กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้


พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รูปประกอบ โดยความเอือเฟื้อของคลังภาพประจำห้องสมุดปริยวาที



๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้

เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ข้าพเจ้าเจ็บเป็นบิดมีไข้ขึ้นอยู่ที่วังประตูสามยอด (วังเชิงสะพานดำรงสถิต ปัจจุบันเป็นอาคารพานิช) กำลังนอนหลับสนิท และสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยได้ยินเสียผู้ชายร้องไห้อย่างเต็มเสียง ข้าพเจ้าตกใจเพราะไม่เคยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ แล้วก็นึกว่าฝันไป สักครู่ได้ยินเสียงนั้นอีก และคราวนี้จำได้ว่าเป็นสุรเสียงของเสด็จพ่อ ข้าพเจ้าก็ยิ่งตกใจมากขึ้น จึงหันไปปลุกแม่นมของข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ข้างๆ ถามเขาว่า "ได้ยินอะไรไหม" พอดีเห็นเสด็จพ่อทรงยืนอยู่ทางปลายมุ้ง ตรัสว่า "พระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียแล้วลูก" แล้วก็ทรงพระกันแสงโฮใหญ่ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้ตามไปด้วย แล้วท่านก็เสด็จกลับไปทางท้องพระโรง ทรงพระดำเนินไปช้าๆเหมือนคนหมดแรง

รุ่งขึ้นเช้ามืดทุกคนตื่นด้วยนอนไม่หลับ มีพวกข้าราชมาเฝ้าเสด็จพ่ออยู่ตลอกเวลา บางคนมาฟังว่าสวรรคตจริงๆหรือ เพราะไม่มีใครทราบข่าวว่าทรงประชวรมากแต่อย่างไร แม้เสด็จพ่อเองก็เพิ่งทรงทราบว่าทรงประชวรมากเมื่อวันศุกร์ ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว เสด็จพ่อทรงเล่าว่าพระองค์ท่านเสด็จไปตรวจราชการทางใต้เสียวันหนึ่ง กลับมากรุงเทพฯบ่ายวันอาทิตย์จึงเลยไปเฝ้าที่พญาไท ซึ่งเป็นที่เสด็จประพาสและทรงทำนากันอยู่ในเวลานั้นทุกๆเย็น เมื่อเสด็จไปถึงก็เสด็จขึ้นเสียแล้วไม่ทันได้เฝ้า เขาทูลว่าเสด็จขึ้นเร็วเพราะไม่ทรงสบายพระนาภี เสด็จพ่อจึงเสด็จตามเข้าไปฟังพระอาการที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ได้ความว่าพระนาภีเสียและเสวยยาถ่ายแล้ว ไม่มีอาการมากมายอันใด ก็เป็นอันเบาพระทัย และเสด็จกลับวัง

ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันพุธ พอเสด็จเข้าไปถึงพระที่นั่งก็ได้ทรงทราบว่า ไม่ทรงสบายเพราะยาถ่ายเดินมากไป จนทรงเพลียถึงต้องบรรทมในพระที่ และมีพระราชดำรัสในตาม พระบรมราชินีนาถเสาวภาผ่องศรี ขึ้นมาถวายการพยาบาล เป็นอันเสด็จพ่อก็ไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าและเลยเสด็จอยู่ในพระที่นั่งชั้นล่างกับเจ้านายผู้ใหญ่ มีสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ และกรมหลวงนเรศวร์ฯ กรมหลวงเทววงศ์ฯ เป็นต้น เพื่อควบคุมหมอและคอยฟังพระอาการ

ถึงเช้าวันศุกร์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสาวภาผ่องศรีเชิญเสด็จพ่อให้เข้าไปเฝ้าที่หน้าม่าน (ข้างหน้าและข้างในต่อกัน) แล้วตรัสบอกว่า "พระอาการอื่นๆดีขึ้นหมดทุกอย่าง แต่หม่อมฉันไม่ชอบเรื่องลงพระบังคนเบา วานนี้ตลอดวันมีราว ๑ ช้อนโต๊ะ จึงเชิญเสด็จท่านมาทูล จะได้คิดแก้ไข" เสด็จพ่อตกพระทัยเป็นครั้งแรก รีบทูลลาว่าจะต้องเรียกประชุมหมอ แล้วก็กลับไปทูลเจ้านายที่ห้องแป๊ะเต๋ง จัดการเรียกหมอที่ว่าดีในเวลานั้นหมดมาประชุม

ตกลงกันว่าถวายยาฉีดถวายสวน ทุกอย่างที่จะพึงทำได้ในเวลานั้นแต่ไม่มีผล คงได้พระบังคนเบาราว ๑ ช้อนกาแฟ ซึ่งน้อยลงไปอีก พอถึงเวลาค่ำ หมอก็พร้อมกันทูลเจ้านายว่าถ้ามีราชการอันใดที่จะต้องกราบทูล ก็ให้กราบทูลเสียในตอนเช้าพรุ่งนี้ เพราะถ้าถึงเย็นจะเข้าโคม่า(ซึม) ที่ประชุมปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องกราบบังคมทูลรบกวนแล้ว สมเด็จวังบูรพาภิรมย์ก็ตรัสสั่งให้เสด็จพ่อไปเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้ามายังพระราชฐานแต่เช้า

