... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
25 เมษายน 2554
 
All Blogs
 

Oxford Story บทที่ 14 << บทนี้ก็ไม่เคยโพสท์ที่ไหนมาก่อนค่า ^^


วันจันทร์อีกแล้ว เวลาผ่านไปไวจังน้อ สำหรับวันนี้ก็เป็นบทที่ 14 แล้วนะคะ ซึ่งเป็นบทที่ไม่เคยโพสท์ที่ไหนมาก่อน แถมยังหวานกว่าบทที่แล้วด้วยล่ะ ฮี่ๆ เรียกได้ว่ากลั่นน้ำตาลมาเขียนเลยทีเดียวเชียว

แต่ก่อนจะเข้าสู่นิยายนั้น ขอโปรโมทนิดค่า ว่าตอนนี้โน้ตเริ่มลงนิยาย "ทริปวุ่น หัวใจลุ้นรัก" ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร VIEVA ตั้งแต่เดือนกพ. ที่ผ่านมาในบล็อกแล้วนะคะ สามารถตามไปอ่านได้จากกรุ๊ป "ทริปวุ่น หัวใจลุ้นรัก" เลยค่ะ ^^

ตอนนี้มาอ่าน Oxford บทที่ 14 กันเลยค่า


######################################

บทที่ 14

เอาเข้าจริง แทนที่คนที่จามและล้มลงไปเปียกน้ำนานกว่าจะเป็นฝ่ายไม่สบาย กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่ตื่นขึ้นมาด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลียและจามไม่หยุด ตัวรุมๆ ด้วยอาการไข้จนเบลอไปหมด พิมพ์ชญาเพิ่งจะรู้ว่าชายหนุ่มไม่สบายเมื่อกลับมาจากโรงเรียนในช่วงเย็น เนื่องจากเวลาในการออกจากบ้านช่วงเช้าของเธอกับเขาไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้ว

สภาพของเขาทำให้พิมพ์ชญารู้สึกผิดที่ตัวเองน่าจะเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้เขาป่วย ลำพังแค่ละอองฝนขนาดเล็กที่ปลิวไปมาระหว่างเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกก็น่าจะทำให้ไม่สบายได้ง่ายอยู่แล้ว เธอยังพาเขาไปเล่นรถไฟเหาะต้านลมแรงๆ ทั้งๆ ที่เขาแสนจะแพ้เครื่องเล่นแบบนี้ (ก็ไม่รู้มาก่อนนี่นา) หนำซ้ำ กลับมาบ้านแล้วเธอยังแกล้งสาดน้ำเย็นๆ ใส่เขาจนตัวเปียกปอนไปหมดอีก
เพราะเราแท้ๆ เชียว... แถม...เป็นต้นเหตุให้เขาป่วยยังไม่พอ ยังทิ้งเขาไว้ตามลำพังอีกต่างหาก แย่ที่สุด

ด้วยความรู้สึกผิด พิมพ์ชญาจึงลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต คือการทำตัวเป็นนางพยาบาลดูแลคนป่วยที่จามจนจมูกแดงเถือกราวกับกวางเรนเดียร์ หน้าตาผมเผ้าดูยุ่งเหยิงไปหมดด้วยพิษไข้ หญิงสาวบอกให้เขากลับขึ้นไปพักผ่อน เธอจะต้มข้าวต้มร้อนๆ และยกขึ้นไปเสิร์ฟให้เอง

“ไม่เป็นไรหรอก บ้านนิดเดียวแค่นี้ เดินลงมาหาอะไรกินเองได้น่า”

คนป่วยว่าแล้วก็กระแอมกระไอด้วยความระคายคอ ‘นางพยาบาล’ จึงไม่ยอม

“ไม่ได้หรอก คนไม่สบายเดินมากๆ ไม่ยอมพักผ่อนจะหายได้ยังไง พิ้งค์ว่าเกตขึ้นไปนอนในห้องดีกว่า อย่าลืมปรับฮีตเตอร์ให้แรงสุดนะ ตอนนี้อากาศยิ่งหนาวๆ อยู่ด้วย”

“ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลยพิ้งค์ แค่เป็นหวัดแค่นี้เอง”

“ใช่... หวัดแค่นี้เอง แต่หวัดแค่นี้ก็อาจกลายเป็นอย่างอื่นที่มากกว่านี้ได้ไม่ใช่เหรอ นายน่าจะรู้ดีกว่าฉันอีก แล้วตอนนี้อากาศก็หนาวมากด้วย หนาวแบบชื้นๆ อย่างนี้ทำให้หายป่วยยากนักล่ะ”

ไม่รอให้อีกฝ่ายทันได้เถียง หญิงสาวรีบสรุป “ไม่รู้แหละ นายขึ้นไปนอนเดี๋ยวนี้เลย เรื่องอาหารเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

เห็นสีหน้าขึงขังเอาจริงของคนพูด ชายหนุ่มจึงยอมรับในน้ำใจและเจตนาดี และยอมให้หญิงสาวจัดการทุกอย่างตามที่ต้องการ ...แม้จะคิดว่าตัวเองไม่ได้เต็มใจเท่าไรเพราะไม่อยากทำตัวเป็นภาระและอ่อนแอให้หญิงสาวที่เขาอ้างส่งเดชไปกับคมสันว่ามีคนฝากดูแลมาต้องมาดูแลเขาเสียเอง แต่สังเกตก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีที่หญิงสาวมีแก่ใจมาดูแลเขา ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์ของเธอและเขาตั้งแต่แรกเริ่มก็ใช่ว่าจะดีนัก ถ้าเธอแค่ถามไถ่แต่ไม่ลงมือช่วยเหลือดูแลอะไร เขาก็คงว่าอะไรเธอไม่ได้


เมื่ออาหารเย็นมาถึง สังเกตเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงคำกล่าวว่า ‘อาหารอร่อยต้องทำด้วยใจ’ ก็วันนี้ เพราะอันที่จริงแล้วข้าวต้มหมูสับใส่ไข่ที่หญิงสาวทำนั้นรสชาติไม่กลมกล่อมนัก หมูสับถูกต้มนานเกินไปนิดจนแข็งและมีรสจัดจนถึงจืดแล้วแต่ว่าเธอเกลี่ยซีอิ๊วไปที่ส่วนไหนมากกว่า ตัวข้าวต้มก็ค่อนข้างเละ แต่ความรู้สึกตั้งใจจริงของเธอกลับส่งผ่านมาให้เขาสัมผัสได้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนของข้าวต้มผสมกับอุณหภูมิของร่างกายหรืออย่างไร แต่เขารู้สึกถึงไออุ่นที่ไหลวนจนทั่วไปหมด....โดยเฉพาะที่หัวใจ

นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครมาดูแลแบบนี้...

“ขอบคุณนะพิ้งค์”

“ไม่เป็นไรหรอก และฉันเองก็เป็นต้นเหตุให้นายไม่สบายด้วย ฉันควรจะรับผิดชอบ...”

“คิดมากน่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เรื่องไม่สบายเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั่นแหละ”

“แต่ว่า...” พิมพ์ชญาตั้งท่าจะเถียงต่อ แต่กลัวว่าจะทำให้ชายหนุ่มเสียพลังงานมากขึ้นและอาหารจะเย็นชืด จึงยอมเปลี่ยนเรื่อง “โอเค งั้น...กินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมเช็ดตัวแล้วรีบนอนนะ เดี๋ยวฉันไปเอากะละมังกับผ้ามาให้...”

พิมพ์ชญาที่มีใบหน้ามันเล็กน้อยและชื้นเหงื่อจากการยืนหน้าเตาเป็นเวลานานบอกก่อนจะผลุบออกไปเพื่อให้เขารับประทานอาหารตามสบาย... หญิงสาวไม่คิดว่าเขาจะป่วยหนักถึงขนาดจะต้องป้อนข้าว และแม้จะต้องทำเธอก็ทำไม่เป็น ดีไม่ดีจะทำหกลวกเขาเปล่าๆ เรื่องเช็ดตัวก็เหมือนกัน.... เขาคงจัดการเองได้หรอกน่า...

