กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
พยุหยาตราทางชลมารค วันนี้...วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2550 นับเป็นอีกวาระหนึ่งที่ปวงชนชาวไทย จะได้สัมผัสกับความวิจิตรงดงามตระการตา กลางลำน้ำเจ้าพระยา ของกระบวนเรือพระราชพิธี พยุหยาตราทางชลมารค หรือ การเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำ ซึ่งจัดขึ้นเนื่องใน งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ งานพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ เป็น กฐินหลวง หรือ กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินทอดถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาในวัดหลวง ซึ่งเรียกกันเต็มๆว่า พระอารามหลวง วัดที่ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 16 วัด ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร, วัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร, วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร, วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร, วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร, วัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร, วัดมกุฎกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร, วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพมหานคร, วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม, วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา, วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ พระนครศรีอยุธยา, และ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน เป็นพระราชพิธีที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และสูญหายไปช่วงต้นรัตนโกสินทร์ นานจวบจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดฯ ให้ฟื้นฟูจารีตประเพณี ...เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค กระบวนใหญ่ โดยเสด็จทอดผ้าพระกฐิน ที่วัดอรุณราชวรารามฯ ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2502 เป็นต้นมา เหตุที่มีพระราชหฤทัยให้มีการฟื้นฟู ก็ด้วยเสด็จ ยังโรงเก็บเรือพระราชพิธี ที่คลองบางกอกน้อย ...ทอดพระเนตรเรืออยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงมีพระราชดำริว่า โปรดฯ ให้ฟื้นฟูการเสด็จระราชดำเนิน ถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้น ทรงมีพระราชดำรัสว่า ...."การฟื้นฟูคงไม่สิ้นเปลืองอะไรมากนัก เพราะกำลังคนสามารถใช้ของทหารเรือ, เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย, ทำขึ้นครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้แรมปี" "ส่วนประโยชน์ที่ได้รับนั้น มีมากมาย..เช่น เรือพระราชพิธีอันสวยงามและทรงคุณค่าทางศิลปะ จะได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ และเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามของประเทศ และส่งเสริมบำรุงพระศาสนาควบคู่ไปด้วย" ในรัชกาลปัจจุบัน มีกระบวนพยุหยาตราฯเกิดขึ้นมาแล้ว 14 ครั้ง โดยครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2500 เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ สำหรับครั้งล่าสุด ....จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2542 ....เป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เพื่อถวายผ้าพระกฐินหลวง ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ ซึ่งในครั้งนั้น ใช้เรือ 52 ลำ ... จัดเป็น 5 ริ้วกระบวน มีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่งทรง, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งรอง, และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือทรงผ้าไตร อัญเชิญผ้าพระกฐิน ส่วนการแสดง "ขบวนเรือพระราชพิธี" เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2549 ที่ผ่านไปนั้น ...