะอะไรกันนักหนาหนอ...


ทินะสิริพรรณวุธวาร-เปรมปรีดิ์มานเฉิดฉานฉายค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:13:31:05 น.  

 
การที่รามายณะเป็นที่แพร่หลายเพราะสนุกกว่า...
สำแดงตอนใดๆ ก็สนุกทั้งนั้น...เพราะมีผู้หญิงหลายคน...

แค่สิบหน้าตนเดียว...สำแดงรัก กับแต่ละนาง..
ฉากเกี้ยวพาเลี้ยวลดนั้น มันน่าติดตามกว่าการรบกันนัก

มหาภารตยุทธนั้น เกรียงไกรห้าวหาญผลาญโยธี..มากเกินไป

เวลาแสดง ก็ต้องใช้คนมาก...เกินไป...
มีแต่รบกัน...ทุกวันนี้คนจนลง...
ไม่อยากดูชม..เรื่องหนักๆ รักน้อยๆหรอกค่ะ..
นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

555 เราสองคนยังไม่เกิดเล้ยพี่กายขา...


ถ้าไม่มี อ.กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
ถ้าไม่มี อ.บรรจบ พันธุเมธา
ถ้าไม่มี ศ.สุกิจ นิมมานเหมินทร์
สุดยอดบรมครู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
และท่านอื่นๆ..ฯล 10...

มหาภารตยุทธอาจจะไม่แพร่หลายในบ้านเราก็ได้
แม้สายสัมพันธ์อันดีจะสืบเนื่องจากพระพุทธศาสนาก็ตาม

ทุกท่านที่กล่าวนามมาข้างต้น ล้วนชื่นชอบงานของท่านรพินทรนาถ ตะกอร์ ทั้งสิ้น จึงศึกษาภารตวิทยาอื่นๆตามมา

ถ้ายุคแสวงหาอาณานิคมของอังกฤษ โปรตุเกส ไม่มาใส่ใจในภาษาบาลีสันสกฤตแล้ว คิดหรือว่าจะรู้จักอินตระเดียอย่างถ่องแท้...

ถ้าไม่มี Sir Edwin Arnold จะมีประทีปแห่งทวีปเอเซียหรือคะ

ถ้า Sir William Jones ไม่แปล ศกุนตลา...มันก็คงอยู่อย่างเดิม..เงียบๆ

นอกจากนี้ นักภารตวิทยาชาวฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี โปแลนด์ เช็ค...ฯล 10 ต่างหากเล่าที่เผยแพร่ทั้งสองเรื่องนี้ออกไป แต่จริตคน..ชอบรามายณะมากกว่า

และบ้านเรา ชอบรามเกียรติ์มากกว่า
ยิ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ทำชุดโขนอันงดงามขึ้นใหม่...มันยิ่งลือลั่นสนั่นเมือง

เพราะไทยเราใช้โขน เรื่องรามเกียรติ์ รับแขกทุกระดับ..
ความงดงามอลังการลดหลั่นกันไป

เวลาสมเด็จฯ เสด็จฯ ต่างประเทศ ทรงนำโขนไทยไปแสดงทุกครั้ง...

นี่ข้อคิดเล็กๆ อีกหนึ่งค่ะพี่กายขา...

บ่ายแล้วสิหนอ..มีความสุขกับเวลาของวันที่เหลือมากๆค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:14:02:33 น.  

 
สวัสดีครับ คุณ สดายุ

มาติดตาสตอนต่อมาครับ

สนุกครับ



โดย: ธรรมเทพ IP: 125.24.208.122 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:15:05:13 น.  

 
สวัสดีคะ เป็นสมาชิกบล็อกเเกงค์มานาน เพิ่งเคยเข้ามาอ่านบล็อกคะ เพราะจบเอกภาษาไทย เเต่ไม่ยังสันทันเรื่องวรรณคดีเท่าไร เเต่ก็ชอบคะ ขอเเอดเป็นเพื่อนในบล็อกไว้มาติดตามนะคะ
ขอบคุณคะ

โบว์


โดย: โบว์ (beaubeauky ) วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:0:25:28 น.  

 


สวัสดีค่ะ พี่กาย

จากวสันตดิลกฉันท์..ตามด้วย อินทรวิเชียรฉันท์
ถูกใจจังค่ะ อ่านมาถึงบทนี้แล้ว รู้สึกถึงความสูญเสีย

๐ ครั้นรุ่งอรุณย่ำ............ทุรกรรมและอาดูร
แทรกเทราปทีพูน..........ทุขะเหตุเทวษศัลย์

๐ ราวโลกจะแหลกยับ....รุจิดับและกัปกัลป์-
ก้องกัมปนาทบรร-.........ลุถล่มและวอดวาย

ความสูญเสียเกลื่อนกระจายไปทั่วนะคะ
และสิ่งที่กระทำได้ดังที่พระกฤษณะท่านกล่าว..

....อดทนเถอะบังอร....จริงๆ

อีกไม่นาน มหาภารตะยุทธ ฉบับคำฉันท์
น่าจะได้รวมเล่มนะคะพี่กาย

อ้อ พูเคยอ่านเกี่ยวกับรามายณะ...
กับการที่ผู้คนตามะพระวิษณุลงไปในแม่น้ำสรยุ
มีคำถามเกิดขึ้นนะคะว่า..นั่นคือความศรัทธา
หรือเป็นโศกนาฏกรรมกันแน่..พี่กายคิดยังไงคะ




โดย: พธู วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:8:02:39 น.  

 
ปีย่าตัวน้อย.....
ในที่สุดตัวการใหญ่ก็สิ้นดับไปอีกคน.....
หลังจากอัศวัตถามันลอบเข้าไปตัดหัวชายหนุ่ม 5 คนในกระโจมฝ่ายเการพ
ที่พวกปาณฑพยึดได้แล้วให้ทหารเข้าไปนอนหลับพักผ่อน

แต่กลับกลายเป็นลูกชายของปาณฑพทั้ง 5 ที่เกิดแต่นางเทราปทีทั้งสิ้น
ทุรโยธน์เมื่อเห็นหัวเหล่านั้นก็รู้ว่าผิดตัว.....ก็รู้สึกผิดมาก
อย่างน้อยหนุ่มน้อยทั้ง 5 ก็เป็นหลาน...จึงกระอักเลือดตายตอนนั้นเอง

บ้านเราเองนั้นการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆยังไม่เป็นวิถีปฏิบัติของชนในชาติ
มากนัก...ตั้งแต่โบราณมาซึ่งกินระยะเวลาเพียงแค่ตั้งแต่ยุคเจ้าสามพระยามา
เรามี ลิลิตยวนพ่าย ที่พอจะนับว่าเก่าแก่ร่วมสมัยกับ โองการแช่งน้ำ

รากเหง้าความคิดเราก็ไม่มีเอง.....กวีโบราณมักไปหยิบเอาเรื่องราว
ทางอินเดียมาเขียนต่อกัน....จะมีของไทยแท้ๆก็เพียง ขุนช้างขุนแผน
และอีกไม่กี่เรื่อง.....

รามเกียรติ์เป็นสงครามแย่งชิงดินแดน....ก่อนบ้านเมืองและสังคมจะ
settle....ก็คงคล้ายๆกับ...ศิวา-ราตรี ของพนมเทียน.....

ในสมัยโบราณ ด้วยชีวิตที่เรียบง่ายและไม่สลับซับซ้อนเมื่อไม่มีศึก
คนก็จะว่างกัน...พวกชั้นไพร่ก็ทำการผลิตผลผลิตในไร่นาไป ส่วนพวก
นักปราชญ์ราชบัณฑิตก็มีเวลาเขียนวรรณกรรมได้ยืดยาว....ดูแต่โคลง
รามเกียรติ์ รอบๆระเบียงคดในวัดพระแก้วสิ...มีตั้ง 4000 กว่าบท
แกะสลักลงไปในแผ่นหินอ่อน....จะใช้เวลาขนาดไหน

เมื่อมีเวลามากก็ปรุงแต่งความคิด เข้ามาควบคุมการกระทำ....ฉะนั้น
กริยา มารยาท วัตรปฏิบัติต่างๆก็เริ่มมีกำหนดกฎกรอบให้รับรองกันว่า
อย่างไหนงาม หรือ ไม่งาม .....การเดินจรดปลายเท้าของผู้หญิงบนเรือน
ไม้พื้นกระดาน ไม่มีเสียงดังตึงตัง ย่อมเป็นสิ่งที่รับรองกันว่างาม เป็นผู้ดี
ขณะที่การเดินเทิ่งๆลงส้นเสียงดังตึงๆ....จะเริ่มถูกระบุว่าเป็นกริยาแบบไพร่
อย่างนี้เป็นต้น.....ล้วนเป็นการปรุงแต่งตามจริตของผู้ที่เห็นชอบรับรอง
และร่วมปฏิบัติ....จนกลายเป็นขนบแบบแผนในที่สุด

ทานอาหารก็ระวัง...นะคะ
ดูแลสุขภาพค่ะ







สัวสดีครับคุณธรรมเทพ....
ครับใกล้จบแล้วครับ




โบว์....
สวัสดี และ ยินดีต้อนรับครับ
จบเอกภาษาไทยก็ดีเลย....จะได้ช่วยตรวจงานผมได้
ยินดีครับที่จะเป็นเพื่อนกัน




พู.....
ข้อความที่ยกมาเกี่ยวกับรามายณะนั้นพี่ไม่เคยอ่านค่ะ
อย่างไรก็ดี....ความเชื่อเกี่ยวกับเทพของทางฮินดูนั้น
มันหยั่งรากลึกในจิตใจคน.....

อย่างที่เราทราบกันมา....เจ้าชายสิทธัตถะนั้นพระองค์
ทรงร่ำเรียนจนรู้รอบ ไตรเภท ของพราหมณ์ หรือ ฮินดู
มาก่อน....แต่จิตใจลงไม่ได้กับคำสอนพวกนั้น....ตั้งแต่เมื่อ
2600 ปีที่แล้ว....จึงเกิด พุทธ ขึ้นมาซึ่งเป็นคำสอนในแนว
อเทวะนิยม....อันตรงกันข้ามกับ เทวะนิยม.....

พุทธเราไม่มีเทพ....การเคารพกราบไหว้เทพของคนไทย
ส่วนใหญ่จึงเป็นความสับสนและสืบทอดแบบ..ไร้-ตรรกะวิภาษ
ในจิตใจจะพอตอบคำถามตนเองได้....

พระวิษณุ คือ พระนารายณ์ อันเป็นเทพยิ่งใหญ่ 1ใน3 ของฮินดู
คือ
พรหม....สร้าง
อิศวร....ดูแล รักษา
วิษณุ....ทำลาย

คนตามพระวิษณุ....แปลความได้ว่า....จิตใจมุ่งไปในทางทำลายล้างกัน
ด้วยกิเลศอันมืดบอด.....เรียกว่ามิจฉาศรัทธา.....ซึ่งก็จะตายเปล่า
ไม่ได้อะไร....เพราะจิตนั้นยึดมั่นถือมั่นเอากับสิ่งที่ศรัทธานั่นเอง
ก็จะเวียนเกิดเวียนดับด้วยอวิชชาอีกนับจำนวนอนันต์.....

