10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์
พวกเราส่วนมากหารือเกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ แต่บางครั้งเป็นเรื่องดีที่จะกลับไปสู่หลักการพื้นฐาน Balaji Viswanathan (บาลาจิ วิศวนธาน) ผู้บริหารระดับสูงสุด (CEO) ของ ZingFin.com ได้เขียนบทความที่ดีใน Quora 10 แนวคิด รวมทั้งข้อมูลเชิงลึกแถมให้อีกสองเรื่อง - ที่ทุกคนควรรู้ บทความดังกล่าวเป็นภาพรวมที่ดีมาก ที่สอดคล้องลืนไหลผ่านคำจำกัดความที่สำคัญ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ขอขอบคุณ Viswanathan วิศวนธาน อนุญาตให้เผยแพร่ในครั้งนี้
เศรษฐศาสตร์มีสองสายหลัก - เศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค Economics has two main streams - Microeconomics and Macroeconomics.
เศรษฐศาสตร์จุลภาค เสนอเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค แรงจูงใจด้านต่าง ๆ การกำหนดราคา ผลกำไรต่าง ๆ ฯลฯ เศรษฐศาสตร์มหภาค เสนอเรื่องในเชิงกว้างและเรื่องขนาดใหญ่ เช่น อัตราดอกเบี้ย, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และเรื่องอื่น ๆ
เรื่องเหล่านี้มักจะพบเห็นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจ เศรษฐศาสตร์จุลภาคมีประโยชน์กับผู้บริหารทั่วไป เศรษฐศาสตร์มหภาคมีประโยชน์กับนักลงทุนในการนำไปใช้งาน
ยกเว้นในเรื่องที่ 2 และ 3 จะเป็นบทความที่ครอบคลุมในเรื่องอื่น ๆ ของเศรษฐศาสตร์มหภาค
กฎของอุปสงค์กับอุปทาน: เรื่องนี้คือรากฐานของเศรษฐศาสตร์
Law of Supply & Demand: This is the founding block of economics. เมื่อใดก็ตามที่อุปทาน(การตอบสนอง)ของสิ่งของบางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้น ราคาของจะลดลง และเมื่อใดก็ตามที่อุปสงค์(ความต้องการ)เพิ่มขึ้น ราคาจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อมีการผลิตข้าวโพดจำนวนมากขึ้นมา(มีส่วนเกินของข้าวโพด) ราคาอาหารจะลดลงราคา และในทำนองกลับกัน(ข้าวโพดมีน้อย ราคาจะแพงขึ้น)
ลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างธรรมดา ๆ จะพบการประยุกต์ใช้ในเรื่องแบบนี้มากกว่าพันกรณีขึ้นไป อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (Marginal Utility) เมื่อใดก็ตามที่จำเป็น ต้องหาของบางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ต้องลดค่าใช้จ่ายลง
ดังนั้นรายจ่าย 100 เหรียญสหรัฐจะมีค่ามาก เมื่อมีรายรับ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือน แตกต่างมากับเมื่อมีรายรับ 1,000,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือน
เรื่องนี้จึงใช้กันอย่างแพร่หลายในการตั้งราคาสินค้า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) Gross Domestic Product (GDP) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นตัวชี้วัดระดับพื้นฐานของขนาดของเศรษฐกิจ
นี้คือ ผลรวมของกรอบแนวคิดที่ว่า ผลรวมของรายได้ของทุกคนในประเทศ หรือผลรวมของมูลค่าตลาดของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในประเทศ
ตอนนี้สหรัฐอเมริกามีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ GDP อยู่ที่ประมาณ 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่ามี ผลรวมของมูลค่า 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มาจากการผลิต(สินค้าและบริการ)ในสหรัฐอเมริกาทุกปี อัตราการเติบโต Growth Rate การเติบโตของเศรษฐกิจจะวัดในแง่ของ อัตราการเจริญเติบโตของ GDP เริ่มตั้งแต่ใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดรายได้ประชาชาติ อัตราการเจริญเติบโตนี้เป็นตัวแทนชี้วัดแบบหยาบ ๆ เกี่ยวกับรายได้เฉลี่ยของประชากรที่เติบโตขึ้นทุกปี เงินเฟ้อ Inflation เรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในขณะนี้ มีราคาสูงกว่าในช่วงเวลาของคุณปู่ของทุกคน อัตราเงินเฟ้อ (วัดเป็นเปอร์เซ็นต์) เป็นตัวชี้วัดว่า มีอัตราเพิ่มขึ้นเท่าใดในด้านราคาของผลิตภัณฑ์จากปีที่ผ่านมา
ในระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่แล้ว อัตราเงินเฟ้อต่อปีจะตกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2
นั่นหมายความว่่า ราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการ จะขึ้นไปถึงร้อยละ 2 ในทุกปี
บทบาทพื้นฐานของธนาคารชาติ คือ การบริหารจัดการกับอัตราเงินเฟ้อนี้ และให้มันไปเป็นตัวเลขบวกในระดับต่ำ
ตัวอย่างนี่คือตัวเลขเงินเฟ้อในรอบ 100 ปีของสหรัฐอเมริกา อัตราดอกเบี้ย Interest Rates เมื่อคุณให้ใครสักคนหนึ่งยืมเงินไป คุณย่อมคาดหวังว่าจะได้อะไรที่พิเศษกลับคืนมา สิ่งนี้คือ ส่วนเกินที่่เรียกว่าดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยคือ จำนวนที่บวกเพิ่มจากมาตรฐาน ของจำนวนตัวเลขที่ต้องการหรือคาดหวัง เป็นส่วนเกินที่คุณควรจะได้รับจากการปล่อยกู้
