โลกมีทางให้เดินเป็นพันพันทาง เราต่างใช้ปรัชญาแห่งชนชั้นของตน นำทางในการเดิน เราต่างเดินตาม ปรัชญาแห่งชนชั้นตน
 
กรกฏาคม 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 กรกฏาคม 2553
 
 

ศาสนาที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์


16 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

2.2. ศาสนาที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์

เมื่อกาลเวลาล่วงไป มนุษย์มีความคุ้นเคยกับเทพเจ้ามากเข้า มนุษย์ประสบความสบายมากเข้า ละทิ้งวิสัยการอยู่เป็นครอบครัวเล็กๆมาอยู่รวมกันเป็นชุมชน ความดุร้ายของสัตว์ป่าจะไม่เป็นสิ่งที่กลัวอย่างมากมายอีกต่อไป ความกันดารของธรรมชาติได้บรรเทาลง เพราะการรู้จักทำกสิกรรมและเลี้ยงสัตว์ มนุษย์ซึ่งเคยมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเพราะต้องประสบแต่ความไม่พึงพอใจในธรรมชาติ ก็จะกลับมีหน้าตาแย้มยิ้มอิ่มเอมเพราะความสุขสบายที่ได้รับ ความนิยมในมหาบุรุษผู้มีหน้าตาน่าเกลียดที่สุดเพราะดุที่สุด ก็กลายเป็นความนิยมในมหาบุรุษผู้มีหน้าตาสวยงามที่สุด เพราะมีใจเมตตากรุณาที่สุด เทพเจ้าผู้น่าเกลียดน่ากลัวแห่งสมัยดึกดำบรรพ์ก็กลาย เป็นเทพเจ้าผู้สวยงามแห่งสมัยนี้ไป ความกลัวในเทพเจ้าผู้ดุร้าย กลายเป็นความรักเคารพในเทพเจ้าผู้มีความเมตตากรุณา เทพเจ้า ในสมัยใหม่นี้ย่อมมีปัญญา มีรูปทรงและมีความดีงามอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า มนุษย์สมมติท่านขึ้นจากคุณลักษณะของมนุษย์ที่เลิศที่สุดนั่นเอง ตรงกันข้ามกับเทพเจ้าผู้ดุร้ายซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งพายุร้าย, ฟ้าคะนอง, แผ่นดินไหว, ภูเขาไฟระเบิด
โลกเราเปลี่ยนเป็นมีเทพเจ้าผู้มีคุณ อันนำมาซึ่งฝนสำหรับการทำกสิกรรม, ไฟสำหรับหุงต้มและทำความอบอุ่นตลอดจนแสงสว่าง และทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมนุษย์ต้องการ อินเดียในสมัยพระเวทได้แสดงความภักดีต่อเทพเจ้า ชื่อวรุณ, อินทร์, อัคนี,มิตระและโสม ต่อมากรีกได้สร้างเทพเจ้าขึ้นมากมายเพื่อการสักการบูชา ศาสนาของโลกได้เปลี่ยนรูปไปแล้วจากการเคารพเพราะความกลัวไปเป็นการเคารพบูชาด้วยความรักใคร่เคารพนับถือ ในทางโลกมันหมาย ถึงการเกิดมีคนดีผู้ที่ประชาชนรักใคร่นับถือ โดยที่เขาได้ทำประโยชน์แก่ประชาชน การเคารพกราบไหว้เป็นการแสดงคารวะตอบแทนผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่เราฉันใด การเคารพบูชาเทพเจ้า ก็เป็นการคารวะตอบแทนเพราะคิดว่าเทพเจ้า ได้อำนวยประโยชน์ให้แก่เราฉันนั้น ความสำนึกบุญคุณได้ปรากฏขึ้นเป็นศีลธรรมใน

มหาชนทรรศนะ 17

สมัยนี้ และเพราะความสำนึกบุญคุณ ประชาโลกจึงได้คุกเข่าหน้าหิ้งสักการบูชา สวดบูชาคุณของพระเป็นเจ้าเหล่านั้น
เมื่อผู้เฝ้าเทวาสถานกลายเป็นนักบวชแล้วและได้เขยิบฐานะขึ้นไปตามการเขยิบฐานะภูมิธรรมของเทพเจ้าแล้ว ความสำคัญของ เขาก็เขยิบตามไป เพราะการเห็นเขาใกล้ชิดกับเทพเจ้า ประชาชนย่อมเห็นผู้เฝ้าเทวาสถานเหล่านี้ มีภูมิธรรมถัดจากเทพเจ้าไปด้วย ด้วยประการฉะนี้จึงย่อมเทิดทูนเขาไว้ในที่สูงตามไป ต่อมานักบวชจึงถือโอกาสนี้แสดงตัวเป็นเจ้าของศาสนาไปเลย และได้ยึดตำแหน่งผู้นำประกอบพิธีกรรมในศาสนา องค์กรศาสนาจึงสถาปนาขึ้น ลูกหลานถูกยกย่องกันเองให้เป็นนักบวชสืบต่อกันมา และครั้นแล้วด้วยการได้เปรียบในการครองชีพ วรรณะนักศาสนาก็ได้เกิดมีขึ้นในโลก จากความจำเป็นในการแบ่งงานในสมัยเบื้องต้นของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เพื่อให้คนอ่อนแอทางกายดูแลศาลเทพเจ้าแทนคนแข็งแรงที่ทำงาน ได้ก่อให้เกิดมีกลุ่มชนที่เข้มแข็งทางจิตใจขึ้น อันต่อมาได้ร่วมมือกับชนชั้นปกครอง ทำการคุมคนที่ทำงานไว้ในอำนาจได้ ในอินเดีย,เขาเหล่านี้ก็คือพวกพราหมณ์นั่นเอง
ความยุ่งยากอย่างขนานใหญ่ของโลกได้เกิดขึ้นแล้ว การเติบ ใหญ่ของกลุ่มชนซึ่งมีอาชีพนักบวชได้นำไปยังการสถาปนาคำสอน ทางศาสนาขึ้น ในประเทศอินเดียประมาณ 5,000 ถึง 4,000 ปีมาแล้ว, พวกพราหมณ์ได้พากันสอนพระเวท อันเป็นคำสวดบูชาสรรเสริญเทพเจ้า พระเวทนั้นตามตำราศาสนากล่าวอ้างว่าเป็นข้อความซึ่ง ปรากฏขึ้นในจิตใจของพระฤๅษีโดยการดลใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีก็อ้างว่าเป็นวิทยาการศักดิ์สิทธิ์อันมีอยู่ได้ด้วยตัวเองและได้มีอยู่แล้วชั่วกาลนิรันดร หากได้มาอุบัติขึ้นในจิตใจของพระฤๅษีที่บำเพ็ญพรตถึงขั้นสูงถึงขนาด
การกล่าวเช่นนี้จะเป็นอะไรอื่นไม่ได้เลย นอกจากจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ยกคำสอนที่พวกนักบวชคิดกันขึ้นเองให้เลิศลอยจนกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิไปทั้งนี้ก็เพราะหากประชาชนรู้ว่านักบวชคิดพระเวทขึ้นเองแล้ว เขาก็จะไม่นับถือคำสอนนั้นมากเท่าที่ควร