เพราะตัวอวิชชา ทำให้เกิด คือเป็นตัวสร้างสรรพสิ่งที่ จะมากระทบจิต
นั่นเอง.....

สาธุ คุณโยม....อิๆๆๆ





โดย: สดายุ... วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:8:47:54 น.  

 
สายสวัสดิ์คุรุวารค่ะ


ขอบพระคุณที่กรุณาอธิบายความเพิ่มค่ะ
กระอักเลือดตายนี่...มันตายทรมาน
กรรมสนอง..ที่ไม่ปรานีค่ะ

สมัยโบราณเขาว่ากันว่า นักเลงชนบท..ชอบสบถ
คำสุดฮิต ก็คือ ..ขอให้ลงแดงตาย..ห่าน

กระอักเลือด..ก็คือลงแดงตายน่ะเอง..
แค่ไอ สำลักอาหาร ยังทรมานทั้งปาก จมูกและลำคอ..

นี่กระอักออกมาเป็นเลือด ยิ่งเครียด ยิ่งแค้น
คงออกมาเป็นลิ่มๆ เลยนะคะ

บ้านเราในน้ำมีปลาในนามีข้าว คนขยันไม่อดตาย...
ด้วยสุขสบายเหลือเกิน วรรณกรรมของกวีโบราณจึงสุขสบาย แม้แต่คำทักทายอันบอกสภาพประเทศว่า "กินข้าวหรือยัง" ถ้ายังจะได้เชิญกินบ้านฉันน่ะ

วรรณกรรมโบราณจึง... ขุนช้าง-ขุนแผน พระลอ สุขสบายมาก มีแต่เรื่องในครอบครัว...สามีกับภรรยา..นับตั้งแต่สมัย ร.๒ เป็นต้นมา ..กายพ์..ชมเครื่องคาวหวาน..นั่นไงคะ บอกให้ทราบถึงความอุดมสมบูรณ์พูนผล

แล้วได้อ่านที่นักวิชาการสมัยใหม่บ่นกันว่า ประเทศไทย เลือกที่จะจดจารประวัติศาสตร์แต่ส่วนที่ดีๆไว้...
นิสัยคนไทย..ที่ตกทอดมาแต่ดึกดำบรรพ์เบื้องบรรพกาล และจะมีต่อๆ ไปจนกว่าโลกจะแตก..


บ้านไทยโบราณ นอกกรุงเทพเมืองฟ้าอมร..บ้านชนบท เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง..
ชั้นล่างจึงเป็นสถานที่อเนกประสงค์ แม่บ้านทอผ้า
ปั่นด้าย.. สาวไหม.. เลี้ยงหม่อน..ฝัดข้าว เก็บกากข้าว
ที่หนุ่มๆสาวๆ เขาตำไว้ให้.. ฯล10

พ่อบ้านสานกระบุงตระกร้า จักตอก กรองหญ้าคาไว้มุงหลังคา ถักแห ซ่อมแห ลับมีด...ฯล10 การที่มีคนเดินลงส้นตึงๆ บนบ้านน่ะ..มันระคายโสตินัก เขาจึงสอนให้เดินหย่งปลายเท้า...

สมัยก่อนสาวๆ นุ่งถุงยาว จะเดินจะก้าวก็ละเมียดละไม
ไม่ใช่สามส่วน สี่ส่วนฟิตเปรี๊ยะ เดินเหินคล่องเหมือนสมัยนี้ค่ะ

สาวเทศ สาวไทย เดินเหินต่างกัน..
สาวไทยจะไม่เดินเทิ่งๆ อย่างสาวเทศ..
หมายถึงคนที่...มีผู้ใหญ่สั่งสอนอบรมนะคะ

ในที่ทำงาน ส่วนมากเป็นสาวเทศ
สาวเอเซีย มีนับคนได้ ละแวกบ้านเรานี่แหละค่ะ แต่สาวไทยนั้นหนึ่งเดียว

แม้จะใส่ส้นสูงสี่นิ้วเดินระเหิดระหง...แต่ผ่านผู้เป็นนาย มันอดที่จะค้อมตัวลงนิดๆ ไม่ได้ค่ะ..วิสัยไทยแท้...


โคลงสี่พันกว่าบทระเบียงคดวัดพระแก้วนั้น...แข่งขันค่ะ
มีท่านละไม่กี่ห้อง บางท่านมีห้องเดียว...
ต่างคนต่างทำ มันจึงเสร็จเร็ว...การจารลงบนหินอ่อนนั้น น่าจะเป็นกรรมวิธีร่างแล้วเซาะรอยด้วยกรดที่ปลายเหล็กแหลม...แล้วจึงปิดทองทับ..กรรมวิธีโบราณ..

เวลาซ่อมภาพเขียนสิ..เรื่องใหญ่...


ตอนนี้นะคะ..เปิบข้าวทุกคราวคำ
หนูจดจำเป็นอาจิณ
คำข้าวที่หนูกิน
มิมีสิ้น..เจ้าก้างปลาค่ะ
ขอบพระคุณที่กรุณาเตือนค่ะอาจารย์ซาดายู้ขา


สิริสวัสดิ์คุรุวาร-ปรีดิ์มานกมลรมเยศนะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:10:12:17 น.  

 
ปีย่าตัวน้อย....
อืม...อ่านมาเยอะ..จึงมีเรื่องมาเล่าให้พี่รู้มากมาย
ดีจังที่ไม่อุบเงียบ...หลานใครเนี่ย...อิๆๆๆ

ขนบธรรมเนียมไทยดั้งเดิมที่ดีก็มีมากอยู่
ที่ไม่ได้เรื่องก็มีเยอะ...

การที่เราเห็นภาพการหมอบคลานของคณะทูต
ไมยในสมัยพระนารายณ์เมื่อไปถวายสาส์นแก่
พนะเจ้าหลุยส์ที่14สมัยพระนารายณ์ท่ามกลาง
คณะทูตอื่นๆที่ยืนกัน....มองแล้วก็ขัดตาอยู่กับ
ความนอบน้อมต่อ"ขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน"..แบบนั้น

ความสง่างามในวงการปฏิสัมพันธ์ทั้งการธุรกิจ
การทูต..การกีฬาในวงการสากลระหว่างประเทศนั้น
เราก็ต้องนับแบบฝรั่งว่าสง่า..และดูดี...กับบุคคลิกที่
ผึ่งผายมีความภาคภูมิในตัวเองขณะเดียวกันก็เต็ม
ไปด้วยมารยาทอันควรแก่กาละ..และเทศะ

บางครั้งความอ่อนน้อมถ่อมตัวเราจึงควรมีต่อ..บางคน
เท่านั้น...ไม่อาจมีให้คนทั่วไปนะพี่ว่า....

พักผ่อนให้เพียงพอ...
อย่านอนดึกมากเกินไป...
ทานอาหารให้มากขึ้นวันละนิด...

นะคะ...หลานสาวท่านปู่...อิๆๆๆ



โดย: สดายุ... วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:11:36:54 น.  

 
สายัณหสมัยคุรุวารสวัสดิ์ค่ะ


ขอบพระคุณที่กรุณาสละเวลามาถกด้วยนะคะ ยังติดใจค่ะ ขอถกต่อนะคะ โปรดอย่าคิดว่ามาโต้เถียง เป็นว่าเราแลกเปลี่ยนความรู้กันนะคะ ผู้น้อยก็หวังพึ่งผู้ใหญ่ละค่ะ

ถ้าเราคิดบวก-Positive Thinking ในกรณีราชทูตไทย เจ้าพระยาโกษาปาน ถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการนั้น

หากเป็นการเข้าเฝ้าปกติของทูตฃรตรีเศียรธรรมดา พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 คงไม่ประทับพระราชหฤทัย จนมีภาพเขียนประวัติศาสตร์ไว้ กว่าสามร้อยปีนะคะ

ไม่ทราบว่าวาทะของท่านผู้ใดที่กล่าวว่า "พระเจ้าแผ่นดินทุกประเทศเป็นพี่น้องกัน" อย่างน้อยข้อยืนยันหนึ่ง คือ เมื่อคราวตามเสด็จฯ อเมริกา ของ ว.ณ ประมวญมารค

ที่กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่า "ครั้งนี้พระเจ้าน้องเสด็จฯ มาเองเพคะ" ท่านหญิงวิภาวดี
(พระยศขณะนั้น ซึ่งเป็นนางสนองพระโอษฐ์พิเศษ ตามเสด็จฯ)

ทรงหมายถึงสมเด็จพระเจ้าโบดวงแห่งเบลเยี่ยม ที่ทรงนำถ้วยเครื่องดื่ม มาถวายสมเด็จฯ ก่อนหน้านั้นพระราชินีฟาบิโอล่า ทรงนำช่อบูเกต์งดงามมาถวายก่อนแล้วค่ะ...


รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเวลานั้นรุ่งเรืองสูงสุด กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในเอเซียอาคเนย์

กษัตริย์แวดล้อมทั้งหลายเจ้านายราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย และราชวงศ์ศรีธรรมราชโศกราช ล้วนแล้วแต่เป็นพระญาติ เป็นเครือญาติเกี่ยวดองกัน ไม่ต้องกังวลในการศึก

แต่จำเป็นต้องเปิดประเทศเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ มหาอำนาจสมัยนั้นก็ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ตอนนั้นอเมริกายังไม่มีในแผนที่โลก...อเมริโกเวสปุชชี่ยังไม่เกิดเลยยังไม่ได้แล่นเรือค้นหาทวีปใหม่ค่ะ

มันจำเป็นต้องแสวงหาเพื่อนค่ะพี่กายขา หากเรามีเพื่อนเป็นประเทศมหาอำนาจ พูดคุยกันรู้เรื่องมันก็จะดีกับเรา ส่งเครื่องราชบรรณาการเครื่องเพชรเครื่องทองประดับประดาไปกับศาสตราวุธพระแสงดาบให้ฝาหรั่งทึ่ง มันน่าจะดีกว่า...

สมัยนั้นกรุงศรีอยุธยามีเจ้าพระยาวิชาเยนทร์-คอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นสมุหนายก และมี Le General Desfarges นายพลเดส์ฟาร์จ ดูแลทหารเหมือนบิ๊กป๊อก
สมัยนี้แหละค่ะ

ท่านนายพลสนับสนุนหม่อมปีย์ ราชบุตรบุญธรรมของ K.นารายณ์ฯ แต่แพ้สมเด็จพระเพทราชา แห่งพระราชวงศ์บ้านพลูหลวงไงคะ.. นึกออกนะคะ...

