Group Blog
 
All Blogs
 
ล่องแจ้งสมรภูมินรก (๗)

เปิดกรุหนังสือเก่า

ชุด ทหารรับจ้างเดนตาย

ตอน ล่องแจ้งสมรภูมินรก (๗)

สยุมภู ทศพล

ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 7

ตามปกติแล้วยุทธวิธีในการทำสงครามต้องอาศัยกำลังพลจากทหารราบเป็นหลักสำคัญในการเข้ายึดครองภูมิประเทศ อันเป็นปราการที่จะป้องกันการเคลื่อนย้ายกำลังของข้าศึก ถึงแม้ว่าประเทศใดๆ ที่มีกองทัพอากาศที่เกรียงไกรสามารถส่งฝูงบินออกไปถล่มข้าศึกให้พังพินาศ แต่จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ถ้าไม่มีกำลังทหารราบเข้าไปยึดรักษาพื้นที่แห่งนั้นเอาไว้
แม้กระทั่งอาวุธหนักต่างๆก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปืนครก ปืนใหญ่ หรือปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง ถ้าขาดกำลังทหารราบคุ้มกันอย่างพอเพียงแล้ว จะต้องพบกับการถอนตัวไม่วาระใดก็วาระหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ดี อำนาจการยิงสนับสนุนของอาวุธหนักเหล่านี้ ก็สามารถที่จะช่วยให้ภารกิจของทหารราบลุล่วงไปได้มากทีเดียว เข้าทำนอง น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า นั่นแหละครับ

ก่อนการเข้าโจมตี ฐานปฏิบัติการของข้าศึก ปืนใหญ่จากฐานต่างๆของกองพันทหารรับจ้าง จะถูกร้องขอให้กระหน่ำยิงพิกัดที่ฝ่ายเรามั่นใจว่า จะมีข้าสึกซุกซ่อนอยู่ขนาดใหญ่ บางทีระดมยิงกันเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะถึงเวลาเข้าตีกันเลยทีเดียว แล้วในขณะที่ปืนใหญ่ของฝ่ายเรากำลังซัลโวข้าศึกอยู่นั้น กองพันทหารรับจ้างก็เคลื่อนที่เข้าไปหาข้าศึกอยู่ตลอดเวลา
ครั้นถึงกำหนดการนัดหมาย การระดมยิงของปืนใหญ่ก็จะหมดภาระกิจยิงเป็นปลิดทิ้ง คราวนี้แหละครับโอกาสที่ทหารราบจะแสดงฝีมือก็ได้มาถึง ฐานปฏิบัติการไหนของข้าศึกที่มี “บังเกอร์” ที่แน่นหนา หรือว่าฝีมือการยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราห่วยเกินไป ก็ต้องประสพกับการต้านทานจากข้าศึกอย่างชนิด “ผึ้งหวงรัง” บางทีเข้าตีมันถึงสามสี่ระลอกก็ยังยึดฐานปฏิบัติการของพวกมันไม่ได้ จนกระทั่งต้องถอนกำลังกลับจุดเดิมก็เคยมี

ข้อแตกต่างระหว่างข้าศึกกับฝ่ายเราในขณะเข้าตี ก็คือการสนับสนุนด้วยอาวุธหนัก แตกต่างกันอย่างเทียบอะไรไม่ได้
เมื่อข้าศึกจะเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของฝ่ายเรา พวกมันจะลำเลียงอาวุธหนักทุกชนิดที่กองพันของมันมีอยู่เข้ามาตั้งสนับสนุนกำลังพลของมันอย่างใกล้ชิดทีเดียว บางครั้งมันก็กระหน่ำพวกเราเสียจนโงหัวไม่ขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที...พวกมันก็ถึงรั้วลวดหนามเสียแล้ว คราวนี้อะไรจะไปเหลือครับผม
ผิดกับฝ่ายเรา เวลาจะเคลื่อนย้ายเข้าตี หมวดอาวุธหนักที่ติดกองพันเอาไปอย่างมากก็มีเพียง ค.60 ที่ไม่มีฐานยิง เพียงกองร้อยละ 2 กระบอกเท่านั้น ลูกกระสุนก็มีไม่กี่นัด นอกนั้น “แพ็ค” รอชอปเปอรืหิ้วเอาไปส่งให้เมื่อเข้าตีฐานข้าศึกได้เรียบร้อยแล้ว

การยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราก็เหมือนกัน มักจะบังเกิดความผิดพลาดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งก็สร้างความสูญเสียให้กับพวกเดียวกันอย่างเหลือคณานับ
ขอให้ท่านผู้อ่านและผู้ที่สนใจ ลองสอบถามทหารรับจ้างที่ท่านบังเอิญรู้จักกันเป็นการส่วนตัวดูบ้างสิครับ แทบทุกคนจะส่ายหน้าเมื่อพูดถึงฝีมือการยิงปืนใหญ่ฝ่ายเรา
ยิงแต่ละครั้ง ห่างเป้าหมายเกือบครึ่งกิโลเมตร แถมบางครั้งยิงลูกตกลงกลางกลุ่มพวกเดียวกันนี่สิครับ มันเจ็บปวดกระดองใจอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว
แต่สำหรับตัวของผม ผมขอออกความเห็นในฐานะที่ผมเคยร่วมงานกับทุกๆฝ่าย จนสามารถรู้ตื้นลึกหนาบางของสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี...
ปืนใหญ่ไม่ได้ห่วยหรอกครับ “ผตน.” หรือ “ผู้ตรวจการณ์หน้า” ที่อยู่กับกองพันทหารรับจ้างเหล่านั้นต่างหากล่ะครับ ที่เป็นผู้สั่งการยิง มันป็นสิ่งที่พิสูจน์กันไม่ได้ว่าตรวจการณ์หน้าคนนั้น อ่านลักษณะภูมิประเทศและเป้าหมายที่จะทำการยิงผิดไปจากลักษณะความเป็นจริงหรือไม่...
ทิวเขาที่สลับซับซ้อน บางแห่งก็มีหุบเขาที่ลึกจนกระทั่งมองเห็นต้นไม้ลิบๆอยู่เบื้องล่าง ต่อให้แน่ขนาดไหนก็ตาม ย่อมจะมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา เมื่ออ่านพิกัดไม่ถูกต้อง และส่งพิกัดดังกล่าวร้องขอให้ปืนใหญ่สนับสนุน เรื่องทั้งเรื่อง มันก็ยิงไม่ถูกอยู่วันยังค่ำนั่นแหละครับ และบางครั้งเกิดจับพลัดจับผลูซวยขนาดหนัก ดินขับกระสุนปืนใหญ่เกิดไม่พอเพียง ซึ่งตามภาษาสงครามที่เขาเรียกว่ากระสุน “ช็อต” นั่นแหละครับ
แทนที่ลูกมันจะข้ามไปหาข้าศึก ดันหมดกำลัง หล่นตุ๊บลงกลางกลุ่มของฝ่ายเดียวกันเสียฉิบ และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ก็มีเป็นประจำเสียด้วยสิครับ และก็ไม่มีใครรับผิดชอบซะด้วย ไอ้ที่ตายก็ตายไป ไอ้ที่เหลือก็ห้ำหั่นกันต่อไปอีก จนกระทั่งตายจากกันไปข้างหนึ่งจึงจะหมดเวรหมดกรรม

เมื่อตรวจการณ์หน้าร้องขอมา ปืนใหญ่ก็ยิงสนับสนุน กว่าจะปรับวิถีกระสุนให้อยู่ “เหนือที่หมาย” ได้ พวกข้าศึกก็หลบอยู่ในรูที่พวกมันขุดชอนไปชอนมาอยู่ใต้ดินเบื้องล่างของฐานปฏิบัติการของพวกมันนั้นเอง ลูกกระสุนจะต้องผ่านซุงต้นใหญ่ๆ หรือบางทีก็ทะลุทะลวงโขดหินซึ่งเป็นปราการธรรมชาติอันแสนจะมั่นคงและแข็งแรง ดังนั้นเปอร์เซนต์ที่มันจะสูญเสียจึงมีน้อยมาก
เมื่อพวกมันพ้นจากอำนาจการยิงของปืนใหญ่ มันก็ซุ่มสงบเงียบคอยจังหวะที่จะขยี้พวกเราที่กำลังเคลื่อนที่เข้าหาพวกมัน
แล้วแค่ไอ้อาวุธประจำกายที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกมัน “พวกแกว” มันไม่ยี่หระหลอกครับ ขนาด T-28 ทิ้งระเบิดใส่พวกมันควันยังไม่ทันจาง พวกมันวิ่งขึ้นจากบังเกอร์เต้นกระหย็องกระแหย็ง กันให้เพ่นพ่านไปหมดอย่างไม่มีความกริ่งเกรงอะไรทั้งสิ้น

