... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
7 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Oxford Story บทที่ 3


กลับมาจากทริป "ถล่มคาน...ที่เชียงคาน" แล้วค่ะ แต่ดูเหมือนว่าคานยังอยู่ให้เกาะเหมือนเดิมทุกประการเลย ^^''' (ซึ่งก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะเนอะ)

ถึงวันนี้ก็เป็นบทที่ 3 แล้วนะคะ มาลุ้นกันค่ะว่านางเอกของเราจะใช้ชีวิตตัวคนเดียวในที่ที่ไม่คุ้นเคยต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะกับผู้ชายนิสัยแปลกๆ เอ้ย เข้าใจยากแบบนี้ ^^


########################

บทที่ 3

เช้าวันแรกของการไปโรงเรียนไม่ยากนักสำหรับพิมพ์ชญา ทุกอย่างราบรื่นมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้ หญิงสาวสามารถไปถึงโรงเรียนได้โดยสวัสดิภาพโดยไม่ต้องรบกวนหนุ่มนักศึกษาแพทย์เพื่อนร่วมบ้าน เมื่อเช้านี้เธอพบว่าเขาวางกุญแจบ้านไว้ให้ที่โต๊ะอาหาร พร้อมเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้เธอรับประทานอะไรก็ได้ที่อยู่ในตู้เย็นเป็นอาหารเช้า ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้ว ต้องยอมรับว่าเขาดูแลเธอในฐานะผู้มาใหม่ได้ดีพอใช้…ถ้าเทียบกับความรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาที่ดูเหมือนว่าเขาจะมีกับเธอค่อนข้างมากน่ะนะ

เมื่อมาถึงที่โรงเรียน อาจารย์ใหญ่เข้ามากล่าวทักทายนักเรียนใหม่ทุกคน พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่พาเดินชมห้องต่างๆ มี Self-access ที่นักเรียนสามารถเข้ามาใช้ทำแบบฝึกหัดได้ และในห้องนี้เองที่พิมพ์ชญาและนักเรียนใหม่อื่นๆ ต้องสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษเพื่อแบ่งระดับชั้นเรียน

เป็นที่แน่นอนว่าพิมพ์ชญาที่เรียนจบมาทางด้านภาษาโดยตรงจะต้องได้คะแนนในระดับสูงสุด เพื่อนร่วมชั้นเรียนส่วนมากเป็นฝรั่งที่อายุไล่เลี่ยกันหรือเด็กกว่าเธอ แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเสียอีก ที่เขาว่าเด็กฝรั่งโตเร็วกว่าเด็กเอเชียน่าจะเป็นเรื่องจริง ดูจากสาวญี่ปุ่นเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ชื่อมิชิรุนั่น อายุถึง 29 แล้ว แต่เธอก็ยังดูเหมือนอายุเพียง 24 หรือ 25 ปีเท่านั้น ผิดกับนาตาชา สาวเยอรมันที่อายุเพียง 16 ปี แต่เธอกลับดูสาวและเป็นผู้ใหญ่ ราวกับอายุ 23 ปี

“พิ้งค์ ที่เธอชื่อว่าพิ้งค์ เป็นเพราะว่าเธอชอบสีชมพูหรือ”

แอนนา สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามเมื่อเห็นว่าพิมพ์ชญาสวมเสื้อสีชมพู และสะพายกระเป๋าสีชมพูเปรี้ยวจี๊ดสุดเก๋ใบโปรด

“ไม่ใช่หรอก แต่เป็นเพราะแม่ฉันชอบสีชมพูต่างหากล่ะ ฉันคงจะได้รับความชอบสีชมพูมาจากแม่”

“สำหรับฉัน สีอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นสีเหลือง ฉันไม่ชอบใส่เสื้อผ้าสีเหลือง เพราะมันทำให้ฉันดูเหมือนผึ้ง”

มองดูผมสีน้ำตาลอ่อนของแอนนา และรูปร่างเจ้าเนื้อของเธอ หากเธอสวมชุดสีเหลืองคาดน้ำตาล เธอคงจะดูไม่ต่างจากนางผึ้งตัวใหญ่จริงๆ

การเรียนในช่วงเช้าของวันแรกผ่านไปอย่างราบรื่น ส่วนตอนบ่ายนักเรียนต้องเลือกวิชาเรียนเฉพาะทาง แน่นอนว่าพิมพ์ชญาเลือกวิชาการเตรียมตัวสอบไอเอลส์ แอนนาและนาตาชาที่เพิ่งเข้าเรียนพร้อมกันก็เลือกเรียนวิชาเดียวกัน ในขณะที่มิชิรุ สาวญี่ปุ่นหน้าหวานเลือกวิชาการเตรียมตัวสอบข้อสอบภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์หรือ CAE


หลังเลิกเรียนวันนั้น หญิงสาวมิได้ตรงกลับบ้านในทันที …ก็เพิ่งจะบ่ายสามโมงกว่าเท่านั้นเองนี่นา มาเรียนถึงต่างประเทศทั้งที และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นวันแรกของเธอด้วย เรื่องอะไรจะรีบกลับไปหมกตัวอยู่ที่บ้าน ดังนั้น เมื่อเพื่อนๆ ชักชวนให้ไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตาที่ซิตี้ เซ็นเตอร์ เธอจึงไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