เล่าต่อว่า...น่าจะมีคำกราบบังคมทูลแนะนำจากสองท่านนี้ ถึงพิธีการทูตในราชสำนักฝรั่งเศส..
การอ่อนไปหาเขาน่าจะดีกว่านะคะพี่กายขา จึงมีการก้มหมอบกราบ..

ปีย่าคิดว่าชาวฝรั่งเศสทั้งหลาย ไม่น่าจะนึกดูถูกคนสยาม น่าจะนึกว่าเคารพอย่างสูงมากกว่า ต้นตระกูลบุนนาคท่านนี้ ก็มีลักษณะสมภาคภูมิน่าเกรงขาม สวมใส่เสื้อผ้าอันงดงามแต่เบื้องบุราณ ต้นตระกูลนี้มาจากเมืองแขก มีผ้าแพรพรรณสวยๆงามๆแน่ละ


พระราชวังแวร์ซายส์ อันงดงามโอ่อ่าน่าเกรงขาม น่าจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ต้องทำเช่นนั้นด้วย คณะท่านราชทูตเดินทางรอนแรมทางน้ำไปหลายเดือน

จำได้เลาๆ ว่าเจ็ดเดือนเศษๆประมาณนั้น.. ท่านต้องพบอะไรต่อมิอะไร..ระหว่างการเดินทาง เช่นผ่านเมืองท่าสำคัญๆ นะคะ

แล้วเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ผู้ต้อนรับคณะราชทูต ก็น่าจะได้แนะนำท่านราชทูตก่อนเข้าเฝ้า เกี่ยวกับการเข้าเฝ้าด้วยแล้วค่ะ

ห้องเฮอร์คิวลิส สำหรับให้คณะราชทูตพักรอเข้าเฝ้านั่นเล่า เสาอินอ่อนแกะสลักเป็นเส้นตามยาวรอบเสาสูงชลูด
นับสิบค้ำยันให้ห้องสูงโปร่งโล่งนั้น งดงามมลังมเลืองด้วยหินอ่อน

ไหนจะแก้วอัจกลับแชนเดอเลียพวงระย้าระยาบย้อยสุดแสนจะวิริศมาหรา.. มันน่าตื่นใจน้อยอยู่หรือ...สมัย K.นารายณ์ฯ นะคะ

ขนาดสมัยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ ช่วงบุนนาค ชั้นเหลนหรือโหลน.. หรือลื่อ.. ก็ยังทึ่งแชนเดอ
เลีย จนซื้อจากฝรั่งที่ป้อยอว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่ในแผ่นดิน สมควรที่จะมีไว้ประดับคฤหาสน์ เพื่อสำแดงถึงอำนาจวาสนาบารมี...

ต่อเมื่อได้มา.. พวงระย้ายาวมาก ต้องไปปลูกโรงเรือนสูง...ให้พวงอัจกลับแชนเดอเลียนี้อยู่ เพราะแขวนที่บ้านท่านไม่ได้ค่ะ

ท่านสมเด็จเจ้าพระยา จึงนำไป ฯ ถวาย ร.๕ ...
แล้วแขวนอยู่ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทจนปัจจุบันนี้ค่ะ

เท็จจริงโปรดไปถาม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะอ่านมาจากข้อเขียนของท่านค่ะ


เมื่อมีงานเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากกรุงสยามที่ The Hall of Mirrors ห้องที่มีกระจกบานมหึมา 17 บานส่องสะท้อนกับแชนเดอเลียอัจกลับแก้วมหาโคมไฟแล้ว มันจะงดงามอร่ามเรืองเพริศแพร้วพรรณรายพรายแสงสักเพียงใดหนอ...

เพราะกระจก 17 บานเปิดออก แล้วแสงไฟตกกระทบสะท้อนไปมาแวววาววาบวับจับนัยน์ตา..สวรรค์เราดีๆนี่เอง มันคงจะระยิบวิบวับไปหมดในเวลาค่ำคืนนั้น เพราะเห็นตอนกลางวัน ก็ว่างามเลิศประเสริฐศรีแล้วค่ะ

ถ้าเขาดูถูกเหยียดหยาม ไหนเลยจะได้รับการต้อนรับวิเศษเช่นนี้นะคะ

ขนาดต่อมาในสมัย ร.๔ ราชทูต-พระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ นี่ถ้าจำไม่ผิด ก็คนสกุล บุนนาค อีกเหมือนกัน..ไปถวายพระราชสาส์นพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส พ.ศ.2410 จำง่ายๆ ว่า 100 ปีหลังเสียกรุง ยังหมอบกราบเหมือนกันค่ะ

มีภาพเขียน K.นารายณ์ฯ รับพระราชสาส์นจากราชทูตฝรั่งเศสที่พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ชัยมหาปราสาท ในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ลพบุรี ซึ่งเป็นตึกที่มีสีหบัญชรสูงมาก เป็นรูปที่ K.นารายณ์ฯ ทรงโน้มพระองค์ทรงรับพระราชสาส์นจากราชทูต

นักวิชาการกำลังถกกันอยู่ว่าไม่น่าจะใช่ เพราะพระราชวังนั้นเล็กมาก อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำนัก ขึ้นจากเรือก็แทบจะถึงที่ประทับ...
รออ่านต่ออยู่นี่แหละค่ะ


มีเกร็ดเล่าว่า เมื่อพระราชินี มารี อังตัวเน็ตในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทราบว่าจะต้องทรงถูกประหารโดยกิโยติน ก็ทรงตกพระทัยมาก..จนพระเกศาหงอกขาวโพลนทั้งพระเศียร ทั้งๆ ที่ยังสาว แค่ชั่วคืนเดียว...

แต่เมื่อเสด็จฯ ผ่านห้องกระจก ทรงเห็นพระฉายาของพระองค์เอง กลับทรงตกพระทัยมากกว่า...

อีกไม่กี่วันจะครบ 220 ปีแล้วค่ะ ทรงถูกประหารด้วยกิโยตินเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ค่ะ

พี่กายขา ผิดตกยกเว้นนะคะ ความจำสมัยเรียนค่ะ ตื่นมาเจอตอบยาวๆ แล้วนึกสนุกด้วยค่ะ



ไทยกับฝรั่งเศสมีสัมพันธไมตรีอันดีมานานครบ 300 ปีก่อนปีย่าเกิด 1 ปีค่ะ

324 ปี...มิตรไมตรีของไทย-ฝรั่งเศส ไชโยค่ะ
คุยกันสนุกๆ นะคะ อย่าซีเรียสค่ะท่านซาดายู้...


สายัณหสมัยคุรุวารวรสวัสดิ์-มนัสชื่นกมลฉานนะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:18:16:16 น.  

 
ปีย่าตัวน้อย.....
โอ้โห...มาด้วยความรู้เต็มบล็อค...มิเสียแรงที่มีท่านผู้อาวุโสช่วยกัน
อบรมดูแล....น่าภูมิใจแทนยิ่งนัก......

รายละเอียดพวกนี้....พี่ก็ยังไม่เคยผ่านตามา
เพราะเหตุว่าสมัยพระนารายณ์นี้....พี่มีความสนใจน้อยกว่ายุคก่อน
และหลังจากนั้น....กลับไปสนใจพระบิดาของพระองค์มากกว่า....
คือพระเจ้าปราสาททอง....จนเอามาเขียนเป็นนิราศเรื่องยาว.....
ในนิราศห้วงกาล.....ในบล็อคโคลง

พระนารายณ์เป็น”มหาราช” องค์เดียวที่พี่เองไม่ค่อยยอมรับ
สมัญญานามนี้....ด้วยเห็นว่าพระกรณียกิจยังไม่คู่ควรเสียทีเดียวนัก.....
รู้แต่ว่าพระนมของพระองค์คือ เจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งน่าจะเป็นมารดาของ
เจ้าพระยาโกษาเหล็ก...โกษาปาน....และสืบสายเลือดมาถึงหลวงยกกระบัตร
เมืองราชบุรี ซึ่งก็คือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั่นเอง

ตรงนี้เคยสัณนิษฐานเอาเองว่า....การที่จะหาแม่นมให้ลูกนั้น...ควรต้อง
เป็นหญิงจากตระกูลที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้อยู่...ด้วยพระองค์เองนั้น
ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ด้วยการปราบดาภิเษก..หาใช่ราชาภิเษกไม่...
น่าจะมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตเองอาจมีความเป็นพระญาติ
ห่างๆของ...พระเจ้าปราสาททอง ตั้งแต่ป็นสามัญชน...
ซึ่งพระเจ้าปราสาททอง เดิมก็คือ ขุนนางใหญ่ ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
คือเจ้าพระยากลาโหม...และก่อนหน้านั้นก็คือ จมื่นศรีสรลักษณ์...หลังจาก
จับพระเชษฐาธิราชโอรสพระเจ้าทรงธรรมที่ขึ้นครองราชได้ปีกว่า
ประหารชีวิตแล้ว....ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่
คือปราสาททอง ขึ้นมา

ตามเกร็ดประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า...จมื่นศรีสรลักษณ์นี้ น่าจะเป็นลูก
นอกบัลลังก์ของ พระเอกาทศรถ พระอนุชาพระนเรศวร คราวเสด็จประพาส
ชนบทและได้หญิงสาวลูกชาวบ้านเป็นบาทบริจาค....จมื่นศรีสรลักษณ์
จึงค่อนข้างได้รับความเอ็นดูจากท่านท้าวมณีจันทร์ พระชายาพระนเรศวร
ค่อนข้างมาก...เนื่องจากพระองค์ไม่มีโอรสหรือธิดากับพระนเรศวรเลย

ใช่ค่ะ...สมัยพระนารายณ์ กรุงศรีอยุธยาค่อนข้างมั่งคั่งร่ำรวย มีต่างชาติ
เข้ามาเป็นทหารรับจ้างอยู่หลายพวก...ไม่ว่าจะโปรตุเกส..ญี่ปุ่น...บ้าง
ก็เข้ามาทำการค้า....

ต้นตระกูลบุคนาค เช็ค อาหมัด ชาติอิหร่าน หรือ เปอร์เชียนั้นก็ถูก
พระนารายณ์โน้มน้าวให้หันมาถือพุทธ ตั้งแต่ช่วงนั้น....หากท่านไม่เปลี่ยน
ศาสนาเสีย...พวกตระกูลบุนนาคก็คงเป็นมุสลิมชีอะห์ กันมาจนปัจจุบัน....

