... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

Oxford Story บทที่ 2


กลับมาแล้วค่า โน้ตไปนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมมา 1 สัปดาห์ เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้เองค่ะ นำบุญมาฝากทุกๆ คนด้วยนะคะ

พรุ่งนี้แจ่มใสมีงานเปิดตัวหนังสือวาเลนไทน์ชุดใหม่ "Valentine's Love Tricks สูตรไม่ลับ ถอดสมการหัวใจ" ที่ห้องสมุดมารวย เอสพลานาด รัชดา เวลา 15.30 - 18.00 น. ค่ะ โน้ตไม่ได้มีผลงานออกในชุดนี้แต่ก็ว่าจะไปร่วมงานด้วย ในที่ไปงานพบกันนะคะ ^^

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาอ่านบทที่ 2 กันเลยค่ะ


#######################

บทที่ 2

เสียงไขประตูบ้านดังกรุ๊กกริ๊กไม่คุ้นหูทำให้พิมพ์ชญาที่อยู่ในอาการง่วงงุนตาสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน หากเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ จึงค่อยๆ ดึงสติกลับมาได้

จริงด้วยสินะ ตอนนี้เธออยู่ที่อังกฤษแล้วนี่.. ที่เมืองออกซ์ฟอร์ด เมืองผู้ดีมีการศึกษาที่เธอใฝ่ฝันถึง

หากเมื่อความคิดไล่มาจนถึงชายหนุ่มเพื่อนร่วมบ้านผู้แสนเย็นชา พูดด้วยก็ไม่เต็มใจจะพูดด้วย แถมตัวเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่เหมือนเธอทำอะไรผิดอยู่เสมอก็เริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมานิดๆ

เอาไงต่อดีล่ะทีนี้... ลองหาบ้านใหม่ไปเลยหรือจะลองคุยเรื่อง โฮสท์ แฟมิลี่กับโรงเรียนอีกครั้งดี

อย่างไรเสีย การอยู่บ้านเช่ากันตามลำพังกับผู้ชายสักคนคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถึงแม้ว่าคนที่นี่จะเห็นว่าการเช่าบ้านร่วมกันระหว่างชายหญิงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ในสายตาของคนไทย ยังไงผู้หญิงก็เป็นฝ่ายเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง แม้ในความเป็นจริงจะไม่มีอะไรเกินเลยเลยก็ตาม แต่ใครจะไปเชื่อ ขนาดเรื่องที่ดูไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้คนยังเอาไปตีไข่ใส่สีเม้าท์กันสนุกปากได้เลย

ด้วยความที่กำลังปล่อยใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หญิงสาวจึงถึงกับสะดุ้งสุดตัวกับเสียงเคาะประตูห้อง ...จริงอยู่ เสียงเคาะนั้นไม่ได้ดังสนั่นอะไร แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่อยู่ในอาการเหม่อลอยเกิดอาการขวัญกระเจิงได้

“คุณ”

“อะ…อะไร”

“โทษที เห็นเงียบๆ ผมเลยลองเช็คดูว่าคุณโอเคหรือเปล่า”

“อ้อ...”

ร่างบางฝืนยันกายลุกจากเตียงไปเปิดประตู ทันทีที่มองที่จับประตูถนัดตา เธอก็เพิ่งสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ

ง่ะ แย่แล้ว ประตูห้องไม่มีล็อกนี่นา ถ้าเขาเกิดคิดไม่ซื่อขึ้นมาฉันจะมีที่หลบซ่อนที่ปลอดภัยได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ถึงหน้าตาเขาจะไม่ให้ว่าเป็นคนแบบนั้นก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ...

หญิงสาวแอบคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ในใจขณะเผชิญหน้าชายหนุ่ม

“ตั้งแต่มาถึงคุณกินอะไรแล้วหรือยัง ขนมปังกับนมที่วางไว้ให้ยังอยู่บนโต๊ะเลยนี่”

ถ้อยคำที่ได้ยินทำให้คนฟังรู้สึกในแง่บวกกับเขาขึ้นมา...นิดหน่อย

ใจดีเกินคาดเหมือนกันแฮะ

“คือ... จริงๆ แล้วฉันเพิ่งตื่นน่ะ ก็เลยยังไม่ค่อยหิวหรอก”

“ผมเข้าใจ แต่คุณควรออกมากินอะไรสักหน่อยดีกว่านะ เวลาเพลียๆ ถ้าไม่กินอะไรเลยจะไม่สบาย”