18 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

และนั่นย่อมหมายความว่า ลาภผลของการบุญจากประชาชน ที่นักบวชได้รับจะด้อยลงไปเป็นอันมากนั่นเอง
ในประเทศอินเดีย,พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นนักบวชหาเลี้ยงชีพด้วยการผูกขาดการบุญของประชาชน ได้มีจิตใจกำเริบถึงกับคิดคัมภีร์พราหมณะขึ้น คัมภีร์นี้ได้ยกย่องวรรณะพราหมณ์ว่ามีเพศสูงและเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระเวททั้งสี่คือฤคเวท, ยชุรเวท, อถรรพเวทและสามะเวท ดังนั้นพวกเขาเท่านั้นจึงต้องเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา และเป็นผู้ชี้ขาดว่าพิธีกรรมอย่างใดถูกต้องหรือไม่ พิธีเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นในรัฐพิธีของประเทศไทย และในองค์กรศาสนาเช่นนี้แหละท่าน, ความยุ่งยากของโลกจึงได้ถูกก่อขึ้นในกาลต่อมา นี่ก็เป็นประจักษ์พยานอย่างหนึ่งว่าศาสนาพุทธในประเทศไทยนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ
มันเป็นเรื่องที่เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยที่กลายเป็นเรื่องใหญ่แท้ๆ จากการสร้างสมมติเทพขึ้นมาเพื่อแสดงความยำเกรง และด้วยการมอบให้คนอ่อนแอที่ทำงานไม่ไหวไปเฝ้าศาลเจ้าอย่างนี้เป็นเหตุให้ เกิดชนชั้นนักบวชขึ้นในโลก จากที่ทุกคนทำงานเพื่อผลิตของกินของใช้ ได้เกิดการแปรเปลี่ยนไป ที่มีบางคนอยู่เฉยๆเพื่อทำภารกิจทางศาสนา ในที่สุดคนที่นั่งเฉยๆแต่เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมิได้มีมาช่วยเบ่งตัวเองกลายเป็นพระเป็นเจ้าของคนแข็งแรงที่ทำงานไป!
เพื่อรักษาสถานภาพอภิสิทธิ์นี้พวกนั่งเฉยๆเหล่านี้จึงต้องมอมประชาชนเข้าไว้ โดยโจมตีที่จุดอ่อนของมนุษย์ คือความอยากได้ใคร่ดีของเขาเหล่านั้น การเคารพบูชาเทพเจ้าเพื่อแสดงความขอบ คุณได้แปลงรูปเป็นการเคารพบูชาเพื่อขอผลประโยชน์ตอบแทนไป นี่แหละคือความโอละพ่อในศาสนา ศาสนาเพื่อศีลธรรมอันดีได้กลายไปเป็นศาสนาเพื่อการค้าไป มนุษย์ได้ใช้ศาสนาเป็นเครื่องระบายความเร่าร้อนใจของเขา ในความหวังที่จะแสวงหากำไร และมันก็ช่างเป็นการค้าที่ให้กำไรมหาศาล ยิ่งกว่าการค้าอื่นๆเป็นอันมาก ด้วยการซื้อดอกไม้ธูปเทียนราคาถูกๆไปบูชาเทพเจ้า คน
เราได้กำเริบถึงกับหวังสวรรค์ และนางฟ้านับหมื่นแสนเป็นรางวัล

มหาชนทรรศนะ 19

มิฉะนั้นเขาก็อาจขอให้ถูกสลากกินแบ่งที่ 1 ในโลกนี้ เทพเจ้าผู้มีอุเบกขาได้ถูกเข้าใจเสียใหม่ว่ามีความลำเอียงเยี่ยงมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเวลานี้ คือลำเอียงต่อการนบนอบและการรับสินบนที่มนุษย์มอบให้ เช่นนี้แหละเทพเจ้าผู้อยู่เหนือมนุษย์เลยเท่ากับตกอยู่ภายใต้การ บัญชาด้วยสินบนของมนุษย์ไป นี่เกิดจากอะไร? มันก็เกิดจากเรื่องจริงในโลก ที่มีผู้ยิ่งใหญ่คอยรับสินบนและให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ที่ก้มกราบคลานเข้ามาหานั่นเอง
มันไม่ใช่ปรัชญาล้าสมัยอะไร, ท่านอย่าเพิ่งหัวเราะ แม้ผู้นำของประเทศ, นักบวช, ก็อ้อนวอนพระเป็นเจ้าให้ช่วยทำศัตรูของตนให้พินาศไปเหมือนกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกอ้างในสุนทรพจน์และคำขวัญของผู้นำประเทศเพื่ออำนวยความสุขความเจริญให้แก่มิตรและ ประชาชน นี่ไม่ใช่เพราะจารีตประเพณีศาสนาที่ชนชั้นปกครองได้อนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ตนให้ตกทอดมาแต่โบราณกาลดอกหรือ?
การพลีกรรมในประติมากรรมเช่นนี้ขึ้นถึงขีดสุดในเมื่อคนเรา พลีกรรมด้วยการฆ่าคนบูชาเทพเจ้า แล้วขอผลประโยชน์ตอบแทน การบูชาเทพเจ้าด้วยการตั้งโต๊ะถวายอาหารคาวหวานอัญเชิญเทพเจ้ามากิน ครั้นแล้วรอเวลาให้ผ่านไปสักครู่หนึ่งเขาก็จะเอาอาหารนั้นคืนมากินเสียเอง ก็เป็นเรื่องน่าขำขันที่ประชาชนก็คงทำกันอยู่ทุกมุมโลกทั้งๆที่ไม่เคยเห็นเทพเจ้ากันเลย พิธีกรรมหลายอย่างในศาสนามีแต่การสูญเปล่า แต่จะหานักบวชองค์ใดคิดแก้ไขก็ไม่มี ท่านกลับจะช่วยอธิบายบุญส่งเสริมเสียด้วยซ้ำไป ด้วยประการฉะนี้ศาสนาบูชาเทพเจ้าจึงมีแต่จะทำให้ศีลธรรมเสื่อมลงตกต่ำลง โดยที่ศาสนาไปส่งเสริมความอยากได้ใคร่ดีของมนุษย์ ซึ่งนี่จะนำไปยังจิตใจที่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบในปลายมือ แต่การที่เอาอาหารเซ่นไหว้เทพเจ้าแล้วเอามากินกันเอง ก็ยังดีกว่าที่บางศาสนาฉ้อฉลให้เอาอาหารไปถวายให้นักบวชกินทั้งๆที่ตนและลูกอดมื้อกินมื้ออยู่
ด้วยการนำศีลธรรม ไปปะปนกับการบุญที่หวังผลตอบแทน ศาสนาได้ถูกฉุดกระชากลงสู่เบื้องต่ำ การทำบุญต่อสิ่งที่สูงถูกคิดว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูง ได้มีคำสอนในศาสนาต่างๆว่าการทำบุญ

