กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้


พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รูปประกอบ โดยความเอื้อเฟื้อของคลังภาพประจำห้องสมุดปริยวาที



๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ เมื่อแผ่นดินสยามร้องไห้

๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ คือ วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ในพระมหาบรมราชวงศ์จักรี

งานประจำปีมีพระราชพิธีฉัตรมงคล คือวันเสด็จขึ้นเสวยราชย์นั้น ในรัชกาลที่ ๖ ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน และในพระราชพิธีนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งแต่งและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในเป็นประจำปี

ข้าพเจ้าได้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ฉะนั้นรุ่งขึ้นจึงเข้าไปงานตามตำแหน่ง และเป็นปีที่ฝ่ายในได้ห่มผ้าแพรปักตามยศเป็นครั้งสุดท้าย เพราะขึ้นรัชกาลใหม่ก็โปรดเลิกแพรปักนั้น ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นการสิ้นเปลืองโดยมิจำเป็น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระราชทานยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ฝ่ายหน้า ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเสร็จแล้ว เวลาราวเที่ยงเศษ ก็เสด็จขึ้นประทับพระราชอาสน์ในพระที่นั่งพิมานรัตยา และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ฝ่ายในตามลำดับยศ เมื่อเสร็จแล้วก็ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพร และทรงชวนให้สมาชิกใหม่ไปถวายบังคมพระเทพบิดร ผู้ทรงสร้างราชอิสริยศักดิ์นั้นขึ้น เพื่อเป็นสิริสวัสดิมงคลแก่เหล่าสมาชิกของราชอิสริยาภรณ์นั้นโดยทั่วกัน

วันนั้นข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านเวลาราวบ่าย ๒ โมงเศษ ได้พูกับพี่น้องว่า “วันนี้พระสุรเสียงในหลวงเบาผิดปกติ รู้สึกว่าท่านทรงเพลียๆ อย่างไรชอบกล” แต่ก็ไม่มีใครนึกคิดว่าอะไรต่อไป ตกดึกในวันนั้นเองที่ทรงพระประชวรมาก ด้วยปวดพระนาถี เนื่องแต่ Appendicitis เป็นพิษ (ไส้ตัน) รุ่งขึ้นเป็นวันที่มี Reception ทางฝ่ายต่างประเทศเฝ้าถวายพระพรชัยที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในท้องพระโรงกลาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกไม่ได้ในวันนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ผู้ทรงเป็นรัชทายาท เสด็จออกรับชาวต่างประเทศแทนพระองค์

ในคืนนั้นฝนตกหนักจนน้ำท่วมเจิ่งตรงหน้าอัฒจันทร์พระที่นั่งจักรี ถึงพวกสามีต้องอุ้มภรรยาลงจากรถไปขึ้นพระที่นั่ง เพราะรองเท้าของเจ้าหล่อนแบบบางเกินกว่าที่จะบุกน้ำได้ คณะทูตคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อสวรรคตแล้ว “ฉันไม่เคยเชื่อลางเลย แต่คราวนี้ต้องเชื่อ คืนวันนั้นเราขึ้นไปพร้อมกันในพระที่นั่งทั้งๆ ที่ฝนกำลังตกหนักและไฟฟ้าดับมืด ในห้องพระมหาเศวตฉัตรมีแต่แสงไฟเทียนแวมๆ เห็นพระเศวตฉัตรขาวถนัด มีแสงทองตรงขอบเข้ากับแสงเทียนแต่ - - - ฝนจำเพาะรั่วตรงพระมหาเศวตฉัตรนั้น ไหลเป็นทางราวกับน้ำตา ทั้งเมื่อเราทุกคนรู้ว่าประชวรเสด็จออกไม่ได้ด้วยแล้ว เรารู้สึกชอบกลอย่างบอกไม่ถูก ความมืดขมุกขมัวกับความรู้สึกของคนในที่นั้นมันแลดูเหงาไปหมด”

ฝนและพายุในคืนนั้นเองทำให้สิ่งก่อสร้างในสวนลุมพินีหักพังไปด้วยหลายแหล่ง แต่เราก็มิได้คิดอะไรกันในเวลานั้น รุ่งขึ้นก็รู้กันว่าทรงพระประชวนตามเคยที่เป็นมาแล้วเมื่อเร็วๆ นั้น ครั้นเช้าวันหนึ่งราววันที่ ๑๙ – ๒๐ เสด็จพ่อทรงรับแขกอยู่ที่ตำหนักใหญ่ราว ๙ น. ข้าพเจ้าก็ไปทำธุระที่เรือนพิสมัย เห็นรถไปจอดที่พระตำหนักก็ไม่แปลกใจ เพราะเป็นเวลาที่ท่านจะเสด็จไปหอสมุดและมิวเซียมอยู่แล้ว สักครู่ใหญ่ๆ เจ้าคุณศรีเสนา ผู้เป็นเลขานุการของเสด็จพ่ออยู่ในเวลานั้น เดินมาที่เรือนแล้วเรียกข้าพเจ้าไปกระซิบที่หน้าต่างว่า “ในหลวงทรงเป็นอะไรก็ไม่รู้ กระทรวงวังเขามาตามในกรมเข้าไปแล้ว ดูดินฟ้าอากาศซี ใบไม้ไม่ไหวสักใบเดียว”

ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นดูอากาศ ซึ่งไม่มีแดดไม่มีลมไม่มีเสียงอะไรเลยสักสิ่งเดียว รู้สึกเหมือนโลกหยุดไปเพียง ๑ – ๒ นาที แล้วตกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังเชื่อว่าคงไม่ทรงเป็นอะไรเกินกว่าที่จะรักษาได้ พอเที่ยงเศษเสด็จพ่อกลับมาเสวยกลางวันก็ตรัสบอกว่า “ในหลวงประชวรมาก เขาเข้าไปฟังพระอาการกันแล้ว เธอจะเข้าไปกับพ่อก็ได้”

แต่วันนั้นมา เราก็เข้าไปฟังพระอาการที่พระปรัศว์ซ้าย ซึ่งเป็นที่เจ้านายฝ่ายในไปประทับพักอยู่ด้วยกัน การที่เข้าไปนั่งๆ อยู่นั้นไม่มีประโยชน์ก็จริง แต่ความรู้สึกของเรามีว่า เราได้เข้ามาด้วยความกตัญญูกตเวที แลพร้อมที่จะรับงานทุกชนิดที่จะถวายได้ เราไม่ได้รู้อะไรจากผู้ใด เพราะไม่มีใครเขาพูดอะไรกับใคร มองกันไปมองกันมาแล้วก็กลับบ้านตามที่นัดเวลากันไว้กับเสด็จพ่อ และพอขึ้นรถเราแล้วก็ได้รู้พระอาการว่าดีขึ้นหรือเลวลงจากเสด็จพ่อของเรานั่นเอง

วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ตอนค่ำ เราก็เข้าวังและนั่งตามระเบียบอยู่เช่นนั้นอีก วันนี้คนมากระซิบว่า “ท่านไม่ไหวแล้ว เข้าโคม่าแล้ว ไม่เชื่อเข้าไปฟังตรงนั้นซิ ได้ยินถนัดทีเดียว” (ชี้ไปทางพระบัญชร) ข้าพเจ้าใจหาย ตอบไปว่า “ไม่เอา ไม่ฟัง” แล้วก็กลับบ้านในค่ำวันนั้น

รุ่งขึ้นเช้า หมายกำหนดการสรงพระบรมศพก็มาถึงวัง เราจัดแจงเครื่องแต่งพระองค์เสด็จพ่อแล้ว ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปในวังสรงพระบรมศพ เพราะรู้อยู่แล้วว่า ยศหม่อมเจ้าไม่สูงพอจะได้สรงพระบรมพระเจ้าแผ่นดิน แต่เสด็จพ่อตรัสว่า “เข้าไปเถิด ถ้าไม่ได้สรงก็ตามไปพระมหาปราสาทเฝ้าแล้วก็กลับบ้าน” ฉะนั้นเราจึงเข้าไปพร้อมเสด็จพ่อ ไปนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ว่ากระไร จนเห็นเจ้านายทรงเครื่องขาวขึ้นไปบนพระที่นั่ง และเสียงประโคมเวลาสรงอย่างโอดครวญ และเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นกึกก้องเป็นระยะๆ ทำให้รู้สึกทันทีว่า ในหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว แล้วความรู้สึกคุ้นเคย เคารพรักในพระองค์มาตั้งแต่เด็กก็เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ช้านาน

กระบวนพระบรมศพเดินทางฝ่ายหน้า เจ้านายและข้าราชการฝ่ายในเดินลัดไปทางข้างในพระบรมมหาราชวัง ไปคอยรับพระบรมศพอยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่เสด็จขึ้นแล้ว เราออกไปเฝ้าพระบรมศพแล้วกลับบ้าน

เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่มาจนได้รู้เห็นการสวรรคตถึง ๔ ครั้งแล้ว หวังว่าจะไม่ต้องได้เห็นอีกต่อไป



.........................................................................................................................................................


คัดจาก "สารคดีที่น่ารู้" พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล


Create Date : 23 กรกฎาคม 2550
Last Update : 23 กรกฎาคม 2550 10:19:19 น. 0 comments
Counter : 1724 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com