หลังจากตอบรับ พิมพ์ชญาล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนที่จะเดินตามเขาลงไปที่ห้องครัวอย่างง่วงๆ เบลอๆ เพราะยังมีอาการเจ็ทแล็กอยู่ เมื่อลงไปถึงก็เห็นผัดไทหน้าตาน่าอร่อยกลิ่นหอมกรุ่นวางอยู่บนโต๊ะคู่กับแก้วน้ำผลไม้สีสด กลิ่นพิซซ่าที่หอมหวนเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นอย่างนี้หญิงสาวจึงมีแก่ใจถามเขาขึ้นมาบ้าง

“อ้าว แล้วคุณไม่ทานอะไรเลยหรือคะ เพิ่งกลับมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“อ้อ ของผมเรียบร้อยแล้วล่ะ ปกติวันเสาร์ผมจะกินข้าวที่ร้านอาหารไทยที่ทำงานอยู่แล้วค่อยกลับบ้าน”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะท่าทางของคนพูดนั้นดูเป็นเด็กเรียนที่น่าจะมีชีวิตจมอยู่กับตำราเล่มหนาๆ เพียงอย่างเดียว ไม่น่าจะแบ่งเวลาอันมีค่าจากการอ่านหนังสือเรียนไปทำอย่างอื่นได้

“หือ คุณทำงานที่ร้านอาหารด้วยเหรอ”

“ฮื่อ นิดหน่อย”

งั้นผัดไทจานนี้ก็คงมาจากร้านที่เขาทำงานอยู่นั่นแหละ... รสชาติไม่เลวเหมือนกันนะ

“ที่ออกซ์ฟอร์ดนี่มีร้านอาหารไทยเยอะไหมคะ”

“ก็หลายร้านนะ ทำไมหรือ ถามเผื่อคิดถึงอาหารไทย หรือว่าอยากทำงานบ้าง”

สังเกตถามไปอย่างนั้น แม้จะรู้ว่าคนพูดคงจะไม่มีความตั้งใจเช่นนั้นหรอก เขามองเธออย่างประเมิน …ผู้หญิงที่ดูท่าทางเหมือน 'คุณหนูไฮโซ' เช่นนี้ แม้จะไม่ถึงกับกรีดกราย ก็ไม่น่าจะทำงานในร้านอาหาร ที่ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อยเช่นนั้นได้แน่นอน

แต่คนตอบกลับตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ก็คิดๆ อยู่ แต่ฉันยังไม่ได้คิดอะไรจริงจังหรอก แค่คิดว่าถ้าบังเอิญหางานได้ก็อาจจะทำแค่นั้นเอง”

พิมพ์ชญาพูดเช่นนั้นเพราะเธอไม่มีปัญหาทางการเงินอยู่แล้ว ถึงไม่ทำงานเลยก็สามารถอยู่ได้สบายๆ แต่เธอก็ไม่ใช่คุณหนูที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างและหยิบจับอะไรไม่เป็น หญิงสาวไม่เห็นว่าการทำงานร้านอาหารไทยจะแปลกตรงไหน นักเรียนไทยจำนวนมากก็ทำกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาเรียนคอร์สภาษานั้นมีเวลาว่างเหลือเฟือทีเดียว นิสัยอย่างหนึ่งของเธอคือเป็นคนแอ็คทีฟ หากมีเวลามากนักก็ชอบหากิจกรรมทำเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตอยู่เรื่อย ซึ่งเธอคิดว่าการได้ขยับทำอะไรบ้างย่อมดีกว่าการอยู่เฉยๆ แต่เพื่อนหลายคนหรือคุณแม่กลับชอบแซวว่าเธอเป็นคนอยู่ไม่สุข

แม้เจ้าตัวจะคิดอย่างนั้น แต่คนฟังที่ไม่รู้จักนิสัยกันดีกลับมองว่าหญิงสาวคงจะพูดไปอย่างนั้นเอง
ท่าทางแบบนี้ เอาเข้าจริงทำได้สักวันสองวันก็เก่งแล้ว!

