โลกมีทางให้เดินเป็นพันพันทาง เราต่างใช้ปรัชญาแห่งชนชั้นของตน นำทางในการเดิน เราต่างเดินตาม ปรัชญาแห่งชนชั้นตน
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 กรกฏาคม 2551
 
 

ปรัชญาสังคม 3

8.ปรัชญาสังคม
8.7.กรณีซึ่งความ นึกคิด นำการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ

ความนึกคิดทางสังคม ก็คือทฤษฎีทางสังคมนั่นเอง ทฤษฎี,ย่อมได้จากเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นแล้ว และถูกถอดจากความจริง มาตั้งเป็นหลักไว้เพื่อใช้ปฏิบัติ หากสังคมในประเทศหนึ่งเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ จะมีพวกปราชญ์ดึกทฤษฎีของการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นออกมา และนำไปใช้ในประเทศอื่นซึ่งภาวะทางวัตถุ,ยังไม่ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงระบบสังคม ดังนี้,จะเกิดเรื่องความคิดนำการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ ขึ้น การปฏิบัติประชาธิปไตยในอังกฤษ อันเกิดตามหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศเดียวกัน ชวนให้นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษตั้งทฤษฎีทางสังคมขึ้น ทีนี้พวกฝรั่งเศสกับพวกเยอรมันก็นำไปใช้เพื่อเร่งพัฒนาการแห่งสังคมของตน แต่ความสำเร็จจะมีได้ก็ต่อเมื่อภาวะทางวัตถุอำนวยให้แล้วเท่านั้น ในการนี้ยังอาจต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างเช่นสงครามเป็นต้นเยอรมนีสลัดระบบศักดินาหาสำเร็จไม่ กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ไทย,ก็มีระบบประชาธิปไตยได้เพราะเศรษฐกิจของโลกทรุดลงอย่างหนักในปี ค.ศ.1927
ด้วยการเกิดทฤษฎีทางสังคมขึ้น,ภายหลังการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างเป็นไปเอง ตามการบังคับของภาวะทางวัตถุในประเทศใดประเทศหนึ่งก่อน,เป็นตัวอย่าง สังคมของประเทศอื่นก็ก้าวหน้าตามไป ด้วยการนำทฤษฎีไปปฏิบัติ,โดยการชิงสุกก่อนห่ามเช่นนี้,อำนาจเก่าก็มีเรี่ยวแรงมากในการปราบปราม กระทั่งภาวะทางวัตถุของประเทศนั้นพัฒนาไปถึงแล้ว อำนาจเก่าจึงสิ้นสุดลง ตามกฎอันแข็งแกร่งของการวิวัฒน์สังคม

อย่างไรก็ดี,เราก็จะเห็นได้ว่า ภาวะทางวัตถุ,คงต้องเกิดนำความคิด
ทางสังคมมาก่อนนั่นเอง

8.ปรัชญาสังคม
8.8. ระบบต่างๆในวิวัฒนาการของสังคม/

บัดนี้,จึงถึงวาระที่เราจะกล่าวถึงสังคมเป็นระบบๆไป ตามระดังขั้นต่างๆของวิวัฒนาการของมัน ในการนี้,เราจะกล่าวถึงต้นเหตุของมัน และความนึกคิดหรือปัญญาที่เกิดขึ้นด้วย กล่าวคือ เราจะถือโอกาสระบุถึง วิวัฒนาการแห่งปัญญา (Evolution of The Intellect เอโฝะลยู-ฌั่น ) ด้วยนั่นเอง แต่เรื่องนี้เราจะได้กล่าวโดยละเอียดในปรัชญาเอสเอ็ม. ส่วนประวัติศาสตร์ ณ โอกาสนี้เราจะกล่าวถึงวิวัฒนาการของปัญญาอย่างกว้างๆเท่านั้น

