ปรัชญาเจตนนิยมของนิตซ์เช่
ปรัชญาเจตนนิยมของนิตซ์เช่
25.8 จิตนิยมโต้สสารนิยมวิภาษวิธี ขณะที่อภิชนกับประชาชนในเยอรมนีขัดแย้งกันนั้น ก็ปรากฏการขัดแย้งระหว่างทรรศนะของอภิชนกับประชาชนขึ้น เป็นการโต้แย้งระหว่างจิตนิยมกับสสารนิยม เมื่อสสารนิยมวิภาษวิธีเข้าข้างประชาชนและกรรมกร นัก ปรัชญาจิตนิยมก็เข้าโต้สสารนิยมอีกโดยเข้าข้างอภิชน ข้อนี้เห็นได้ชัดในปรัชญาเจตนนิยมของนิตซ์เช่
25.8.1 เจตนนิยม (Voluntarism ฟอล-อันเทริส'ม) ของฟรีดริค วิลเฮล์ม นิตซ์เช่ (Friedric Wilhelm Nietzsche 1844-1900) ปรัชญาของโชเป็นเฮาเอ้อร์นั้นแม้จะมีแนวไปในทางสัมบูรณนิยมแบบสปิโนซ่าก็ตาม ก็ได้สร้างแนวความคิดไว้อีกสาขาหนึ่งเรียกว่าเจตนนิยม คือความแท้จริงอันติมะถูกถือเป็นจิตอันมีลักษณะเด่นทางเจตจำนง (Will วิล) เป็นเจตจำนงไม่ใช่ของตัวตนหนึ่งใดโดยเฉพาะ หากเป็นเจตจำนงทั่วไป (Will in General วิล อิน เจน-เออะแร็ล) เราจะเห็นได้ว่า สำหรับนักจิตนิยมธรรมดาแล้วความแท้จริงอันติมะแม้จะมีธรรมชาติเป็นพิชาน ก็ถูกเข้าใจว่าเป็นพิชานที่ฏิบัติการ ไปอย่างชอบด้วยเหตุผล (Rational Mind แรฌ-อะแน็ล ไมนด) นักจิตนิยมสามัญไม่ได้มองเจตจำนงของจิตเลย
นิตซ์เช่เป็นคนทุพพลภาพ โดยมีโรคปวดศีรษะอยู่เนืองนิจและเป็นโรคเส้นประสาทด้วย ปมด้อยซึ่งเกิดขึ้นผลักดันจิตใจให้หาทางออกเป็นความเข้มแข็งทางใจ,เขาจึงคิดปรัชญาอภิมนุษย์ (Superman Philosophy ซยู-เพอะ แม็น ฟิลอซ-โอะฟิ) ขึ้น นี่ดูจะตรงกับภาวะทางสังคมของเยอรมนี ซึ่งมีอุตสาหกรรมเติบใหญ่ตามหลังอังกฤษและฝรั่งเศสมา หากขาดดินแดนเมือง ขึ้นสำหรับเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดสินค้า คนเยอรมันเกิดความปรารถนาจะขยายตัวและแสดงออกเป็นการแสวงความยิ่งใหญ่แสวงอำนาจ
ปรัชญาของนิตซ์เช่ จึงตรงกับความนึกคิดแต่โบราณกาลของอารยันคนเถื่อนที่เข้ามารุกรานคนเมืองตามลุ่มน้ำใหญ่ๆของโลก และเป็นเหตุสนับสนุนระบบจักรวรรดินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบบเผด็จการในเยอรมนีปรัชญาอภิมนุษย์นี้เป็นหลักส่งเสริมความเห็นแก่ตัวอย่างแรงอย่างหนึ่ง (Solipsism โซลิปซิสม)อันน่าจะถูกใจคนทั่วไปที่ใฝ่อำนาจเหนือเพื่อนมนุษย์