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พม่ากำลังวุ่นวายกับการปราบปรามชนกลุ่มน้อยไว้ในอำนาจ
อีกทั้งเพิ่งผ่านพ้นยุคพระนเรศวรมาไม่นานนัก....ยังเกรงกำลังไทยอยู่
จึงไม่มีศึกพม่า....การค้าขายเจริญรุ่งเรืองมาก....บัลลังก์ก็มั่นคงจากการ
ประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจหลักๆ สี่กลุ่ม...จากสี่ราชวงศ์....ผ่านตำแหน่ง
พระสนมทั้งสี่.....
ท้าวศรีจุฬาลักษณ์....ราชวงศ์สุโขทัย
ท้าวศรีสุดาจันทร์....ราชวงศ์อู่ทอง หรือ เชียงราย
ท้าวอินทรสุเรนทร์...ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
ท้าวอินทรเทวี.....ราชวงศ์อโศกศรีธรรมาธิราช

พี่มองว่าการหมอบกราบ....เหมาะที่จะทำกับไทยด้วยกันค่ะ
การหมอบกราบนั้นฝรั่งเขาไม่น่าจะเห็นเป็นเรื่องน่าชื่นชมอะไร
หาไม่แล้วถึงทีเขาจะยืนแล้วชูถาดใส่สาส์นขึ้นไปถวายพระนารายณ์หรือ
คนที่ไม่มีธรรมเนียมนี้....ย่อมไม่สนใจหรือให้ความสำคัญ...หรือให้คุณค่า
และพี่เองก็ไม่แน่ใจว่า ฝรั่งที่มารับราชกาลกับกษัตริย์ไทยจะหมอบกราบ
เวลาเข้าเฝ้าในท้องพระโรงหรือไม่....

อย่างไรก็แล้วแต่....มันเป็นแต่การมองเห็นแล้วขัดตา....โดยไม่แน่ใจนักหรอกว่า
ฝรั่งเขาจะรู้สึกอย่างไร....เพียงแต่อนุมานเอาจากปัจจุบันที่ฝรั่งมักจะเหยียดผิว
และน่าจะเป็นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นระบอบกษัตริย์อยู่....

ส่วนตัวพี่...ไม่นิยมการนอบน้อมแบบนั้น....แม้แต่การหมอบกราบกับพื้น
ในปัจจุบันที่บางคนกระทำให้เห็นเป็นบางครั้งก็...ขัดตา...อีกนั่นแหละ
555......

ระยะเวลาอันยาวนานของสัมพันธ์สองประเทศนั้น....ไม่มีความหมายอะไร
มากนักหรอก....ความเป็นฝรั่งเศสในเมืองไทยมีให้รับรู้น้อยมาก....
ไม่ว่าเรื่องภาษา...เรื่องการเมือง...เรื่องกีฬา...เรื่องอุตสาหะกรรม...หนัง เพลง
ยิ่งเรื่องการศึกษาด้วยแล้ว....มีน้อยมากที่คนไทยจะไปเรียนฝรั่งเศส

แม้จะเป็น หนึ่งใน G7
แม้จะเป็น หนึ่งในห้า สมาชิกถาวรใน UN ที่สามารถวีโต้ญัตติให้ตกได้
นอกเหนือจาก สหรัฐ รัสเซีย อังกฤษ และจีน แล้ว
ฝรั่งเศสเองก็ยังเป็นที่รับรู้...ของคนไทยทั่วไป...หลังๆอยู่ดี....
ยกเว้นเรื่องเครื่องสำอาง แฟชั่น และไวน์.....

ขอบคุณนะคะที่มาให้ความรู้กับพี่เพิ่มขึ้น…ในอีกบางแง่บางมุม




โดย: สดายุ... วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:23:29:05 น.  

 
พี่กายขา


มึนตึ๊บกับ ชนชั้นสูง+กลาง..VS...รากหญ้าของพี่...
แต่ยังจำได้ว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราช ทรงครองราชย์ นาน 8 เดือนค่ะ

เรื่องอื่นนั้น ตอนนี้นึกไม่ออกเลยค่ะ

แต่กับฝรั่งเศสนั้น คงเป็นเพราะพี่กายไกลจากแวดวงการศึกษา...

ไทย-ฝรั่งเศส มีการประสานสัมพันธ์เกี่ยวกับการศึกษามากมาย

สมเด็จฯกรมหลวงสงขลานครินทร์ ก็เคยทรงเป็นองค์ประธานสมาคมครูฝรั่งเศสค่ะ ภาษาฝรั่งเศสไพเราะงดงาม น่าฟังกว่าภาษาเยอรมันมากนัก

มีการช่วยเหลือแลกเปลี่ยน ให้ทุนการศึกษาค่ะ..สมัยก่อน สมเด็จฯกรมหลวงฯ ทรงมีพระเมตตามาก ทรงไปส่งเด็กนักเรียนที่ได้ทุน เป็นการส่วนพระองค์ด้วยค่ะ...

ปีย่านิสัยไม่ค่อยดี เป็นสาวกสินค้าฝรั่งเศสหลายอย่าง ไม่เล่าแล้วค่ะ เดี๋ยวพี่กายหมั่นไส้...555

ผู้นำทางการเมืองของฝรั่งเศสนี่ ช่างให้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผู้หญิงของเขา" มากมาย...ซาร์โกซี่ ก็เกือบเดี้ยง ออกกำลังกายมากเกิน เพราะภรรยาใหม่เป็นเด็กกว่ามาก เป็นนางแบบ จำเป็นต้องกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยมากๆ...อิอิอิ

คนก่อนนี้นานแล้ว ชื่อ P.ปิแอร์ ที่มีภริยาเป็นสาวสังคม...ด้วยวัยที่ห่างกันมาก แม่นางมีวุฒิภาวะน้อย เปิดอกให้นักข่าวล้วงตับไตจนล่อนจ้อน ให้สัมภาษณ์ว่ามั่วเซ็กซ์.. เคยทำแท้ง..ฯลฯ ไม่ได้นึกถึงหน้าท่านสามีเลย ตอนนี้นึกชื่อไม่ออกค่ะ

ทานกลางวันมากไปหน่อย...เลยสมองตื้อต่อจากอ่านกระทู้พี่กาย...ขอบพระคุณที่กรุณาเล่าให้ฟังยืดยาวค่ะ ขอลาไปก่อนนะคะ ต้องทำงานแล้วค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:1:58:03 น.  

 
ปีย่า....

ตำราประวัติศาสตร์ไทยมักไม่สอดคล้องกันนัก
ฉบับที่พี่มีอยู่ว่า...พระเชษฐาธิราชครองราชย์ได้
1ปี 2เดือน ค่ะ....แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะ
ให้น้ำหนักฉบับหลวงประเสริฐว่าเชื่อถือได้มากที่สุด

เรื่องสินค้าแบรนเนมของฝรั่งเศส...พี่พอทราบค่ะ
ว่าอย่างน้องคงไม่พลาด...555....หมั่นไส้นัก....อิๆๆ

แต่พี่เรียนมาทางช่าง...ก็ชอบเยอรมัน...แม้ภาษา
จะฟังไม่เสนาะโสตเท่าแต่มีเหตุผลดังนี้....

....เป็นพวกอารยัน เหมือนพระพุทธเจ้า

....องอาจสามารถมาก...เหนือฝรั่งทุกชาติในยุโรป
(ลองนึกถึงการถูกรุมกินโต๊ะทั้งจาก รัสเซีย อเมริกา
อังกฤษ ที่เป็นกองทัพระดับพรีเมียร์ลีก..ในWW2ดูสิ
ถึงจะเอาอยู่...หากล่อกันตัวต่อตัว...รับรองเหมือนฝรั่งเศส...ถูกเหยียบราบ)...

กลัวระเบิดลงแล้วเมืองจะไม่สวย...ยอมแพ้เอาง่ายๆ
นั่นคือฝรั่งเศส...เก่งแต่กับลาว เขมร....5555

....อุตสาหกรรมเป็นเลิศ...เบนซ์ บีเอ็ม ออดี้ เยอรมัน
ทั้งนั้น

....ไม่เคยมารุกรานไทยสมัยล่าอาณานิคม

....ฟุตบอล...แชมป์โลก 3 สมัย...

แถมแพ้สงครามโลกถึงสองครั้งยังกลับมาพัฒนา
ประเทศจนมีเศรษฐกิจเหนือกว่าผู้ชนะทั้งอังกฤษ
และฝรั่งเศสอีก....เหมือนญี่ปุ่น....

บางชาติพ่ายแพ้ล่มจมอย่างไร...ก็จะกลับมายิ่งใหญ่
ได้ทุกครั้งไป...เพราะคุณภาพคนเขาเหนือกว่า
ประเทศอื่น....หากแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวางแบบ
อเมริกา...พลเมืองเยอรมันล้วนๆสัก 240 ล้านขนาด อเมริกาพี่ว่าพวก...แองโกลแซกซอน...เทียบไม่ติด
แน่นอน

เสียแต่สาวๆไม่ sexy เท่าฝรั่งเศสเท่านั้นเอง
ตัวใหญ่เบอะบะไปหน่อย....อิๆๆๆ


โดย: สดายุ... วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:21:04:05 น.  

 
ตติยามสวัสดิ์ค่ะพี่กายขา


แม้...เจอร์มัน..นี่ทุกอย่างดีโม้ด...
เสียแต่สาวๆ ตัวใหญ่ไปหน่อย..
ไม่เซ็กซี่เท่าสาวปารีเซี่ยน...

ยังอีกค่ะ...มีหนวดด้วยค่ะ...555.. เอิ๊ก เอิ๊ก

แต่ปีย่าว่าประหลาดกว่านั้นค่ะ...
รู้จักคนชื่อ..กุนเธอร์...8 คน..เจ้าประคุณเอ๋ย..
สมคงคล้าย..จิ๊กมี..แห่งภูฐาน..
และสมชาย...แห่งเมืองพาราสาวัตถีนะคะ

และหนึ่งกุนเธอร์...ตาสีเชสนัท...
หมายเลข 2..ค่ะ เชสนัท.. 1 เป็นอเมริกัน.. อิอิอิ


แล้วพี่กาย ไม่คิดว่า อารยันจากเจอร์มัน..เดินทางแสวงหา..จนถึงอินตระเดียรึคะ ปัญจาปน่ะที่หมายแรก...
อารยันแท้ๆ อยู่เอเซียกลาง เป็นชนเผ่าร่อนเร่พเนจร คล้ายเบดูอิน ในตะวันออกกลาง
แล้วความที่อารยัน รวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน มีอาวุธดีกว่า มีม้า และมีรถใช้ จึงเก่งกว่าพวกหะรัปปา (Harappan)..นี่มัน 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราชเชียวนะคะ



พี่กายขา

๐ ควรสุดจะสมเภท........กะวิเวทนาการ
บุตรผองเพราะต้องผลาญ..ทรมานะตราบวาย

มันน่าจะเป็น...สมเพช นะคะ


๐ มองศพะถ้วนบท.........พระอุรสะชีพลาญ
โอดครวญกำสรวล-ปาน-..ชิวะคราญบ่อาจคง

ยังดีที่ยังมี..สมปดี...ก่อนที่น้ำตาจะเป็นสายเลือด...


จวนจะปิดม่านแล้วสิหนามหากาพย์วงศ์ต้องคำสาปบาปไม่แพ้บุญ...