ผมขอท้าพนันได้เลยว่า ถ้าพวกมันไม่ขาดแคลนกระสุนหรือเสบียงอาหารอย่างขนาดหนักจริงๆแล้ว “ยากส์ส์” ครับที่พวกมันจะยอมให้ฝ่ายเราขึ้นไปเดินพาเหรดบนฐานของมันได้

เท่าที่ผมเขียนความเป็นจริงเรื่องนี้ขึ้น บางท่านอาจจะตำหนิที่ผมเขียนเชียร์ทหารเวียตนามเหนือ ในด้านความสามารถในการสู้รบจนเก่งเกินมนุษย์มนาจนเกินไป
ผมเขียนตามความจริงครับ ลองคิดดูอย่างง่ายๆ กองพันทหารรับจ้างได้รับการสนับสนุนจาก ซี.ไอ.เอ. อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น B-52, F-105, T-28 ก็ยังเอาชนะทหารเวียดนามเหนือไม่ได้สักครา พอถึงฤดูแล้งทีไรพวกเราเป็นต้อง “หางจุกก้น” เผ่นมาตั้งรับอยู่ ณ บริเวณเนินสกายไลน์ทุกที
โน่นครับ รอให้ถึงฤดูฝนโน่นแหละ พวกเราจึงได้อาศัยสภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคในการขนส่งลำเลียงกำลังพลและอาหารเข้าจู่โจมข้าศึก จนกระทั่งข้าศึกถอยไปตั้งรับฝ่ายเราอยู่ ณ บริเวณทุ่งไหหิน

ที่ผมเขียนว่า ทุ่งไหหิน ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าพวกมันจะถอยหนีเราไปจนสุดชายทุ่งนะครับ
ผิดถนัดเลย พวกมันหลอกล่อให้ฝ่ายเราติดตามมันไปเพียงแค่ชายทุ่งรอบนอกทุ่งไหหินเท่านั้นเอง พอกองพันทหารรับจ้างตั้งฐานบังคับการเสร็จไม่ถึง 48 ชั่วโมง มันก็เริ่มถล่มเราด้วยอาวุธหนักทุกชนิด ยังไม่ทัน 06.00 น. ดี ทหารราบพร้อมด้วยรถถังของพวกมันก็บุกขยี้ฝ่ายเราเสียแล้ว
บุกแล้วก็ถอย...ถอยแล้วก็บุกอีก

เฮ้อ สงครามลาวนี่เหมือนกับ “การค้าสงคราม” เลยนะครับ...ให้ตาย ผมยังเดาไม่ออกเลยครับว่าสภาพของสงครามในอนาคต มันจะลงเอยในรูปลักษณะเช่นไร
ฤดูแล้งนี้อีกเช่นเคย ฝ่ายเราก็ต้องเสียทีมัน ทุ่งไหหิน, บ้านนา, ไซร้ท72, มาจนสนามบินซำทอง อันเป็นประตูหน้าด่านที่จะเข้าเมืองล่องแจ้ง ก็ตกอยู่ในกำมือของทหารเวียดนามอย่างสิ้นเชิง
กองพันทหารรับจ้างที่ถอนตัวลงมาต่างก็กระจัดกระจายตั้งฐานบนจุดต่างๆของเนินสกายไลน์ที่ล้อมรอบเมืองล่องแจ้งเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เส้นทางคมนาคมต่างๆที่พุ่งเข้าหาเมมืองล่องแจ้งถูกตรวจตรา และยึดรักษาด้วยกำลังพลที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธที่ตระเตรียมเอาไว้ต่อต้านกับขบวนรถถังของข้าศึกโดยเฉพาะ