8.ปรัชญาสังคม
8.8ระบบต่างๆในวิวัฒนาการของสังคม
8.8.1สมัยคนป่า,

สมัยคนป่านี้ เราถือว่าเริ่มจากต้นยุคไพรสโตซีน (Pleistocene) ของธรณีวิทยาเป็นต้นไป คือเมื่อ 2 ล้านปีก่อนปัจจุบัน เราได้กล่าวถึงเรื่องนี้มาบ้างแล้วในตอนท้ายของเรื่องวิวัฒนาการของสสาร จึงขอกล่าวรวบรัดว่า ลิง,ซึ่งหัดใช้เท้าหน้าปีนต้นไม้ จะให้กำเนิดมือขึ้น แล้วเมื่อมันใช้มือนี้ในการห้อยโหน ร่างกายแข้งขาก็เหยียดตรง มันจะกลายเป็นมนุษย์วานรไป เครื่องมือที่มีบทบาทใหญ่ในต้นสมัยคนป่าคือมือ มือที่ทำงาน,นั่นเอง ด้วยมือ,มนุษย์วานรก็รู้จักใช้กระบอง แล้วต่อมารู้จักใช้,หินเหล็กไฟทำอาวุธอย่างหยาบๆ ในการกะเทาะหินเหล็กไฟนี้ เลยพบวิธีทำไฟด้วย อาวุธหินอย่างหยาบๆนั้นก็ทำให้มันมีชัยต่อสัตว์ใหญ่ และทำให้สามารถล่าสัตว์ใหญ่กินเป็นอาหารได้ มนุษย์วานรจึงลงจากต้นไม้ มาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการล่าสัตว์บนพื้นดิน ธาตุฟอสฟอรัสในปลา และสัตว์,ทำให้มันสมอง ของมันเจริญมากขึ้น การล่าสัตว์,ก็เป็นการฝึกสมองให้เจริญยิ่งขึ้น ต้นเหตุในการนี้ย่อมอยู่ที่การเกิดมือนั่นเอง และมือก็คือ วัตถุประกอบขึ้นด้วยสสาร

ราว 750,000 ปี เราพบปฐมมนุษย์,กล่าวคือมนุษย์พวกแรก,ท่องเที่ยวอยู่ในแอฟริกาและชวา เขาเป็นมนุษย์ร่างกายใหญ่โตสมกับนามว่ามนุษย์ยักษ์ เขาได้ปรับปรุงอาวุธหินให้มีรูปร่างดีขึ้นและคมขึ้นทุกที และได้ท่องเที่ยวอย่างกว้างขวางขึ้นทุกที ครั้นใกล้สมัยน้ำแข็งที่สี่ มนุษย์แท้หน้าลิงก็เกิดขึ้น ด้วยอาวุธอันใหญ่และดีขึ้นและด้วยความรู้ในการทำไฟสำหรับแสงสว่าง เขาก็เข้าไปยึดถ้ำเป็นที่อาศัย ทั้งนี้,เขาต้องขับไล่และฆ่าสัตว์ที่อาศัยถ้ำแต่เดิมเสียก่อน ราว 520,000 ปีมาแล้ว เราพบมนุษย์แท้หน้าลิงชื่อเนอานเดอธาล นี้ตามถ้ำในทวีปยุโรป มนุษย์เริ่มเข้าอาศัยในถ้ำและเริ่มสมัยหินเก่า (Palaeolithic) ทางประวัติศาสตร์ มนุษย์หินเก่าเกิดขึ้นราว 200,000 ปีมาแล้ว มนุษย์เนอานเดอธาลนี้น่าจะสืบสายมาช้านานมาก ตอนหลังๆเราพบว่ามนุษย์หน้าลิงนี้เริ่มมีความคิดบ้างแล้วคือเราพบว่ามนุษย์เนอานเดอธาลรู้จักฝังศพคนตายแล้ว และยังฝันเครื่องมือหิน อาหาร กับสีทาตัวลงลงไปด้วย

นี่,แสดงว่าประเพณีฝังศพเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สุด และเป็นศาสนาแรกเริ่มที่สุดด้วย ทั้งนี้มนุษย์เนอานเดอธาลน่าจะเคยฝัน และเกิดความคิดเรื่องวิญญาณเป็นสิ่งที่มีแยกจากกายขึ้น เขาน่าจะคิดว่าวิญญาณเป็นอมตะ (Immortal) และคนตายนั้นเพียงแต่นอนหลับไป ส่วนวิญญาณของเขาจะออกท่องเที่ยวไป ดังนั้นเขาจึงฝังของกินของใช้ลงไปพร้อมกับของผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายเอาไปใช้ในโลกวิญญาณ ฉะนั้นเราจะต้องนับว่าประมาณ 50,000 ปีมาแล้วนั้น ปัญญา,อันเป็นปรัชญาวิญญาณนิยม (Aninism) ก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วด้วย ปัญญาของมนุษย์,จึงเริ่มต้นด้วยปัญญาทางศาสนาก่อน ส่วนการรู้จักล่าสัตว์และการทำอาวุธหินนั้นถือเป็นความจัดเจน ,ที่ไม่มีความนึกคิดประกอบจึงเป็นเพียงทางวิทยาศาสตร์ที่ซุ่มซ่อนอยู่ ,ไม่ประจักษ์ออกมา