ซิตี้ เซ็นเตอร์ของเมืองออกซ์ฟอร์ดดูจะเล็กและมีสินค้าให้เลือกซื้อน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับถนนช้อปปิ้งชื่อดังอย่าง ออกซ์ฟอร์ด สตรีท ในลอนดอน แต่กระนั้น พิมพ์ชญาก็ยังชื่นชอบเมืองนี้มากอยู่ดี …บรรยากาศในออกซ์ฟอร์ดสวยงาม เก่าแก่ และภูมิฐานดังที่เธอคิดไว้ แม้ว่าจะมีร้านรวงสมัยใหม่ตั้งอยู่ท่ามกลางสถาปัตยกรรมแบบโบราณแต่ก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าขัดกันแต่อย่างใด

“คนเยอะกว่าที่คิดนะ”

“นั่นน่ะสิ”

แอนนาพูดออกมาซึ่งสาวไทยเห็นด้วย แรกทีเดียวเธอคิดว่าออกซ์ฟอร์ดคงจะเป็นเมืองการศึกษาเงียบๆ ที่ไหนได้ ผู้คนเดินไปเดินมากันขวักไขว่ทีเดียว ที่เขาว่ากันว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัยท่าจะจริง เท่าที่มองดูผ่านๆ แล้ว ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาส่วนมากคงจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งอาจเป็นเพราะคอลเลจต่างๆ จำนวนกว่าสามสิบแห่งของมหาวิทยาลัยแห่งนี้กระจายกันอยู่ทั่วบริเวณซิตี้เซ็นเตอร์ไปหมด ซึ่งบางแห่งก็สามารถเดินเข้าชมได้ทันที ส่วนบางแห่งเปิดและปิดเป็นเวลา และบางแห่งต้องเสียเงินเพื่อเข้าชม เช่นไครสท์ เชิร์ช (Christ Church) ที่โด่งดัง เนื่องจากเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ที่พิมพ์ชญาชอบ

ในวันนี้ พิมพ์ชญายังมิได้เข้าชมสถานที่ใด เธอเพียงแต่เดินดูร้านรวงรอบๆ และซื้ออุปกรณ์สื่อสารชิ้นสำคัญ ได้แก่ซิมการ์ดสำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร

จริงอยู่ที่โทรศัพท์มือถือของเธอเปิดบริการข้ามประเทศมาจากประเทศไทย แต่อย่างที่รู้กันว่าค่าใช้จ่ายในการโทรแพงมากไม่ว่าจะโทรออกหรือรับสายเรียกเข้าก็ตาม ดังนั้น ย่อมเป็นการดีกว่าที่เธอจะมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ในประเทศอังกฤษ

และแล้ว เธอก็ได้หมายเลขโทรศัพท์ของ Vodafone เครือข่ายยอดนิยมของนักเรียนไทยในอังกฤษ ซึ่งซิมการ์ดที่หญิงสาวซื้อเป็นแบบ Pay As You Go ที่ผู้ใช้ต้องเติมเงินล่วงหน้า ลักษณะเดียวกับซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินของไทย อันที่จริง หากเธอทำสัญญาการใช้รายปีค่าบริการจะมีราคาถูกกว่ามาก แถมยังมีโปรโมชั่นคุ้มๆ ให้เลือกหลายรูปแบบ และมักจะได้เครื่องโทรศัพท์ฟรี แต่มีเงื่อนไขว่าเธอจะต้องใช้บริการจนครบปีและเปิดบัญชีกับธนาคารของอังกฤษเสียก่อน พิมพ์ชญายังไม่แน่ใจนักว่าเธอจะได้อยู่ที่นี่ต่อไปอีกนานแค่ไหน อีกทั้งยังไม่ได้เปิดบัญชีไว้ ดังนั้นเธอจึงใช้ระบบนี้เสียก่อน ส่วนสาเหตุที่เธอเลือกซื้อซิมการ์ดของ Vodafone ทั้งๆ ที่มีราคาแพงกว่าเครือข่ายอื่นเนื่องจากอลิสา และกวิรา เพื่อนสนิทคนไทยของเธอเคยย้ำนักย้ำหนาว่า

“พิ้งค์ ถ้าจะมาที่อังกฤษให้ใช้ซิมของ Vodafone นะ ถ้ายังไม่อยากถูกตัดออกจากสังคมคนไทยที่นี่ เพราะว่าโทรข้ามระบบราคาแพงกว่ามาก”

เพราะเหตุนั้นเธอจึงเลือกใช้ซิมการ์ดของยี่ห้อนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าด้วยซ้ำไปว่าจะมีใครที่อยากจะโทรศัพท์ไปหาหรือว่าโทรมาหา …การมาอังกฤษของเธอครั้งนี้ฉุกละหุกมากจนแทบจะไม่ทันได้บอกใครนอกจากเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้น