ปืนใหญ่หลายกระบอก ที่ถูกทำลายเมื่อครั้งทุ่งไหหินและซำทองพังพินาศ เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนจาก “สกาย” ซึ่งเป็นหน่วยกลางที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง ซี.ไอ.เอ. กับกองบัญชาการทหารรับจ้าง
หลังจากนั้นเจ้า “สกายเครน” หรือเฮลิคอปเตอร์ขนาดยักษ์ก็หิ้วปืนใหญ่ขนาด 155 ม.ม. ลอยละล่องแกว่งไปแกว่งมามุ่งไปตั้งฐานยิงบนเนินเขาด้านทิศตะวันตก ของ บก.ล่องแจ้งทันที
จากโควต้า 4 กระบอกที่ได้รับสดๆร้อนๆ ทำให้ฐานปืน “แคนเดิ้ล” และฐานปืน “เฮอร์คิวลิส” มีหน้าที่ป้องกันเมืองล่องแจ้ง และพร้อมที่จะสนับสนุนกองพันทหารรับจ้างในระยะการยิงไม่ต่ำกว่า 14 กิโลเมตรในทันทีทันใด เมื่อสร้างหอบังคับการยิงเสร็จ

ขวัญกำลังใจของทหารรับจ้างที่ตั้งฐานเป็นกันชนอยู่บนเนินสกายไลน์เริ่มดีขึ้น ต่างก็พากันคิดว่าอำนาจการยิงของปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกคงจะสามารถต้านทานการโจมตีของข้าศึกได้อย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดี ผมและกลุ่มนายทหารของกองพันทหารรับจ้างที่ 616 นั่งรับประทานอาหารกันอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ที่มีร่มชูชีพสีฟ้าขนาดใหญ่ขึงกางบังแดดเอาไว้อย่างลวกๆ
อาหารการกินสมบูรณ์ คงจะเนื่องจากการจราจรทางอากาศของสนามบินล่องแจ้งเป็นปกติแล้วนั่นเอง กองพันของผมจึงมีทั้งเบียร์และเหล้าซดกันเป็นประจำ ยิ่งได้พ่อครัวฝีมือเอกอย่างหมอ “พรศักดิ์” จากเมืองเพชรเข้าไปด้วยอีกแล้ว ทำให้แป๊ะซะปลาช่อนตัวเท่าโคนขา เหลือแต่ก้างในเวลาอันรวดเร็ว
วิทยุ PRC.77 ที่มีข่าวการสื่อสารรับฟังกันได้ทุกกองพัน เงียบเสียงกันไปชั่วขณะ ชะรอยคงจะถึงเวลาอาหารกลางวัน ไอ้ข่าวคราวที่ไม่เร่งด่วนและสำคัญก็เลยถูก “ดึง” ไปโดยปริยาย

“ตอนเย็นก่อนเวลา 16.00 น. เล็กน้อย ผมอยากจะให้ฐานปืน “แคนเดิ้ล” ยิงเข้าไปบริเวณถ้ำหน้า “หมู่บ้านน้ำชา” สัก 6-7 ชุด เพราะเมื่อคืนทหารของเราตรวจการณ์เห็นแสงไฟส่องตอบโต้กันคล้ายๆกับจะเป็นอาณัติสัญญาณอะไรซักอย่าง ประเดี๋ยว “กองดี” ให้พนักงานวิทยุส่งข่าวร้องขอการยิงไปที่ “แคนเดิ้ล” ด้วยนะครับ”

กองสิงห์ หันไปพูดกับรอง ผบ.พัน พร้อมกับเลื่อนแก้วเบียร์ที่ล้นปรี่ออกมาให้ผมเป็นครั้งที่สาม
“ผมขอตัวครับ แค่สองแก้วผมก็ชักจะมึนๆแล้วประเดี๋ยวตอนดึกๆ “สตริงเกอร์” กับ “สปุ๊กกี้” จะมาทำงาน เกิดผมลิ้นไก่สั้นพูดกับนักบินไม่รู้เรื่อง เงินเดือนเดือนนี้เห็นทีจะต้องไปรับที่ฮานอยโน่นแหละครับ....ไอ้นอร์แมนมันจะต้องเฉ่งผมแน่ๆ ผมพอละครับ”

