... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
16 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
Oxford Story บทที่ 17


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่พิ้งค์…อ้าว”

เสียงใสๆ ของสาวน้อยแพรอาภรณ์ที่ทักทายพี่สาวในยามเช้าเป็นต้องสะดุดเมื่อพี่สาวคนสวยเดินเลยห้องครัวไปยังประตูบ้านโดยไม่สนใจบุคคลที่อยู่ในนั้นแม้แต่น้อย

“อรุณสวัสดิ์จ้ะ แพม”

หญิงสาวเดินย้อนกลับมาทักทายน้องสาวกลับ …อย่างไรเสียเธอก็ไม่อยากจะเป็นพี่ที่ใจร้ายจนเกินไปนัก

แต่…กับชายหนุ่มที่บังเอิญสายตาไปประสานกันโดยไม่ตั้งใจนี่ต่างหาก ที่ก่อความรู้สึกแปลบอยู่ในใจลึกๆ เมื่อสายตานั้นมองเมินกลับไปโดยไม่มีแม้แต่คำทักทาย …ริมฝีปากอิ่มที่กำลังจะส่งคำพูดออกไปจึงเม้มสนิท

ไม่ทักก็ไม่ทัก…ไม่เห็นเป็นไร

แต่ถ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนกับจะร้องไห้อย่างนี้

ใบหน้างามเชิดขึ้น หวังที่จะให้น้ำตาไหลย้อนกลับเข้าไป ไม่เข้าใจว่าความอ่อนแอทั้งหมดนี้มาจากไหน ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนเปราะบางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

หรืออาจเป็นเพราะสายฝนที่หยาดหยดลงมาตลอดทั้งวันก็เป็นได้ …หญิงสาวคิดขณะเหม่อมองหยดน้ำใสที่ตกกระทบหน้าต่างทีละหยด ทีละหยด


สังเกตปิดตาลงอย่างร้าวรานเมื่อคิดถึงภาพที่เห็นเมื่อเช้านี้ สายตาที่มองมาอย่างเย็นชาของพิมพ์ชญาทำให้เขารู้สึกเจ็บหนึบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาฝืนใจที่จะเห็นเธอมองเขาเช่นนั้นต่อไปไม่ได้จนต้องหลบสายตา แต่เมื่อเผลอตัวครั้งใด ภาพนี้ก็ยังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะตอกย้ำคำพูดของเธอเมื่อคืนนี้ คำพูดที่ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเธอ

มันก็จริงอย่างที่เธอพูด… เขาไม่ใช่คนที่เธอจะต้องขออนุญาตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ไหนจะเรื่องที่เธอออกไปข้างนอกกับเจ้าสันจนดึกจนดื่นอีก

ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นมองกองหนังสือกองโตตรงหน้าอีกครั้ง ตั้งแต่เช้า เขายังไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ จะไปมีสมาธิในการอ่านหนังสือได้อย่างไร ในเมื่อภาพต่างๆ ของหญิงสาวที่อยู่บ้านเดียวกับเขาคอยแต่จะปรากฏซ้ำๆ ขึ้นมาในห้วงคำนึง


จะด้วยเหตุบังเอิญหรือว่าฟ้าจงใจกลั่นแกล้งก็สุดจะคาดเดา สังเกตที่หมกตัวอยู่ที่ห้องสมุดจนดึกดื่นกลับบ้านมาเวลาเดียวกับพิมพ์ชญาพอดิบพอดีราวกับนัดกันไว้ แม้จะมองเห็นอีกฝ่าย แต่ทั้งสองกลับแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่น…

“เฮ้ย เกต เพิ่งกลับเหรอ”

คมสันที่มาส่งพิมพ์ชญาเป็นฝ่ายทัก ชายหนุ่มจึงจำใจหันหน้าไปมองหน้าเพื่อน โดยบังคับสายตาไม่ให้แลเลยไปถึงบุคคลที่ยืนอยู่เคียงข้าง

“อือ อยู่ห้องสมุดน่ะ”

พูดเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มก็เดินเข้าบ้านไปอย่างไม่สนใจแม้แต่จะทักทายหญิงสาว พิมพ์ชญาหน้าซีด ตัวชา มองตามแผ่นหลังที่เดินเข้าไปในบ้านด้วยสายตาว่างเปล่า

