“นี่นับเป็นการศึกษาอันแรกที่แสดงให้เห็นว่าวิตามินดีมีผลต่ออัตราการเสียชีวิตโดยที่ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นการตายด้วยสาเหตุหลักอันใดก็ตาม” คุณฮาร์รัลด์ ด๊อบนิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมเอนโดคริน จากมหาวิทยาลัยแห่งกราซ ในประเทศออสเตรียกล่าว

สำหรับวิตามินดีนั้นร่างกายของคนเราจะสามารถผลิตขึ้นมาได้เองเมื่อที่ผิวหนังถูกสัมผัสกับแสงแดด ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมวิตามินชนิดนี้ถึงได้ชื่อเล่นว่าเป็น “วิตามินแสงแดด” นอกจากนี้แล้วปัจจุบันวิตามินดียังถูกนำไปผสมเข้าไปกับนมสำหรับดื่ม อีกทั้งยังพบในไขมันปลาจำพวก ปลาแซลมอน แต่คนจำนวนไม่น้อยก็มักจะได้รับวิตามินอีในปริมาณที่ไม่เพียงพอ

ส่วนหน้าที่หลักของวิตามินดีนั้นพบว่ามันช่วยให้ร่ายกายคนเราสามารถดูดซึมแคลเซียมซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพของกระดูก ฉะนั้นแล้วการขาดวิตามินดีในกรณีของผู้ใหญ่จึงมักจะนำไปสู่การเป็นโรคกระดูกพรุน ส่วนในเด็กทำให้เก็ดโรคกระดูกอ่อน

ก่อนหน้านี้มีหลายการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการที่ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินดีที่เพียงพอทำให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง ทั้งนี้รวมถึงประโยชน์ในการป้องกันโรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดแดง และโรควัณโรค

นอกจากนี้แล้วการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ออกมาก่อนหน้านี้เพียงสัปดาห์เดียวระบุว่าการได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอมีผลทำให้คนที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น

ส่วนการวิจัยที่รายงานผลออกมาล่าสุดและได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ด้านอายุรเวชศาสตร์ชื่อ The Archives of Internal Medicine เป็นการศึกษาในคนจำนวน 3,200 คนโดยเป็นผู้ที่มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ปีและเป็นคนที่มีกำหนดการเข้ารับการตรวจสุขภาพหัวใจระหว่างปีค.ศ. 1997 และปีค.ศ.2000

หลังรับการตรวจสุขภาพัวใจแล้วนักวิจัยทำการติดตามผลพวกเขาเป็นเวลานานถึง 8 ปี และพบว่าคนที่มีระดับวิตามินในเลือดในกลุ่มที่ต่ำที่สุดมีแนวโน้มการเสียชีวิตในอัตราที่สูงที่สุด โดยคนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดในช่วงระหว่าง 5 ถึง 10 นาโนกรัม ต่อ มิลลิลิตรมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าปกติเป็น 2 เท่าตัว

ทั้งอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตนี้ได้นำเอาปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลทำให้อายุสั้นมาปรับแล้ว ทั้งเรื่องโรคหัวใจ และการออกกำลังกาย และโรคอื่นๆ แต่ก็ยังพบว่าคนที่ขาดวิตามินดีมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตที่มากกว่าปกติอยู่ดี

โดยทั่วไปแล้วแพทย์แนะนำว่าคนเราควรมีระดับวิตามินดีในเลือดในระดับระหว่าง 20 ถึง 30 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร

(ข้อมูลจาก สำนักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.)