ทางสำนักพระราชวังให้เรียกว่า การแสดง ขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ใช่ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค .....เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้เสด็จประทับในเรือพระที่นั่ง ...แต่พระองค์เสด็จทอดพระเนตร ร่วมกับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ ที่อาคารราชนาวิกสภา สำหรับงานพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ถวายผ้าพระกฐิน ไปยังวัดอรุณราชวรารามฯ ที่จัดขึ้นในวันนี้ ...วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 ...ถือเป็น กระบวนพระยุหยาตรา ครั้งที่ 15 ในรัชกาลปัจจุบัน โดยกระบวนเรือ ...มีความคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งจัดแสดงในงานฉลอง การครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ....แต่ยิ่งใหญ่กว่า เมื่อครั้งจัดแสดง รับผู้นำเอเปค เรือกลองนอก(อีเหลือง) เรือดั้ง เรือรูปสัตว์ เรือเสือทยานชล เรือคู่ชัก (เอกชัยเหินหาว) การจัดกระบวนเรือในครั้งนี้ นับเป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) อีกครั้งหนึ่ง..... ที่มีการนำเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือพระที่นั่งทรง, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งรอง, และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือทรงผ้าไตร มีการจัดกระบวนเรือ ใช้เรือพระราชพิธี และเรือพระที่นั่ง รวม 52 ลำ จำนวนฝีพาย 2,082 นาย พร้อมทั้ง มีการจัดทำบทกาพย์เห่เรือใหม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาส มหามงคลนี้ โดยเฉพาะ กาพย์เห่เรือ ที่ใช้ ชื่อว่า กาพย์เห่เรือพระชนมพรรษา 80 พรรษา ....แต่งโดย นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย นายทหารเรือนอกราชการ เริ่มต้นว่า... พระเอยพระผ่านเผ้า ไผทไทย พระแผ่พระบารมีไป เปี่ยมหล้า พระชนม์พิพัฒนชัย เฉลิมโลก แปดสิบสนุกดินฟ้า เฟื่องฟื้นพระพรถวาย การเรียงร้อยถ้อยความ ผู้แต่งบอกว่า กาพย์เห่เรือ ไม่ใช่นำพระราชกรณียกิจ หรือจะนำเอาแค่ชื่อโครงการ มาแต่งเป็นกาพย์เห่เรือ .... เพราะแค่ชื่อโครงการอย่างเดียว ก็เป็นร้อยเป็นพันโครงการแล้ว" ด้วยข้อจำกัดในเรื่องความยาว จึงต้องเฟ้นออกมาในลักษณะภาพรวม ไม่เอาโครงการใดโครงการหนึ่งมาโดยเฉพาะ .....แต่จะพยายามสร้างสรรค์ ให้เห็นเป็นจินตนาการให้มากเท่าที่จะมากได้ น.อ.ทองย้อย บอกแนวความคิดในการแต่ง พลางยกตัวอย่างว่า ...แปดสิบพระพรรษา พระอังสาหนักกว่าใคร แบกทุกข์เพื่อทวยไทย หนักเพียงไรพระทรงทน.... นี่ไม่ได้พูดถึงพระราชกรณียกิจ ...แต่บอกว่าพระองค์มีพระชนมายุถึง 80 พรรษาแล้ว แต่บ่าของพระองค์ ยังหนักอยู่เลย ...ยังไม่ได้วาง อย่างนี้ เป็นต้น สำหรับความรื่นไหล ในการแต่ง " กาพย์เห่เรือเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา" ....น.อ.ทองย้อย อธิบายว่า งานของมนุษย์มีสองส่วนใหญ่ๆ คือ ศิลปะกับอุตสาหกรรม ....อุตสาหกรรมมันตายตัว เรามีวัตถุดิบอยู่แค่นี้ มีเวลาอยู่เท่านี้ กดปุ่มไปเท่านี้ มันจะออกมาเท่านี้แน่นอน ....แต่ศิลปะไม่ใช่ เรามีเวลาอยู่เท่านี้ มีวัตถุอยู่แค่นี้ เริ่มกดปุ่มเท่านี้ มันอาจจะไม่มีอะไรออกมาเลยก็ได้ แจกแจงอุปสรรคในการแต่งแล้ว สรุปว่า ... ครึ่งวัน บางทีแทบไม่มีอะไรออกมาเลย ก็มี แต่บางทีแค่สิบนาที ก็สามารถเขียนออกมาได้แทบไม่ทัน จะมีปัญหาอยู่บ้าง ก็แต่ในเรื่องจินตนาการ เราจะเอาจินตนาการอะไร มาใส่ไว้ในบทประพันธ์ ...ซึ่งเป็นบทสรรเสริญพระบารมี ...นี่ซิ เรื่องสำคัญ เคล็ดสำคัญการแต่ง ของ น.อ.ทองย้อย ที่จะเน้นมี 3 ประการคือ ฉันทลักษณ์, หลักภาษา, และจินตนาการ ในการฟังเห่เรือ และชมกระบวนพยุหยาตรา ....เพื่อให้ได้สาระและอรรถรสอย่างแท้จริง ...น.อ.ทองย้อย ผู้แต่ง แนะนำว่า ผู้ถ่ายทอดรายการโทรทัศน์ น่าที่จะมีตัววิ่งให้ผู้ชมทางบ้าน มองเห็นข้อความด้วย และควรจะได้จัดพิมพ์เผยแพร่ บทเห่ฯ จ่ายแจกให้แก่ประชาชน สองฟากฝั่งแม่น้ำ. โดย yyswim
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2550 21:13:13 น.
25 comments
Counter : 8704 Pageviews.