“ถ้าอย่างนั้น สันกลับก่อนนะ กู๊ดไนท์ครับน้องพิ้งค์”

แม้จะรู้สึกเหี่ยวแห้งเพียงไร พิมพ์ชญาก็ยังฝืนทำสีหน้าสดชื่นล่ำลาคมสันที่อุตส่าห์เสียเวลามาอยู่เป็นเพื่อน

“กู๊ดไนท์ค่ะ กลับบ้านดีๆ นะ”

เขายิ้มให้คำพูดนั้นด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น แต่ความรู้สึกภายในใจกลับตรงกันข้าม

ท่าทีที่แสดงออกของคนทั้งสองมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันถูกหรือผิด แววตาของเพื่อนหนุ่มที่มองมาบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกเช่นไร ตัวพิมพ์ชญาเองก็เช่นกัน แม้ว่าบรรยากาศภายนอกจะมืดมิด แต่เขาก็ยังสามารถเห็นได้ว่าใบหน้างามนั้นขาวซีดราวกับกระดาษจากอาการเย็นชาที่เพื่อนของเขาแสดงออก

หลังจากตัดสินใจอะไรบางอย่าง คมสันหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นกดหาชื่อของบุคคลหนึ่ง ก่อนที่จะกรอกเสียงลงไป


ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ด้วย!!!

สังเกตถามตัวเองด้วยประโยคนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ใจจริงเขาไม่อยากจะทำอย่างที่เพิ่งจะไปทำเมื่อครู่ แต่…ความรู้สึกสั่งเขาให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนนั้น คนที่เพิ่งจะเล่นละครตบตาว่าเป็นคนรักของเขาอยู่เมื่อไม่กี่วันมานี้

ไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร คนที่มาส่งเธอเมื่อครู่ไม่ใช่คนที่เธอพยายามหาทางหนีแทบเป็นแทบตายหรอกหรือ

หรือว่าเธอเปลี่ยนใจ???

แถมเจ้านั่น…ชายหนุ่มคิดถึงคำพูดที่ได้ยินจากปากของคมสัน… คนที่เขาคิดว่าเป็นเพื่อน ที่ผ่านมาจากสายโทรศัพท์เมื่อสักครู่

‘ที่ข้าหลีกทางให้เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเรา แต่ถ้าแกยังทำตัวไม่มีน้ำยา ทำให้พิ้งค์เสียใจแบบนี้ต่อไป ข้าจะไม่เกรงใจล่ะ เตรียมใจไว้ได้เลยว่าต่อให้ชาติหน้าก็ไม่มีวันได้พิ้งค์กลับคืนไป!’

เจ้านั่นประกาศตัวชัดเจนว่าจะกลับมาขอความรักจากพิมพ์ชญาอีกครั้งหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี


ชายหนุ่มขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาว ตั้งใจจะถามให้รู้เรื่องว่าเธอคิดอย่างไรกับคมสันกันแน่

หากแต่มือที่กำลังจะเคาะประตูต้องชะงัก…เราจะถามเธอไปเพื่ออะไร

ที่สำคัญ เรามี 'สิทธิ์' ที่จะถามด้วยหรือ?

ร่างสูงล้มเลิกความตั้งใจ หมุนตัวกลับลงไปยังห้องของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่าคนที่อยู่ในห้องก็ยกมือขึ้นแตะลูกบิด หากแต่ชักมือกลับไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

อยากจะพูดคุยกับเขาได้เหมือนวันเก่าๆ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะเคยพูดกันไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าตอนนี้

ถ้าลงไปขอโทษ พูดดีๆ กับเขาสักคำ…จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม

แต่…ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร …ดีไม่ดี เขาอาจจะคิดว่าเราบ้าไปเองก็ได้

เมื่อต่างฝ่ายต่างตัดสินใจที่จะไม่พูดในสิ่งที่ตนคิดออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ยามที่พบเจอกันจึงต้องเผชิญกับความอัดอั้นตันใจทุกครั้ง แม้แต่เวลาที่ไม่เห็นหน้า ความรู้สึกนั้นก็ยังคงเฝ้าคอยหลอกหลอนไม่วายเว้น