ถัดมาราว 35,000 ปีก่อน ค.ศ.เป็นสมัยหลังของสมัยหินเก่า ปรากฏมีมนุษย์อีกพวกหนึ่งเข้ามาอยู่แทนที่มนุษย์เนแอนเดอธาล. ทั้งมนุษย์เนอานเดอธาลและมนุษย์ใหม่,หน้าเป็นคน ,นี้ ยังไม่มีลักษณะของปากที่เหมาะสำหรับพูด พวกเขาจึงน่าจะใช้ภาษาอาการและเสียงร้องต่างๆ ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เท่าไรนัก มนุษย์ใหม่นี้คงอยู่ในถ้ำที่มนุษย์เนอานเดอร์ธาลอยู่ และน่าจะพิฆาตมนุษย์เนอานเดอร์ธาลจนสูญพันธุ์หมดไป มนุษย์ใหม่,ที่มีชื่อว่า,โคร-มาญญ็อง (Cro-magnon) นี้ มีอาวุธหินที่ทำด้วยฝีมือดีกว่าของมนุษย์เนอานเดอธาลมาก เขาสามารถทำการสลักหินเป็นรูปคนผู้หญิงได้ จากรูปที่สลักนี้,ปรากฏว่าพวกผู้หญิงมีเครื่องประดับศีรษะแล้วด้วย พวกเขาชอบสลักรูปสัตว์ต่างๆบนกระดูดและเขาสัตว์ และมีความชำนาญเป็นพิเศษ ในการเขียนรูปสัตว์ต่างๆบนผนังถ้ำ รูปเหล่านี้ถูกวาดไว้เหมือนของจริงจนแทบไม่น่าเชื่อ เพราะฝีมือนั้นมีแบบแผน (Style) พิเศษ และแสดงความชำนาญอย่างสูง พวกเขาทำฉมวกจากกระดูก และทำเข็มด้วยฝีมือเยี่ยม แสดงว่ามีการใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว

ในสมัยน้ำแข็งที่ 4 นี้ น้ำทะเลได้กลายเป็นน้ำแข็งไปมาก ระดับทะเลจึงลดลงไประหว่าง 250-600 ฟุต อ่าวไทยทั้งอ่าวจะกลายเป็นดินแดนติดต่อกับชวา แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำโขงจะยาวยื่นออกไปในอ่าวไทย และจะระบายไปสู่ทะเลลึกทางเกาะฟิลิปปินส์ ทะเลแดงจะแห้งหมด ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน,ก็จะแห้งเป็นดินแดนเป็นส่วนมาก มันคงจะมีทะเลสาบในตอนกลางๆเพียงสองแห่งเท่านั้น และเป็นทะเลสาบน้ำจืดด้วย

ช่องแคบยิบรอลต้าจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ในมหาสมุทรแอตแลนติกมากทีเดียว ในเวลาเดียวกันนี้น้ำแข็งที่ละลาย,ก็จะทำให้เกิดทะเลสาบน้ำจืดกว้างใหญ่ติดต่อกับทะเลสาบแคสเปี้ยนเข้ากับทะเลดำและทะเลแอรัล(Aral) ดินแดนในอินเดีย,ตีนเขาหิมาลัย ก็เป็นทะเลไปเหมือนกัน ภูมิประเทศระหว่างนี้มีผลต่อการเคลื่อนย้ายที่ทำกินของมนุษยชาติเป็นอันมากในสมัยคนป่าดังกล่าวนี้ จะมีวาระซึ่งอาหารเกิดขาดแคลน และพวกคนป่าจะกินเนื้อคนเป็นอาหาร เด็กๆหรือคนรุ่นๆจะถูกฆ่าเป็นอาหาร นี่,ก่อให้เกิดความรู้สึกรุนแรงขึ้น ซึ่งต่อมาให้กำเนิดประเพณีศาสนาเช่นการบูชายัญ การฆ่าคนบูชาเทพเจ้าหรือเทพี,อาจสืบเนื่องมาจากความจำเป็นที่ต้องกินคนเช่นนี้ก็ได้ คนป่าในถ้ำ และคนป่าที่ยังอยู่ตามต้นไม้, น่าจะอยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ ทั้งนี้โดยมีพ่อเป็นประมุข ในถ้ำ,เราหาพบโครงกระดูกจำนวนมากมายๆไม่ แสดงว่าหากครอบครัวใหญ่ขึ้น พ่อกับแม่อาจขับลูกชายหรือลูกหญิง ด้วยความหึงหวงให้ไปอยู่ที่อื่นเสีย