เมื่อหญิงสาวกลับเข้ามาอีกครั้งก็ได้พบว่าสังเกตกินข้าวต้มพร่องไปพอสมควรแล้ว แม้จะไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือ หญิงสาวก็ยังอดถามคำถามสามัญของคนที่ลงมือทำอาหารไม่ได้ว่า

“อร่อยไหม...”

“อร่อยมาก”

สังเกตตอบตามตรงอย่างที่ใจคิด.... ไม่พูดเปล่า ใบหน้าเซียวๆ ยังส่งยิ้มให้อีกต่างหาก ทำเอาคนถามหัวใจพองฟู รู้สึกปลาบปลื้มอย่างบอกไม่ถูก...

“ดีใจที่นายว่าอร่อย เพราะ....สารภาพตามตรงนะ ฉันเพิ่งเคยลองทำข้าวต้มเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่แหละ”

“นึกแล้ว...”

สังเกตพูดตามตรงอีกเช่นกัน... จนคนทำชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองทำอร่อยจริงหรือไม่... แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวลองชิมส่วนที่เราทำไว้กินเองดูก็รู้

หากเมื่อหญิงสาวได้ลองชิมข้าวต้มฝีมือของตัวเองก็ต้องทำหน้าปุเลี่ยนๆ เพราะหาความกลมกล่อมไม่ได้สักนิด ไม่น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘อร่อย’ อย่างที่คนชิมบอกแถมกินจนหมดชาม

หรือจะไม่สบายจนลิ้นเฝื่อนหว่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นกินอะไรก็ต้องยิ่งไม่อร่อยสิ ไม่ใช่กินของรสชาติพิลึกๆ แล้วบอกว่ารสชาติดี... สงสัยป่วยจนประสาทกลับ

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่อารมณ์ของหญิงสาวกลับผ่องใสจนเผลอฮัมเพลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อนึกได้ว่าตัวเองควรเข้าไปเก็บกะละมังเช็ดตัวของชายหนุ่มจึงลดเสียงลง เคาะประตูอย่างแผ่วเบา หากเมื่ออีกฝ่ายเงียบสนิทแต่ยังมีแสงไฟสาดส่องอยู่ภายในห้อง หญิงสาวจึงเปิดประตู จรดปลายเท้าเข้าไปให้เงียบที่สุดเผื่อว่าชายหนุ่มกำลังนอนหลับอยู่จะได้ไม่ปลุกเขาตื่น

เป็นอย่างที่คิดไว้ สังเกตผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ยาทั้งๆ ที่ยังสวมแว่นอยู่และมีตำราเรียนวางทับอยู่ ด้วยวิสัยความเป็นผู้หญิง...หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะช่วยเก็บแว่นและหนังสือของเขาให้เรียบร้อย หากเมื่อหญิงสาวเก็บแว่นเรียบร้อยแล้วและกำลังจะหยิบหนังสือออก คนที่นอนอยู่ก็พรวดพราดขึ้นมาคว้ามือทั้งสองข้างของเธอไปแนบแก้มแล้วกุมเอาไว้แน่น

เฮ้ยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!

หญิงสาวร้อง (ในใจ) เสียงหลง พยายามดึงมือออกสุดชีวิตแต่ชายหนุ่มกลับยิ่งยื้อไว้แน่นขึ้น
“อยู่กับผมนะ”

ชายหนุ่มส่งเสียงงึมงำจนแทบฟังไม่รู้เรื่องออกมา ทำให้หญิงสาวต้องร้องถาม

“อะไรนะ”

“ผมไม่อยากให้คุณไปกับใครทั้งนั้น อยู่กับผมนะ...”

ความนี้ไม่ใช่แค่จับมือ แต่คนป่วยเป็นไข้แล้วเพ้อกลับรั้งร่างบางเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว...