แม้จะพยายามหลบหน้ากันสักเท่าไร แต่การอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันทำให้ทั้งสองต้องพบปะกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็นหน้า แต่ถ้าหากเจอกันแล้วต้องทำตัวมึนชาใส่กัน ไม่เจอกันย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ไม่ต้องรู้สึกเสียใจเมื่ออีกฝ่ายทำท่าทางราวกับไม่อยากจะมองหน้ากัน

คนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเย็นมิได้มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น อีกคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านต่างหากกลับเป็นฝ่ายร้อนใจที่สุด สาวน้อยอดรนทนไม่ได้จนกระทั่งต้องหาโอกาสพูดคุยกับพี่สาวตามลำพัง

“พี่พิ้งค์จ๋า แพมมีเรื่องจะคุยด้วย”

เมื่อเห็นหน้าน้องสาวที่เปิดประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าอ้อนๆ พิมพ์ชญาก็รู้สึกผิดวูบขึ้นมา

ตั้งแต่แพรอาภรณ์มาหา เธอยังไม่เคยทำตัวเป็นพี่ที่ดีและไม่เคยดูแลน้องเลยสักครั้ง มีแต่น้องสาวที่คอยเอาใจใส่เธอตลอด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด

“เข้ามาก่อนสิจ๊ะ”

สาวน้อยทรุดตัวลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย แววตาที่จ้องมองผู้เป็นพี่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจจริง
“พี่พิ้งค์อย่าโกรธนะคะ …แพมคิดดีแล้ว ถึงได้ตัดสินใจมาพูดเรื่องนี้กับพี่พิ้งค์ เอ้อ…” สาวน้อยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สูดลมหายใจเข้าลึก “แพมหมายถึง เรื่องของแพมกับพี่เกตน่ะค่ะ”

แม้ว่าคำพูดนั้นจะทิ่มแทงความรู้สึก สิ่งที่เหลือเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการจะรับรู้ แต่หญิงสาวก็ยังฝืนใจถาม

“ทำไมหรือจ๊ะ”

“คือ… แพมกำลังคิดว่าพี่พิ้งค์กำลังเข้าใจผิดนะคะ …แพมกับพี่เกตเป็นพี่ชายน้องสาวกัน… พี่พิ้งค์ไม่ต้องคิดมาก…”

“ทำไมพี่จะต้องคิดมากด้วยล่ะ??” น้ำเสียงแหลมสูงขึ้นตามอารมณ์ “เรื่องนี้… ไม่เกี่ยวกับพี่นี่นา…“

“ก็... เอ้อ ถ้าพี่พิ้งค์ไม่ได้คิดอะไรก็ดีไปค่ะ เพราะว่าวันอาทิตย์นี้พี่เกตชวนไปเดินเล่นในเมือง ตั้งแต่มา แพมยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยนอกจากเดินโต๋เต๋อยู่แถวนี้ พี่พิ้งค์ไปด้วยกันนะคะ”

แพรอาภรณ์มิได้บอกว่าสาเหตุที่ชายหนุ่มชวนก็เพราะว่ากลัวเธอจะเบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว จึงอาสาพาเธอออกไปเดินเล่น แทนพี่สาวที่ไม่ยอมเอาใจใส่ เขาเอ่ยเหน็บแนมอย่างนั้น ซึ่งแพรอาภรณ์คิดว่าหากพิมพ์ชญาเลิกเข้าใจผิด ข้อบาดหมางใจระหว่างคนทั้งสองก็น่าจะยุติลงได้ไม่ยาก

“แพมอยากจะไปเที่ยวไหนบ้างล่ะ พี่พาไปเองก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปรบกวน…คนอื่น”

“คนอื่นอะไรที่ไหนกันล่ะคะ…พี่พิ้งค์อย่าพูดแบบนี้สิ…พี่เกตไม่ใช่คนอื่นนะคะ”

ไม่ใช่ ‘คนอื่น’ งั้นหรือ พูดออกมาเต็มปากเต็มคำอย่างนี้เชียวนะ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเจอกันไม่กี่วันแท้ๆ!