ไม่ต้องสงสัยเลย อาวุธหิน,ได้ช่วยให้มนุษย์ถ้ำมีเวลาว่างจากการท่องเที่ยงหาอาหารตลอดเวลา เพราะถ้าได้สัตว์ใหญ่ๆมาสักตัว เขาก็ใช้กินไปได้นาน การพบไฟและวิธีทำตะเกียง,ทำให้เขาสามารถอยู่ในถ้ำได้ และปลอดภัยจากลมฟ้าอากาศแปรปรวนต่างๆ นี่,จะเป็นเหตุให้เกิดการทำงาน ทางศิลปะต่างๆขึ้นดังกล่าวมาแล้ว และเป็นเหตุให้เกิดประเพณีฝังศพ กับลัทธิวิญญาณนิยม (Animism) ขึ้นด้วย หากไม่มี “เครื่องมือหิน” แล้ว วัฒนธรรมต่างๆเหล่านี้จะหาเกิดขึ้นได้ไม่

8.ปรัชญาทางสังคม
8.8. ระบบต่างๆในวิวัฒนาการของสังคม
8.8.2. สมัยชุมชนบุพกาล(Primitive Commune)

สืบต่อมาได้มีบันทึกและมีร่องรอยทางวัตถุ แสดงว่ามนุษย์เคยอยู่เป็นครัวเรือนใหญ่ๆมาแล้ว มนุษย์กลุ่มใหญ่เหล่านี้อยู่กันอย่างเสมอภาค ปราศจากชนชั้นวรรณะและช่วยกันทำช่วยกันกิน เวลาประสพภัยหรือความหายนะต่างๆก็เข้าช่วยเหลือไม่ละทิ้งกัน สมัยนี้เป็นสมัยที่มนุษยชาติมีความสุขมากและมีสัตยธรรมสูงยิ่ง ความทรงจำอันนี้ได้สืบต่อมาด้วยการเล่าสู่กันฟัง,จนถึงปัจจุบัน

สมัยชุมชนบุพกาล (Primitive Commune) นี้คือกฤตยุคของพราหมณ์นั่นเอง ในยามที่โลกเดือดร้อน เราก็มักอ้างภาวะที่ประชาโลกดีต่อกันในสมัยชุมชนบุพกาล เช่นภราดรภาพ ประชาธิปไตย ความเสมอภาคและเสรีภาพ สิ่งเหล่านี้เคยมีในความเป็นจริงมาแล้วทั้งนั้น และคงมีอยู่ในระบบครอบครัวของปัจจุบัน เราจึงมีจินตภาพเกี่ยวกับภาวะอันเลิศเหล่านี้ได้ในปัจจุบัน
อะไรเป็นเหตุให้มนุษย์มารวมกันเป็นชุมชนใหญ่เล่า การอ้างว่า,มนุษย์เห็นดีในการนี้ย่อมไม่ใช่คำตอบเลย เพราะเราอาจถามต่อไปว่า อะไรทำให้เห็นดีเช่นนั้นเล่า คำตอบที่ถูกต้องก็คือ มนุษย์,ติดตามสัตว์มาเพื่อล่ามันเป็นอาหาร ในปีหนึ่งๆจะมีฤดูกาลอพยพของสัตว์ตอนต้นฤดูหนาว ซึ่งฝูงสัตว์จากทุกทิศานุทิศจะเดินทางมารวมกันในทุ่งใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วก็อพยพต่อไปเป็นการใหญ่ ปรากฏการณ์อย่างนี้ยังมีให้เห็นในทวีปอเมริกา
เมื่อเป็นเช่นนี้,มนุษย์ซึ่งติดตามฝูงสัตว์มา จะมาพบกันเป็นการใหญ่ เขาจะได้เสียกันและถือโอกาสฉลองประจำปีกันเป็นการใหญ่ ระหว่างการอยู่ร่วมกันนี้เอง เขาก็จะได้คิดว่า การอยู่รวมกันนั้นเป็นประโยชน์มาก นอกจากนี้,การได้เสียกันอย่างสำส่อน ก็อาจเป็นความผูกพันอีกทางหนึ่งชุมชนบุพกาลจึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา

เราไม่ใคร่มีบันทึกเกี่ยวกับระยะต้นๆของชุมชนบุพกาล อาจกล่าวได้ว่าไม่มีเลย แต่มันน่าจะเริ่มขึ้นตอนปลายสมัยมนุษย์ถ้ำ คือราวๆ15,000 ปีก่อน ค.ศ. และคงจะเริ่มทางแอฟริกาเหนือก่อน ส่วนมนุษย์ถ้ำโคร-มาญญ็องนั้น ไม่ปรากฏว่าได้เข้าสู่สังคมชุมชนบุพกาล โดยได้สูญพันธ์ไปเสียระหว่างที่อยู่ในสังคมแบบครอบครัวเล็กๆในถ้ำนั่นเอง

การอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่ๆนี้ ทำให้มีการแบ่งงานกันขึ้น ซึ่งนี่ก่อให้เกิดการปรับปรุงเครื่องมือหินให้ดีขึ้น สมัยชุมชุมบุพกาลนี้ตรงกับสมัยหินใหม่(Neolithic) ของประวัติศาสตร์ หินทราย (Sand Stone) ได้ถูกนำมาใช้ในการลับเครื่องมือหิน และจะมีช่างพิเศษสำหรับทำงานเฉพาะในการนี้ ดังเราเห็นตัวอย่างในหมู่คนป่าชาวคูบอร์ (Kubor) ในเกาะนิวกินีปัจจุบัน ด้วยการลับอาวุธหินจนเรียบเป็นมันคมกริบและมีรูปทรงดี ปรากฏการใช้คุ้นไม้ติกับอาวุธหินนี้ด้วย เครื่องมืออื่นๆก็มีค้อนและอีเตอร์ มนุษย์หินใหม่มีเวลาคิดถึงการผลิตเครื่องมือใหม่ๆเขาจึงน่าจะผลิตไม้ซางซึ่งยิงลูกดินตากแห่ง แล้วต่อมายิงลูกดอกอาบยางน่อง ถัดมาอีกเขาก็พบเครื่องยิงกระสุนหรือหน้ากระสุน ซึ่งพัฒนาการต่อมาก็กลายเป็นเกาทัณฑ์ขึ้น หน้าไม้,คือเครื่องยิงธนูที่ใช้ไกแบบปืน และน่าจะเกิดทีหลังที่สุด ธนูเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งของสมัยหินใหม่ เพราะมันก่อให้เกิดความสัมพันธ์อย่างใหม่ของมนุษย์ขึ้น มนุษย์โคร-มาญญ็องอาจสูญพันธุ์ไปเพราะธนูของมนุษย์หินใหม่ราวๆ 15,000 - 10,000 ปีก่อน ค.ศ.ก็ได้

บัดนี้,เราจะได้พิจารณาเหตุทางวัตถุอีกอย่างหนึ่งอันบังคับพัฒนาการของสังคมอยู่ด้วย นี่คือระบบครอบครัวของมนุษย์ ดังมีปราชญ์ศึกษามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1816 และมาลงเอยด้วยเรื่อง (Ancient Society) ของ (Morgan) ในปี ค.ศ.1877 เราขอกล่าวสรุปเพียงสั้นๆว่ามนุษย์หินใหม่มีระบบแต่งงานหมู่ (Group Marriage) คือในครัวเรือนหนึ่งๆหญิงทุกคนเป็นภรรยาของชายทุกคน ในบันทึกทางประวัติศาสตร์,เราพบการระบุถึงการแต่งงานแบบนี้ในหมู่ชนชาติที่ล้าหลังต่างๆและระบบสังคมญาติที่ตกทอดมาเป็นชื่อเรียกคนในสกุล (แซ่) ก็ยันถึงความจริงข้อนี้ การแต่งงานหมู่นี้เองเป็นเหตุให้ชุมชนบุพกาลดำรงอยู่ได้ และก็เป็นปรากฏการณ์เช่นเดียวกับในฝูงสัตว์ดังกล่าวมาแล้ว

การแต่งงานหมู่นี้แปรรูปไปเพราะคนในชาติวงศ์ (Gens) มากขึ้น และจำเป็นต้องแยกย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ธรรมชาติของหญิงช่วยผลักดันการแปรรูปนี้ด้วย เพราะหญิงไม่อาจรับรองชายได้ทุกเวลา เมื่อชายมีจำนวนมากขึ้น การกีดกันจากหญิงเพื่อสุขภาพของเธอก็ย่อมมีเป็นธรรมดาระบบแต่งงานหมู่จึงแปรไปดังนี้คือ พวกรุ่นปู่ย่า,ถูกกันออกไปพวกหนึ่ง ถัดมา,ก็มีการกันพวกบิดามารดาออกจากวงแต่งงานหมู่ กล่าว คือพวกลูกๆแต่งงานสมสู่ในรุ่นของตน วิธีแต่งงานแบบหลังนี้ปรากฏในประวัติศาสตร์มากมาย พวกอารยันในอินเดีย,ก็มีการสมรสระหว่างพี่น้องกันเองเช่นนี้และน้องสาว,ก็คือภรรยา และพี่ชาย,ก็คือสามีนั่นเอง ระบบแต่งงานในสกลเดียวกัน แต่ให้หญิงในสกุลหนึ่งแต่งงานกับชายกลุ่มหนึ่งในสกุลอื่น