20 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

กับนักบวชได้บุญยิ่งกว่าการทำบุญกับคนยากจนมากมาย นี่ทำให้บรรดาประชาชนทั้งหลาย กรูกันไปทำบุญกับนักบวชซึ่งเป็นมนุษย์และกับเทพเจ้าซึ่งมิได้เห็นตัวตน ทำให้คนจนทั้งหลายถูกทอดทิ้งและถูกเหยียดหยามดูถูกดูแคลน ศาสนาอันเดินด้วยนักบวชที่หวังผลประโยชน์จึงทำลายรากเหง้าของศีลธรรม อันหมายถึงการทำบุญกับประชาชน ดังนี้มนุษยธรรมจึงถูกทำลายลงเป็นผุยผงและนั่นย่อมหมายความว่า ความเดือดร้อนของประชาชนได้เกิดขึ้นในท่ามกลางแห่งความรุ่งเรืองของศาสนาจากเงินของมหาชนที่นำไปถวายนักบวช ด้วยการรับเงินจากประชาชนมาไว้มากเข้า ๆ พวกนักบวชก็กลายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีไป และแล้วศีลธรรมของท่านก็จะเลื่อนระดับลงสู่ระดับของเศรษฐีเหล่านั้น จากนักบวชเดิมเป็นผู้ละทิ้งการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ จึงเกิดนักบวชผู้นิยมการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบขึ้นดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เมื่อเห็นศาสนาเป็นช่องทางแห่งความมั่งคั่งอยู่ดีกินดี และเมื่อเห็นว่าประชาชนมาทำบุญกันเพราะหวังผลตอบแทน นักบวชอลัชชีพวกนี้จะ มอมประชาชน ให้เข้าใจผิดอย่างนั้นต่อไป พวกเขาจะคิดเคล็ดลึกลับขึ้นนานาประการ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้นำเงินมาให้ อถรรพเวทอันว่าด้วยพิธีกรรมเพื่อผลที่เราต้องการได้ถูกสร้างขึ้นโดยนักบวชอลัชชี ประเพณีศาสนาต่างๆอันเป็นการสิ้นเปลืองเงินทำบุญก็ถูกคิดขึ้น ไสยศาสตร์,โหราศาสตร์ถูกคิดฝันเพิ่มเติมเข้ามาอีกโดยปัญญาชนผู้หวังผลโดยไม่ต้องทำงาน
ครั้นแล้ววิชาการ และสานุศิษย์แห่งวิชาการเหล่านี้ก็เข้าไปเป็นพันธมิตรกับศาสนาและองค์การศาสนา ด้วยการใคร่ทำบุญมากๆเพื่อหวังผลสูงๆ บรรดาเศรษฐีมหาเศรษฐีจะขูดรีดประชาชนเอาเงินและสิ่งของมาถวายนักบวชอลัชชีมากและมากเข้า ในที่สุดศีลธรรมและศาสนาที่แท้ก็หายสูญไปจากประชาชน คงเหลือก็แต่ศาสนาที่ก่อให้เกิดการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบเท่านั้น
ภายในวัด,การเหลื่อมล้ำอันศาสนาต้องการทำลายได้เกิดขึ้น มาจนได้ด้วยการทำบุญแก่สมภารวัด มากกว่านักบวชลูกวัดอื่นๆ

มหาชนทรรศนะ 21

นักบวชในวัดเดียวกันจึงมั่งมีดีจนแตกต่างกันไป นักบวชไม่มีชื่อ เสียงจะอดอยากปริ่มว่าจะตายเสียด้วยการขาดอาหารดีๆ แต่สมภาร ของเขาจะมั่งมีและได้อยู่ดีกินดีถึงขนาด บ้านในวัดจะโอ่โถงงดงาม เต็มไปด้วยเครื่องใช้ไม้สอยดีๆเทียมบ้านของมหาเศรษฐี ในเวลาเดียวกันราษฎรผู้ยังไม่หลุดพ้นกลับไม่มีสมบัติอะไรเลยที่จิตใจของเขาจะเกาะเกี่ยวเอาไว้ ตรงกันข้ามผู้หลุดพ้นซึ่งเป็นนักบวชกลับมีสมบัติให้จิตใจเกาะเกี่ยวมากมาย มันเป็นเรื่องโอละพ่อ เป็นความแปลกประหลาดพิสดารนัก ท่านทั้งหลาย แต่ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่ามันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนี้โดยข้อเท็จจริงแล้ว ประชาชนผู้ยากจนจึงน่าจะมีความหลุดพ้นดีกว่านักบวช และน่าจะมีศีลธรรมสูงกว่านักบวชมิใช่หรือ?

2.3. ศาสนานับถือพระเป็นเจ้าองค์เดียว

ศาสนาที่สอนให้นับถือเทพเจ้าหลายองค์ นำไปยังการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างนักบวชต่อนักบวช และระหว่างกลุ่มชนที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น แต่การทะเลาะเบาะแว้งนี้ก็ได้เป็นไปแต่ในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าด้วยการแปรเปลี่ยนแห่งเครื่องมือของการผลิตของกินของสังคมในโลก กำลังมีสังคมชนิดใหม่เกิดขึ้นแล้ว เป็นสังคมชนิดที่เดินด้วยทาสกับนาย หรือด้วยผู้กดหัวกับผู้ถูกกดหัว ด้วยประการฉะนี้,ต่อมา,ผู้ถูกกดหัวทั้งหลายซึ่งได้รับการกดขี่ข่มเหงรังแกร่วมกัน จึงเกิดความสำนึกขึ้นมาว่าสามัคคีธรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรอดพ้นจากระบบทาส ความสำนึกของเขาได้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาได้ ในเวลาเดียวกันฝ่ายนายทาส ซึ่งเป็นฝ่ายกดหัวทาสก็เกิดมีผลประโยชน์ขัดกันขึ้น เช่นนี้พวกเขาจึงนิยมเทพเจ้าต่างองค์กันขึ้นมาอย่างไม่รู้สำนึก ทั้งนี้ก็เพื่อ ให้การขัดในผลประโยชน์นี้ กลายเป็นการขัดกันในทางศีลธรรม หรือศาสนาไปนั้นเอง
เราได้หลักพฤติกรรมของมนุษย์จากตอนนี้ว่า มนุษย์มักพยายามคิดให้หลักปฏิบัติชีวิตของตัวเองเป็นความชอบธรรมเสมอทั้งนี้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นดีเห็นชอบไปกับการกระทำของตัวด้วย