ผมตัดบทออกไปเพราะรู้สึกว่ากระเพราะของผมชักจะแสดงอาการไม่เข้าท่าเข้าทางขึ้นมาทุกที ก้เลยขอตัวกลับเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบังเกอร์ ซึ่งได้รับความกรุณาจาก “กองดี” จัดหาทหารรับจ้างที่มีฝีมือดีมาสร้างให้อย่างแข็งแรง
คงจะเนื่องจากอาหารที่ผมสวาปามเข้าไปเต็มคราบนั่นเอง ทำให้หนังตาของผมหย่อนลงทุกที จนกระทั่งปิดสนิทเผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

มาตกใจตื่นอีกทีก็อีตอนถูกกระชากอย่างแรงที่ข้อเท้าพร้อมๆกับมีเสียงตะโกนติดตามเข้ามาอย่างละล่ำละลักของหมอพรศักดิ์ที่พรวดพราดเข้ามาในบังเกอร์
“...บิ๊กแมน เตรียมพร้อมครับ กองพัน 617 บนเนินสกายไลน์โดนลูกยาวกระหน่ำเดี๋ยวนี้เอง”

ผมโงศีรษะขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ประสาทหูได้ยินเสียงระเบิดเซ็งแซ่อย่บนเนินสกายไลน์อย่างถนัดชัดเจน
ผมโผล่พรวดออกมานอกบังเกอร์ โดยไม่ลืมที่จะคว้าเจ้า M-16 อาวุธคู่มือออกมาด้วยความเคยชิน
เสียงระเบิดของลูกกระสุนนานาชนิดที่กำลังถล่มฐานปฏิบัติการของกองพัน 617 ทวีความรุนแรงขึ้นมาทุกขณะ

“ข้าศึก 3 หมวด กำลังโจมตีกองร้อยที่ 2 ห่างจากบริเวณรั้วลวดหนามประมาน 500 เมตร ช่วยให้แคนเดิ้ลสนับสนุนด้วยครับ”
เสียงพนักงานวิทยุจากกองร้อยที่ 2 ของกองพัน 617 ส่งข่าวถึง บก.ล่องแจ้งดังลั่นออกมาจากลำโพงของวิทยุ PRC-77 ได้ยินถนัดหู

“ทหารทุกคนเตรียมพร้อม เข้าประจำร่องสนามเพลาะให้หมด กองจันทร์สั่งเตรียมปืน ค 4.2 พร้อมยิงทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง”
กองสิงห์ ผบ.กองพัน 616 ออกคำสั่งประจำแนวรบแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยท่าทางที่เด็ดขาด และเอาจริงเอาจัง พร้อมกับใช้กล้องสนามตรวจการณ์ลักษณะภูมิประเทศหน้าฐานปฏิบัติการอย่างเอาใจใส่ชั่วครู่

“พวกมันเล่นงานกองพัน 617 เข้าแล้ว ผมสังหรณ์ใจชอบกล กลัวมันจะเข้าโจมตีพร้อมกันทุกด้าน หรือคุณมีความคิดเห็นยังไง บิ๊กแมน”
กองสิงห์หันกลับมาถามผม ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

“ผมอ่านแผนของมันไม่ออกหรอกครับ แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้พวกมันเข้าโจมตี “ชาร์ลี-แทงโก้” แล้ว แต่ของเรายังเงียบอยู่ แต่ทหารของผู้พันก็พร้อมแล้วมิใช่หรือครับ”
ผมย้อนถามกลับไปอีก

“ครับ พร้อมแล้ว ถ้ามันให้โอกาสและเวลาผมพอที่จะรู้ล่วงหน้าเหมือนกับในขณะนี้ ก็พอได้ลุ้นกันสนุกละครับ”

กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่ใจเย็นเอาการ
เสียงระเบิดบนยอดเนินสกายไลน์-ทู ยังดำเนินต่อไปอย่างมิได้หยุดยั้ง มันระเบิดเป็นช่วงๆ ติดต่อกันไม่ขาดระยะ ควันสีดำคละคลุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็น
หย่อมๆ บางครั้งก็มีเสียงรัวถี่ๆ ของปืนอาร์ก้าสอดแทรกขึ้นมา เสียงอันเล็กแหลมของมันผิดแปลกไปจากเสียงปืนของฝ่ายเราจนสังเกตุได้ชัด
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอก ไม่สามารถจะสนับสนุนกองพัน 617 ได้เนื่องจากภูมิประเทศบังคับ และยิ่งไปกว่านั้น ข้าศึกสามารถรุกคืบหน้าเข้ามาเกาะฐานบังคับการกองพัน 617 อย่างหนาแน่นเสียแล้ว
ฉากการประทะกันระหว่างอาวุธหนักและอาวุธประจำกายของข้าศึกกับทหารรับจ้างกองพัน 617 ก้ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางสายตาของทหารรับจ้างกองพันต่างๆที่พากันส่องกล้องสนามแรงสูง ดูด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในชะตากรรมของเพื่อนร่วมสงคราม

