จิตนิยมในสมัยปัญญาทางศาสนา (50000 - 1000 ปี ก่อน ค.ศ.)
ระยะเวลาอันยืดยาวถึง 49,000 ปี, จากเวลาที่มนุษย์ถ้ำรู้จักฝังศพคนตายเป็นครั้งแรก ถึงเวลาที่คนเถื่อนอารยันกลายมาเป็นคนเมืองและสถาปนาวัฒนธรรมคนเมืองใหม่ให้แก่โลกนั้น เป็นระยะเวลาแห่งจิตนิยมล้วนๆ ปรัชญาจิตนิยมจึงมีประวัติศาสตร์มาช้านานมาก และมันเป็นแก่นของสมัยปัญญาทางศาสนาทีเดียว
ความนึกคิดทางจิตนิยม เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่มนุษย์ยังพูดไม่ได้ และสืบต่อมากระทั่งถึงสมัยที่มนุษยชาติพูดได้ และมีอักษรใช้แล้ว ปรัชญา จิตนิยมในสมัยปัญญาทางศาสนานี้ ยังแยกออกจากศาสนาไม่ได้ และไม่มีนักปรัชญาที่ดึงเอาความนึกคิดทางนี้มาตั้งไว้โดยเฉพาะ ฉะนั้น,เราจึงจำ ต้องดึงเอาสาระของปรัชญานี้ออกมาจากศาสนาเสียเอง เพื่อให้รู้ว่ามีหลักอย่างไรบ้าง จากการทราบว่ามานุษย์ถ้ำเนอานเดอร์ธาล เอาเครื่องมือหิน, สีทาตัวและอาหารฝังลงไปกับศพของญาติที่ตาย, เราจึงรู้ความนึกคิดของมานุษย์พวกนี้ดังนี้คือ เขาคิดว่าในร่างกายมนุษย์มีสิ่งๆหนึ่งสิงอยู่ นี่เป็นสิ่งที่สามัญชนเรียกกันว่า วิญญาณ วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แม้ร่างกายจะตายแล้ว วิญญาณก็จะคงมีอยู่และท่องเที่ยวไปในร่างกายทิพย์ที่บางเบาดังที่คนเราเห็นในความฝัน ฉะนั้นผู้ตายจึงต้องมีของกินและของใช้ติดตัวไปด้วย ความคิดเรื่องวิญญาณเป็นสิ่งไม่ตาย หรือที่เรียกว่าอมตภาพ (Immortality อิมอแทล-อิทิ่) ของวิญญาณนั้นเกิดขึ้นก่อนความคิดอื่นใดทางปรัชญาในโลก และ ณ บัดนี้นักปรัชญาจิตนิยมก็ยังเทิดทูนความนึกคิดอย่างนี้กันอยู่ แล้วพยายามใช้ตรรกวิทยาพิสูจน์ให้เห็นว่ามีจริงด้วยวิธีต่างๆ ความเป็นอมตะของวิญญาณถูกเชื่อถือควบคู่ไปกับหลักปรัชญาจิตนิยมที่ว่า, วิญญาณไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกับร่างกาย หากเป็นสิ่งที่มาสิงอยู่ในร่างกาย มันมีรูปทิพย์ซึ่งเบาบางไร้น้ำหนักเหมือนตัวคนในความฝันของเขาเอง และรูปทิพย์นี้ต้องมีของกินของใช้เหมือนร่างกายในโลกจริง ความคิดต่อมาอีกขั้นหนึ่งปรากฏในชนเผ่าพื้นทวีปออสเตรเลียในปัจจุบัน ซึ่งเราทราบมาด้วยการไต่ถาม จึงมีหลักฐานแน่นอนยิ่งกว่าที่กล่าวมาแล้ว คนป่าพวกนี้ยังอยู่ในสภาพเก็บอาหารจากธรรมชาติ จึงไม่เข้าใจกระบวนการอันเป็นไปเองของธรรมชาติ พวกเขามีความคุ้นเคยอยู่เพียงกับความคิดของตัวเองทั้งในเวลาหลับและเวลาตื่น และสังเกตเห็นด้วยความเคยชินว่า ความคิดเป็นเหตุของการกระทำ เช่นเขาคิดว่าจะล่าจิงโจ้ ก็ออกไปล่าจิงโจ้ในเวลาต่อมา