คนถูกกอดรู้สึกชาวูบเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจและพยายามดึงตัวหนี แต่ยิ่งหนีแรงไขว่คว้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนหญิงสาวนึกสงสัย

ไหนบอกว่าไม่สบาย ทำไมแรงเยอะอย่างนี้นะ!

“ปล่อยนะ ปล่อย...”

“ไม่เอา ผมไม่อยากให้คุณไป.... อยู่กับผมนะ”

อาจเป็นเพราะกระแสเสียงที่อ่อนและวิงวอน ทำให้พิมพ์ชญาอดรู้สึกใจอ่อนไม่ได้...

เขาคงฝันร้ายถึงใครสักคน...อาจเป็นแฟนเก่าของเขาหรือใครสักคนที่ทิ้งเขาไป น่าสงสารชะมัด นึกแล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คงเป็นการใจร้ายมากถ้าเธอผลักเขาล้มแล้วหนีไปดื้อๆ มือน้อยจึงค่อยๆ ลูบหลังของอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยนให้ชายหนุ่มสงบลง

“ไม่มีใครไปไหนหรอก ฉันก็อยู่กับคุณที่นี่แหละ... ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”

หญิงสาวพูดคำเหล่านี้วนไปเรื่อยๆ เธอต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าที่คนละเมอจะสงบลงแล้วค่อยๆ แกะมือเขาออก.... นึกภาวนาสุดใจขออย่าให้เขาเพ้อขึ้นมาอีก หรือที่แย่กว่านั้นคือตื่นขึ้นมา เพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาคำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอย่างไรดี

ร่างบางค่อยๆ ย่องอย่างเงียบกริบออกมาจากห้องของชายหนุ่ม หากเมื่องับประตูห้องลงเรียบร้อยแล้ว ขาของเธอกลับหมดเรี่ยวแรงและทรุดลงไปกับพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

อ่า... เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย หญิงสาวถามตัวเอง หากคำตอบที่ได้คืออาการหัวใจเต้นแรงตึกๆๆๆ จนแทบจะกระโจนออกมานอกอก พร้อมๆ กับความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาบนใบหน้า
โอ๊ยตายแล้วยัยพิ้งค์เอ๊ย แล้วนี่จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย...


เช้าวันต่อมา พิมพ์ชญารู้สึกหวั่นๆ พอสมควรว่าสังเกตจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ และถ้าจำได้เธอควรจะตอบเขาว่าอะไรดี... แต่โชคดีที่แม้เวลาผ่านไปสองสามวัน สังเกตยังไม่มีท่าทีว่าจะจำได้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่พูดถึงและทำตัวเป็นปกติจนหญิงสาวโล่งอก หากก็ยังอดมีปฏิกิริยากับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงพยายามไม่เข้าใกล้ชายหนุ่มมากเกินความจำเป็น ถึงเวลาให้อาหาร...เอ้ย นำอาหารและยาไปให้ เธอก็จะแค่ทักทายสั้นๆ วางไว้แล้วก็ผลุบออกไป รอจนชายหนุ่มน่าจะรับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงได้กลับขึ้นไปเก็บภาชนะลงมาที่ครัว

ท่าทีของหญิงสาวทำให้สังเกตนึกแปลกใจอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาก็ไม่เคยเดาอารมณ์และการกระทำของพิมพ์ชญาถูกอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยติดใจสงสัยอะไรนัก

นี่ดีนะที่พิ้งค์ไม่รู้ว่าคืนก่อนเราฝันว่าอะไร ไม่งั้นมีหวังคงไม่ยอมเหยียบเข้าห้องนี้อีกเลยแหงๆ ...ตลกชะมัด... ฝันอะไรไม่ฝัน ดันฝันว่าเรากับพิ้งค์เป็นแฟนกัน รักกันมาก แต่ไอ้สันพยายามแย่งพิ้งค์ไป ไอ้เราก็ นะ...ดันอ้อนวอนเขาซะเต็มที่จนในที่สุดเขาก็ยอมอยู่กับเรา ไม่ไปไหน...