มันเป็นเวลา 15.30 น. กองร้อย 2 ของกองพัน 617 ขออนุญาตถอนตัวไปยัง บก.ล่องแจ้งอย่างกระทันหัน และในขณะที่ บก.ล่องแจ้งกำลังตัดสินใจที่จะออกคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่นั้น ข้าศึก 2 กองร้อยก็จู่โจมขึ้นประชิดตัวฐานปฏิบัติการเลยทีเดียว
จากกล้องสนามแรงสูง ผมมองเห็นกลุ่มทหารรับจ้างวิ่งหนีออกจากฐานที่ตั้งมุ่งหน้ามายัง “ชาร์ลี-บราโว่” ซึ่งเป็นบริเวณที่กองร้อยที่ 3 ของกองพันผมตั้งฐานปฏิบัติการอยู่มองดูเป็นสาย

ผมเห็นประกายไฟวาบขึ้นมาจากฐานของกองพัน 617 ซึ่งขณะนี้ ทหารเวียดนามเหนือพรั่งพรูขึ้นมามองดูยั๊วเยี้ยไปหมด ต่อจากนั้นก็มีเสียงระเบิดติดตามขึ้นมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
มันเป็นกระสุนปืน ปรส. ขนาด 75 ของข้าศึกที่ยิงเข้าใส่กลุ่มทหารรับจ้างนั่นเอง และจำเพาะเจาะจงเกิดตกลงมาระหว่างกลุ่มเสียด้วย มันจะมีอะไรเหลือครับ ขนาดรถถังโดนเข้ายังพลิกคว่ำเป็นทอดๆ แล้วนี่เป็นเนื้อหนังของมนุษย์ ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้กินเหล็กไหลมาจากไหน หลายสิบคนทีเดียวที่ผมเห็นล้มระเนระนาดสุมกันอยู่บนเนินสกายไลน์นั่นเอง

“ศรคีรีจากกองสิงห์ เปลี่ยน”
ผบ.พัน 616 เรียกกองร้อยที่ 3 ที่ตั้งฐานอยู่บริเวณใกล้เคียงกับกองพัน 617 พร้อมกับสั่งวางแผนการต่อไปอีกทางวิทยุสนามนั่นเอง

“ศรคีรีจากกองสิงห์ ให้คอยรับทหารจากจากกองพัน 617 ที่ถอนตัวมาหาพวกเราด้วย ให้เข้าแนวเสริมที่มั่น อย่าให้ผ่านขึ้นมาบน ชาร์ลี-ชาร์ลี เป็นอันขาดเพราะบริเวณทางเดินเต็มไปด้วยกับระเบิด ถ้าพวกเขาจะลงไป บก.ล่องแจ้งก็ปล่อยเขาไป”
“กองสิงห์จากศรคีรี รับทราบ รับปฏิบัติเปลี่ยน”

รอง ผบ.ร้อย อดีตนักรบจากเพชรบุรีซึ่งเคยผ่านการรบในป่าจากมาเลเซียมาแล้ว ตอบรับคำสั่งกับผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างห้วนๆ อันเป็นแบบฉบับในการทำงานในระหว่างสงครามที่ไม่ต้องการคำพูดแบบยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น

□□□□□□□□□□□□□□□□


Create Date : 24 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2557 9:18:39 น. 2 comments
Counter : 1928 Pageviews.

 
เข้ามาอ่าน แล้วนึกถึง สงครามสมัยนั้น ก็อ่านจาก
งานเขียนคุณสยุมภูนี่แหละครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:12:15:09 น.  

 
สมัยเขายังอยู่ ผมก็ไม่ได้อ่านงานของเขาเลย
เพิ่งมาสนใจเรื่องของเขา เมื่อตอนเองเขียนไม่ได้แล้วครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:18:43:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.