มาอ่านทวนไป ทานข้าวไปค่ะ..เจริญอาหารดี...ขอลาไปทำงานต่อละค่ะ


โสรวารสิริวิสุทธิ์-อวลบุษปคันธาลดามาลย์นะคะ



โดย: sirivinit วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:1:57:51 น.  

 
ปีย่าตัวน้อยๆ.....

อ้อ...สมเพช...ใช่ค่ะ..ขอบคุณมากนะคะ
ที่ท้วงติง..พี่ก็เผลอไป....

อารยันเดิมอยู่เอเชียกลางค่ะ...แถวทะเลสาปแดสเปี้ยน
แล้วแยกกันอพยพ...
ลงใต้มาทางเปอร์เชียพวกหนึ่ง..กลุ่มนี้จำนวนมากสุด
ไปทางยุโรปพวกหนึ่ง....

กลุ่มที่ลงมาเปอร์เชียนั้น...มาแบ่งเป็นสองกลุ่มอีกที
ลงหลักปักฐานที่เปอร์เชียเป็นชนชาติอิหร่าน พวกหนึ่ง

อีกพวกอพยพต่อมามุ่งตะวันออกถึงเชิงเขาหิมาลัย
ก็เริ่มลงหลักปักฐาน....

บทที่ยกมานั้นกล่าวถึงพระนางคานธารีมารดาของ
เการพทั้ง 100 ที่เสียชีวิตทั้งหมด....
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่บำเพ็ญพรตบูชาพระศิวะ...จน
พระศิวะพอใจจึงให้พร..เป็นคนที่มีวาจาสัตย์...อยู่
ในศีลในธรรม....

เมื่อพระนางถูกส่งมาสมรสกับท้าวธฤตราษฎร์นั้น..
พระนางไม่ทราบว่าคู่สมรสเป็นชายตาบอด....ต่อเมื่อ
มาถึงกรุงหัสดินปุระแล้วถึงได้รู้...แต่พระนางก็ยอมรับ
ได้โดยทรงผูกผ้าขาวปิดเนตรเสียเพื่อให้ไม่ต้อง
เห็นอะไรเช่นเดียวกับสวามี...

(ตรงนี้หากตีความก็อาจเป็นว่า...ผัวเมียคู่นี้ที่เป็นผู้
ให้กำเนิดเการพทั้ง 100 องค์นั้นรักลูกจนหน้ามืดตามัว
จึงไม่อาจห้ามปราม สั่งสอนลูกไม่ให้ก่อสงครามได้)

พระนางเป็นคนมีวาจาสัตย์...หากสาปใครแล้วไม่มี
ใครจะถอนคำสาปได้...ภีมะกับกฤษณะจึงเกรงนัก
กลัวถูกสาป...โดยเฉพาะภีมะที่ถึงกับแหวกอก
ทุศศาสน์โอรสคนที่สองของพระนางคานธารีดื่ม
กินเลือดเนื้อนั้น...เป็นคนที่กลัวคำสาปของพระนาง
คานธารีที่สุด...

ดังนั้นคนที่มุทะลุพูดจากระโชกโฮกอากนี้ถึงกับเรียบร้อย
พูดจาสุภาพนิ่มนวลกับพระนางคานธารี..จนพระกฤษณะ
ถึงกับต้องกลั้นหัวร่อที่ภีมะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนั้น

แต่ในที่สุดหลังจากฟังคำชี้แจงแล้ว...พระนางก็ทรง
ยกโทษอภัยให้หลานๆปาณฑพทั้งหมด....เพราะ
กฤษณะเองก็ชี้แจงเหตุผลความเกะกะระรานของ
ทุรโยธน์จนพระนางเองก็โต้แย้งไม่ได้

แม้ท้าวธฤตราษฎร์จะคัดค้านการที่พระนางผูกตาตนเอง
เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น...แต่พระนางยืนยันที่จะ
ปิดตาตัวเองจนตาย...เพราะในเมื่อพระสวามีมองไม่เห็น
พระนางแล้วพระนางเองก็ไม่ต้องการเอาเปรียบ...นับ
เป็นคุณธรรมน้ำใจของหญิงที่น่ายกย่องมาก....

ทำงานให้สนุกนะคะ....
NY คงครึกครื้นมากกว่าที่เก่านะคะ....
อย่าลืมนะคะ...อีก 5 กก. ทำให้ได้นะคะ




โดย: สดายุ... วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:6:00:01 น.  

 
กึ่งวันโสรวารสวัสดิ์ค่ะพี่กายขา


ขอบพระคุณนะคะ ที่กรุณาอธิบายเสียแจ่มจิต...

ในเมื่อพระสวามีสุดแสนดี ไม่มีตาไปมองสตรีใด ใจภักดิ์ในนางเดียว...มันต้องตอบแทน ตามประสา "ปดิวรัดา" ค่ะ

"มีสามีดีเหมือนมีฉัตรกั้นเกศ งามหน้างามเนตรทุกเวลา"

การหลงรักลูก การรักลูกด้วยอาการลุ่มหลง เป็นธรรมดาค่ะ
ขนาดลูกไม่รู้จักพ่อ จนต้องถามไปทั่วพาราสาวัตถี ว่า

"มะ รึง รู้มั๊ยว่าก..รู ลูกคราย..."

พ่อยังหลับหูหลับตารักลูก ว่าสุดแสนดี ชื่นชมยกย่องเองอย่างสุดปลื้มนี่นา

อวชาติบุตรานคราบางบอนแลปากน้ำนั้น...ยังไม่สูญพันธุ์ค่ะ

ลูกของโส..ผู้กว้างขวางเสียอีก..สองชาย เรียบร้อยดี...


ทำงานสนุกดีค่ะ เพื่อนร่วมงานน่ารักและมีน้ำใจพอๆ กับที่ LA ค่ะ

ยังไม่เห็นเพื่อนต่างวัย ต่างเพศผิวพรรณ ต่างพันธุ์จะดูถูกเลยค่ะ หากมิใช่ด้วยเอ็นดูว่าคราวลูก คงเป็นเพราะการที่ได้รับการศึกษามาดีจากสถาบันดี จึงเห็นว่าคนเป็นคน "มวลมนุษยชาติ มีสิทธิเท่ากันทุกผู้ทุกนาม"


5 กก.อันมีรางวัลก้อนโตล่อนั้น น่าปรารถนานักค่ะ...555
คนที่ลดขนาดหนัก... ทราบแล้วคงหมั่นไส้มาก..อิอิอิ
ป่านฉะนี้...คงโซ้ยผัดไทยโบราณจานสังกะสีเพลินไปเลยละซี้....


มัวแต่ตามข่าวเมืองไทยกับคุณปู่และอาณัฐ จากอินเตอร์เน็ทอยู่ค่ะ... มันจะยุ่งยากอะไรกันนักหนานะคะ ขอลาไปหลุบตาดำละค่ะ


สวัสดิ์สิริโสรวาร-กมลมานชนมดลรมณีย์นะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:12:05:04 น.  

 
ตัวน้อย....

มาหยอดท้ายให้พูดการเมืองอีกแล้ว...
เดี๋ยวก็ยาวเป็นรถไฟขบวนสุไหงโกลกอีกหรอก...555

ต้องพูดว่า....
ความกลัว...ทำให้เสื่อม....
กรณี ปลด แต่งตั้ง ผบ.ตำรวจนี้ เห็นได้ชัดว่า..
หนุ่มมาร์ค...ขาดความเด็ดขาด...และอีหลักอีเหลื่อกับ
ระบบอุปถัมภ์...ที่หัวหน้านักรบเสมือนว่า"นำมามอบให้"

ภาวะการณ์ลูบหน้าปะจมูก...น่าจะเป็นเฉพาะคนที่เติบโต
มาในเมืองไทย...มากกว่าคนที่ไปเติบโตในอังกฤษ
แสดงถึงการทำงานที่ยังคอย"มองหน้าคน"

คนเป็นนาย...หากไม่รู้จักใช้อำนาจในมือ...
เพราะมีคำว่า"เกรงใจ"...ก็จะถูก.."หมาเลียปาก"
แบบนี้แหละ....
บรรดา พล.ต.อ. ในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น...
หากจะวัดฝีมือ หรือ วิสัยทัศน์แบบเอามาตรฐาน
ตะวันตกที่ตรงไปตรงมา...มาจับ...มันคงไม่ผ่านสักคน

นี่คือข้อด้อยของระบบนายกรัฐมนตรีมาจากระบบรัฐสภา
หากเทียบกับ โอบามา แล้วต่างกันไกล....
อเมริกานั้น ประธานาธิบดี อยู่ในสถานภาพที่เป็น
super power สามารถสั่งแม้กระทั่ง
ผู้บริหารองค์กรเอกชนใหญ่ๆที่บริหารงานล้มเหลว
อย่าง GM ออกจากตำแหน่งได้...

กะอีแค่...ผบ.ตำรวจแห่งชาติ...

ส่วนการเหยียดหยามทางชาติพันธุ์ในอเมริกานั้น
คงดีขึ้นมากแล้วในปัจจุบัน...เพราะคนขาวยอมรับคนดำ
เป็นผู้นำ ก็ต้องนับว่าความหลากหลายทางชาติพันธุ์
เป็นที่ยอมรับว่ามีข้อดี....คือทำให้ได้คนรุ่นใหม่ที่
เฉลียวฉลาดมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ....

อีกหน่อยคงมีพวกเชื้อสายสเปน...หรือเอเชีย...ได้รับ
โอกาสบ้างก็เป็นได้....

การศึกษาที่ดีจากสถาบันที่ดีนั้นเป็นไปได้ว่าได้มีส่วน
สร้าง อีโก ให้คนรู้สึกรวมกลุ่มรวมพวกและกีดกันผู้อื่น
เราต้องพูดว่าเป็นสปิริตที่ดีงามส่วนบุคคล..ที่ ignore
เรื่องพวกนี้...

ไม่งั้นจะมี
สิงห์แดง
สิงห์ดำ
สิงห์ขาว
สิงห์โกลด์ (แบบกระป๋อง...555)
เหรอ


โดย: สดายุ... วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:16:56:48 น.  

 
ต่อ..เรื่องตำรวจอีกหน่อย...มันเขี้ยว

1 ย้ายพัชรวาท หรือ ปลดรู้แล้วรู้รอด..มีอะไรดีถึง
ต้องเอาไว้คาราคาซังแบบนี้
2 ปลดแปะยิ้ม ชวรัตน์ ออกไปซะ
3 มาร์ค ลาออก หรือยุบสภา...หากไม่สามารถทำ 1 หรือ 2

มีแค่นี้แหละ....ที่น่าจะเป็นไปได้
คนเราหากมีจุดยืนเพื่อความถูกต้อง...
ต้องยอมหักไม่ยอมงอ....

สมัคร มีความกล้าหาญ ที่กล้าปลด เสรีพิสุทธิ์
แต่...เมื่อเขาไม่ผิด...อย่าเพิ่งตายก็แล้วกัน...
รอติดคุกก่อน....