ความคิดกับวิญญาณถูกถือเป็นสิ่งเดียวกัน คนป่าพวกนี้จึงเชื่อว่าวิญญาณเป็นเหตุของการกระทำ เขาสังเกตต่อไปว่า ตัวเขาจะนิ่งอยู่ถ้าไม่คิดจะทำอะไร และจะเคลื่อนไหวถ้าคิดจะทำอะไรสักอย่าง ดังนี้เลยเข้าใจว่าวิญญาณเป็นเหตุแห่งการเคลื่อนไหว ต่อมาพวกเขาเลยเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวอื่นๆในธรรมชาติ ก็เหมือนกับการกระทำของมนุษย์ คือ มีวิญญาณคอยบัญชาอยู่ ตรงนี้เองมนุษยชาติก็ย่างเข้าสู่สมัยวิญญาณนิยมทางปรัชญา (Animism) พวกคนป่าพื้นทวีปออสเตรเลียเชื่อกันว่าในทุกสิ่งทุกอย่างมีวิญญาณมนุษย์แฝงอยู่ นี่ได้แก่วิญญาณบรรพชนของเขาซึ่งเรียกว่า กูรันต์ (กูระนิตะ)
คนป่าออสเตรเลียนี้ มีปรัชญาวิญญาณนิยมคล้ายคลึงกับมอนนาด-อิสม (Monadism) ของนักปรัชญาเยอรมันชื่อ ไลบ์นิซ (Leibniz) คือเชื่อว่ากูระนิตะในสรรพสิ่งต่างๆนี้มีพลังแตกต่างกัน หินมีพลัง กูระนิตะน้อย กว่าต้นไม้ สัตว์มีพลังกูระนิตะน้อยกว่าคน และหมอผีในชาติกุลของพวกเขามีพลังกูระนิตะสูงที่สุด รายละเอียดในเรื่องนี้ปรากฏในหนังสือ ปรีชาญาณของพระสิทธัตถะ ของผู้เขียน เวลาคนป่าพวกนี้ตาย พวกญาติจะหนีออกจากบ้านหมดเพราะกลัวผี และหมอผีจะมาทำพิธีจับกูระนิตะไปใส่ในตัวคนเพื่อเพิ่มพลังของเขา ดังนี้จะเป็นการยับยั้งการทำร้ายของกูระนิตะหรือผีผู้ตายต่อคนเป็นๆ ด้วย
เคียงคู่ไปกับการเชื่อว่าวิญญาณสิงอยู่ในสรรพสิ่งต่างๆ, ก็มีการเชื่อว่าวิญญาณบรรพชนไปสิงอยู่ในสัตว์เลี้ยงบ้าง, สัตว์ป่าบ้าง นี่เกิด ขึ้นภายหลังการบูชาบรรพชน (Ancestor Worship แอน-เซ็ซเทอะ เวอ-ฌิพ) และการบูชาบรรพชนเกิดภายหลังชุมชนบุพกาล,ซึ่งมีประมุขของชาติวงศ์ นี่ให้ข้อคิดในเรื่องเทพีและเทพเจ้าครึ่งคนครึ่งสัตว์หรือที่เป็นสัตว์ล้วนๆ ในศาสนาเทพีเราพบพิธีกรรมเกี่ยวกับการปลูกพืชติดตามมาด้วย ข้อนี้เราได้อธิบายมาแล้วว่าเกิดจากการที่สตรีเป็นใหญ่ ในครัวเรือน และเธอเป็นผู้เก็บอาหารพืชและปลูกพืช เราจึงเห็นว่าได้เกิดข้อคิดใหม่ในสมัยนี้ กล่าวคือ เชื่อว่าเทพีเป็นเหตุของความไพบูลย์ของพืชที่ปลูก การบูชาบรรพชนเพื่อขอผลประโยชน์จึงเกิดขึ้น