“เมื่อกี้แพมเสิร์ชหาดูจากคอมฯ ของพี่เกต มีที่ที่น่าไปเที่ยวตั้งเยอะ เดินดูคอลเลจต่างๆ ก็น่าสนใจ แพมอยากเห็นบริดจ์ ออฟ ซายหส์ (Bridge of Sighs) ของออกซ์ฟอร์ดด้วยว่าจะเหมือนที่เวนิสไหม ...ดูสิคะ มิวเซียมก็มีตั้งเยอะ อย่างมิวเซียม ออฟ ไซน์ (Museum Of Science) โมเดิร์น อาร์ท ออกซ์ฟอร์ด (Modern Art Oxford) พิทท์ ริเวอร์ มิวเซียม (Pitt River Museum) อาชโมลีน มิวเซียม (Ashmolean Museum) ออกซ์ฟอร์ด มิวเซียม (Oxford Museum)”

หญิงสาวนับนิ้วไล่สถานที่ต่างๆ ที่เธอพิมพ์มาจากเว็บไซท์

“…แล้วก็ออกซ์ฟอร์ด สตอรี่… มีแต่คนบอกแพมว่ามาที่ออกซ์ฟอร์ดต้องแวะเข้าไปดูให้ได้”

น้องสาวของพิมพ์ชญายังคงร่ายสถานที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองออกซ์ฟอร์ดต่อไปโดยไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของคนเป็นพี่เปลี่ยนไปตั้งแต่ได้ยินประโยคแรก และยิ่งดูเคร่งเครียดมากขึ้นไปอีกหลังจากได้ยินคำนั้น…

…ออกซ์ฟอร์ด สตอรี่

‘แล้วคราวหน้าจะพามาแน่นอน นะ อย่าเศร้าไปเลย’

เฮ้อ จะคิดถึงไปทำไม เขาคงจะลืมที่เคยพูดเอาไว้ไปหมดแล้ว

“วันอาทิตย์นี้พี่ไปไม่ได้หรอก แพม พี่จะต้อง…ไปเที่ยวกับที่โรงเรียนน่ะจ้ะ”

หญิงสาวตัดสินใจโกหกไปในที่สุด

“คะ??”

“พี่กับเพื่อนจองทริปไปเมืองบาธกับที่โรงเรียนไว้แล้วน่ะ แพมกับเกตไปด้วยกันเถอะนะ พี่ไปไม่ได้จริงๆ”

“อ้าว… ยกเลิกไม่ได้หรือคะ”

“คงจะไม่ทันแล้วล่ะ”

ทำไมจะไม่ทัน… ในเมื่อทริปนี้เรายังไม่ได้จ่ายเงินเลยด้วยซ้ำ แค่ลงชื่อจองไว้ แต่เรื่องอะไรจะบอกความจริง

“ว้า…”

แพรอาภรณ์ร้องออกมาอย่างเสียดาย แต่ในเมื่อพี่สาวว่าอย่างนั้น ในฐานะน้องสาวที่แสนดีเธอจะทำอะไรได้ นอกจากตามใจพี่สาวตามเคย

พิมพ์ชญาขอตัวโดยบอกแพรอาภรณ์ว่าเธออยากจะพักผ่อน แม้จะรู้ดีว่ากว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็คงจะใกล้เช้าอีกตามเคย แพรอาภรณ์ไม่อยากจะเซ้าซี้กวนใจจึงลากลับไปที่ห้องของตนเองอย่างเหนื่อยใจ

จะทำยังไงกับสองคนนี้ดีนะ

สาวน้อยรำพึงอยู่ในใจ …เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้เหตุการณ์เป็นอย่างนี้สักหน่อย

ดูเหมือนการปรากฏตัวของเธอจะทำให้ทุกอย่างออกมาตรงกันข้ามกับที่ควรจะเป็นหมดเลย...


“พิ้งค์ ไม่เล่นด้วยกันจริงๆ หรือ”

นาตาชา เพื่อนสาวชาวเยอรมันสุดเซ็กซี่สับไพ่อย่างชำนิชำนาญ เพื่อนๆ ในกลุ่มยกเว้นพิมพ์ชญาต่างพากันคุยเล่นอย่างสนุกสนานไปพลาง จั่วไพ่กันไปพลาง มีเพียงหญิงสาวชาวไทยเท่านั้นที่นั่งเหม่อมองวิวทิวทัศน์อยู่ริมหน้าต่าง มีเครื่องไอพอดเป็นเพื่อนแก้เหงา

“ไม่จ้ะ ขอบใจ”

“แน่ใจนะ ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกแล้วกัน”

สาวไทยพยักหน้าแทนการตอบรับก่อนที่จะฟังเพลงไป ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม…
แต่เพราะว่าเพลงส่วนมากในโลกนี้เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ไม่ว่าเพลงไหนๆ จึงบาดความรู้สึกไปเสียหมด ...หญิงสาวกดปุ่มเลื่อนเพลงที่ไม่อยากฟังไปทีละเพลงจนแทบจะหมดลิสท์จึงตัดสินใจปิดเครื่อง

เฮ้อ รู้อย่างนี้ดาวน์โหลดแบบฝึกหัดทำข้อสอบ listening มาด้วยก็ดีหรอก!