การแต่งงานนี้มีตัวอย่างในปัจจุบันเช่นในหมู่เกาะฮาไวอีและในหมู่ชนคนป่าะพื้นเมืองของออสเตรเลีย การที่หญิงมีสามีหลายคนก็เป็นประเพณีที่คงมีอยู่ในหมู่ชาวทิเบตและชาวดราวิเดียนของภาคใต้ของอินเดีย แม้ชนชาติไทยก็มีร่องรอยของการแต่งงานหมู่เหมือนกัน ซึ่งเรากำลังศึกษาอยู่

การแต่งงานหมู่นี้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ขึ้นระหว่างมนุษย์ดังที่เราพบในฝูงสัตว์ กล่าวคือเนื่องจากพวกลูกๆไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ แต่รู้ว่าใครเป็นแม่ ก็จะยกย่องแม่ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดตัวขึ้นมาหญิงจะเป็นใหญ่ในสมัยนี้ และในการปกครองชาติกุล หญิงน่าจะถูกรับเลือกเป็นประมุขด้วย การสืบสกุลก็จะสืบมาทางมารดา และเกิดสิทธิทางมารดา (Mother Right) ตามประเพณีขึ้น ต่อมาในภายหลัง ภาวะที่ก่อให้เกิดสิทธิทางมารดาจะหมดไป แต่ประเพณีจะสืบต่อมาในความนึกคิดชาวอิสานในชนบทขณะนี้ก็ยังถือสิทธิทางมารดากันอยู่

มนุษย์สมัยหินใหม่ เริ่มประวัติศาสตร์ของเขาด้วยการตามล่าสัตว์ก่อน ระหว่างนี้เขาก็พบว่าสุนัขป่าได้ติดตามเขาไป และได้เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อกินซากสัตว์ที่มนุษย์ทิ้ง ต่อมา, มันเลยคุ้นเคยกับมนุษย์ และกลายเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดแรกที่สุดของมนุษยชาติไป คนป่าพื้นเมืองทวีปออสเตรเลียยังอยู่ในภาวะของสังคมแค่นี้ คือยังล่าสัตว์เป็นอาหารอยู่และมีสัตว์เลี้ยงอย่างเดียวคือสุนัข ต่อมาอีกมนุษย์หินใหม่ซึ่งมีจำนวนมากขึ้น ก็ใช้วิธีร่วมมือกันไล่ต้อนฝูงสัตว์ป่าที่ตัวออกล่ามาเป็นสัตว์เลี้ยง มนุษย์จึงรู้จักเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่นั้นมา และในการเลี้ยงสัตว์นี้ต่อมาก็ทำให้เขาจำเป็นต้องรู้จำนวน การนับ,ลบและบวก จำนวนของสัตว์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนี้ จึงทำให้เขาคุ้นเคยกับวิชาเลขขึ้น เลขคณิตจึงได้เกิดขึ้นแต่นั้นมา

ประมาณ 12,000 ปีก่อน ค.ศ. น้ำแข็งในสมัยน้ำแข็งที่ 4 ก็ได้ละลายและได้คืนน้ำสู่ทะเล ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น น้ำทะเลที่ไหลบ่าเข้าสู่ดินแดนซุนด้า (Sunda) ในอ่าวไทย และไหลบ่าข้ามช่องแคบยิบรอลต้าไปดินแดนที่เคยเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มนุษย์หินใหม่ในดินแดนเหล่านี้จะพบว่าเกิดน้ำท่วมโลกขึ้น พวกเขาจะอลหม่านหนีน้ำกัน และพาสัตว์เลี้ยงไปด้วย พวกงูจะออกเพ่นพ่านหนีน้ำและทำลายชีวิตคนเสียมาก จึงเกิดการกลัวงูและถืองูเป็นพระเป็นเจ้ากันขึ้น น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่คราวนี้ ยังได้ทำให้มนุษย์หินใหม่หาทางคิดทำเรือขึ้นด้วย และนี่,ก่อให้เกิดนิสัยประจำหมู่คณะขึ้นสองประการคือ เกิดพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ทางบกขึ้นเคียงคู่ไปกับพวกเร่ร่อนทางน้ำ ที่ใช้สัตว์น้ำเป็นอาหารส่วนใหญ่ พวกหินใหม่ทางน้ำนี้แผ่ไปตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก และกลายเป็นชาวเกาะต่างๆ ชาวเล,ในประเทศไทยทางภาคใต้ ยังมีความเป็นอยู่คล้ายมนุษย์หินใหม่ที่เร่ร่อนทางน้ำนี้