นิตซ์เช่พยายามผสมผสานความคิดของค้านต์, โชเป็นเฮาเอ้อร์และดาร์วินเข้าด้วยกัน เขาทำการอนุมานไปจากทฤษฎีความรู้ของค้านต์ว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นความรู้จริงๆเลย คงมีแต่เรื่องสมมติขึ้นทั้งสิ้น ความจริงนั้นคนเราไม่ได้รับรู้มาแต่ไหนเลย หากถูกสร้างสรรค์หรือประดิษฐ์ขึ้น อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นหรือศรัทธาต่างๆเหล่านี้ไม่ได้เหมือนกันไปเสียหมด หากผิดแผกกัน อย่างเห็นได้ตรงที่อย่างหนึ่งมีประโยชน์ อีกอย่างหนึ่งไร้ประโยชน์ ไม่ใช่ผิดแผกกันในแง่ที่ว่าอย่างหนึ่งถูกหรืออีกอย่างหนึ่งผิด
เหมือนโชเป็นเฮาเอ้อร์, นิตซ์เช่ว่า,ความแท้จริงเป็นเจตจำนง แต่ไม่ใช่เจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่เฉย หากเป็นเจตจำนงใฝ่อำนาจ (Will to Power วิล ทู เพา-เออะ) เขาว่า ความรักในอำนาจ คือ ภูตพรายที่หลอกหลอนมนุษยชาติอยู่ เขามองโลกด้วยความเศร้าใจเหมือนโชเป็นเฮาเอ้อร์ แต่แทนที่จะหันมาแก้ไขข้อนี้ด้วยการสละกิเลสเช่นพุทธศาสนา กลับสอนยุยั่วให้คนเรามีชีวิตอย่างเสี่ยงอันตรายและตื่นเต้น ทั้งนี้เพื่อทำงานออกจากความโศกเศร้านั้น ชีวิตของคนเราเขาว่าเหมือนกับตัวละครกรีก ที่พระเอกพยายามแสดงความแกว่นกล้าให้เป็นที่ประจักษ์
การต่อสู้เพื่อความคงอยู่ของดาร์วิน ถูกตีความไปในแง่ที่ว่ามีประโยชน์ตรงที่ทำให้มนุษย์ที่เลิศไต่ขึ้นไปได้ถึงสุดยอดในชีวิต แล้วเขา,นิตซ์เช่ก็เฝ้ารอการมาสู่โลกของอภิมนุษย์ อันเป็นผลของความคงอยู่ของผู้ที่เหมาะสมที่สุด เขาว่าอภิมนุษย์ทั้งหลายจะมีลักษณะเลิศล้ำเหนือชนชาติมนุษย์ใดๆ ซึ่งมีอยู่ในขณะนี้ เสมือนคนเราในปัจจุบันมีความเลิศล้ำเหนือวานรฉะนั้น
ปรัชญาเจตนนิยมของนิตซ์เช่ดูทีจะได้ผล เพราะในพรรคชาติสังคมนิยมเยอรมนีต่อมาได้มีนักปรัชญาชื่อโรเซนบุช (Rosenbusch) ทำการตอบปัญหาของนิตซ์เช่ว่าอภิมนุษย์ คือคนป่าคอเคแฌ็ลหรืออารยันซึ่งในประวัติ ศาสตร์โบราณ ได้มาทำลายวัฒนธรรมของพวกผิวดำตามลุ่มน้ำใหญ่ๆของโลกและทอนพวกผิวดำลงอยู่ใต้อำนาจ แล้วกลายเป็นชนชั้นปกครองอยู่ในอิหร่าน อินเดีย อิตาลี กรีซ ฝรั่งเศสและเยอรมนี เราได้กล่าวถึงเรื่องนี้มาแล้วในตอนต้นของหนังสือเล่มนี้
ขั้นที่สามของปรัชญานิตซ์เช่ ได้แก่การเกิดระบบฟาสซิสต์ขึ้นในอิตาลีและเยอรมนี อภิชนในประเทศเหล่านี้มีเจตนาจะจัดระเบียบโลกเสียใหม่ ผู้นำของเขาคือมุสโซลินีและฮิตเล่อร์ ซึ่งบัดนี้แพ้สงครามและตายไปแล้วเพราะประชาชนที่ไม่ใช่อภิมนุษย์
ในวาระสุดท้ายของชีวิตนิตซ์เช่กลายเป็นบ้าไปและตายทั้งๆ บ้า!
จากวิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ
Create Date : 03 กรกฎาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 4 กรกฎาคม 2553 22:56:21 น. |
Counter : 1709 Pageviews. |
|
|
|