เมื่อมีการบูชาบรรพชนแล้ว,ไฟอันเป็นสิ่งที่มนุษย์เทิดทูนก็กลาย เป็นเทพเจ้าไป ต่อมาเมื่อเกิดการกสิกรรมในลุ่มแม่น้ำใหญ่ๆของโลก ก็เกิดการเห็นคุณค่าของดินเพาะปลูก, น้ำและลมซึ่งนำน้ำฝนมาให้ สิ่งเหล่านี้จึงถูกยกเป็นเทพีบ้าง,เทพเจ้าบ้าง จึงเกิดเทพีหรือเทพเจ้าประจำดิน,น้ำ,ไฟ, ลม,ขึ้น นี่คือศาสนาบูชา,วัตถุธาตุและเกิดในชนชาติที่มีวัฒนธรรมคนเมืองโบราณดังกล่าวมาแล้ว นี่เป็นการก้าวหน้าในวิญญาณนิยม, อันเนื่องมาจากการที่ปัญญาทางปฏิบัติ, ซึ่งเป็นสสารนิยม,งอกขึ้นในวิญญาณนิยม กล่าวคือการสังเกตเห็นพลังต่างๆในธรรมชาติ ทำให้คนเราเกิดความคิดที่ว่าวิญญาณมนุษย์แฝงอยู่ในสรรพสิ่งทั่วไป
เมื่อมนุษย์รู้จักเลี้ยงสัตว์และทำกสิกรรม เขาก็เกิดความคิดว่าผลย่อมเกิดจากเหตุ และความคิดนี้สะท้อนออกมาเป็นการบูชาบรรพชน, เทพี, เทพเจ้าสัตว์ ฯลฯ ความจัดเจนในการใช้ไฟและการทำกสิกรรม จึงทำให้เกิดเทพเจ้าแห่งวัตถุธาตุขึ้นถัดมาอีกมนุษย์ก็สังเกตเห็นน้ำขึ้นน้ำลงเกี่ยวกับดวงจันทร์ ดังนั้น เขาก็สังเกตเห็นดวงอาทิตย์เกี่ยวกับฤดูกาลต่อไปอีก ความรู้ทางฤดูกาลนี้ก่อให้เกิดความนึกคิดเกี่ยวกับเทพเจ้าที่เป็นวัตถุบนท้องฟ้าขึ้น ระหว่างนี้มนุษย์เกิดการรบพุ่งกันมาก สังคมของเขาปั่นป่วนมาก มนุษย์เริ่มสังเกตความเป็นไปของสังคม และเข้าใจว่าเกิดจากการบันดาลของเทพเจ้าเช่นเดียวกับพืชผล จึงเกิดความนึกคิดเกี่ยวกับพรหมลิขิตขึ้นแล้วโหราศาสตร์กับไสยศาสตร์ก็เกิดตามมา ความนึกคิดทางจิตนิยมเช่นนี้ย่อมก้าวหน้ากว่าจิตนิยมของมนุษย์ถ้ำมาก เพราะปัญญาทางปฏิบัติอันเป็นสสารนิยม ผลักดันให้เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น
เมื่อเกิดรัฐก็เกิดพระราชาองค์เดียวปกครองประเทศ จึงเกิดศาสนาเทพเจ้าองค์เดียวขึ้น ด้วยการรบพุ่งระหว่างมนุษย์ทำให้เทพเจ้าแต่เก่าก่อนสูญเสียความสำคัญลงไป ระหว่างนี้มนุษย์มีการผลิตเพื่อขายเขาจึงมีความจัดเจนต่อกระบวนการผลิตมากขึ้น นี่ก่อให้เกิดความคิดว่าพระเป็นเจ้าทรงสร้างโลกขึ้น และครอบงำความเป็นไปทุกประการของสรรพสิ่งในโลก เทพเจ้าต่างๆ,ที่เคยเชื่อถือกันว่าควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างนั้นหรืออย่างนี้, เลยถูกทอดทิ้ง นี่เป็นผลให้แนวคิดที่แย้งกับจิตนิยมเกิดขึ้นมาได้ในสมัยต่อมา คือสมัยปัญญาทางปรัชญา
Create Date : 19 กรกฎาคม 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 23:00:39 น. |
Counter : 1138 Pageviews. |
|
|
|