ก็การมาของเธอครั้งนี้เป็นการ 'หนี' นี่นา คิดดูแล้วไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคนอย่างพิ้งค์ หรือ พิมพ์ชญาคนนี้ จะถึงกับต้อง ‘หนี’ คนคนหนึ่งถึงขั้นนี้


เป็นเวลาเกือบสองทุ่มกว่าที่พิมพ์ชญาและเพื่อนๆ จะแยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อกลับมาแล้วเห็นว่าบริเวณหน้าบ้านและทางเดินในบ้านยังมืดสนิท หญิงสาวจึงเดาว่าเพื่อนร่วมบ้านชายที่มีชื่อเล่นเหมือนผู้หญิงน่าจะยังไม่กลับ เธอเก็บอาหารสด นมสด น้ำผลไม้ ที่ซื้อมาเข้าตู้เย็นก่อนจะตรงขึ้นไปยังห้องส่วนตัว

แต่เมื่อเดินขึ้นไปถึงชั้นสองก็พบสังเกตที่ก้าวออกมาจากห้องส่วนตัวของเขาพอดี เมื่อเห็นเธอ เขาก็ทักทาย ...ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยตามแบบฉบับคุณชาย

“เพิ่งกลับเหรอ กลับดึกเหมือนกันนะ”

ง่ะ อะไรฟะ ฉันจะกลับช้าหรือเร็วแล้วเขามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะเนี่ย แล้วสองทุ่มมันดึกตรงไหน!!

“วันนี้เป็นวันแรกของฉันนะ ฉันก็อยากจะออกไปเดินเล่นในเมืองบ้างสิ”

อยากจะต่อท้ายเหลือเกินถ้าไม่เกรงใจว่า ‘นี่ คุณ!! ขอถามหน่อยเถอะ เป็นเพื่อนร่วมบ้านหรือพ่อของฉันกันแน่ยะ ฉันจะกลับบ้านกี่โมงไม่เคยเห็นที่บ้านฉันเขาจะว่าอะไรสักคำ แล้วนี่ก็ยังไม่ดึกสักหน่อย ทำตัวเป็นผู้คุมกฎหอพักนักเรียนประถมไปได้!’

‘ผู้คุมกฎหอพัก’ ขมวดคิ้วได้รูป

“เดินเล่นอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเท่าไรเลยนี่”

“ใครว่าไม่มีอะไร ฉันว่ามีแต่สิ่งที่น่าสนใจเต็มไปหมดต่างหาก ฉันเห็นมีมิวเซียม มีคอลเลจต่างๆตั้งเยอะ ทุกแห่งดูสวยงามเก่าแก่ เต็มไปด้วยตำนานและประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า”

สีหน้าของเขายิ่งแลดูสับสนมากกว่าเดิม ดวงตาหลังกรอบแว่นเพ่งพินิจหญิงสาว รวมไปถึงกระเป๋าสีชมพูใบโปรดของเธอ

“อย่าง ‘คุณ’ นี่นะ สนใจประวัติศาสตร์ เรื่องโบร่ำโบราณกับเขาด้วย”

“อือฮึ ทำไมล่ะ” เธอย้อนถาม และคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากที่คิดมากนัก

“คือ…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “บอกตามตรง ผมคิดว่าคุณน่าจะสนใจแบบว่า… ร้านค้า ข้าวของ หรืออะไรทำนองนั้น”

แม้จะคิดไว้อยู่แล้ว แต่คนฟังยิ่งหงุดหงิดคูณสองเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“นี่! คุณสังเกต ฉันอาจจะดูเป็นคนช่างแต่งตัว แต่นั่นไม่ได้แปลว่าฉันไม่มีสมองนะ เรื่องอื่นๆ ฉันก็สนใจ”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แล้วนี่คุณกินอะไรมาหรือยัง”

หูย นี่ขนาดยังไม่ได้ว่ายังงับซะหลายประโยคขนาดนี้ ถ้าว่าจะขนาดไหนยะ… อยากจะย้อนคำนี้ออกไปนัก แต่ก็คร้านที่จะมีเรื่องโต้แย้งกันอีกระลอกจึงพยายามไม่เก็บมาใส่ใจ

“ยังหรอก ฉันซื้อของมา กะว่าจะเข้ามาทำอาหารเอง”

“คุณนี่นะ? ทำอาหาร??”

“อื้อ”

เสียงของเธอหดเล็กลงกลายเป็นอุบอิบเมื่อคราวนี้เขาสงสัยได้ถูกต้อง ...แหม คนเราก็ต้องมีเรื่องที่ไม่ถนัดกันบ้างสิ จะเก่งไปหมดทุกเรื่องได้ยังไงล่ะ


เมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว พิมพ์ชญาลงมาเข้าครัว แต่เนื่องจากเธอแทบไม่เคยลงมือทำอาหารเลยสมัยอยู่ที่บ้าน เพราะหากแม่บ้านของเธอไม่ได้เป็นผู้ลงมือเอง ก็จะเป็นแพม น้องสาวของเธอ ผู้มีฝีมือในการทำครัวชนะเลิศราวกับเชฟในภัตตาคารระดับห้าดาวเป็นผู้ลงมือ ท่าทางประกอบอาหารของหญิงสาวจึงเก้ๆ กังๆ เต็มที เมื่อสังเกตเข้ามาในครัวจึงได้เห็นภาพหญิงสาวเพื่อนร่วมบ้านหมาดๆ กำลังปอกเปลือกมันฝรั่งอย่างยากลำบาก ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกลัวมีดจะปอกมือตัวเองแทนที่จะเป็นเปลือกมันฝรั่งทำให้เจ้าของใบหน้าดุอดรนทนไม่ได้ ต้องยื่นมือเข้าช่วย

“ใครเขาทำแบบนั้น มีดบาดมือกันพอดี ส่งมานี่ จะทำให้ดู”

ไม่พูดเปล่า สังเกตยังดึงทั้งที่ปอกเปลือกและมันฝรั่งไปจากมือบางและลงมือสาธิตให้ดู แม้จะหมั่นไส้เล็กๆ แต่พิมพ์ชญาก็ต้องยอมรับว่าเขาทำได้คล่องแคล่วต่างจากเธอยิ่งนัก อีกทั้งมันฝรั่งที่เขาปอกอยู่ เปลือกก็ขดเป็นวงๆ ไม่ขาดออกจากกันเลยด้วย

เมื่อเขาปอกเปลือกมันฝรั่งให้ พิมพ์ชญาจึงเลี่ยงไปปอกหอมแทน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าการลอกเปลือกและหั่นหัวหอมใหญ่ออกเป็นสองซีกนั้นง่ายมาก เธอจึงทำเสร็จภายในเวลาอันสั้น จากนั้นก็ไปแกะเนื้อไก่ออกจากแพ็คแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

“คุณจะทำอะไรน่ะ”

“แกงมัสมั่นค่ะ ฉันเตรียมเครื่องแกงสำเร็จรูปมาจากเมืองไทยเยอะแยะเลย น้องสาวกับเพื่อนตัวดีของฉันบอกว่ามันจะทำให้ชีวิตของฉันง่ายขึ้นมาก” ขณะที่พูด มือบางก็ฉีกซองเครื่องแกงมัสมั่นสำเร็จรูป

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางตั้งหม้อใบเล็กและเทกะทิใส่ลงไป จากนั้นเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบนมสดออกมา

“คือ... จริงๆ แล้วฉันตั้งใจจะทำเผื่อคุณด้วย” บุญคุณผัดไทเมื่อวานต้องทดแทน “ถ้าไม่รังเกียจ คุณจะทานมื้อเย็นกับฉันก็ได้ ไหนๆ คุณก็ช่วยฉันทำอาหารแล้วนี่”

หญิงสาวทักท้วงเมื่อเห็นว่าหม้อที่เขาเตรียมไว้น่าจะเพียงพอสำหรับอาหารเพื่อคนเดียวเท่านั้น
“หรือว่าคุณกินข้าวเรียบร้อยแล้ว” เธอถามเพื่อความแน่ใจ

“ยัง”

เฮ้อ…ช่างเป็นคำตอบที่สั้น กระชับ ได้ใจความดีเหลือเกิ๊น…


เนื่องจากสังเกตเป็นผู้ลงมือทำอาหารเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ออกมาจึงดูน่ารับประทานไม่ผิดกับอาหารตามร้าน หญิงสาวบอกให้เขานั่งโต๊ะอาหารขณะที่เธอรินน้ำส้มสองแก้วก่อนจะเดินมานั่งที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ

“น่ากินจัง คุณสังเกตทำอาหารเก่งนะนี่” หญิงสาวชมจริงๆ ไม่ได้ป้อนลูกยอประจบเพราะเห็นแก่กิน

“คนที่มาเรียนต่อก็แบบนี้ทั้งนั้นล่ะ ถ้าอยากทานอาหารไทยก็ต้องทำเอง อาหารตามร้านที่นี่แพงมาก ให้ออกไปกินทุกมื้อก็คงไม่ไหว”

“แต่ถ้าคุณทำงานที่ร้านอาหารเขาไม่มีราคาพิเศษให้หรอกหรือคะ ฉันเคยได้ยินว่าบางแห่งเขาเลี้ยงข้าวพนักงานด้วย” หญิงสาวแย้งตามข้อมูลที่เคยได้รับมา

เขาพยักหน้ารับ “ก็ใช่ แต่ก็แค่วันที่ทำงานเท่านั้นล่ะ”

“คุณทำงานวันไหนบ้าง”

ถามออกไปแล้วเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขาจะโกรธเพราะคิดว่าเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เคราะห์ดีที่ชายหนุ่มยอมตอบกลับมาดีๆ

“เฉพาะวันเสาร์เท่านั้นล่ะที่ต้องไปทำเพราะที่ร้านขาดคน เพื่อนเลยขอให้ไปช่วยน่ะ”

“ยังพอมีตำแหน่งไหนว่างอีกหรือเปล่า ฉันชักอยากทำงานบ้างเหมือนกัน มีเวลาว่างเยอะขนาดนี้อีกสักพักคงเบื่อแย่”