“ถ้าสนใจจริงๆ ก็ลองหาๆ ดูแล้วกัน”

เขาตอบสั้นๆ แล้วนิ่งไป รอให้หญิงสาวนั่งรับประทานอาหารตรงหน้าจนใกล้หมดถึงได้ถามขึ้น
“แล้วคุณมาที่นี่ มาเรียนอะไรหรือ”

“จริงๆ แล้วฉันตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโท แต่คงต้องเป็นปีหน้า ตอนนี้เรียนแต่คอร์สภาษาอังกฤษ เน้นติวเข้มแนวทางการทำข้อสอบไอเอลส์ (IELTS) น่ะ”

“อ้อ” เขาตอบรับสั้นๆ ขณะพยักหน้าว่าเข้าใจ “ต้องใช้คะแนนเท่าไรล่ะ”

“น่าจะสัก 7...หรือ 7.5” หญิงสาวพูด อดระบายลมหายใจออกมาไม่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

อีกฝ่ายหนึ่งพยักหน้า เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหนักใจของเธอ ข้อสอบนี้ใช่ว่าจะสอบได้คะแนนสูงกันง่ายๆ เสียเมื่อไร แค่การเข้าเรียนในระดับปริญญาโททั่วไปที่จะต้องสอบให้ได้ถึงระดับ 6.5 ก็ทำเอานักเรียนต่างชาติลำบากแทบตายแล้ว

“คุณตั้งใจจะเรียนคอร์สไหนล่ะ ถึงต้องสอบได้คะแนนสูงขนาดนี้”

หญิงสาวตอบคณะที่อยู่ในความสนใจออกไปคือวรรณคดีอังกฤษ เมื่อถามสังเกตว่าเขากำลังศึกษาด้านไหน คำตอบที่ได้คือกำลังศึกษาระดับปริญญาโททางแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

หูย เก่งแฮะ อืม…ดูจากหน้าตาก็น่าจะฉลาดจริงๆ ล่ะนะ แต่ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์จริงๆ นายคนนี้ ถามคำตอบคำแต่เรื่องน่าเบื่อ แถมยังยิ้มยากอีกต่างหาก ไม่เหมือนคุณพ่อสักกะติ๊ด

หญิงสาวหวนคิดถึงคุณชวินทร์ คุณพ่อของเธอเป็นศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ท่านเป็นคนที่อ่อนโยนและใจดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคนเสมอ คณะแพทย์และพยาบาลไปจนถึงคนไข้ต่างพากันรักและเคารพท่านกันทั้งนั้น แม้แต่เธอเองยังเคยสงสัยว่าคุณพ่อผู้แสนใจดีของเธอเคยโกรธอะไรอย่างคนอื่นเขาบ้างหรือเปล่า


จากการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร …ในวงเล็บของพิมพ์ชญา แบบถามคำตอบคำที่น่าเบื่อสุดๆ… ทำให้รู้ว่าสังเกตจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ ทั้งสองเข้าเรียนปีเดียวกัน ต่คนละคณะ แต่เนื่องจากเขาเรียนแพทยศาสตร์จึงใช้เวลาในมหาวิทยาลัยมากกว่าเธอถึงสองปี ซึ่งเวลาสองปีกว่าที่เธอสำเร็จการศึกษาก่อนเขา ก่อนที่จะเดินทางมาที่อังกฤษนั้น พิมพ์ชญาใช้เวลาไปกับการทำงานเป็นล่ามให้กับองค์กรรัฐบาลแห่งหนึ่ง …สังเกตเล่าว่าอันที่จริงแล้ว นักศึกษาแพทย์เมื่อจบการศึกษาแล้วจะต้องฝึกงานที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายปี แต่เนื่องจากเกรดเฉลี่ยของเขาอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สามารถสอบชิงทุนมาเรียนต่อที่นี่ทันทีหลังจากจบการศึกษา ทางบ้านจึงชดใช้ทุนของการฝึกงานให้ ทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องฝึกงานเป็นหมออินเทิร์นและบินตรงมาที่นี่เลย

“รู้หรือยังว่าพรุ่งนี้จะไปโรงเรียนยังไง”

สังเกตถามเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้านั้นเพิ่งมาใหม่ เรื่องถนนหนทางเธอคงไม่รู้จัก แต่ไม่เป็นเช่นนั้น หญิงสาวกลับตอบแบบไม่หวั่นสักนิดว่าจะหลงทาง

“ดูจากแผนที่แล้วไม่น่าจะยากนะ แค่เดินตรงไป ข้ามถนน แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ ก็เจอเอง”

“แน่ใจเหรอ ไหนดูซิ”

เขาเดินไปหยิบแผนที่ที่วางอยู่ข้างโทรศัพท์มากางออกดู ทำให้หญิงสาวลอบขมวดคิ้วนิดๆ
เอ ก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจเสียทีเดียวนี่นา… เอ๊ะ แล้วไอ้ที่อารมณ์บูดเป็นสาววัยทองเมื่อตอนกลางวันนั่นมันเพราะอะไรกันล่ะนี่