“เขาเป็นเนื้อคู่ของเธอแน่นอน แอนนา”

เสียงของมิชิรุ สาวญี่ปุ่นดังขึ้น เธอกำลังถอดไพ่ทำนายดวงชะตาความรักให้กับแอนนา เสียงสาวๆ กรี๊ดกร๊าด พิมพ์ชญาปลดหูฟังออก

“จริงหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย” แอนนาร้องออกมาอย่างดีใจ

“ไพ่ทำนายออกมาว่าแบบนั้นนี่… นี่ไง… เธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้วนะ”

“ใช่…แล้วยังไงต่อ”

“แล้ว…เธอก็ไม่รู้ตัว ใช่ไหม” แอนนาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น มิชิรุจึงทำนายต่อ “จนกระทั่งเห็นเขาไปเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง…เธอก็เลยเฮิร์ทขนาดหนัก แล้วก็งอน ทำท่าเชิดหยิ่งใส่ประชดเขา”

"เฮ้ ไพ่ทำนายได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ”

คลาร่า สาวสเปนทักท้วงอย่างไม่เชื่อ นาตาชา และมิชิรุจึงหัวเราะคิกคัก

“ใครว่าล่ะ ที่เรารู้เรื่องนี้เพราะแอนนาเคยเล่าให้เราฟังต่างหาก”

“ขี้โกงนี่” แอนนาโวยเมื่อเห็นเพื่อนๆ พากันหัวเราะ “พิ้งค์ ดูสิ พวกนี้นี่ร้ายจริงๆ”

“แอนนา เป็นความจริงเหรอ"

“อะไรนะ” คนฟังตั้งตัวไม่ทันกับคำถามที่ดูจริงจังของพิมพ์ชญา

“ฉันหมายถึงว่า…เรื่องของเธอกับแฟนน่ะ… “

“อ๋อ… เธอหมายถึงตอนที่ฉันเริ่มชอบอเล็กซ์ใช่ไหม”

เจ้าหล่อนเตรียมตัวเล่าประวัติรักอันยาวเหยียดเป็นครั้งที่ร้อยแปด

“อุ๊ย ครั้งแรกที่เจอกันฉันหมั่นไส้เขามากเลยนะ …คนอะไร้ ขี้เก๊กเป็นบ้า ตอนที่เขาเข้ามาคุยกับฉันครั้งแรกฉันแทบจะเดินหนีแน่ะถ้าไม่กลัวเสียมายาท”

พิมพ์ชญาตั้งท่าตั้งใจฟังเต็มที่ แอนนาจึงเล่าต่ออย่างออกรส

“แต่ยิ่งฉันไม่ชอบ กลับยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุให้ต้องเจอเขาบ่อยขึ้น ทั้งเลือกเรียนวิชาเดียวกัน ต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน ไปๆ มาๆ เราก็สนิทกันมากขึ้น แต่ฉันก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ชอบเขาอยู่ดี จนกระทั่ง…”

“จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ฉันออกไปซื้อของแล้วเจออเล็กซ์เดินอยู่กับทีน่า..เพื่อนในกลุ่มอีกคน ฉันถึงได้รู้สึกแปลกๆ ไม่อยากจะเห็นหน้าของสองคนนี้ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วฉันก็รู้สึกเฉยๆ กับทีน่า ไม่เคยรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาเลย”

นาตาชาเป็นผู้ต่อคำพูดให้หลังจากฟังมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่สาวสวยก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อแอนนามองมาด้วยสายตาขุ่นๆ

“อย่าไปสนใจพวกนั้นเลยนะ ฟังฉันเล่าต่อดีกว่า ...ก็เป็นอย่างที่นาตาชาบอกนั่นแหละ ตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร เชื่อไหมว่าฉันใช้เวลาหาคำตอบนานมากกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นเขาเรียกว่า ‘หึง’”

“หึง?”

