เคยมีผู้พิการสายตาจำนวนไม่น้อยในรุ่นก่อน ๆ ที่ต้องใช้สุนัขนำทาง ที่หนูพอจะรู้มาก็คือ อาจารย์วิริยะ นามสิริพงศ์พันธ์ ที่หนูเคยอ่านในหนังสือเรื่อง ชีวิตต้องสู้ ตอน บอดแค่ตา แต่การศึกษาช่วยพัฒนา อาจารย์วิริยะเพิ่งมาตาบอดตอนไหนก็จำไม่ได้แล้ว ท่านใช้สุนัขนำทางหลายต่อหลายตัวด้วยกันแต่ มาถึงคราวนี้ หนูได้มาเจอะมาเจอกับตัวเองเข้าแล้วชีวิตประจำวัน หนูก็ใช้ไม้เท้าเดินอยู่ในโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยอยู่ทุกวันจนเป็นที่ชินตาของบรรดาอาจารย์และนักเรียนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องไปเสียแล้ว แต่วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่น่าขำที่สุดของหนูก็มาถึงที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยจะมีสุนัขจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ มันกระจัดกระจายอยู่ตามตึกต่าง ๆ ของโรงเรียน บรรดานักเรียนก็จะนำอาหารยื่นให้ เอามันขึ้นมาอุ้มเล่น หรือไม่ก็ทักทายมันอย่างเอ็นดู ( อุ้มนี่น่าจะไม่มีนะ ) พูดผิด ๆ แต่หนูนี่สิ เด็กตาบอดที่เคยใช้ไม้เท้าเดินอยู่ทุกวัน ไหงมามีผู้นำทางเป็นหมาด้วยอีกล่ะนี่คือเป็นอย่างนี้ค่ะ ที่โรงอาหารวันหนึ่ง หนูกำลังเดินเลือกซื้ออาหารอยู่ตามลำพังโดยใช้ไม้เท้าตามปกติ ท่ามกลางรุ่นน้องที่เดินกันขวักไขว่ทั้งซ้ายและขวา เบียดกันไปชนกันมาอย่างแน่นขนัด จนเราต้องคอยทำตัวลีบหลบอยู่บ่อย ๆ ก็มีหมาตัวหนึ่งเดินมาจ๊ะเอ๋กับเราเข้าหมาตัวนี้เท่าที่หนูพอจำได้ เป็นหมาสีขาวน่ารัก ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่สำคัญ ไม่เห่าหรือไม่ทำร้ายใครด้วย หนูไม่หวั่นอะไรอยู่แล้ว เพราะมีไม้เท้าอยู่หนึ่งอันคู่กาย หากมันเห่าละก็ เอาไม้เท้านี่แหละจัดการ แต่ไม่รู้ใครจะโดนจัดการก่อนกันแน่นะเอ้า นอกเรื่องแล้วหมาตัวนี้ดันเดินมาแซงหน้าเรา ไอ้เรารึก็กลัวมันจะกัด ไหนจะเด็กนักเรียนทั้งซ้ายและขวาอีก โอ๊ย! ก็ได้ ยอมให้หมาเดินไปก่อน ส่วนเราก็เดินตามหลังมัน โธ่เอ๋ย ! นึกถึงอาจารย์วิริยะขึ้นมาทันใด พร้อมกับเสียงเพลงที่คุณแม่ชอบร้องให้ฟังดังแว่วเข้ามาในห้วงคำนึงว่าชีวิตฉันมีแต่หมานำ เดินไปขำไป ไม่รู้ว่าพวกเด็กนักเรียนจะมอง คนตาบอดกับหมานำทาง อยู่รึเปล่าโชคดีหน่อยที่หนูหาร้านขายข้าวแกงเจอโดยเร็ว หมานั้นก็เดินต่อไป เฮ้อ โล่งอกไปทีนะ คนตาบอดนับว่าเป็นโชคดีของหนูจริงจริ๊ง มีทั้งไม้เท้า มีทั้งหมานำ ถึงจะชั่วคราวก็เหอะ น่าจะเอาไปเล่าให้อาจารย์วิริยะนะแต่เพื่อนตายของหนูที่แท้จริงก็คือ ไม้เท้าขาว อันนี้แหละ หมานำน่ะมันแค่บังเอิ๊ญบังเอิญ ขอโทษไปก่อนนะ ขำ ขอตัวไปหัวเราะก่อน