22 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

ท่าน,จะเห็นโดยถ่องแท้แล้วว่า ที่แท้แล้วศาสนาหาได้เกิดจากการดลใจโดยเทพเจ้าไม่ และก็ไม่ได้เกิดจากการที่มนุษย์นั่งคิดขึ้นมาเองจากวุฒิปัญญา ของตัวเพื่อช่วยโลก มันเป็นเพียงผลของสังคม หรือเป็นผลของความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ อันมีพื้นฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงในสังคมเท่านั้นเอง และสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของสังคมนี้ ก็เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตของกินของใช้ของมนุษย์แท้ๆ ในระบบกลุ่มชนแต่โบราณเรามีศาสนานับถือเทพเจ้าหลายองค์ หรือปรัชญาวิญญาณนิยม ฉะนั้น เมื่อการวิวัฒน์แห่งสังคมเคลื่อนไปสู่ระบบทาส ความนึกคิดของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างใหม่ นั่นคือมนุษย์ได้คิดหาวิธีช่วยตัวเองอย่างใหม่ขึ้น ฉะนั้น,แทนที่ศาสนาเทพเจ้าหลายองค์ เราจึงมีศาสนาเทพเจ้าองค์เดียว นี่ย่อมเกิดขึ้นได้จากสามัคคีธรรมในหมู่ทาสอันเป็นความจำเป็นของการเมืองในขณะนั้น
ระบบทาสก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในความเป็นมนุษย์ขึ้น ครั้นแล้วพวกทาส จึงคิดปรัชญาต่อต้านกับระบบที่กดหัวเขาอยู่ เพื่อหาความสบายทางจิตใจไปพลางก่อน เขาไม่สามารถจะนับถือเทพเจ้าหลายองค์ต่อไปได้ เพราะนั่นหมายถึงการแตกแยกกับทาสกลุ่มอื่นซึ่งพวกเขาต้องการเป็นพันธมิตรด้วย เขาจึงได้คิดเทพเจ้าองค์เดียวอันเป็นใหญ่เหนือสากลโลกขึ้นสำหรับทาสทั้งหลายจะเพ่ง มองเป็นที่พึ่ง ครั้นแล้วเขาคิดว่าด้วยการภักดีต่อเทพเจ้าองค์เดียว กัน สามัคคีธรรมอันเขาต้องการก็จะเกิดขึ้นได้
เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นก่อนพุทธกาลประมาณ 800-700 ปี ชนเผ่าฮีบรูหมู่หนึ่งได้ตกไปเป็นทาสของฟาโรห์แห่งประเทศอียิปต์ มีผู้นำชื่อโมเสส ได้อาศัยความเดือดร้อนแทบเลือดตากระเด็นของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของเขา ทำการสอนลัทธิพระเป็นเจ้าองค์เดียว กันขึ้น เขาได้ใช้ลัทธินี้รวมจิตใจของพี่น้องชนเผ่าฮีบรูเข้าเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เขามีกองกำลังกระทำการขึ้นมา จึงสามารถนำชนเผ่าของตนหนีความเป็นทาสออกจากอียิปต์ได้ แล้วจึงมุ่งเข้าสู่ปาเลสไตน์ได้ ด้วยระยะทางอันยาวไกล พี่น้องของเขาจึงเกิด

มหาชนทรรศนะ 23

อิดโรยและท้อแท้ขึ้น โมเสสได้ให้กำลังใจโดยกล่าวว่าการหนีรอดครั้งนี้ได้เพราะมีพระเป็นเจ้าทรงบัญชาและนำทางเขาอยู่โดยตลอด อย่างไรก็ตามชาวฮีบรูที่ติดตามไปน่าจะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นบ้าง และโมเสสคงจะได้ให้คำตักเตือนแล้ว แต่พวกนั้นน่าจะไม่ฟัง โมเสสเห็นว่าคำตักเตือนของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันคงจะไม่ใคร่มีใครเชื่อถือ จึงหาอุบายแปลงคำสอนเพื่อศีลธรรมของตัวเขาเอง ให้กลายเป็นคำสอนของพระเป็นเจ้าไป วันหนึ่งเขาจึงทำอุบายขึ้นไปบนยอดเขาแต่ผู้เดียว ครั้นแล้วเขาได้เขียนบัญญัติ 10 ประการซึ่งเขาคิดขึ้นลงบนแผ่นหิน แล้วแบกหินแผ่นนี้ลงมายังพวกฮีบรูที่ติดตามเขามา เขาเล่าว่าพระเป็นเจ้าได้ทรงประทานบัญญัติ 10 ประการมาให้แก่ชาวฮีบรูแล้ว ด้วยประการฉะนี้แหละ, ชาวฮีบรูจึงยอมปฏิบัติศีลธรรมตามบัญญัติ 10 ประการของโมเสสต่อมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องนับว่าศาสนาของโลกซึ่งแต่เดิมไม่มีศีลธรรม อะไรประกอบเลย ได้ผ่านจากระดับขั้นศีลธรรมแห่งความสำนึกคุณ ขึ้นสู่การปฏิบัติศีลธรรมอย่างจริงจัง ในสมัยระบบกลุ่มชนแต่โบราณนั้น คนเรานิยมแสดงความภักดีต่อสมมติเทพ ด้วยความเกรงกลัว ต่อมาเมื่อเข้าสมัยระบบทาส พวกเขาก็บูชาเทพเจ้า เพราะความรักและสำนึกคุณ แต่ทว่าพวกเขาก็เท่ากับดูหมิ่นเทพเจ้าเหล่า นี้ในเมื่อเขาอ้อนวอนขอผลประโยชน์ โดยเอาสินบนเป็นสิ่งของหรือการสวดยกยอไปมอบให้แก่ท่าน ต่อเมื่อถึงสมัยโมเสสแล้วเท่านั้นเราจึงอาจกล่าวได้เต็มที่ว่าศีลธรรมอันแท้จริงในศาสนาได้เกิดขึ้นในบัญญัติ 10 ประการนี้นี่เอง
จะเห็นได้ว่า ศีลธรรมของมนุษย์อันเผยตัวออกมาเป็นบัญญัติ10 ประการนั้น ได้เกิดขึ้นจากความจำเป็นที่โมเสสจำต้องรักษาสามัคคีธรรมในหมู่ชาวฮีบรู ศีลธรรมหามีอยู่แต่ดั้งเดิมเป็นสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ชั่วกาลนิรันดรไม่ และมนุษย์ก็ใช่จะได้มันมาจากการนั่งคิด หรือจากการเพ่งภายในไม่ หากเป็นสิ่งที่ได้จากภายนอก เป็นของทีหลัง อันเกิดจากความจำเป็นของมนุษย์เพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
ฉะนั้นการสถาปนาศีลธรรมไว้ในโลก จึงไม่อาจทำได้ด้วย