“ถ้าคุณสนใจจริงๆ” เขาเน้นย้ำคำพูดหลัง “วันธรรมดาช่วงกลางวันหรือเย็นก็พอจะมีว่างบ้าง เพราะส่วนมากจะมีเรียนกัน เดี๋ยวจะถามให้ก็แล้วกัน”

“ถ้าเป็นไปได้ ขอเป็นวันศุกร์ก็แล้วกัน ฉันว่างทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะมีเรียนแค่ครึ่งวัน”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถาม “จะดีหรือ”

“ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็ วันศุกร์คนแน่นไม่ใช่หรือ เขาน่าจะต้องการคนทำงานเพิ่มนะ” หญิงสาวว่าไปตามหลักเหตุผล

“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็ฟรายเดย์ ไนท์ เป็นวันที่เขานิยมไปเที่ยวกัน จะมาหมกตัวทำงานได้หรือ คุณน่าจะอยากออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ มากกว่า”

อีกแล้วไง หญิงสาวเริ่มฉุน นอกจากเขาจะคิดว่าเธอเป็นสาวนักช้อปตัวยง ทำครัวก็ไม่น่าจะเป็น ยังคิดว่าเธอชอบออกไปท่องราตรีตามผับบาร์อีกด้วยหรือนี่…

หากเมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ของตนเองพิมพ์ชญาก็พอจะเข้าใจ เธอเป็นคนผอมบางและสูง สูงกว่าผู้หญิงไทยโดยทั่วไป จึงดูคล่องแคล่วปราดเปรียว การเดินเหินมั่นใจ ผมยาวสลวยดัดเป็นลอนใหญ่ และถูกเคลือบไล่สีไล่มิติด้วยเฉดสีน้ำตาลแดง นอกจากนั้นยังมักจะสวมกางเกงยีนส์เอวต่ำที่แนบเข้ากับขาเพรียว และเสื้อผ้าแฟชั่นสีสันสดใส หรือหากเป็นสีเรียบ ก็จะมีการออกแบบตัดเย็บที่ไม่ธรรมดา ใบหน้าก็เป็นสไตล์หมวยอินเตอร์อย่างที่กำลังนิยม บนผิวหน้ามักจะถูกทาทับไว้ด้วยเครื่องสำอางเสมอ ถึงแม้ไม่จัดจนเกินไป แต่หญิงสาวมักจะเปลี่ยนสี เปลี่ยนโทนของเครื่องสำอางให้เข้ากับเครื่องแต่งกายอยู่เป็นประจำ ดังนั้น โดยรวมแล้วพิมพ์ชญาถือเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ที่สวยและน่ามองมากคนหนึ่ง

แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่เขาจะมาตัดสินเราจากภายนอกแบบนี้นี่นา มันเข้าข่ายหยามกันชัดๆ!

เห็นอาการนิ่งเงียบแต่สีหน้าและแววตามีรอยขุ่นเคืองปรากฏชัดขงคนตรงหน้า สังเกตจึงออกตัวเรียบๆ

“คือผมไม่ได้กำลังว่าอะไรคุณนะ แต่ที่นี่ ที่อังกฤษ การไปผับถือเป็นเรื่องปกติ ปกติคนเขาจะนิยมเที่ยวกันมากในคืนวันศุกร์และเสาร์ บางแห่งถึงกับมีการเก็บค่าเข้าเฉพาะสองวันนี้ หากคุณมาถึงอังกฤษ ผมแนะนำว่าคุณควรจะไปผับบ้าง”

ได้ยินอย่างนั้น คนฟังค่อยลดความขุ่นข้องลง

“อ้อ โอเค ฉันจะลองคิดดู ยังไงฉันฝากคุณลองดูๆ เรื่องงานด้วยก็แล้วกัน”

“ได้”

“ว่าแต่ร้านที่คุณทำงานเป็นยังไงบ้าง เขาดูแลพนักงานดีไหม”

หญิงสาวถามอย่างรอบคอบ สิ่งที่ได้ยินมาจากเพื่อนคนอื่นที่เคยมาศึกษาต่อต่างประเทศ หรือหนังสือต่างๆ นั้น การทำงานร้านอาหารฟังดูค่อนข้างโหดร้าย หากไม่เจอปัญหากดค่าแรง ก็จะได้ยินเรื่องทำนองว่าเจ้าของร้านค่อนข้างอารมณ์ร้าย หรือไม่ก็เขียมจนแทบจะเปิดโรงงานผลิตเกลือได้ ค่าแรงก็ต่ำ ทิปก็ไม่ให้ หรือบางคนเจอเจ้าของร้านดี ก็อาจจะเจอเพื่อนร่วมงานแย่ ชอบใส่ร้ายป้ายสี แกล้งหาเรื่องให้ถูกลดชั่วโมงทำงานหรือไล่ออก สารพัดรูปแบบเลยทีเดียว

“ที่นี่โอเคนะ ไม่มีปัญหาอะไร พนักงานกับนายจ้างก็ดูเข้าใจกันดี อาจจะเพราะเป็นเพื่อนกัน”