ตัวอย่างนี้คือ การกระจายของอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะถูกกำหนดโดยธนาคารชาติ ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยเกือบเตะทีใกล้ศูนย์แล้ว
ในระยะยาวอัตราดอกเบียจะถูกกำหนดโดยตลาด และขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาว กลไกที่ธนาคารชาติควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น เรียกว่า นโยบายการเงิน ผลกระทบระหว่างกันของอัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ, การเจริญเติบโต Interest Rates vs. Inflation vs. Growth มันมีความสัมพันธ์ในแบบผกผันซึ่งกันและกัน ระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับการเจริญเติบโต อัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นเมื่อเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลง พร้อมกับการเจริญเติบโตที่ลดลงไปด้วย
บางครั้งเป็นเรื่องดีแต่บางครั้งเป็นเรื่องเลวร้าย
ดังนั้นจึงมีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา
เมื่อธนาคารชาติของสหรัฐกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ทำให้มักจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งในข่าวเศรษฐกิจ ที่มีการจับตามองมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาและนานาชาติ นโยบายการคลัง Fiscal Policy รัฐบาลสามารถควบคุมเศรษฐกิจส่วนใหญ่ภายในชาติ ได้โดยการปรับเพิ่ม/ลด ค่าใช้จ่าย กลไกการปรับเพิ่ม/ลด ค่าใช้จ่าย ด้วยการใช้นโยบายการคลัง
เมื่อรัฐบาลมีการใช้จ่ายมากขึ้น จะนำไปสู่อุปสงค์(ความต้องการ)มากขึ้น ราคาสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นมากขึ้น
นั่นหมายความว่า จะมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นพร้อมกัน
ส่วนการควบคุมในแบบตรงกันข้าม จะทำให้การเจริญเติบโตลดลง และอัตราเงินเฟ้อลดลงเช่นกัน
ดังนั้นรัฐบาลพยายาม จะใช้จ่ายมากขึ้น ในช่วงระยะเวลาของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ และมีอัตราเงินเฟ้อต่ำ
ลดค่าใช้จ่ายลง ในช่วงระยะเวลาของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และอัตราเงินเฟ้อสูง วงจรธุรกิจ Business Cycle เศรษฐกิจมีช่วงระยะเวลา รุ่งกับร่วง ใช้รอบระยะเวลานานประมาณ 7 ปี
ในช่วงเริ่มต้นของวงจรธุรกิจจะรุ่ง แล้วเมื่อไปถึงระดับช่วงบนสุดแล้ว จะิเิริ่มมีการหดตัวลง(ร่วง) นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ระยะเวลาของการเจริญเติบโตเศรษฐกิจเชิงลบ และ/หรือ การว่างงานเพิ่มขึ้น
ต่อมาจะตามมาด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ต้นทุนค่าเสียโอกาส Opportunity Cost เมื่อคุณลงมือทำกิจกรรมใด ๆ มักจะเลือกเอาวิธีการที่ดีที่สุด เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณกำลังทำงานเกี่ยวกับโครงการอย่างหนักในคืนวันศุกร์ คุณอาจจะคิดว่า "เห้ ไปทำเรื่องอื่นดีกว่า " ทางเลือกคือ ในกรณีนี้จะไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ที่คิดว่ามีมูลค่ามากกว่าการทำงานกับโครงการที่น่าสนใจในตอนนี้ มูลค่าทางเลือกนี้เรียกว่าเป็น "ต้นทุนค่าเสียโอกาส" เป็นมูลค่าที่ตัดสินใจจะยอมละทิ้งไปเลย ดังนั้นถ้าคุณลาออกจากงานที่จ่ายเงิน ให้หนึ่งแสนสองหมื่่นเหรียญสหรัฐต่อปี นั่นคือ ค่าเริ่มต้นของค่าใช้จ่าย(หรือค่าเสียโอกาส) ที่หนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญสหรัฐต่อปีเช่นกัน สิ่งที่คุณจ่ายไปควรจะสูงกว่าสิ่งที่คุณยอมละทิ้งไป เคล็ดลับจาก p: Charles Phan ความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบ Comparative Advantage
ขณะที่คุณกำลังเริ่มต้นใช้งานเทคโนโลยี และวันหนึ่งมีลูกค้าถามว่า คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ให้กับพวกเขาได้หรือไม่ คุณควรจะสร้างเว็บไซต์สำหรับพวกเขาหรือไม่ หรือคุณควรจะมอบโอกาสนี้กับเพื่อนของคุณทำงานแทน จะตัดสินใจอย่างไร?
คนที่มีเหตุผลอาจคำนวณว่า จะใช้เวลานานเท่าใดในการสร้างเว็ปไซด์ หรือว่าจะใช้เวลาให้กับการทำรายได้เพิ่มขึ้น จากการเริ่มต้นสร้างผลิตภัณฑ์
ดังนั้น เขาหรือเธอ อาจคำนวณว่าเพื่อนสามารถ ที่จะสร้างเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า หากเพื่อนคุณสามารถสร้างเว็ปไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุณมีงานอยู่เต็มมือในตอนนี้ คุณควรจะผ่านโอกาสนี้ไปเสีย เรื่องนี้เรียกว่า ทฤษฎีได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (ความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบ) เพื่อนของคุณมีความได้เปรียบในตอนนี้ และมันไม่กระทบความรู้สึกมากเลยที่จะทำแบบนั้น ชาติต่าง ๆ ธุรกิจต่าง ๆ และประชาชน ทุกคนควรจะทำในสิ่งที่ทำได้ดีกว่า และปล่อยให้งานส่วนที่เหลือไปให้กับผู้อื่นทำแทน เคล็ดลับ: Aron Klemm
เรียบเรียงจาก Business Insider
Create Date : 06 ธันวาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 17:25:15 น. |
Counter : 2169 Pageviews. |
|
|
|