“โรงเรียนอยู่ที่ถนนอะไรนะ เทมเพิล สตรีท ใช่ไหม... ถ้าอย่างนั้นก็ถูกแล้ว ไปไม่ยากหรอก เดินไปแค่สิบนาทีก็ถึง พอเห็นโบสถ์ที่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้ามแล้วเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว”

พิมพ์ชญาพยักหน้าแทนคำตอบขณะรวบช้อนส้อม

“พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนตอนเช้า ถ้าหลงทางโทรมาก็แล้วกัน ถ้าไปไม่ถูกจริงๆ จะพาไปส่ง”

หือ!!

โอ้... สงสัยอยู่ดีๆ วิญญาณพ่อพระก็เข้าสิงจริงๆ นะเนี่ย หรือไม่งั้นก็คงเพราะคุยกันหลายคำจนรู้แล้วว่าฉันไม่มีพิษมีภัย เลยไม่จำเป็นต้องแยกเขี้ยวใส่

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่รบกวนดีกว่า ฉันว่าฉันไปเองได้”

“แน่ใจนะ”

“ค่ะ ถึงไม่เคยไป ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหลงทางหรอก ฉันเป็นคนมีเซนส์เรื่องเส้นทาง ไปไหนไม่เคยหลง”

“ก็ดีแล้ว แต่ถ้าเกิดหลงทางจริงๆ ก็โทรมาบอกก็แล้วกัน จะได้พาไปส่ง… เพราะว่า คุณก็รู้ การพาเด็กหลงทางไปส่ง เป็นหน้าที่ที่พลเมืองดีพึงกระทำ”

ข้อความตอนหลังเขาพูดเสริมหน้าตายเมื่อเห็นหญิงสาวหันมามองเขางงๆ ทำตาปริบๆ อยู่ข้างอ่างล้างจาน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่มักจะนิ่งเฉยของเขามีแววยิ้มหน่อยๆ ดวงตาหลังกรอบแว่นพราวระยับ เธอก็ยิ้มออก …แม้ว่ารอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่คนเห็นอดนึกนินทาอยู่ในใจไม่ได้
จะยิ้มทั้งที ยิ้มได้แค่นี้เองเหรอเนี่ย หวงยิ้มจริงจริ๊ง อีตาคุณชายยิ้มยากเอ๊ย!

“เมื่อกลางวันผมอาจจะพูดกับคุณไม่ค่อยดีเท่าไร ผมไม่ได้ตั้งใจนะ คือ...บังเอิญผมมีนัดกับเพื่อนที่แวะมาหาจากเมืองไทยได้แค่วันนี้วันเดียวก็เลยอยากจะรีบออกไปข้างนอก แล้วคุณก็มาช้ากว่าเวลานัดตั้งเป็นชั่วโมงๆ”

อ้อ… อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมหน้าบูดเป็นตูดลิง

ถ้าอย่างนั้น เราอาจจะมองเขาผิดไป เขาอาจจะไม่ใช่คนไม่เป็นมิตรถึงขนาดนั้น ...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็กล้าพอที่จะเอ่ยขอโทษล่ะ และเราเองก็ควรจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน

“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาช้าหรอกนะ แต่ไฟลท์มันดีเลย์ แถมรถแท็กซี่ที่นัดไว้ก็มีปัญหาอีก ฉันก็พยายามรีบที่สุดแล้วนะ ไม่ได้ตั้งใจจะมาช้าให้คุณต้องเสียเวลารอหรอก”

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นผมร้อนใจมากเลยหงุดหงิดไปหน่อย แต่สุดท้ายก็ไปทันอยู่ดี”

“หรือคะ ค่อยยังชั่วหน่อย”

“อืม”

“แต่ถ้าคุณร้อนใจขนาดนั้น เพื่อนคนที่คุณนัดไว้คงเป็นคนพิเศษ... ความจริงถ้าคุณมีเหตุผลดีๆ ไปอธิบายว่าทำไมถึงมาสาย แฟนคุณคงเข้าใจ”

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองจี้ใจดำจนทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งเคร่งเครียดขึ้นมาทันที และน้ำเสียงของเขาที่ตอบมาก็ห้วนจัด

“เขาไม่ใช่แฟนผม! อย่าพูดแบบนี้อีก”

ง่ะ ไม่ทันไร กลับมาสู่โหมดโหดอีกแล้วหรือนี่ ตามอารมณ์ไม่ทันจริงๆ วุ้ย... ใครจะไปรู้เล่าว่าคำถามนี้เป็นคำถามต้องห้ามน่ะ

แบบนี้สงสัยนอกจากคนเช่าบ้านด้วยกันจะจรลีหนีหาย แฟนก็กำลังจะทิ้งกลับเมืองไทยด้วยแหงๆ ถึงต้องหงุดหงิดซะขนาดนี้...