นี่ก็เหมือนกัน...หากอภิสิทธิ์ปลด พัชรวาท แล้ว
จะมีอะไรเกิดขึ้น...
ประวิตร พี่ชาย จะทำอะไรได้...
อนุพงษ์ น้องสุดเลิฟของประวิตร จะทำอะไรได้
เพราะกับอีกขั้วก็ไม่เผาผีกันอยู่แล้ว....

ถูมือไปมา....อิๆๆๆ

ตัวน้อยจงคิดว่าอ่านกำลังภายในก็แล้วกันนะคะ....
5555




โดย: สดายุ... วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:17:18:39 น.  

 
เรื่องการเมืองหายไปไหนแล้วอ่ะคะ
พี่ช่วยเขียนเรื่องการเมืองต่อสิ
กำลังสนุก อิอิ


โดย: บุปผาลีลาวดี วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:20:29:57 น.  

 


พี่กายคะ..

เพื่อฐานที่รองรับอำนาจ
หากฐานคลอนแคลนแม้เพียงขาเดียว
ก็อาจจะล้มครืนได้นะคะ
การดำรงตำแหน่งของท่านผู้นำคนปัจจุบัน
กว่าจะมายืนได้..อาศัยฐานอำนาจจากหลายฐาน
เพราะไม่มีอำนาจเงินเป็นใบเบิกทาง
ก็ต้องดูกันไป...กับอำนาจที่มิได้มีอย่างเต็มมือค่ะ



โดย: พธู วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:22:17:26 น.  

 
ม้าอุปการ ในพิธีอัศวเมธ กินหญ้านานจัง...


โดย: sirivinit วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:23:55:26 น.  

 
ไปย้อนอ่านมาใหม่ค่ะ
กว่าจะจบเจ้าประคุณเอ๋ย 3 ช.ม.กว่า
คนเขียน เขียนอยู่ 8 เดือน....


โดย: sirivinit วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:3:16:51 น.  

 
บุปผา....
การเมือง...ก็ต้องไปอ่านที่บล็อค.."สังคม-การเมือง"
ตรงนี้มันหน้าฉันท์....




พู....

ถึงบอกว่าน่าจะยุบสภา หรือ ลาออก หาก
ไม่กล้าตัดสินใจทางการเมือง....

ประเด็นสำคัญคือ...นายกรัฐมนตรีต้องมีภาวะผู้นำ
ที่มากพอด้วย...มือที่เคยยกสนับสนุนหากว่าวันหนึ่ง
เกิดจะเปลี่ยนใจเพราะต้องการประโยชน์แลกเปลี่ยน
ก็ให้มันรู้ไป...ให้มันแสดงออกมาให้คนทั้งประเทศเห็น

สำคัญคือ...อย่ายึดติดกับตำแหน่ง






ปีย่า....
เพราะคนเขียนขยันไงคะ....ทำเอามัน...
นี่หากเป็นสมัยกรุงศรีอยุธยา...คงเขียนจบไปนานแล้ว
เพราะจะว่าเป็นคำพูดแล้วให้คนจดตามไป

ม้าอุปการตัวนี้...วิ่งบ้างเดินบ้าง...
ไปเรื่อยเปื่อยตามแต่จังหวะของอารมณ์ค่ะ....

ตั้งใจทำงานนะคะ


โดย: สดายุ... วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:6:46:26 น.  

 
คุณอัสว์มณิมัยอัสดรพาชีสินธพ แซ่เบ๊ขา
คุณยังกินหญ้าไม่อิ่ม อีกรึคะ...



พี่กายขา นี่มันยุครัตนโกสินทร์ที่จวนเจียน จะเป็นพาราสาวัตถีแล้ว...
พรุ่งนี้.. เห็นข่าวว่าจะมีมหกรรมใหญ่ไม่ใช่รึคะ

อย่ามัวแต่อ้างอยุธยากรุงเก่าของเราแต่ก่อนอยู่เลยค่ะ
ใครจะมาจารรับใช้ท่านล่ะเจ้าคะ
ร่ายฉันท์ต่อนะคะ แฟนานุแฟนรออ่านค่ะ...
(หลังจากไปโซ้ยผัดไทยของโปรดแล้ว)

จะมัวโอ้เอ้วิหารราย-โอ้เอ้ศาลารายทำไมล่ะคะ
บวชรึ..ก็ยัง...เขาให้สวดโอ้เอ้..ได้เฉพาะเจ้ากูสูงวัยค่ะ...555


โสรวารสวัสดิวัฒน์-กมลพัทธ์วิธทวีค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:3:05:04 น.  

 
ปีย่าตัวน้อย....

มาเขียนอยู่นี่เอง....
มหกรรมที่ว่าหมายถึงพวกเสื้อแดงน่ะหรือ....
เฮ้อ....พูดแล้วยาว...

เอาเป็นว่า....คนกลุ่มนี้กำลังแตกคอกันเอง...
สามเกลอหัวแข็ง...ที่พูดทองแดงทุก(ตัว)ตนนั้น
มีสาวกเหลี่ยมอีกส่วน...เริ่มมองเห็นแบบที่พี่เคย
พูดไป...มันหลอกกินเงินทักษิณ....เงินผ่านมือ
ก็มีโอกาสมุบมิบ....ก่อนจะมามีบทบาทน่ะ...ทั้ง
สามตัวทำงานการอะไร...

อาชีพนักพูด...โต้วาที...มันไม่ทำเงินเท่ามาเป็นแกนนำ
เสื้อแดงหรอก...การจัดการทั้งนั้นต้องมีเงินถึงจะดึง
คนชั้นรากหญ้าออกมาได้....

ความจริงมีเปรียบเทียบได้ว่า....

ในการปฏิวัติทุกครั้ง...ทหารระดับสัญญาบัตรอาจ
ได้รับบำเน็จเป็นยศ..ตำแหน่ง...หรือไม่ก็ทำด้วยใจ
เปรียบได้กับพวกเสื้อเหลือง...6 เดือนของการ
ขัดขืนอำนาจรัฐสมัคร-สมชาย...

แต่ไอ้เณรที่ขับรถถัง...หวังได้การตอบแทนเป็น
ตัวเงินคือ เบี้ยเลี้ยงเท่านั้น...ไม่มีอย่างอื่น
เหมือนเสื้อแดง...วันละ 500 ต่อหัว...จ่ายผ่าน
แกนนำลงไปตามลำดับชั้น...เพราะฉะนั้นจะยืดยื้อ
เป็นเดือนๆไม่ได้...เสร็จภาระกิจก็สลายตัว...
ตามใบสั่ง...ไม่งั้นจ่ายบาน

ตลาดหุ้นไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไรแล้ว....
เขาดู ดาวกระโจน...นิเคอิ...ฮั่งเส็ง...เป็นหลัก
ร่วมกับราคาน้ำมัน....

แดงดักดาน....หากมาแอบอ่านก็จำไว้นะจ๊ะ...
ว่าเป็นเช่นนี้...

ใส่เสื้อดำวันเกิดป๋าเปรม...
โถ..มาตรการปัญญาอ่อนช่างคิดกันออกมาได้...
มันจะช่วยแย่งชิงอำนาจรัฐกลับคืนตรงไหนนะ....
555
.
.
.
ว่าแล้วก็ยาว....555
ขอโทษนะเจ้าคะ....อ่านฉันท์ต่อละกัน....
ม้าเคี้ยวหญ้ารอนานแล้ว.....อิๆๆๆ






โดย: สดายุ... วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:20:40:24 น.  

 
โสรวารทวิยามสวัสดิ์ค่ะ


ถามถึงคุณอัศว์มณิมัยอัสดรอาชาพาชีสินธพ แซ่เบ๊ แท้ๆ...

ไปตอบอะไรก็ไม่รุ...พี่กายนี่

รออ่านฉันท์นะคะ
ก็ใส่รายละเอียดเยอะๆ ซีคะ
จะได้ยืดออกไปอีกหลายๆ ตอน เหมือนหนังทีวีไงคะ


โสรวารสิริมงคล-บันดาลดลสวัสดีค่ะ






โดย: sirivinit วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:21:19:09 น.  

 
ตัวน้อย....
เจ้าค่ะ...ใส่รายละเอียดยิบๆเลย...
คอยอ่านนะเจ้าคะ


โดย: สดายุ... วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:22:38:23 น.  

 
ตติยามโสรวารสวัสดิ์ค่ะพี่กายขา


เยี่ยมค่ะ ใส่รายละเอียดมากๆ นะคะ


๐ ตรีเภทพิธีกรรม..........ระบุทำนุถ้วนแมน
หอมหวนกำยานแม้น......รสะนั้นจะบรรสาร

อืม...ต้องเผากำยานด้วย...


๐ ถึงฤกษะเบิกมา.........ทวิบาทะด้วยกัน
ผลาญพร่าชิวาบรร-........ลัยะเพื่อจะบวงสรวง

ใครหนอ...


๐ น้อมนำชลาลัย..........ประจุให้ประโลมปาณ-
ฑพ, เทราปทีคราญ......อภิเศกะด้วยสินธ์

สงสัยว่า "ตีนเหยียด" หล่นหาย ค่ะ


อ่านเอาเรื่องค่ะ...555
มิใช่อ่านหาเรื่องหนาท่านซาดายู้ขา



อาทิตยวารสวัสดิ์วร-ศตพรสิกุมมานนะคะ



โดย: sirivinit วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:0:24:14 น.  

 
ตัวน้อย.....

ตัว...สินธุ...นี้
คำแปล....

(มค. สินฺธุ) น. ลำน้ำ, แม่น้ำ, สายน้ำ, น้ำทะเล,
มหาสมุทร; ชื่อแม่น้ำสำคัญในอินเดีย
(คำ ฮินดู อินดู และ อินเดีย ก็ออกจากคำ สินธุ นี้).

แม่น้ำสินธุ...อยู่ในปากีสถานซึ่งสมัยก่อนรวมอยู่
กับอินเดีย...คำนี้จึงใช้แทนคำว่าสายน้ำด้วย...
สินธุ์....หากเป็นสระ อุ พอใส่การันต์แล้วสระอุยังอยู่
แต่พอเขียน สินธู...พอใส่การันต์แล้วสระอูหายไป

มันเกิดใน word ค่ะ...

ขอบคุณนะคะที่ติงไว้....




โดย: สดายุ... วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:7:36:53 น.  

 
สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ค่ะ

ใกล้จบแล้ว ไว้เริ่มต้นอ่านใหม่
แบบรวดเดียวจบเลย ..ยิ้ม..


โดย: ปลิวตามลม วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:8:19:26 น.  