…และจริงๆ แล้ว สาเหตุที่เขาไปทำงานก็เพื่อช่วยเพื่อนตามที่ขอร้องว่าขาดคนแค่ชั่วคราวเท่านั้นล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ไม่คิดที่จะทำงานพิเศษเหมือนกัน

“แปลว่าคุณโชคดีนะ เพราะเท่าที่ฉันได้ยินมา การทำงานร้านอาหารค่อนข้างเหมือนฝันร้ายสำหรับหลายคนเลยล่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือก”

“ใช่ หลายคนเจอเหตุการณ์แบบที่คุณว่า” เขายอมรับ “แต่ยังไงสิ่งที่หนักหนาที่สุดในการมาเรียนต่อไม่ใช่เรื่องการทำงานหรอก”

คำพูดนั้นทำให้พิมพ์ชญาขยับตั้งใจฟัง “แล้วอะไรล่ะที่คุณว่าโหดร้ายที่สุด”

“เรื่องเรียนไงล่ะ”

“หือ?”

“ผมพูดจริงๆ นะ ไม่ได้ขู่” สังเกตยืนยัน “ตอนนี้คุณอาจจะยังนึกภาพไม่ออก อาจจะนึกว่าการมาเรียนต่อน่าจะสวยหรู สุขสบาย สุดท้ายแล้วก็ได้ปริญญากลับไปใบหนึ่ง ...แต่ถ้าคุณได้มาเห็นภาพนักศึกษาช่วงก่อนส่งรายงานหรือสอบแล้วล่ะก็คุณจะรู้ว่านรกมีจริง หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมงยังแทบจะไม่พอใช้เลย อย่าว่าแต่เวลานอน เวลาจะกินยังแทบจะไม่มี”

คนฟังกะพริบตาถี่ๆ “ขนาดนั้นเชียวหรือคะ”

“บอกได้เลยว่าผมไม่ได้พูดเกินไป กว่าจะได้ปริญญาสักใบไม่ใช่เรื่องสบาย คนที่เรียนไม่ไหวจนต้องลาออกไปมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ”

พิมพ์ชญาฟังแล้วอึ้งเพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ...ก็รู้แหละว่ามันคงไม่ได้สบาย แต่ไม่นึกว่าจะยากลำบากขนาดที่เขาว่า การมาเรียนภาษาอังกฤษนั้นง่ายนิดเดียว ขอเพียงเธอมีเงินเพียงพอก็ได้เข้าเรียนโดยไม่ยาก แต่การเข้ามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยระดับท็อป เธอจะต้องมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งการเงิน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเรียนมักจะราคาแพงกว่ามหาวิทยาลัยที่ไม่โด่งดังนัก นอกจากนั้น เธอจะต้องมีเกรดที่ปรากฏในใบทรานสคริปท์ หรือใบรายงานผลการเรียนที่ดีมาก ซึ่งนับเป็นโชคดีของเธอ ที่สอบได้คะแนนดีมากถึงขั้นได้เกียรตินิยมเมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตาม พิมพ์ชญาจะต้องมีผลสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ดีมากเช่นกัน

มิใช่เพียงแค่พิมพ์ชญา สังเกตเองก็ผ่านความลำบากมามาก กว่าที่เขาจะสอบและได้รับทุนพระราชทานให้มาศึกษาต่อทางแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศอังกฤษได้ เขาต้องอาศัยความอดทน ความมานะบากบั่นอย่างมาก

ที่เขาอดทนเพราะรักความก้าวหน้าในอนาคตก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนแล้ว...เขาไม่อยากจะเชื่อว่า 'เหตุผลส่วนตัว' ที่ดูไร้สาระเพียงเหตุผลหนึ่ง จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาประสบความสำเร็จทางการศึกษาได้ถึงเพียงนี้

เพราะต่างคนมัวแต่จ่อมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ทั้งโต๊ะอาหารจึงตกอยู่ในความเงียบชั่วระยะหนึ่ง จนในที่สุด สังเกตก็เป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน

“คุณรู้ไหม ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ หรอก ...อะไรที่ได้มาง่ายๆ เราก็มักจะตัดสินว่ามันไม่มีคุณค่ามากพอสำหรับเรา ส่วนอะไรที่เราต้องฝ่าฟันเพื่อที่จะได้มา เรามักจะมองเห็นคุณค่ามากกว่าเสมอ”

พิมพ์ชญาเห็นด้วยกับเขาอย่างที่สุด… เป็นครั้งแรกของวันนี้

“จริงด้วยค่ะ อะไรที่ถูก ‘ยัดเยียด’ มากๆ เรามักจะไม่อยากได้ หรือดีไม่ดีอาจจะถึงกับหนีไปจากมันด้วยซ้ำไป”

“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณกำลังหนีอะไรมาอย่างนั้นล่ะ”

คำถามของเขาทำให้คนถูกถามถึงกับนิ่งอึ้งไป …เพราะจริงของเขา เธอมาถึงที่อังกฤษเพราะต้องการหนีจาก ‘อะไร’ บางอย่าง หรือถ้าจะพูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ 'ใคร' สักคนนั่นเอง