หากหญิงสาวก็ยังสำนึกได้ว่าตัวเองคงเป็นคนผิดที่เผลอพูดมากเกินไปเอง จึงลอบผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะบอกเขาเรียบๆ

“โอเค ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ขอโทษที่ฉันพูดมากเกินไปหน่อย”

เมื่อไม่มีคำตอบจากริมฝีปากบางก็เสริมเสียงเบา

“ฉันว่า...ฉันรีบล้างจานให้เรียบร้อยแล้วไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นเช้าด้วย คุณเองก็ไปพักผ่อนเถอะ ตรงนี้ฉันจัดการได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็...ราตรีสวัสดิ์”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนที่จะเดินขึ้นบันได ปล่อยให้หญิงสาวยืนล้างจานไปพลางคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจะเผชิญมาในวันนี้

การอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนคนนั้นดูท่าทางเข้ากับเราได้ยากเหลือเกิน

คุณพ่อขา คุณแม่ขา… หญิงสาวเหม่อมองออกไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนของออกซ์ฟอร์ด คิดถึงบุพการีผู้อยู่ไกลถึงคนละซีกโลก คิดถึงบ้านที่อยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนเคยคุ้น ไม่เคยต้องรู้สึกหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างนี้มาก่อน

…การมาเรียนเมืองนอกไม่ได้ง่ายอย่างใจคิดอย่างที่บอกไว้จริงๆ ค่ะ นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มเรียนเลยแท้ๆ วันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

แต่จะให้เดินถอยหลังกลับตอนนี้ก็คงจะไม่ใช่พิมพ์ชญาเป็นแน่ คนอย่างพิมพ์ชญา ไม่มีเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้


((ติดตามต่อที่บทที่ 3 ค่ะ))




 

Create Date : 31 มกราคม 2554
5 comments
Last Update : 25 เมษายน 2554 16:00:02 น.
Counter : 592 Pageviews.

 

ตอบคอมเมนต์ตอนที่แล้วค่ะ

น้องเน -- ฮา... จะดีหรือคะ ^^''

คุณ an-o -- นั่นน่ะสิคะ

คุณเอ๋ย -- ตอนใหม่มาแล้วค่ะ
เลือกเก็บสิ่งดีๆ เอาไว้เถอะนะคะ สิ่งที่ไม่ดีอย่าเก็บไว้ให้รกหัวใจเลยค่ะ ^^

ุคุณเวียงแว่นฟ้า -- ขอบคุณที่แวะมาติดตามนะคะ ตอนใหม่มาแล้วค่า ^^

แล้วสัปดาห์หน้าพบกันใหม่บทที่ 3 ค่ะ กำหนดเป็นมาตรฐานว่าจะมาทุกวันจันทร์ก็แล้วกันนะคะ

 

โดย: ...ศุวิลา... 31 มกราคม 2554 16:57:52 น.  

 

รออ่านต่อไปคะ

 

โดย: Green-ant IP: 124.120.14.119 31 มกราคม 2554 22:14:43 น.  

 

น่าสนุกค่ะ มาตามติด

 

โดย: ree IP: 202.28.24.91 1 กุมภาพันธ์ 2554 22:39:55 น.  

 

ดีใจ น้ำตาไหลพราก พี่โน้ตกลับมาบ้านนี้แล้วแถมหนีบพระเอกเสือยิ้มยากมาด้วย... ทวิตและ FB ของตูนจอดไว้ก่อนค่ะ พอดีว่ามีสอบที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยงดไปนานค่ะ... ตอนนั้นชีวิตช่างไร้เทคดนโลยีค่ะ ไปมุดอยู่ในถ้ำเสียนาน ตอนนี้เลยสนุกกับงานอยู่ค่ะ แถม... ต้องทุ่มเทอีกต่างหาก...

 

โดย: ColdOut 3 กุมภาพันธ์ 2554 19:04:56 น.  

 

มาทักทายครับ ^^Coolpix S4000

 

โดย: gobank21468 3 กุมภาพันธ์ 2554 19:49:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.