“ช่าย… เธอเคยเป็นไหม อาการแบบที่เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด พอได้เห็นหรือได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับสองคนนั่นฉันก็หงุดหงิดขึ้นมาทุกครั้ง ถ้าเลี่ยงได้ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าทั้งสองคน บางทีก็นึกอยากจะหนีไปให้พ้นๆ จะได้ไม่ต้องรู้สึกแบบนี้อีก แต่อีกใจหนึ่งฉันก็ยังอยากเห็นหน้าอเล็กซ์ ถึงแม้ว่าการได้เจอหน้าเขาจะทำให้ฉันหงุดหงิดแทบบ้าเลยก็ตาม”

“แบบนั้นคือ…หึง เหรอ”

“ใช่…ที่แย่กว่านั้นคืออะไรรู้ไหม…”

คนฟังสั่นหน้า… ยังมีแย่กว่านั้นอีกเหรอ

“ก็ ถ้าหึงก็แปลว่ารักยังไงล่ะ”

หึง…รัก

คำสองคำนี้เหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาตรงกลางใจ คำที่พิมพ์ชญาไม่เคยสัมผัสมาก่อน… ไม่เคยแม้แต่จะนึกถึง

‘เกี่ยวกับที่น้องแพมมาที่นี่ใช่ไหม’

ใช่…คราวนี้เธอรู้แล้ว…

“ถามจริงๆ เถอะ พิ้งค์ เธอไม่คิดอะไรกับนายสังเกตบ้างเลยจริงๆ เหรอ”

คำถามที่อัลตัน ทาวเวอร์ของกวิราหวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ครั้งก่อน เธออาจไม่มีคำตอบ แต่คราวนี้...

หญิงสาวเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกใหม่ ได้คำตอบจากสิ่งที่ค้นหาแล้ว… แต่คำตอบนั้นกลับทำท่าจะเป็นปัญหาใหม่ ปัญหาใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรดีเสียด้วย!


“เฮ้อ…พี่พิ้งค์ ทำไมยังไม่กลับมาอีกนะ”

แพรอาภรณ์บ่นอย่างนึกเป็นห่วงพลางเดินกลับไปกลับมาระหว่างห้องนั่งเล่นและทางเดิน …เป็นเวลาค่ำแล้วแต่พิมพ์ชญายังกลับมาไม่ถึงบ้าน ลองโทรเข้าไปหาก็พบว่าโทรศัพท์ถูกปิดเครื่อง

“ติดต่อไม่ได้ ยัยพิ้งค์ยังไม่เปิดโทรศัพท์เลย”

กวิราพูดอย่างเป็นกังวลหลังจากกดปุ่มตัดสายโทรศัพท์เมื่อข้อความที่ได้ยินยังคงเป็นการบอกว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ปิดใช้งานอยู่ เธอนึกเป็นห่วงเพื่อนสาวจึงคิดจะมาหาเพื่อชวนออกไปเที่ยว แต่ก็พบว่าหญิงสาวไปเที่ยวกับทางโรงเรียนเสียก่อน แถมยังไม่ชวนเธอเลยสักคำ

“ทำไมชอบอะไรอย่างนี้นะ ช่างไม่นึกเลยว่าคนอื่นเขาจะเป็นห่วง”

“เฮ้ย ใจเย็นน่า เกต” คมสันปรามเมื่อเพื่อนของเขาดูฉุนเฉียวมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คงจะเป็นห่วงเอามากๆ จริงๆ นั่นแหละ “โทรศัพท์พิ้งค์อาจจะแบตหมดก็ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะโทรกลับมาได้ยังไง”

“เข้าข้างกันดีนักนะ”

พาล…ไอ้นี่มันกำลังพาล คมสันนึกในใจ นึกอยากด่าเพื่อนเป็นกำลัง …โธ่ ไอ้โง่เอ๊ย ทั้งโง่ทั้งบ้า… ที่เรื่องเรียนล่ะฉลาดนัก ทีเรื่องนี้ล่ะไม่รู้จักคิดให้ออกซะบ้าง!!