ทั้งๆ ที่เรื่องมันแทบไม่มีมูลความจริงเลย แต่ทำไมฝันคืนนั้นถึงได้เหมือนจริงนักวะ... เหมือนจริงจนเราไม่แน่ใจว่าฝันหรือไม่ใช่ฝัน.... ตอนที่ตื่นขึ้นมา ไออุ่นของการได้อยู่ในอ้อมกอดของ
กันและกันยังคงทิ้งร่องรอยอยู่เลย

หากชายหนุ่มก็สะบัดศีรษะโดยแรง บอกตัวเองว่าฝันก็คือฝัน... แม้จะเป็นความฝันที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงแค่ไหนก็ตาม บางที...เรื่องของเขาและเธอที่เก็บอยู่ในใจอาจฝังตัวลงในจิตใต้สำนึกและทำให้เขาฝันไปแบบนี้ก็ได้


แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ทำให้สังเกตไม่อาจทำตัวเป็นปกติได้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่กวิรา คาสุ และคมสันยกขบวนกันมาเยี่ยมเมื่อได้ยินว่าเขาป่วย แม้ชายหนุ่มจะยืนยันว่าเขาหายดีแล้วก็ตาม แต่นั่นแหละ...ทุกคนก็ยืนยันอยู่ดีว่าต้องฉลองที่หายป่วย (สรุปว่าจะมากันอยู่ดี ว่างั้นเถอะ)

ตามเคย คมสันตรงเข้า ‘รุก’ พิมพ์ชญาอย่างออกนอกหน้า หาก... ด้วยความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังๆ สังเกตจึงแสดงตัวออกชัดว่าค่อนข้าง ‘หวง’ หญิงสาวจริงๆ และกันพิมพ์ชญาให้อยู่ห่างจากคมสันมากที่สุด จนถึงจุดหนึ่งเขาก็เริ่มหงุดหงิดและไม่อยากให้เรื่องนี้คาราคาซังต่อไป จึงระเบิดใส่คมสันตรงๆ

“เฮ้ย สัน ถามจริงๆ เหอะ เลิกยุ่งกับพิ้งค์สักทีได้ไหมวะ”

ท่าทีใส่อารมณ์ของเขาทำเอาคมสันอดไม่ได้ที่จะแหย่ถามตรงๆ

“เฮ้ย ไอ้เกต อย่าบอกนะว่านายหึงพิ้งค์จริงๆ”

“ถ้าใช่แล้วมีอะไรไหม”

ไม่พูดเปล่า เขายังเลื่อนมือไปกุมมือพิมพ์ชญาไว้แน่น ...เป็นสัมผัสที่คุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนกับในฝันวันนั้นไม่มีผิด

ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นกับหญิงสาวเช่นกัน เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เขาเพ้อในวันนั้นแล้วใบหน้าร้อนซู่ด้วยความเขินอาย

ทำไมเราถึงได้รู้สึกแปลกๆ อย่างนี้นะ เขาก็แค่เล่นละครหลอกนายคมสันเหมือนอย่างที่เคยทำทุกทีไม่ใช่หรือไง ทุกครั้งเราแค่รู้สึกเขินเพราะความไม่คุ้น แต่วันนี้...ทำไมข้างในหัวใจถึงได้ยุบยิบๆ แบบนี้ล่ะ

คมสันมองท่าทีของคนทั้งสองตรงหน้าด้วยสายตาทึ่งๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นดวงตาวาววับหลังกรอบแว่นของสังเกต

มันยัวะเว้ยมันยัวะ ท่าทางแบบนี้ สงสัยไอ้หมอนี่จะเอาจริงแฮะ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นมันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนี้มาก่อนเลย ท่าทางจะ ‘หึง’ เอามากๆ จริงๆ