 


สวัสดีค่ะ พี่กาย

ทีแรกนึกว่าวันนี้จะวุ่นวาย เลยกะว่าจะอยู่บ้าน
แต่ตอนนี้หยุดไปแล้ว ก็เลยจะออกไปฟังบรรยายสรุปค่ะ
แปลกแต่จริงนะคะ เวลามีความวุ่นวายจากกลุ่มนี้ทีไร
ฝนฟ้าเป็นอันตกมากมายทุกที จนมีหลายคนบอกว่า
..แม้แต่ฟ้ายังไม่เป็นใจ...

มหาภารตะยุทธ กำลังจะจบลง
เตรียมเรื่องใหม่ที่จะเขียนหรือยังคะ

สุขสันต์วันอาทิตย์นะคะ พี่กาย
มีความสุขในวันหยุดค่ะ






โดย: พธู วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:8:43:14 น.  

 
อัล....
ไว้ว่างๆแล้วค่อยมาย้อนอ่านเอา....
ยังไงก็ไม่หายไปไหน....ยกเว้นพันทิปล่ม...555





พู.....
จะวุ่นวายได้ไง....กำลังจะฟัดกันเอง....555
มันต้องได้คนระดับ...
ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
พรหมินทร์ เลิศฯ...อดีตมือทำงานของ เปลื้อง วรรณศรี
ในคณะกรมการเมือง...นั่นแหละ
หรืออย่างน้อยก็กลุ่มคนตุลาเก่า....มาชูธง
มันถึงจะ work....

ลำพังสามเกลอหัวขวด...คงยาก
ชื่อชั้นห่างไกล....คนไทยชอบตามผู้นำที่เข้มแข็ง
และน่าเชื่อถือศรัทธา(ยกเว้นพี่)...

ไม่ใช่ตัวตุ๊ดตู่ทั้งสามนี่...เฮ้อ...

พี่กำลังนึกถึงเรื่องใหม่...เรื่องยาว...อิงประวัติศาสตร์
รออีกหน่อย...อิๆๆ





โดย: สดายุ... วันที่: 30 สิงหาคม 2552 เวลา:22:20:13 น.  

 
สายสวัสดิ์จันทรวารค่ะท่านกายะกานต์ขา



มาเสพสุนทรียรสที่จรสรจนาได้งามงดนัก

แต่สงสัยตรงนี้ค่ะ

๐ จึงบัณเฑาะว์เป่าศัง-...ขะประดังสนองกล
สรรพขัตติยาชน-...........ะพสกะแซ่ซ้อง

สัง-ขะ รึเปล่าคะ

รู้จักแต่ ศังกุ ที่แปลว่า หอก หลาวค่ะ


ทราบจากคนที่บ้านว่า เมื่อคืน กรุงเทพถูกพระพิรุณโจมตี...ทั่วพื้นปฐพีมีแต่น้ำเนืองนอง...
สงสัยชลธาราธารนทีทองจะชำระสิ่ง อัป-ปรีย์-ดา อันมัวหมองนะคะ

ฝนตกอุจจาระสุกระไหลชะซะ
รักษาสุขภาพนะมะคะ ทั่นสะดายุจ๊ะ


สิริจันทรวารมนสวัสดิ์-โสมนัสสวัสดิ์วรวารนะมะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:9:24:04 น.  

 
ตัวน้อย......

ศังข์...เป็นคำเขียนสมัยเก่า
สังข์...เป้นคำเขียนยุคปัจจุบัน
มีหลายคำที่เปลี่ยนไปแบบนี้....เจ้าค่ะ

ค่ะ...กรุงเทพฝนฟ้าตกทุกวันช่วงนี้
เหมือนจะให้รับกับคำโบราณที่ว่า....

"ฝนตกขี้หมูไหล...คนจัญไรมาพบกัน"

เกือบพบกันแถวหน้าทำเนียบแล้ว...
หากไม่ตาแหกยกเลิกเสียก่อน.....555

พี่หัวแข็งค่ะ...ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยกะใครหรอก
สุขภาพดีมาก
คงอยู่ได้เกิน..100ปี...เป็นแน่แท้...อิๆๆ

ดูแลสุขภาพค่ะ


โดย: สดายุ... วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:18:26:36 น.  

 
ตติยามโสรวารสวัสดิ์ค่ะพี่กายขา


ยังดีที่มารจนาต่อหน่อยนึง...
พอจะท่องจำได้ค่ะ..


๐ คานธารีชายา............ปฤถาวิทูรยาม-
นั้น..ร่วมพฤฒาพราหม-..ณะเสด็จแสวงศานติ์


นี่สิจอมนาง...ทุกข์-สุข ร่วมเสพย์ด้วยกัน


เมื่อไรพาราสาวัตถีจะ ...แสวงศานติ์.. กันสักทีก็ไม่ทราบนะคะ
ทราบข่าวแล้วหดหู่ใจจังเลยค่ะ

ฝนตก... รักษาสุขภาพนะคะ



สวัสดิ์สิริอาทิตยวาร-กมลมานปรีดิ์ปราโมทย์ค่ะ


โดย: sirivinit วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:1:06:04 น.  

 
"พุทธะมรรคา"
ใช่อันเดียวกันกับประทีปแห่งเอเชียหรือเปล่าครับ


โดย: ศารทูล IP: 118.172.141.105 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:17:01:21 น.  

 
ยามสองสวัสดิ์อาทิตยวารค่ะพี่กายขา


มาอ่านต่อค่ะ...
ดีจัง... แจงทศพิธราชธรรมด้วย..

ชอบจริงๆค่ะ เรื่องนี้
อั๊พบล็อก ต่างกรณี ต่างเหตุการณ์
ต่างผู้แจง.. หลายครั้งเลยค่ะ

.

ชอบตรงนี้ค่ะ

๐ อวยทรัพย์สำหรับจะบริจาค
ทะนุภาคะถ้วนใน-
ขอบเขตประเทศ..สุขะจะไพ-
บุลยาสถาวร



อาทิตยวารเปรมปรีดี-รมณีย์ปีติมานนะคะ


โดย: sirivinit วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:21:18:53 น.  

 
ตัวน้อย....
สวัสดีเจ้าค่ะ...
ดีจังที่มีคนสนใจอ่านจริงๆจังๆ....แถมอ่านรู้เรื่องด้วย
ถูกใจผู้เขียนอย่างแรง...555

ค่ะ...ทศพิธราชธรรม...เป็นธรรมสำหรับพระราชา
แต่ที่จริงแล้วเป็นธรรมสำหรับผู้ปกครองนั่นเอง
ในประเทศที่ไม่มีพระราชาแล้ว...
ในเมื่อกิจการดูแลสุขทุกข์ของประชาชน..ไม่ได้
เป็นของพระราชาโดยตรง...แต่เปลี่ยนเป็นของ
นายกรัฐมนตรี..หรือ..ประธานาธิบดีแล้ว...

จะเห็นว่า...อาชชวะ...คือความซื่อตรงก็จำเป็นต้องมี
ไม่เช่นนั้นก็จะถึงกาลเสื่อมโดยเร็ว....เหมือน
คนคางเหลี่ยมเป็นกรณีตัวอย่าง....
....ความคดโกงทำให้เสื่อม
....การเอาแต่พรรคพวกตัวเองทำให้เสื่อม
....ความเย่อหยิ่งจองหองทำให้เสื่อม
....การผิดคำพูดบ่อยทำให้เสื่อม

ระบบกษัตริย์สร้างศรัทธาต่อคนได้สืบเนื่องเป็นร้อยปี
แต่ทำไมระบบการเลือกผู้ปกครองแบบหมุนเวียน
ถึงสร้างศรัทธาได้ไม่ถึง 10 ปี...ไม่ว่าหน้าไหน
และเพราะเหตุใด...น่าคิดนะคะ

เพราะเขาขาดตัว....อาชชวะ...นี่หนึ่งล่ะ
และจะมีตัวต่อๆไป...






ศารทูล....

พุทธมรรคา...ไม่ใช่ประทีปแห่งเอเชีย....
เป็นการเขียนใหม่เอาเอง...แต่กำลังหาเรื่องราว
เป็นความเรียง...ที่รวบรัดชัดเจนแบ่งแยก
เป็นตอนๆให้ได้ก่อน
ไม่งั้นการเดินเรื่องจะไม่กระชับ....และเยิ่นเย้อ
เกินไป...ยาวเกิน 500 บทก็จะขี้เกียจอ่านกัน
(ยิ่งคนชาตินี้ขยันอ่านหนังสือกันอย่างแรงแบบนี้ด้วย
คาดว่าจะอ่านกันเป็นปีก็ไม่จบหากยาวเกินไป...555)

แต่สั้นเกินไปก็ไม่มีเนื้อหาอะไร...ให้เล่นลีลา

เขียนด้วยฉันท์ง่ายที่สุด...เพราะชื่อคน..อะไรต่างๆ
รวมทั้งศัพท์แสงเป็นบาลี สันสกฤต..อยู่แล้ว...
จึงคาดว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก

ว่าแต่...หากแกนโลกหยุดหมุนขึ้นมาในอีก 3 ปีข้างหน้า
จะเกิดอะไรขึ้น...เด็กสายวิทย์ลองตอบดูทีรึ...



โดย: สดายุ... วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:22:53:52 น.  

 
อ๊ะ..เป็นน้องคุณสดายุ ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องได้ไงคะ...


โดย: sirivinit วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:23:01:40 น.  

 


สวัสดีค่ะ พี่กาย

ดำเนินเรื่องราวมาจนจะจบแล้วนะคะ
และก่อนจบ จะขาดเสียไม่ได้เลย ก็คือ..
หลักธรรมสำคัญๆ นะคะ โดยเฉพาะทศพิธราชธรรม
คงจะเรียกได้ว่า..หลักธรรมต่างๆ ในมหาภารตะยุทธ
ถือเป็นแนวคิดในการบริหารจัดการตามหลักรัฐศาสตร์
ก็คงได้ ใช่มั้ยคะ...

ที่จริงแล้ว บ้านเมืองเราก็ยึดหลักธรรมาภิบาล
ในการบริหารจัดการบ้านเมืองมานะคะ
ตามหลักการก็ตือ แนวทางในการจัดระเบียบ
เพื่อให้สังคมของประเทศ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
และอยู่ใน ความถูกต้องเป็นธรรม

คนเคยยิ่งใหญ่..ในการปกครองประเทศบ้านเราก็รู้นะคะ
ทั้งที่รู้ ...แต่ก็ไม่ได้บึดหลักธรรมาภิบาลนี้
ได้แต่อ้างด้วยวาจา ว่า ได้บริหารจัดการ
ตามหลักการที่ว่านี้แล้ว
..หลักนิติธรรม
..หลักคุณธรรม
..หลักความโปร่งใส
..หลักการมีส่วนร่วม
..หลักความรับผิดชอบ..
พูว่า...แต่ละคน บริหารจัดการได้ไม่ครบ
ตามหลักธรรมาภิบาลหรอกค่ะ จริงมั้ยคะ

พูเลยใช้พื้นที่..ซะยาวเลย มาแจมความคิดเห็นค่ะ

ช่วงนี้ฝนตก อากาศครึ้ม รักษาสุชภาพด้วยนะคะ





โดย: พธู วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:13:37:25 น.  