“จริงๆ แล้วก็ประมาณนั้น แต่อย่าถามนะว่าฉันหนีอะไรมา ฉันไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าไร”

สังเกตพยักหน้าแทนคำตอบ ...ถึงพิมพ์ชญาไม่พูดเขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ถามอยู่แล้วเพราะตัวเองก็มีเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากเอ่ยถึงเหมือนกัน

“แล้วคุณล่ะ คุณเคยหนีจากอะไรบ้างหรือเปล่า”

มือที่กำลังตักกับข้าวชะงักทันควันก่อนที่จะตอบคำถามของเธอ...เขาคงพลาดเองที่หลุดถามออกไปในตอนแรก แต่นั่นแหละ ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้ตอบคำถาม เขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามของเธอเหมือนกัน

“สำหรับผม ผมไม่เรียกว่าหนีหรอก เพียงแต่ผมชอบที่จะเลือกสิ่งต่างๆ ในชีวิตด้วยตัวเองมากกว่า”

คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมานิดหนึ่ง

“โธ่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ว่าใครก็ชอบที่จะเป็นคนได้เลือกมากกว่าถูกเลือก ...ฉันจะไม่ถามรายละเอียดก็แล้วกัน แต่อยากรู้ว่าคุณมาอยู่ที่นี่แล้ว คุณหนีสิ่งนั้นพ้นหรือเปล่า”

“เอาเป็นว่าตราบใดที่ผมยังเรียนไม่จบ หรือตราบใดที่ผมไม่คิดจะกลับเมืองไทย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดถึงมันเลย”

สีหน้าของสังเกตขณะที่ตอบบอกอย่างชัดเจนว่า... เขาไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกแม้แต่คำเดียว ทั้งสองจึงนั่งรับประทานอาหารของตนไปอย่างเงียบๆ เมื่อสิ้นสุดมื้ออาหาร หญิงสาวเป็นคนรับหน้าที่ล้างจาน โดยให้เหตุผลว่าเขามีรายงานที่ต้องทำมากมายอย่างที่ได้บอกกับเธอไว้ ในขณะที่เธอไม่มีการบ้านใดๆ เลย แต่กระนั้น สังเกตก็ยังยืนกรานจะช่วยเธออยู่นั่นเอง เมื่อเขารับจานใบสุดท้ายไปเช็ดและเก็บเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงหันไปหาเขา

“เออ คุณคิดว่ามันตลกไหม”

ตลกงั้นหรือ สังเกตขมวดคิ้ว เขาน่ะหรือทำอะไรตลก คำคำนี้เป็นคำที่ฟังดูไม่น่าจะมาอยู่ในประโยคเดียวกับชื่อเขาได้มากที่สุด

“ฉันไม่ได้หมายถึงว่าคุณทำอะไรตลกๆ นะ แต่ฉันหมายถึงว่า ไหนๆ เราสองคนก็ต้องอยู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวันแล้ว แถมอายุก็เท่าๆ กัน จะแทนตัวด้วยสรรพนามคุณๆ ผมๆ อย่างนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะเรียกผมว่าอะไรล่ะ”

“ก็…” จะเรียกพี่หรือน้องก็ไม่ได้อีกเพราะอายุเท่ากัน... ไม่งั้นคงง่ายกว่านี้เยอะ “เรียกชื่อไง”

เสียงที่พูดแผ่วลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอาจทำให้เขาไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าเธอทำตัวตีสนิทเขามากเกินไป แต่หญิงสาวคิดดีแล้วว่าคนอยู่บ้านเดียวกัน (ถึงจะไม่รู้จะอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหนก็เถอะ) ถ้าไม่รีบพยายามคุยกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งนานวันไปจะยิ่งคุยกันได้ยากขึ้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่เช่าบ้านอยู่ด้วยกันแบบน่าอึดอัดใจเสียเปล่าๆ

เฮ้อ...นี่มองการณ์ไกลหรอกนะถึงได้พยายามขนาดนี้ เพราะจากที่ตอนเช้าได้ลองไปคุยกับทางออฟฟิศของโรงเรียนเรื่องโฮสท์ แฟมิลี่ ดูเหมือนหนทางข้างหน้ามืดมนเหลือเกิ๊น นักเรียนที่ลงเรียนไว้ต่างลงคอร์สยาวๆ และผูกขาดโฮสท์ แฟมิลี่ไว้อีกหลายเดือนกันทั้งนั้น ส่วนบ้านโฮสท์ที่ยังว่างทางโรงเรียนก็ไม่แนะนำเพราะถูกนักเรียนหลายคนร้องเรียนมาว่าอยู่ไม่ได้ สรุปว่าคงต้องยึดบ้านหลังนี้เป็นฐานทัพไปพลางๆ ก่อนสักระยะหนึ่งนั่นแหละ

“ไม่อย่างนั้นก็เรียกคุณเหมือนเดิมก็ได้ ถ้าคุณไม่สะดวก”