เอาวะ... งั้นยอมหยวนๆ ให้ก็ได้ ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนจะมีความรักครั้งใหม่ทั้งที จะขัดขวางก็ใช่ที่ สู้เอาเวลาไปจีบคนอื่นต่อดีกว่า ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะขัดขวางให้ถึงที่สุดขอยกเลิกละกัน ไหนๆ ทั้งสองคนก็ทำท่าจะใจตรงกันจริงๆ แล้วนี่

คิดได้อย่างนั้น คมสันจึงยิ้ม แล้วพูดว่า

“ไม่มีอะไร ถ้างั้นก็ตามนั้นละกัน ข้าจะเลิกยุ่งกับน้องพิ้งค์ก็ได้” เขาพูดแบบนั้นกับสังเกต แล้วหันไปพูดกับพิมพ์ชญา “โชคดีนะน้องพิ้งค์ เจอกันครั้งหน้าหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้นะครับ”

ว่าแล้ว เขาก็เดินจากไปอย่างหน้าชื่นตาบานท่ามกลางความงุนงงของทุกคน... ท่าทางของเขาคงดูปลอดโปร่งโล่งใจมากจนกวิรานึกแปลกใจและอดไม่ได้ที่จะเดินไปดักถามที่หน้าประตูบ้าน

“นายคมสัน”

คนถูกเรียกหยุดฝีเท้า เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงบอกว่า 'เอ้า มีอะไรจะพูดก็ว่ามา มีเวลาให้ห้านาที' หญิงสาวจึงเอ่ยต่อ

“กะว่าจะออกมาดูอาการคนอกหักสักหน่อย แต่ดูท่าทางนายจะไม่เสียใจเลยนะ”

“อือ” คนถูกถามตอบหน้าตาเฉย หากคนถามก็ยังอยากย้ำให้แน่ใจ

“ฉันว่าความจริงแล้ว นาย...ไม่ได้ชอบพิ้งค์จริงๆ หรอกใช่ไหม ถึงได้ยอมถอยทัพกลับไปง่ายๆ แบบนี้”

ชายหนุ่มมองคนถามด้วยสายตาที่บอกว่า 'เฮ้อ แค่นี้อ่ะนะที่อุตส่าห์เดินตามมาถาม' หากก็ยอมตอบในแบบฉบับของตัวเอง

“ใครว่าล่ะ ฉันชอบน้องพิ้งค์นะ ชอบ...เหมือนที่เคยชอบเธอไงกีวี่”

“เอ๊ะ...”

แม้จะทำเสียงเขียวอย่างนั้น หากกวิรากลับเข้าใจความหมายของชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ตรงหน้าเป็นอย่างดี สีหน้าของเขาแทนคำตอบทุกอย่าง ...ความรู้สึกที่คมสันมีต่อพิมพ์ชญาและเคยมีให้เธอในอดีตคือการ ‘ปิ๊ง’ ผู้หญิงคนหนึ่งเพราะเห็นแล้วสะดุดตา อยากรู้จัก อยากเข้าใกล้ อยากควงไปไหนต่อไหน แต่ไม่ได้มีความรู้สึก ‘รัก’ จากเนื้อหัวใจ ชายหนุ่มจึงไม่มีอาการเจ็บปวดให้เห็นแบบที่คนอกหักพึงมี

“เก็ทยัง”

กวิราพยักหน้าน้อยๆ ก่อนโบกมือ (ไล่) ให้คนผิดหวังในความรักแต่ไม่อกหักที่กำลังจะเดินหายลับออกจากบ้านแล้วค่อยๆ งับประตูเข้าหากัน

...ยังเป็นคนที่ยึดถือสไตล์ของตัวเองได้อย่างเหนียวแน่นจริงจริ๊ง ผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยน อยากรู้จังว่าสักวันจะมีสาวไหนมาสยบหัวใจพ่อคนมีความมั่นใจเกินร้อยแบบนั้นลงได้ไหมน้อ

เจ้าประคู้ณ... ขอให้กีวี่คนนี้ได้เห็นวันที่เรื่องนี้กลายเป็นความจริงด้วยทีเถ๊อะ!