24 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

การสอนศีลธรรมเพียงอย่างเดียว แต่จะทำได้โดยการดำเนินการ เมืองให้ประชาชนมีกินมีใช้โดยทั่วหน้าพร้อมๆกันไปด้วย
เมื่อหวนกล่าวถึงเมืองแม่ศาสนา คือประเทศอินเดีย เราเห็นศาสนาพระเป็นเจ้าองค์เดียวเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะต้นของพระเวท นี่จะเป็นด้วยสาเหตุใดไม่ปรากฏ แต่มันอาจเกิดจากการเคลื่อนไหวของปัญญาชนฝ่ายข้างศูทรอันเป็นเจ้าของประเทศแต่ตกเป็นทาส ที่พยายามคิดปรัชญาและศาสนาขึ้นต้านหลักเดิมที่เข้าข้างชนชั้นปกครองอารยันก็ได้ ถัดจากคำสอนให้บูชาเทพเจ้าผู้มีคุณคือมิตระ, โสม,อัคนี,วรุณ และอินทร์ ได้มีคำกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภาคต่างๆของเทพเจ้าองค์เดียวกัน และเทพเจ้าองค์นี้มีชื่อเรียกว่าปราณ
เป็นเวลาประมาณ 600 ปีก่อนพุทธกาลเหมือนกัน ที่คัมภีร์ อุปนิษัทหรือเวทานตะได้เกิดขึ้น ได้มีการอ้างถึงเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสากลโลกและที่ได้สร้างโลกขึ้น เทพเจ้าองค์นี้มีนามว่าพรหม พลังความคิดเพื่อต่อต้านระบบเก่า และที่ต้องการทำลาย ชนชั้นได้เกิดขึ้นแล้ว! ในขณะนี้มนุษย์เราแต่ละคนถูกเข้าใจว่าประกอบด้วยมโนธาตุ อันเป็นอย่างเดียวกับที่มีในพรหมทุกประการ มันเหมือนกับน่านน้ำอันไพศาลในมหานทีอันยิ่งใหญ่ ที่แตกสลายออกเป็นหยาดน้ำเล็กๆ แต่ละหยาดน้ำนี้ย่อมมีลักษณะและเนื้อในเหมือนกันทุกประการ โดยนัยยะแห่งความคิดอย่างนี้ มนุษย์เราจึงเท่ากันโดยกำเนิดและความเป็นอยู่ เพราะเขาคือพรหมย่อยๆนั่น เอง การแบ่งชนชั้นวรรณะโดยการผวนผันทางการเมือง ได้ถูกปรัชญาและศาสนาพรหมพยายามปราบเข้าแล้ว
ระบบชนชั้นของอินเดียได้เริ่มขึ้นเมื่อ 3000-2000 ปีก่อนพุทธกาล ในเมื่อชนเผ่าอารยันได้อพยพจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเคลื่อนเข้าสู่แดนภารตะ พวกนี้ได้เข้ามากระทบกับวัฒน ธรรมพวกทราวิฑ (ดราวิเดียน) ผิวดำอันเป็นเจ้าของประเทศแต่เดิมมันเป็นเรื่องคล้ายกับที่พวกฝรั่งอพยพจากยุโรป เข้าไปแย่งแผ่น ดินของชาวแอฟริกันหรืออินเดียนแดงฉะนั้น ชนชาติอารยันผู้พิชิตได้กลายเป็นชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงขึ้นในอินเดียพวกอารยัน

มหาชนทรรศนะ 25

(อินเดียขาว) นักรบได้สถาปนาชนชั้นกษัตริย์ขึ้น ส่วนปัญญาชนที่มีความรู้ก็จัด ตั้งชนชั้นพราหมณ์ขึ้นเหมือนกัน ในเวลาเดียวกันนี้พวกที่ไปยึดครองที่ดินเกษตรกรรมและการค้า ก็กลายเป็นพวกไวษยะไป ส่วนพวกทราวิฑ (อินเดียดำ) ผู้ปราชัย ตกเป็นทาสนั้นก็กลายเป็นชนชั้นต่ำ ชนชั้นทำงานหรือศูทรผู้อาภัพไป ทั้งเมื่อศูทรไปแต่งงานกับชนชั้นอื่นเข้าแล้ว สังคมครั้งกระนั้นยังชิงชังลูกที่เกิดขึ้นมามากเข้าไปอีก พวกเขาถูกเรียกว่าคนจัณฑาล
วรรณะในอินเดียได้เกิดขึ้นแล้วแต่นั้นมา พร้อมทั้งความยุ่ง ยากนานาประการอันอินเดียกำลังขบอยู่ในเวลานี้ แม้เนห์รูสานุศิษย์ คานธีผู้อหิงสาจะออกกฎหมายยกเลิกการแบ่งชั้นวรรณะแล้วก็ตาม แต่วรรณะตามความเป็นจริง อันเกิดจากการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบที่ชอบด้วยกฎหมาย (?) ก็คงมีต่อไป อินเดียคงเป็นดินแดนที่มีราชาที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่ยาจกที่แสนจนที่สุดมากระทั่งทุกวันนี้
ชนชั้นปกครองคือกษัตริย์ คงชิงดีกับปัญญาชนคือพราหมณ์ ต่อมา ในการแข่งขันชิงดีกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่นั้น ต่างฝ่ายต่างอ้างประชาชนด้วยกัน แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ช่วยกันเหยียบย่ำศูทรไว้ใต้ฝ่าเท้า พวกไวษยะคงอยู่ในอาการเฉยเป็นกลางตลอดมา เพราะสถานภาพของเขาเป็นสมัยประโยชน์ปัจจุบันเท่านั้น พวกพราหมณ์ ได้ใช้พระเวทหาเสียงกับประชาชนชาวอินเดียตลอดมา ทั้งนี้ก็เพื่อหาความนิยมในหมู่ประชาชน พวกพราหมณ์พากันอิจฉาในฝีมือการรบของพวกกษัตริย์ เมื่อพวกเขาคิดตำหรับนารายณ์สิบปางขึ้นมานั้นยังได้เขียนไว้ปางหนึ่งชื่อปรศุรามาวตาร โดยแสดงถึงการปราบชนชั้นกษัตริย์โดยฝีมือพวกพราหมณ์ จน กระทั่งเชื้อกษัตริย์แต่เดิมได้หมดไปจากโลก พวกกษัตริย์เองก็อิจฉาในปัญญาและเอกสิทธิ์ของพราหมณ์ พวกศูทรเล่า, เขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น? เขาคงได้แต่เคียดแค้นชิงชัง และคิดหาหนทางต่อสู้กับชนชั้นสูงทั้ง 3 อยู่นั่นเอง ด้วยประการฉะนี้ เราจึงกล่าวว่า ปัญญาชนพวกเขานั่นแหละที่คิดศาสนาพระพรหมขึ้น
ด้วยความฉลาดแกมโกงและต้องการกดพวกศูทรให้อยู่เบื้อง