“ไม่ต้องเข้าข้างหรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่ความมีเหตุผล คนที่ตามืดบอดก็ย่อมมองไม่เห็นเหตุผลทั้งๆที่มันวางอยู่ตรงหน้า”

“นี่! พอได้แล้วน่า” กวิราปรามทั้งสองเมื่อเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ “แค่พิ้งค์ยังไม่กลับมาก็กลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว ยังจะทะเลาะกันอีกทำไมเล่า”

“เพราะแพมแท้ๆ” เสียงสั่นเครือของแพรอาภรณ์ทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว “เพราะแพมมาที่นี่ เรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้”

“ใช่ความผิดของแพมที่ไหน…” สังเกตปลอบเสียงอ่อนโยน “ถ้าแพมคิดว่าแพมผิด มันก็เป็นความผิดของพี่ด้วยเหมือนกัน”

คำพูดนั้นทำให้ ‘คนนอก’ สองคนหันมามองหน้ากันตาโต… นี่อย่าบอกนะว่า…

“เฮ้ย เกต อย่าบอกนะว่านายกับน้องแพม…”

“ไม่ใช่นะคะ แพมไม่เคยมองพี่เกตเป็นอย่างอื่นนอกจากพี่ชายเลย เพราะว่า…”

สาวน้อยรีบปฏิเสธเสียงหลงก่อนที่จะหันไปมองชายหนุ่มอย่างขอความเห็น เมื่อเขาพยักหน้า เธอจึงพูดต่อ

“เพราะว่าพี่เกตกำลังจะมาเป็นพี่ชายของแพมอีกคน”

เป็นเวลานาน…กว่าที่คมสันและกวิราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดนั้น ทั้งสองถามออกมาพร้อมกันเมื่อตั้งสติได้

“หมายความว่ายังไง!”

สังเกตและแพรอาภรณ์มองหน้ากันอย่างหารืออีกครั้ง… ท้ายที่สุด ทั้งสองก็ตกลงใจที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กวิราและคมสันฟัง


((ติดตามต่อที่บทที่ 18 ค่ะ))


Create Date : 16 พฤษภาคม 2554
Last Update : 16 พฤษภาคม 2554 16:35:22 น. 5 comments
Counter : 430 Pageviews.

 
เย่ ในที่สุดนางเอกของเราก็รู้ใจตัวเองเสียที เล่นเอาคนเขียนลุ้นจนเหนื่อยเลย ฮา....

ตอบคอมเมนต์ตอนที่แล้วค่า

คุณ goldensun -- 55 นางเอกของเราค่อนข้างมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองน่ะค่ะ ^^

น้องเน -- กร๊ากกกกก ใจเย็นๆ ค่ะน้อง ตอนต่อไปค่อยใส่อารมณ์นะเคอะ

น้องลี่ -- กริๆ พี่ตั้งใจจะเขียนให้นางเอกเรามีนิสัยคุณหนู เอาแต่ใจพอตัวเลยน่ะค่ะ ถ้านางเอกนิสัยดีว่าง่ายเรื่องจะไม่เกิดน้า...


ตอนหน้าความจริงจะเฉลยแล้วนะค้าาาาา พลาดไม่ได้!!!!!


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:39:37 น.  

 
บอกอะไรก๊านนนน อย่าทำเป็นมีลับลมคมในแบบนี้น๊าาา จิ๊!


โดย: Narilin Nay IP: 223.204.230.122 วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:35:03 น.  

 
ตัดกันดื้อๆ เลย มาต่อไวๆ ด้วยนะคะ อยากรู้จะแย่แล้ว
มีเรื่องอะไรที่พิงค์ยังไม่รู้อีกเหรอคะ ยิ่งน้อยใจอยู่ด้วยนะนั่น
สังเกตุก็นะ ไม่รู้จักสังเกตุอาการพิงค์บ้างเลย ว่าหึงขนาดไหน ขนาดแพมยังพอมองออกเลย
ว่าแต่ ใครจะง้อก่อนล่ะเนี่ย


โดย: goldensun IP: 203.121.167.243 วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:57:37 น.  

 
อ๊ากๆๆๆ ใจจะขาด อยากรู้ด้วยคนนนนนนนนน


โดย: lovekalo วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:35:23 น.  

 
ต้องมีอุปสรรคใหญ่กว่าเพิ่งรู้ใจตัวเองแหงมเลย


โดย: ree IP: 223.205.41.142 วันที่: 18 พฤษภาคม 2554 เวลา:0:43:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.