“อ้าว พิ้งค์ มีอะไรหรือเปล่า ฉันกำลังจะกลับเข้าไปข้างในแล้วล่ะ”

กวิราทักเมื่อหันกลับมาจากประตูแล้วเห็นว่าเพื่อนสนิทก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างๆ หากพิมพ์ชญาที่มีสีหน้าแปลกๆ กลับเอื้อมมือมากุมมือของเธอเอาไว้แน่น

“ฮื้อ มือเย็นเชียว... เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย”

“วี่ ...ออกไปคุยกันข้างนอกแป๊บนึงได้ไหม”

สีหน้าของพิมพ์ชญาดูกลัดกลุ้มในแบบที่เพื่อนสนิทมานับสิบปีไม่เคยเห็นมาก่อน แถม...ท่ามกลางความยุ่งยากใจที่มองเห็น หญิงสาวยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหม่าแกมเขินอายที่แฝงอยู่ในดวงตาคมสวยคู่นั้น

อ้อ ท่าทางจะรู้ตัวแล้วสินะว่าตัวเองรู้สึกแปลกๆ กับนายสังเกตเลยนึกอยากปรึกษาฉันขึ้นมา เฮ้อ...ยัยความรู้สึกช้าเอ๊ยยยย รู้ตัวไหมว่าปล่อยให้ฉันลุ้นอยู่นานแค่ไหน... แต่ก็ยังดีล่ะที่ถึงจะช้าไปหน่อยก็ยังลุ้นขึ้น

เพราะอย่างนั้น กวิราจึงพยักหน้าก่อนเดินตาม 'คนความรู้สึกช้า' ไปยังม้านั่งตัวเล็กในสวนหน้าบ้าน สายลมช่วงต้นฤดูหนาวพัดกรูเกรียวเข้ามากระทบร่างบอบบางทันทีที่เดินพ้นบริเวณบ้าน ทำให้หญิงสาวต้องห่อไหล่ กอดตัวเองให้คลายหนาว พูดออกไปทั้งๆ ที่ฟันกระทบกันกึกๆ นึกเสียดายที่ไม่ได้กลับเข้าบ้านไปหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ก่อนเดินออกมา

“เอาล่ะ มีอะไรก็ว่ามา”

“คือ ฉัน...”

ขณะที่ริมฝีปากบางที่สั่นนิดๆ เพราะความหนาวเย็นของอากาศกำลังจะพรั่งพรูความรู้สึกออกมา ทุกอย่างก็หยุดชะงักลงเมื่อรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดลงตรงบริเวณใกล้กับประตูบ้าน

“หือ?? ฉันอะไร พิ้งค์ พูดต่อสิ ฉันรอฟังอยู่นะ ...อึ๋ย หนาววววว”

“นั่นใครมาน่ะ”

“เอ ไม่รู้สิ คงเป็นเพื่อนใครหรือมาหาใครสักคนแถวๆ นี้ล่ะมั้ง” กวิราพูดอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะความสูงของเก้าอี้และแนวกิ่งไม้ทำให้เธอมองเห็นรถที่มาจอดไม่ชัดเจน และแทบจะไม่เห็นบุคคลที่ก้าวลงมาจากรถเลย

...แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ไม่มีทางน่าสนใจเท่าสิ่งที่ยัยพิ้งค์กำลังจะพูดร้อก

ว่าแต่รีบเล่าสักทีสิ ฉันหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้วนะ!