26 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

ใต้ตลอดเวลา ต่อมาพวกพราหมณ์ได้สอนแก้ลัทธิพรหมไว้ในคัมภีร์อุปนิษัทว่าพระพรหมปรากฏร่างเป็นบุรุษมีปากเป็นพราหมณ์ มีมือเป็นกษัตริย์ บั้นเอวเป็นไวษยะ และเท้าเป็นศูทร นี่คืออะไรหรือท่าน? มันก็คือการใช้ปรัชญาสถาปนาความเหลื่อมล้ำให้คงอยู่ชั่วนิรันดรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวนั่นเอง
การขูดรีดของกษัตริย์และพราหมณ์นำความอดอยากยากแค้น อย่างแสนสาหัสมาสู่มหาชน ศาสนากลายเป็นเครื่องมือสำหรับพวกพราหมณ์กอบโกยความมั่งคั่งเข้าสู่ชนชั้นของตน พวกผู้ดีมีทรัพย์ได้กดขี่ขูดรีดแรงงานจากศูทรเอาเงินมาทำบุญแก่พราหมณ์ คนยากจนได้ถูกทอดทิ้ง ถูกรังเกียจ และถูกดูหมิ่นดูแคลน ความทุกข์ร้อยเท่าพันทวีกำลังเกิดขึ้นแก่ชาวอินเดียในขณะนั้น จะมองไปทางไหนก็ประสบแต่ความยากจน ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ ความตาย ใครจะช่วยเขาเหล่านี้ได้ เมื่อมันได้ถูกเดินโดยนักปกครองที่กดขี่ ศาสนาหรือ? มันก็ถูกดำเนินโดยนักขูดรีดซึ่งเป็นนักบวชจอมปลอมเหมือนกันแล้วใครเล่าจะช่วยอินเดีย(ดำ)ได้
ขณะเดียวกันนั้น,ในประเทศจีน ชนชั้นปกครองก็ก่อความเดือดร้อนขึ้นเหมือนกัน ปรากฏมีการสงครามชิงราชสมบัติกันอย่างไม่หยุดหย่อนโกงกันขูดรีดกันอย่างไม่หยุดยั้ง ความโกลาหลอลหม่านของประชาชนอันเกิดจากการจลาจลได้แผ่ไปทุกหย่อมหญ้า
วาระที่ศาสนาเลวลงบ้านเมืองเดือดร้อนระส่ำระสายไปทุกย่อมหญ้า ประชาชนอดอยาก,ทุกข์ยาก,และเดือดร้อนเหล่านี้แหละท่านทั้งหลาย,ได้นำนามของขงจื๊อ, พระสิทธัตถะ, พระเยซูคริสต์ และพระมุฮัมมัด,มาปรากฏต่อโลกเราจึงควรตามดูกันว่าเขาเหล่านี้ซึ่ง ต่อมากลายเป็นปฐมศาสดาของมหาชนช่วยโลกได้อย่างไรบ้าง
2.4.ขงจื๊อปัญญาชนฝ่ายชนกรรมาชีพแห่งจีน
เมื่อปีที่ 551 ก่อน ค.ศ. มีคนบาปของชนชั้นปกครองคนหนึ่งถือปฏิสนธิขึ้นมาในโลก เขาคือ ขงจื๊อ ปราชญ์ประชาชนของจีน แคว้นที่เขาเกิดคือแคว้นลู และเช่นเดียวกันกับนักคิดทั้งหลาย เขา

มหาชนทรรศนะ 27

เกิดในท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชนชาวจีน และในท่ามกลางแห่งความระส่ำระสาย อันเนื่องมาจากการแข่งขันชิงอำนาจกันครองแผ่นดิน ครองสมบัติ ครองทาส ระหว่างชนชั้นปกครองในสมัยนั้น ในปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่มิใช่หรือ?
ขงจื๊อก็เช่นเดียวกับบัณฑิตคนอื่นๆซึ่งเป็นฝ่ายประชาชน เขาไม่สามารถจะทนดูความเป็นไปเหล่านี้อยู่ได้ เขาจึงพยายามไตร่ ตรองคิดปรัชญาขึ้นแก้ไข
ขณะนั้นมังกรทองแห่งปรัชญาคือเล่าจื๊อ ได้สถาปนาชื่อเสียงของเขาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ในประเทศจีนลัทธิเต๋าของเล่าจื๊อสอนให้คนเราใฝ่หาความจริงอันติมะ อันมีสมัญญาว่าเต๋า มรรควิธีเข้าหาเต๋าคือบำเพ็ญความดีด้วยการงดเว้นจากการกระทำทั้งปวง!
ด้วยประการฉะนี้สานุศิษย์แห่งเต๋า พร้อมด้วยปรมาจารย์ของเขาจึงละทิ้งประชาชนเพื่อเอาตัวรอด ต่างเที่ยวแสวงความหลุดพ้นกันตามป่าตามเขาอันสงบเงียบ ละทิ้งประชาชนผู้หล่อเลี้ยงตนอยู่ไว้กับผู้ขูดรีดข่มเหงคะเนงร้ายไปตามเดิม
ด้วยประการฉะนี้เหมือนกันที่ทำให้ขงจื๊อเห็นว่า ตัวเขาควรเข้าเมืองเพื่อแก้ทุกข์ของประชาชน เมื่อเล่าจื๊อเอาปรัชญาลอยไปสู่ฟ้าสู่ป่า ตัวเขาพาปรัชญากลับสู่ดินสู่เมือง เล่าจื๊อกล่าวถึงความ แท้จริงอันติมะ แต่ขงจื๊อจะกล่าวเพียงเรื่องของคน และวิธีการแก้ทุกข์ของคนเท่านั้น ใครเล่าท่านคือราษฎร์บัณฑิต ใครเล่าท่านคือราชบัณฑิตในขณะนั้น? จะเป็นเล่าจื้อหรือจะเป็นขงจื๊อ?
ฉะนั้น,เมื่อนักคิดผู้ติดสันดานขบปัญหาอันเปล่าประโยชน์ไปถามขงจื๊อ เขาควรปฏิบัติอย่างไรต่อวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว? หรือ ความตายคืออะไร?
ขงจื๊อจะตอบตามทำนองปรัชญาถอยจากฟากฟ้ามาสู่ดินว่า
มนุษย์เป็นๆเรายังไม่รู้วิธีปฏิบัติรับใช้เขา
จะไปห่วงอะไรกับการปฏิบัติรับใช้วิญญาณของเขาอีกเล่า
เรื่องชีวิตยังไม่ค่อยรู้กันจะไปเสียเวลาทำไมกับเรื่องความตาย
ท่านราษฎร์บัณฑิตแห่งประเทศจีนผู้นี้มีทรรศนะว่าเรื่องสำคัญ