 
อืม...เมื่อแกนโลกหยุดหมุนหรือครับ...

ผลกระทบที่ผมนึกถึงเป็นอย่างแรกคือ...
การเกิดกลางวัน-กลางคืน คงจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโลกเพียงอย่างเดียว
(เดิม กลางวันกลางคืนเกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก...แต่ตอนนี้มันไม่หมุนแล้ว)
นั่นหมายถึง กลางวัน-กลางคืน จะค้างเติ่งอยู่เป็นเวลานาน
(สมมติโลกหยุดหมุนตอนบ้านเราอยู่ในช่วงกลางคืน
แสดงว่าซีกโลกฝั่งเรากำลังหันออกจากดวงอาทิตย์
ผมจินตนาการว่า...เราต้องรอให้โลกอ้อมไปอีกฟากของวงโคจร
จึงจะทำให้ด้านของเรา ซึ่งหันออกจากดวงอาทิตย์ ณ เวลาที่โลกหยุดหมุน
เปลี่ยนมาหันเข้าหาดวงอาทิตย์ กลางคืนจึงจะเปลี่ยนเป็นกลางวันน่ะครับ)

ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะส่งผลถึงอุณหภูมิบนผิวโลกแต่ละภูมิภาคด้วย
กระแสน้ำอุ่น-น้ำเย็นในมหาสมุทรจะเปลี่ยนทิศทาง
ช่วงเวลา อุณหภูมิ และสิ่งแวดล้อมที่ผิดปกติ จะทำให้สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
เพราะพวกไม่เข้าใจแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
มันคงจะงงๆ...การดำเนินชีวิตก็จะผิดๆ เพี้ยนๆ ไป
ในซีกโลกหนึ่ง เราคงจะได้เห็นนกฮูก ค้างคาวออกมาหากินกลางวัน
(กลางคืนมาไม่ถึงสักที...แต่หิวเหลือเกิน...ไปหาอะไรกินดีกว่า ไม่สนละ)
แต่เนื่องจากสรีระของสัตว์พวกนี้อาจไม่ได้เอื้อต่อการหากินกลางวัน
มันคงจะประสบความลำบากในชีวิตพอสมควร
สัตว์ที่ไม่ชอบอุณหภูมิต่ำ จะอพยพหนีหนาวจากซีกโลกด้านกลางคืน (ถ้ามันข้ามมาอีกฟากไหว)
ส่วนสัตว์ที่อยู่ในซีกโลกด้านกลางวัน ก็จะหาทางอยู่รอดให้ได้ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าตลอดเวลา

และที่ผมนึกได้ทีหลัง คือ...
ผมเคยเรียนมาว่า...
การหมุนของแก่นโลก
โดยเฉพาะแก่นโลกชั้นนอก ซึ่งเป็นของเหลวที่มีประจุไฟฟ้าไหลอยู่
เกี่ยวข้องกับการควบคุมสนามแม่เหล็กโลก

ดังนั้น...
ถ้าแกนโลกหยุดหมุน
ผมคิดว่าจะเกิดการแปรปรวนของสนามแม่เหล็ก
โดยรังสี, อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าในอวกาศ
(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากลมสุริยะที่ดวงอาทิตย์พ่นใส่เราอยู่เนืองๆ)
จะกระหน่ำลงสู่ผิวโลก (เราคงแสบๆ คันๆ แล้วก็ตายครับ)
เพราะสนามแม่เหล็กอันเปรียบเหมือนโล่กำบัง บิดเบี้ยวไปเสียแล้ว
แม้แต่ประจุไฟฟ้าในบรรยากาศของโลกเอง
ก็คงจะประพฤติตัวแปลกไปจากปกติด้วย
คงจะเกิดการถ่ายเทประจุมั่วไปหมด ทำให้ฟ้าผ่าเป็นว่าเล่น


แล้วท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ…


โดย: ศารทูล IP: 113.53.30.36 วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:20:18:38 น.  

 
เอ่อ...ความจริงแล้ว
ถ้ากลางวันกับกลางคืนยาวนานเป็นครึ่งปีจริงๆ
ซีกที่เป็นกลางคืน คงมีสิ่งมีชีวิตอยู่น้อยมากครับ
เพราะพืชจะสังเคราะห์ด้วยแสงไม่ได้
นับว่าสิ่งที่มีบทบาทเป็นผู้ผลิตในสายใยอาหารหยุดทำงาน
การดำรงชีวิตของสัตว์ รวมถึงมนุษย์ จะลำบากกว่าเดิมมากครับ
(แต่ที่จริง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายคงตายเพราะภัยจากสรรพรังสีที่ทะลุบรรยากาศโลกเข้ามา โดยที่ไม่ทันได้อดอยากด้วยซ้ำ)


โดย: ศารทูล IP: 113.53.30.36 วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:20:58:49 น.  

 
ตัวน้อย....
เจ้าค่ะ...คนเก่ง...
ใกล้จบแล้ว...เหลือบทสุดท้าย....มารอพิสูจน์
อักษรให้พี่นะคะ





พู....
ทศพิธราชธรรม...เขามีมาตั้ง 4000 ปีแล้ว
คิดดูสิว่าสังคมอารยันมีพัฒนาการตั้งแต่ 4000 ปีที่แล้ว
เหนือสังคมสารขัณฑืเป้นไหนๆ...

ผู้ปกครองของเราในระดับการเมืองนี่...
ไม่มีธรรมทั้งสิบ...จึงเป็นที่มาแห่งความเสื่อม
และเหตุใหญ่ รากเหง้า ที่ทำให้เราพัฒนาไม่ทันเขา
เพราะหลักนิติธรรมไม่มีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งเจ้าพ่อชล...
ทั้งเจ้าพ่อปากน้ำ...
ทั้งเจ้าพ่อดาวเทียม...
ถูกศาลฎีกาตัดสินแล้วไม่ต้องติดคุกสักราย
แค่หนีข้ามชายแดนไป...ระบบตามตัวผู้ร้ายก็
ไม่ทำงานแล้ว...

มาเล่นแต่กับคนอย่าง วีระบุรุษนาแก...ที่ทำคุณ
ประโยชน์ให้ชาติมามากมาย...เดี่ยวเรื่องโน้น
เดี๋ยวเรื่องนี้...

ซึ่งในสายตาพี่แล้ว
คนอย่างพัชรวาท นั้น ไม่เก่งไม่ตรงเท่า
เสรีพิสุทธิ์ วีระบุรุษนาแกคนนั้น....หรอก

ทำให้การคัดเลือกคนเข้าไปอยู่ในกระบวนการ
พัฒนา..จัดการประเทศ..ได้แต่คนไร้สมรรถภาพ
ด้อยประสิทธิภาพ...

หลักนิติธรรมคลอนแคลนและเป็นไม้ปักเลน
อย่างนี้..รวมทั้งระบบอุปถัมภ์ค้ำชูที่ คุณเปรมและ
บริวารแกยกย่องเชิดชูสืบทอดกันเข้มแข็งนั้น
ก็งอกงามเหลือเกินในสังคมนี้...

เชื่อว่าอีกไม่นาน....
ระบบอุปถัมภ์อัน ตรงข้ามกับระบบคุณธรรมจะค่อยๆกัดกินสังคมนี้จนพิกลพิการ...และไปสู่จุดที่ต้องพลิกฟ้า
คว่ำแผ่นดินกันในที่สุด






ศารทูล....
พอดีมีเด็กนานาชาติเขาเอาเรื่องนี้มาถกกัน
เรื่องที่ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่ง
ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์และมีแรงดึงดูดที่สมดุล
กับดวงอาทิตย์พอดี จะเกิดในปี 2012 จะเกิด
ภาวะนี้ประมาณ 40 วัน....ไม่นานหรอก...
แต่เป็นไปได้ที่จะดึงดูดกันจนแกนโลกค่อยๆตั้งตรง
และหยุดหมุน....ลองไปค้นหาอ่านดู


โดย: สดายุ... วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:7:39:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 152 คน [?]









O สิ้นสวาดิ .. O





O ให้เราสองขาดกันแต่วันนี้
อย่าได้มีหัวใจอาลัยหา
ความรู้สึกอ่อนหวานมันด้านชา
ปรารถนาคงเหลือ .. เพียงเพื่อลืม

O อัสดงคต .. ดวงรพี .. คล้ายรีรอ
จะทอดทอสุรภาพ .. ให้ปลาบปลื้ม
ก่อนโอนแสงดาวกระพริบให้หยิบยืม
ไว้ร่วมดื่มด่ำงาม .. ยิ่งงามนั้น
O เงียบงันด้วยเยียบเย็น .. ใต้เพ็ญแข
สุดตาแลเหลียวไป .. ภาพไหวสั่น
คล้ายภาพพจน์อันตระการแห่งวานวัน
ค่อยบิดเบี้ยวแปรผัน .. เกินกั้นไว้
O คลื่นแสงพาดราศี .. สู่ชีวิต
โลมดวงจิตมุ่งมั่นกับฝันใฝ่
สุรภพอัมพร .. ผ่านตอนไป
สุมฟอนไฟนิรมิตเป็นสิทธา
O โลกราตรีรู้ผ่านแต่ด้านมืด
ให้เย็นชืดแห่งวิกาลเผยผ่านหา
โหมรอบหม่นหมองหมาง .. ให้ย่างมา
คลุมครอบอารมณ์คน .. อยู่อลเวง
O มีจันทร์แสงเรื่อรอง .. สู่คลองเนตร
คลายแววเลศกราก-รุมเข้ากุมเหง
ผ่านความหมายเร้ารัว .. บอกตัวเอง
ให้รุดเร่งถือสิทธิ์ .. ในจิตตน
O นิมิตใดกันเล่าที่เฝ้าหมาย
เช่นวิชชุรำร่ายกลางสายฝน
ฤๅผกายมณีน้ำ .. แสงอำพน
จักปลาบปนผ่องผาย .. สบสายตา ?
O งามเคยงาม .. ราววิชชุที่ลุแล่น
เมื่อห้อมแหนภาคโพยม .. เข้าโถมถา
แค่เพียงชั่วคาบยาม .. ก็ทรามทา-
ทาบแผ่นฟ้ามืดคล้ำ .. ร่วมรำบาย
O ใช่ผกายวิชชุ .. อันคุเพลิง
ที่จะเริงโรจน์เต้น .. ฟาดเส้นสาย
แต่เป็นมืดหม่นคล้ำ .. ค่อยกำจาย
ย้อนความหมายถ่ายช่วง .. บ่งท่วงที

O เฉกเช่นสายสาคร .. ไม่ย้อนกลับ
ผ่านเลยแล้วผ่านลับไม่กลับที่
ขาดกันเถิด .. ชิดเชยที่เคยมี
ตราบชั่วชีวาตม์จม .. ลงล่มลาญ !




Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.