หากพิมพ์ชญากลับลุกเดินตรงไปที่ประตูรั้วด้วยสีหน้าเหมือนถูกมนต์สะกดทำให้กวิราต้องลุกตามไปด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วคนที่เดินตามไปทีหลังก็ต้องตะลึงงันราวกับต้องมนต์เช่นกันเมื่อเห็นร่างของคนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วอย่างเต็มตา


ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้พิมพ์ชญานึกถึงคำว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด …ปัญหาเก่ายังไม่หมดไป ปัญหาใหม่ก็ตามมาเสียแล้ว

ถ้าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นคมสันที่กลับมาสร้างความปั่นป่วนใหม่คงไม่ทำให้เธอช็อกยิ่งกว่าเห็นผีแบบนี้... แต่นี่ไม่ใช่ผี หากเป็นหญิงสาวสวยน่ารักคนหนึ่ง ที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเธอมากที่สุดในโลก

ความตกใจที่เกิดขึ้นทำให้พิมพ์ชญาเผลอลืมไปชั่วขณะว่าอากาศรอบตัวหนาวเย็นเพียงไร ไม่ใช่แค่นั้น หญิงสาวตกตะลึงจนไม่รู้เลยว่าตัวเองยืนนิ่งอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้าอยู่นานแค่ไหน เธอรู้สึกเพียงว่าความเงียบสงัดที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะนานพอดู กว่ากวิราที่เดินตามมาจะอุทานอย่างตกใจไม่แพ้กัน

“น้องแพม!”


((ติดตามต่อที่บทที่ 15 ค่ะ))




 

Create Date : 25 เมษายน 2554
6 comments
Last Update : 25 เมษายน 2554 16:35:21 น.
Counter : 856 Pageviews.

 

ตอบคอมเมนต์จากบทที่แล้วค่ะ

น้องเน -- ฮี่ๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้พระเอกก็ยอมรับแล้วนะคะ ^____^

คุณ ree -- ตอนนี้น่ารักกว่ามั้ยคะ หุๆๆๆๆๆ

คุณ goldensun -- ตัวช่วยที่ร่วมมืิอกันยังมีอีกเยอะเลยค่ะ คอยดูไปนะค้า
ชะอุ๊ย... spoil ไปมั้ยเนี่ยเรา >< ไม่เนอะ ฮาๆๆๆ

ตอนนี้มีตัวละครใหม่ปรากฏตัวขึ้นแล้วนะคะ มาลุ้นกันว่าเธอคนนี้จะเป็นใครค่ะ

 

โดย: ...ศุวิลา... 25 เมษายน 2554 16:41:09 น.  

 

อ้อ สำหรับที่ว่าเรื่องนี้ยาวขนาดไหน ทั้งหมดมี 21 บทนะคะ แล้วก็มีตอนพิเศษอีกนิดนึง ^^ นี่ก็ใกล้ความจริงเข้ามาทุกทีแล้วค่ะ

 

โดย: ...ศุวิลา... 25 เมษายน 2554 16:51:30 น.  

 

แอบแต๊ะอั๋งพิงค์ทั้งในฝันและนอกฝัน(แบบไม่รู้ตัว)เลยนะนั่น นายเกตุ หึหึ
แต่ว่าคมสันถอยง่ายไปอ่ะ น่าจะแกล้งให้เขารักกันมากกว่านี้ (ยุซะงั้น)

อ๊ะ! แต่ว่าหนูพิงค์ของเรางานเข้าแว้ววววว O_o

 

โดย: Narilin Nay IP: 223.206.64.8 25 เมษายน 2554 17:06:17 น.  

 

นึกว่าคมสันยอมถอยแล้ว จะเหลือแค่ให้พิงค์รู้สึกถึงใจตัวเอง
ว่าแต่น้องแพมโผล่มา จะทำให้เรื่องเบี่ยงไปด้านไหนเนี่ย น่าลุ้น

 

โดย: goldensun IP: 203.121.167.243 25 เมษายน 2554 20:53:35 น.  

 

หูยยย ขยัน
(แวะมาแซว อิอิ)

 

โดย: จริง IP: 61.19.21.110 25 เมษายน 2554 23:51:42 น.  

 

มีน้องแพมอะไรโผล่มาอีก แหะๆๆ

ลี่ตามอ่านสองตอนรวดค่ะ หวานได้ใจจริงๆ อิอิ

 

โดย: lovekalo 30 เมษายน 2554 20:09:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.