“ไม่เป็นไร” เขาว่า แม้คิ้วจะยังไม่คลายออกจากกันสนิท “ไม่ต้องเรียกคุณหรอก กับเพื่อนผมก็ไม่มีใครเรียกกันว่าคุณเหมือนกัน”

“โอเค ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเราจะเป็น ‘เพื่อนร่วมบ้าน’ กันแล้ว คุณเรียกฉันว่าพิ้งค์ก็แล้วกัน ใครๆ เขาก็เรียกแบบนั้น ว่าแต่ว่าจะให้ฉันเรียกคุณว่ายังไงดีล่ะ”

“คุณเรียกผมว่าเกตก็ได้”

หญิงสาวยิ้ม “นี่ คุณเพิ่งตกลงเดี๋ยวนี้เองว่าต่อไปนี้เราไม่ต้องเรียกกันและกันว่าคุณ แต่คุณก็ยังเรียกฉันว่าคุณอยู่เลยนะ”

“แล้วคุณล่ะ กำลังพูดอะไรอยู่”

คราวนี้ชายหนุ่มยิ้มบ้าง ซึ่งในความเห็นของพิมพ์ชญา ต้องยอมรับว่าเขายิ้มได้น่ามองจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาก็แค่ขยับยิ้มบางๆ เท่านั้นเอง

อยากรู้เหมือนกันแฮะว่าถ้าเขาถอดหน้ากากหน้าตายออกแล้วยิ้มกว้างๆ บ้างจะเป็นยังไง ...แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะยังอยู่ที่นี่ไปจนถึงวันนั้นไหม เพราะพรุ่งนี้คงต้องลองไปติดต่อตามเอสเตท เอเยนท์ หรือสำนักงานจัดหาที่พักดูล่ะ อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เกิดความแตกขึ้นมาจนต้องระเห็จกลับเมืองไทยล่ะแย่กันพอดี

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาและเธอต่างแยกย้ายกันไปที่ห้องของตัวเอง สังเกตไม่ลืมแสดงความมีน้ำใจโดยการเสนอให้พิมพ์ชญาใช้อินเตอร์เน็ทของเขาได้หากเธอต้องการและเขาไม่ได้กำลังใช้งานอยู่

วันแรกของการเรียนที่อังกฤษ… พิมพ์ชญานึกพลางเปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นเขียนสิ่งที่ประสบพบมาในวันนี้ โดยไม่ลืมเล่าถึงชายหนุ่มเพื่อนร่วมบ้านที่ในที่สุดก็พอจะพูดจากันรู้เรื่องขึ้นบ้าง

แต่ยังไงการหาบ้านใหม่ก็คงต้องดำเนินต่อไปล่ะ...



((ติดตามต่อที่บทที่ 4 ค่ะ))


Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 25 เมษายน 2554 16:00:37 น. 5 comments
Counter : 537 Pageviews.

 
ตอบคอมเมนต์ของตอนที่แล้วค่ะ

คุณ Green-ant -- ตอนใหม่มาแล้วค่า

คุณ ree -- ขอบคุณที่มาติดตามกันค่ะ

น้องตูน -- สู้ๆๆๆๆๆๆๆ นะจ๊ะ ^^ เอาใจช่วยเสมอเลยค่ะ
แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ สอบเสร็จหรือยังเอ่ย

คุณgobank -- ขอบคุณที่แวะมาทักทายค่า

แล้วพบกับบทที่ 4 วันจันทร์หน้า... วันวาเลนไทน์นะคะ สวัสดีค่ะ


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:20:12 น.  

 
ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีแล้วล่ะ


โดย: an-o IP: 110.49.152.122 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:16:16 น.  

 
คนรักนิยายช่วยหน่อยนะคะ

ตอนนี้เรากำลังทำวิทยานิพนธ์หัวข้อ "การอ่านนวนิยายออนไลน์ของเด็กและเยาวชนไทย" เลือกด้วยความชอบส่วนตัวล้วนๆ อิอิ

ผลที่ได้นอกจากจะมีประโยชน์ทางการศึกษาแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน คนอ่าน เว็บไซต์ สำนักพิมพ์ ยังสามารถนำไปใช้ได้จริงอีกด้วย
รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ช่วยทำแบบสอบถามให้หน่อยนะคะ (แบบสอบถามไม่ยาวค่ะ) แต่ต้องเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมหาศาล Y_Y

https://spreadsheets.google.com/viewform?formkey=dFF4VmgxRW9hUzIyZ0NoYUtsd2ZUaHc6MQ

(เค้าไม่ให้ฝังลิงค์อ่าาาา)

ปล.ส่งต่อคนอื่นได้นะค้า ไม่หวงๆ จักเป็นพระคุณอย่างสูง (-/\\-)

ขอบคุณมากค่ะ


โดย: ใบบัว (Baibua ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:1:13:59 น.  

 
กว่าจะได้ที่พักใหม่ตอนนั้นคงไม่อยากย้ายแล้วมั้งพิงค์


โดย: mimny วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:3:03:53 น.  

 
เรื่องน่าสนใจ ขอติดตามต่อค่ะ


โดย: ree IP: 114.128.15.177 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:49:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.