28 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

ที่สุดของคนเราคือเรื่องมนุษย์เป็นๆซึ่งยังมีชีวิตอยู่เพียงแค่นี้คนเรา ยังไม่ใคร่รู้จริงกัน การหันไปพิจารณาหาวิญญาณของคนตายและเรื่องของความตาย จึงเป็นการพยายามอันเปล่าประโยชน์ มันเป็น การละทิ้งประชาชนด้วยซ้ำไป
ราชวงศ์เฉ่าซึ่งมีอำนาจอยู่ในขณะนั้นได้ผลิตและพิทักษ์รักษา พวกเจ้าขุนมูลนายอยู่มากหน้าหลายตาด้วยกัน อภิชนเหล่านี้ได้แย่งชิงราชสมบัติ (ความจริงราษฎร์สมบัติ) กัน ได้เกิดการจลาจลอลหม่านผสมไปกับการโกงและกินสินบน ในแคว้นลูเกิดมีรัฐ ประหารขึ้น ยานฮั้วขุนศึกจับเจ้าลูไปขังแล้วครองแผ่นดินแทน
ขงจื๊อผู้สืบตระกูลจากพระเจ้าฮ่วงตี่ได้มีความคิดเห็นแกว่งไกวอยู่ ระหว่างการเชื่อมั่นในชนชั้นปกครองที่ดีกับประชาชนสามัญ ด้วยการขาดทรรศนะอันถูกต้องแห่งปัจจุบันสมัย เขาคงคิดว่าในการแก้ความเดือดร้อนในเวลานั้น จำต้องอาศัยคนดีมีศีลสัตย์อันหมายถึงอภิชนที่ดีในขณะนั้น ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่ายานฮั้วเป็นขบถยึดอำนาจ เจ้าลูผู้ที่เขาถือว่าเป็นชนชั้นปกครองที่ดีมีศีลมีสัตย์ เขาก็หลบหนีไปทันที โดยความมุ่งหวังว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาช่วย เจ้าลู คนดีให้จงได้
ฉะนั้นแทนที่เขาจะไปสร้างกำลังประชาชนขึ้น เขากลับเที่ยวควานหาชนชั้นปกครองที่ดีเพื่อเสนอตัวรับใช้ ที่อำเภอลี้เขาไปทำงานกับเจ้าชายชิ เจ้าชายผู้นี้ได้รู้กิติศัพท์เข้าข้างประชาชนของเขาดี จึงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ชิดจนเห็นเคล็ดลับในการปกครองของพระองค์ได้เลย นักปรัชญาย่อมเป็นคนที่ฉลาดเกินที่ชนชั้นปกครองจะไว้เนื้อเชื่อใจ ด้วยประการฉะนี้ ขงจื๊อจึงประสบความผิดหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าชายชิผู้เป็นชนชั้นปกครองจะไม่ทดลองให้นักปรัชญามาบงการประเทศร่วมกับพระองค์เลย พระองค์ ทรงยอมจ่ายบำนาญเลี้ยงเขาไว้เฉยๆไม่ให้อดตายเท่านั้น
ขงจื๊อเที่ยวเดินทางแสวงหาอภิชนดีๆคนอื่นต่อไป ได้สอนลัทธิเพื่อประชาชนของเขาไปกิติศัพท์ของเขาเลื่องลือระบือไปไกลด้วยการนำลัทธิของขงจื๊อไปหาความนิยมจากประชาชน เจ้าลูก็ชิงอำนาจคืนจากยานฮั้วได้ และคราวนี้แหละขงจื๊อก็ได้ทดสอบความ

มหาชนทรรศนะ 29

ดีงามของชนชั้นปกครองเป็นหนที่สอง ในปี 503 ก่อน ค.ศ. ด้วยความชอบที่ขงจื๊อติดต่อกับประชาชนจนเจ้าลูชิงอำนาจคืนจากขบถได้ ขงจื๊อก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงแห่งเมืองเจ้าลู และครั้นแล้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เขาใฝ่ฝันจะได้ก็เข้ามาอยู่ในมือ
คราวนี้แหละ,เขาคาดว่าด้วยความมีศีลธรรมของเขาและด้วย ความมีศีลธรรมดีของเจ้าลู ความเดือดร้อนอันเกิดจากการปกครองที่เลวจะหมดไป ทั้งนี้เพราะเขาวางหลักไว้ว่า
คนเราต้องทำตนให้ดีเสียก่อน ต่อไปก็ทำให้ครอบครัวดีตามไป เมื่อครอบครัวดี รัฐก็ปกครองดี และเมื่อรัฐบาลปกครองดี จักรวรรดิก็ประสบสันติสุข
มติคบอภิชนที่ดีของขงจื๊อผิดไปถนัด มันผิดตั้งแต่ต้นแล้วที่เชื่อว่ามีอภิชนที่ดีอยู่ในโลกนี้ได้ ประชาชนที่ขงจื๊อปลุกปั้นขึ้นเพื่อเป็นกำลังของอภิชน ได้ถูกปลดอำนาจลงไปทีละคนสองคน ทั้งนี้ในทันทีที่อภิชนคนนั้นก้าวย่างข้ามหัวราษฎรไปสู่อำนาจแล้ว เจ้าลูก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงขอยืมขงจื๊อและประชาชน มาเป็นเรือจ้างสำหรับนำพาพระองค์ไปสู่แดนแห่งอำนาจเพียงชั่วคราว เสร็จแล้วเรือจ้างก็ถูกถีบให้ลอยห่างออกไปและไกลออกไป ๆ
ด้วยประการฉะนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีขงจื๊อก็รู้ตัวในไม่ช้านัก ว่าเจ้าลูไม่ต้องการเขาเสียแล้ว เขาเป็นคนซื่อสัตย์เกินไปที่จะเข้ากับชนชั้นปกครองได้ เขาเป็นฝ่ายประชาชน ฉะนั้นต่อทรรศนะของชนชั้นปกครองแล้วเขาเป็นคนบาป ที่จะคอยล้มเลิกผลได้ของพวกนั้นไป เจ้าลูมิได้ทรงปฏิบัติราชการไปตามที่ได้ทรงให้คำมั่นสัญญาไว้ ได้เกิดการโกงกินและการขูดรีดขึ้นอย่างใหญ่หลวงในแคว้นลู และ ต้นเหตุอันนี้ก็อยู่ที่อภิชนดีผู้ซึ่งขงจื๊อเข้าไปโอบอุ้มจนกระทั่งได้ฟื้นขึ้นมาจากการเสื่อมอำนาจนั่นเอง
ไม่ต้องสงสัยเลย ขงจื๊อกำลังมีความเป็นอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางแห่งเสือหิว ประชาชนซึ่งน่าจะเป็นกำลังของเขาได้ถูกคุมตัวไว้ให้หมดเสรีภาพ ที่จะกระทำการใดๆอันเป็นการช่วยตัวเองได้ ด้วยประการฉะนี้ขงจื๊อก็พบตัวเองลอยกระเพื่อมอยู่