รุ่งขึ้นวันเสาร์ราว ๗ น. เสด็จพ่อเสด็จตรงไปยังวังสราญรมย์ จรัสเล่าว่าสมเด็จพระบรมฯยังไม่บรรทมตื่น ทรงพบหม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ จึงตรัสบอกให้ปลุกพระบรรทมเดี๋ยวนั้น แล้วก็พากันเสด็จเข้าไปยังพระราชวังดุสิต ถึงตอนบ่ายข่าวประชวรมากก็รู้กันไปทั่วแล้ว และแทบทุกคนก็พากันไปฟังพระอาการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน เวลาราวบ่าย ๔ โมง พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ (ซึ่งทรงเป็นหมอพระองค์หนึ่ง) ขอเข้าไปดูพระอาการ พอถึงพระองค์ท่านก็ยกพระหัตถ์ขึ้นจับพระชีพจรที่พระบาท สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงหลับพระเนตรอยู่ ตรัสถามว่า "นั่นหมอหรือ" เป็นคำหลังแล้วมิได้ตรัสต่อไปอีกเลย ค่อยๆทรงบรรทมหลับไปๆจนหมดพระอัสสาสะเมื่อเวลา ๒๔.๔๕ นาฬิกา พระบรมศพมิได้ซูบซีดปกติประการใด

กำหนดสรงน้ำพระบรมศพที่พระที่นั่งอัมพรสถานในที่พระบรรทม แล้วเชิญพระบรมศพลงพระโกศทอง เชิญเสด็จขึ้นพระยานุมาศ เคลื่อนกระบวนจากพระราชวังดุสิตไปสู่พระมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังเวลาค่ำ ๗ น.เศษ

เสด็จพ่อทรงสั่งราชการพลางทรงพระกันแสงพลางอยู่ที่วังตอนเช้าวันอาทิตย์ พวกพี่น้องของข้าพเจ้าเขาก็พากันกลับเข้าวังหมดแทบทุกคน ข้าพเจ้ายังมีไข้เข้าไปช่วยทำงานในวังไม่ได้ พอเสด็จพ่อทรงเครื่องเต็มยศใหญ่เข้าไปสวนดุสิตแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปคอยเฝ้าพระบรมศพที่ริมถนนราชดำเนิน แถวโรงเรียนนายร้อยทหารบก

พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียวทุกคนแต่งดำน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส อากาศมืดคุ้มมีหมอขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละหมอกธุมเกตุ(๑)ที่ในตำราเขากล่าวถึง ว่ามักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆเกิดขึ้น ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกลๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้าเข้ามาๆในความมืดเงียบสงัด ที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงปี่เสียงกลองมาแล้ว เคยได้เห็นพระศพเจ้านายมาแล้วหลายองค์ แต่คราวนี้ตกใจสะดุ้งทั้งตัวเมืองเห็นพระเศวตฉัตรกั้นมาบนพระบรมโกศสีขาวกับสีทองเป็นสง่า ทำให้รู้ทันทีว่าพระบรมศพ แล้วก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

เหลียวไปดูทางอื่นเห็นแต่เเสงไฟจากเทียนที่จุดถวายสักการะอยู่ข้างถนนแวมๆไปตลอด ในแสงเทียนนั้นมีหน้าเศร้าๆหรือปิดหน้าอยู่ เราหมอบลงกราบกับพื้นปฐพี พอเงยหน้าก็เห็นทหารที่ยืนถือปืนเอาปลายลงดิน ก้มหน้าลงบนปืน อยู่ข้างหน้าเราเป็นระยะไปตลอด ๒ ข้างถนนนั้น น้ำตาของเขากำลังหยดลงแปะๆอยู่บนหลังมือของเขาเอง ทหารผู้อยู่ในยูนิฟอร์มอันแสดงว่ากล้าหาญ ยังร้องไห้เพราะเสียดายประมุขอันเลิศของเขา

เสด็จพ่อตรัสเล่าว่าได้โทรเลขไปตามหัวเมืองให้ระวังเหตุการณ์ในตอนเปลี่ยนแผ่นดิน ได้ตอบมาทุกทางว่า ภายใน ๗ วันแต่สวรรคตนั้น ไม่มีเหตุการณ์โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเลยสักแห่งเดียวในพระราชอาณาจักร

ฉะนั้น จึงจะต้องเข้าใจว่าแม้แต่โจรก็ยังเสียใจหรือตกใจในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหาราชของเรา



.........................................................................................................................................................


คัดจาก "สารคดีที่น่ารู้" พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล






Create Date : 23 กรกฎาคม 2550
Last Update : 23 กรกฎาคม 2550 10:14:54 น. 2 comments
Counter : 2635 Pageviews.  
 
 
 
 
สวัสดีค่ะ

ถ้าเราได้เกิดในตอนนั้น ก็คงจะเสียใจมากเช่นกัน

 
 

โดย: มณีไตรรงค์ วันที่: 23 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:19:59 น.  

 
 
 
ใช่ค่ะ เศร้าจัง
 
 

โดย: grippini วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:18:11:14 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com