เมื่อน้ำแข็งละลายแล้ว แผ่นดินในยุโรปก็ปรากฏขึ้น และทุ่งหญ้าจะเกิดขึ้นทั่วไป มนุษย์หินใหม่กับฝูงสัตว์ของเขาจะอพยพจากแอฟริกาเหนือไปสู่ยุโรปด้วย แต่ก็จะมีพวกหนึ่งซึ่งคงยังอยู่ทางดินแดนตอนใต้ มนุษย์หินใหม่ที่เข้าไปในยุโรปนี้,ต่อมาก็อยู่ที่นั่นเลย เพราะเกิดป่าบังทางไม่ให้เขากลับคืนถิ่นฐานเดิมได้ เขาจะเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อยู่ตามทุ่งหญ้าของยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางทะเลสาบน้ำจืดใหญ่, ที่รวมเอาทะเลดำ ทะเลแคสเปี้ยนและทะเลแอรัลไว้ จะแบ่งพวกนี้แยกออกเป็นสองสาย สายหนึ่งเข้าไปอยู่ในยุโรปตะวันออก และบางพวกอาจเล็ดลอดป่าไปอยู่ตามทุ่งเล็กๆริมทะเลสาบในยุโรป

ระหว่างนี้พวกหินใหม่ทางน้ำอีกพวกหนึ่งก็ออกจากแอฟริกาเหนือ ไปอยู่กันตามฝั่งทะเลยุโรป พวกเขาทิ้งเปลือกหอยที่ใช้เป็นอาหารไว้เป็นกองๆ พวกหินใหม่อีกพวกหนึ่งแยกไปทางตะวันออกของทะเลดำ และท่องเที่ยวมุ่งตะวันออกเรื่อยไปกระทั่งไปสู่อเมริกาเหนือแล้วพวกเขาก็มุ่งลงใต้ไปตามทวีปอเมริกา พวกหินใหม่ที่ไปทางตะวันตกได้แก่พวกอารยันผิวขาว และที่ไปทางตะวันออกได้แก่พวกมองโกล ทะเลสาบใหญ่ดังกล่าวนั้นกันไม่ให้พวกนี้มาสมสู่กัน กระทั่งน้ำในทะเลสาบแห้งหมด

ไปกลายเป็นทะเลดำ ทะเลแคสเปี้ยนและทะเลแอรัลแยกออกจากกันแล้ว พวกมองโกลจึงมาปะปนกับพวกอารยันอีก ผลคือ,ทางเหนือของโลก,ตามทุ่งหญ้าต่างๆ จะมีเชื้อชาติผิวขาวเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อยู่ แต่ทางใต้,ตามลุ่มน้ำต่างๆจะมีเชื้อชาติผิวดำตั้งรกรากทำกสิกรรมอยู่ การที่มีผิวขาวหรือผิวดำก็แล้วแต่รังสีที่ตกต้องร่างกายแตกต่างกันเท่านั้น ที่แท้จริงแล้วมนุษย์สองผิวนี้มาจากบรรพชนร่วมกัน

บัดนี้เรามาพิจารณากำเนิดของการเพาะปลูกกันเสียก่อน จากการ ศึกษาพวกคนป่าพื้นทวีปออสเตรเลีย เราทราบว่าได้มีการแบ่งงานระหว่างเพศแล้วตั้งแต่ตอนต้นๆของสมัยหินใหม่ คือพวกผู้ชายออกไปล่าสัตว์ พวกผู้หญิงอยู่กับบ้านเลี้ยงลูก ทำหนังสัตว์ให้เป็นเสื้อผ้า และเก็บเมล็ดพืชมาทำเป็นอาหาร ฉะนั้นเราก็คิดกันว่า เมื่อรู้จักเลี้ยงสัตว์แล้ว จะมีการเอาเมล็ดหญ้าหรือพืชมาสะสมไว้ให้สัตว์กิน มันจะตกหล่นใกล้ๆกับมนุษญ์หินใหม่ และจะงอกขึ้นให้เห็น พวกผู้หญิงจะเป็นผู้ค้นพบเรื่องนี้เข้า และเธอจะเป็นผู้เริ่มการเพาะปลูกให้แก่มนุษยชาติขึ้น เกียรติในการค้นพบการกสิกรรมจึงตกอยู่แก่ผู้หญิง