30 ทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ

แต่ผู้เดียวในโลก ในที่สุดเขาก็ต้องดำเนินชีวิตไปเยี่ยงนักปรัชญาอกหักทั้งหลาย คือลาออกจากตำแหน่งอันสูงส่ง ขับเกวียนออกจากเมืองสู่ชนบท และหายตัวเข้าป่าท่ามกลางเสียงตะโกนของเด็กไล่ตามหลังไป อากง! มีแผ่นดินที่ไหนหรือจะหนีพ้นการเมืองได้!
นั่นคือวาระสุดท้ายแห่งการต่อสู้ของเขา
อย่างไรก็ตามมหาชนชาวจีนไม่เคยลืมเขาเลย ขงจื๊อผู้เป็นปรมาจารย์ราษฎร์บัณฑิตผู้หนึ่งซึ่งในสมัยเมื่อ 2500 ปีมาแล้วได้พยายามโอบอุ้มประชาชนให้ขึ้นสู่ความสำคัญ แม้เขาจะมีทรรศนะคลาดเคลื่อนไปโดยเชื่อว่า อภิชนที่ดีจะช่วยประเทศชาติได้ และได้เลยถึงกับกีดกันการศึกษาของประชาชน เพราะกลัวว่าการรู้มาก จะทำให้มีคนฉลาดแย่งชิงสมบัติแผ่นดินกันมากขึ้น เช่นนี้ก็ตาม แต่คนๆเดียวกันนี้เอง ที่เขียนตำหรับมหาชนทรรศนะเป็นครั้งแรกขึ้นในโลก และได้ดึงจิตใจของนักคิดผู้เพ้อฝันจากฟากฟ้ามาสู่ดิน เพื่อมนุษยธรรมอันแท้จริงที่เราต้องการกันอยู่ในเวลานี้
ในสมัยของเขานั้นได้มีการกล่าวถึงสวรรค์ว่าเป็นสิ่งอันยิ่งใหญ่ และสูงส่ง ซึ่งครอบงำความเป็นอยู่ทั้งหลายของมนุษยโลก เมื่อมีคนไปขอให้ขงจื๊อเฉลยปัญหาข้อนี้ ขงจื๊อตอบว่า
สวรรค์เห็นเหมือนมหาชนเห็น สวรรค์ฟังเหมือนมหาชนฟัง
ฉะนั้น เขาจึงเสนอปรัชญาการเมืองตามติดมาว่า
ประชาชนเป็นส่วนสำคัญที่สุดของรัฐ(ฐะ) ชนชั้นปกครองมีความสำคัญน้อยที่สุด
ด้วยประการฉะนี้เขาจึงกล่าวเตือนชนชั้นปกครองทั้งหลายว่า
เอาชนะใจประชาชนให้ได้เสียก่อน แล้วจึงจะได้อาณาจักร หากไม่อาจเอาชนะใจประชาชนได้แล้ว อาณาจักรก็จะหลุดลอย
ตำรับจริยศาสตร์ของขงจื๊อไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย เพื่อสันติสุขแห่งสังคม เขาแนะว่า คนเราควรจะมองดูคนอื่นว่าเขาต้องการให้เรามีความประพฤติต่อเขาอย่างไร? ฉะนั้นพึงปฏิบัติไปตามหลักง่ายๆที่ว่า ไม่ต้องการให้ผู้ใดกระทำต่อเราอย่างไร ก็ต้องไม่กระทำต่อเขาก่อนอย่างนั้น ทำได้เพียงแค่นี้ก็ดีแล้ว




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 13:01:08 น.
Counter : 2996 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ลุงกฤช
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อดีต : พ่อค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปัจจุบัน : อาจารย์พิเศษสอนปรัชญาเป็นประจำแก่สถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง สอนพิเศษนักศึกษาปริญญาตรีและโทมหาลัยมหิดล

คืนกำไรให้ชีวิตหลังจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิต ขับรถไปฮันนี่มูนต่างจังหวัดบ้าง ไปสอนต่างจังหวัดบ้าง มีความสุขกับศรีภรรยาที่อยู่กันมาเกือบ 50 ปี
เธอดูแลเราเหมือนลูก เพราะลูกๆต่างก็มีครอบครัวแยกย้ายไปทำมาหากินกันดีๆทุกคนแล้ว เราเลยอยู่กันสามพ่อแม่ลูก(คนสุดท้อง)ซึงไม่ยอมมีผัว เพื่อดูแลพ่อแม่ กับหมาอีก 8 ตัว บางวันก็ไปสอนบ้าง บางวันก็เข้ามาในบล๊อกบ้างเพื่อเอางานที่เรียนรู้มา มาคืนให้แก่สังคม ดังที่เห็นๆกันแล้ว งานส่วนใหญ่ที่คัดลอกมาให้อ่านกันเป็นงานเขียนของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศ และทรรศนะส่วนตัว
อยากให้คนสนใจเรื่องปรัชญา เพราะตัวเองนั้นมีความสุขอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีปรัชญาชี้นำการดำเนินชีวิต มีความรู้ในการปฏิบัติทำมาหากิน ภายหลังหยุดชีวิตการทำมาหากินแล้วก็ยังมีสมบัติทีมากกว่าเบี้ยบำนาญของราชการ

แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่จน จึงอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนเข้ามหาลัยได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง เพราะชีวิตผมเริ่มต้นจากสูญ ไม่มีมรดกจากพ่อแม่

บทความซึ่งจะนำลงตอนละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่สนใจอ่านจะลบทิ้ง

บทความตอนใดที่ไม่มีผู้สนใจอ่าน(ไม่ให้ความเห็น)
จะลบออกเร็วกว่านั้น
อยากบอกอยากถามก็ขอให้เขียน เรามาแลกเปลี่ยนวิถีทรรศน์ของกันและกัน เพื่อเดินทางร่วมกันฉันท์สหาย
[Add ลุงกฤช's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com