ถัดจากมนุษย์เนอานเดอธาลมา การฝังศพก็กลายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งขึ้นทุกที และการฝังศพ,ก็คือศาสนาในขั้นแรกที่สุดนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้,การฝังศพจึงคู่เคียงมากับวัดของศาสนาศพของประมุขแห่งชาติวงศ์,ย่อมถูกตบแต่งให้ดีเป็นพิเศษ และมีการแสดงคารวะต่อประมุขที่ตายแล้ว นี่,ทำให้เกิดศาสนาบูชาบรรพชนขึ้น ความต้องการไฟ และการเห็นคุณค่าของไฟ ก็ยกไฟขึ้นเป็นเทพเจ้า ไฟจึงเป็นเทพเจ้าของพวกคนป่ามาตั้งแต่ดั้งเดิมเหมือนกัน พวกคนป่าออสเตรเลียเพียงแต่นับถือไฟ แต่พวกคนป่าอารยันเอาไฟเป็นพระเจ้าเลยในนามว่าอัคนี ถัดมางูอาจถูกยกเป็นพระเจ้า เพราะมีน้ำท่วมโลกและมีการระบาดของพวกงูดังกล่าว แต่เทพเจ้า,ที่เป็นคนในสมัยนี้ จะต้องเป็นเทพีอย่างแน่นอน

จากการศึกษาประวัติศาสตร์เราทราบว่า ศาสนา,ที่เก่าแก่เป็นศาสนาเทพี ทั้งนี้เพราะในสมัยชุมชนบุพกาล ,ผู้หญิงได้ความเป็นใหญ่ในชาติวงศ์ และอาจเป็นใหญ่ในชาติกุล (Tribe) ด้วย การบูชาบรรพชนทำให้เธอถูกยกย่องเป็นเทพี และมีการถือว่าเธอเป็นเทพีของแผ่นดินและพืชผล จึงเกิดเทพีเช่นนางธรณีและแม่โพสพขึ้น อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ (Perfectibility) ความคุ้นเคยกับการสำส่อนทางเพศทำให้มนุษย์ในสมัยแม่นี้ เอาอวัยวะสืบพันธุ์มาเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ฉะนั้นเคียงคู่มากับการนับถือเทพี ก็มีการนับถือลิงค์และโยนี ตลอดจนรูปแสดงการสังวาสระหว่างหญิงกับชายศาสนานี้,

ต่อมาเนื่องจากระบบแต่งงานได้เปลี่ยนไปเป็นชนิดจับคู่ (Paring) ในการแต่งงานหมู่ จึงดำรงประเพณีหลายผัวหลายเมียไว้ โดยให้ไปกระทำกันในที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอย่างถือเป็นการบุญ ศาสนานับถือเทพีนี้ได้ถูกมนุษย์หลงลืมไป เพราะมีมาช้านานมาก แต่ในเวลานี้ก็คงมีร่องรอยพอสืบสาวได้ทั้งในยุโรปและเอเชีย ในอินเดีย,ศาสนานี้คงมีสืบต่อมาในชื่อว่าลัทธิตันตระ,ซึ่งมีเจ้าแม่กาลีเป็นเทพีของศาสนา ไทยเราเองก็มีร่องรอยของศาสนานี้ในหมู่ชายเขาเผ่าอีก้อ

เมื่อค้นพบการปลูกพืชแล้ว มนุษยชาติก็แบ่งแยกกันเด็ดขาดเป็นสองพวก คือพวก ที่เลี้ยงสัตว์เป็นส่วนใหญ่ตามทุ่งหญ้าพวกหนึ่ง กับพวกทำกสิกรรมตามลุ่มน้ำใหญ่ๆของโลกพวกหนึ่ง พวกที่เลี้ยงสัตว์ตามทุ่งหญ้ามีนิสัยเร่ร่อน เขาปลูกพืชเป็นครั้งเป็นคราวและทิ้งไร่ไปอยู่ที่อื่น ทั้งนี้เพราะดินไม่ดีและหญ้าก็หมด ต้องอพยพพาสัตว์ไปหากินยังที่ใหม่ชนคนป่าะพวกนี้มีชื่อว่าโนแมดส์ มีทั้งผิวดำ ผิวขาวและผิวเหลือง เช่นโนแมดส์เซมไม์ (Semites) ผิวดำ, โนแมดอารยัน (Aryan) ผิวขาว และโนแมดมองโกล (Mongol) ผิวเหลือง พวกนอแมดเหล่านี้,เนื่องจากต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆจึงมักอยู่กันตามกระโจม เขามีความอาลัยต่อศพคนตาย เขาจึงหาทางเอาซากศพติดตัวไปด้วย ทั้งนี้เลยเลิกการฝังศพ หากเอาศพไปเผาและเก็บกระดูกใส่โกษฐ์ไว้ โกษฐ์,ก็คือบ้านจำลองนั่นเอง

ในเวลาเดียวกันนี้ พวกที่ตั้งรกรามตามลุ่มน้ำ คงมีประเพณีฝังศพอย่างเดิม และพิถีพิถันกับการฝังศพมาก ทั้งนี้ก็เพราะการทำกสิกรรม,ทำให้พวกเขามีอาหารสมบูรณ์แน่นอน เวลาว่างก็มีมาก การค้นพบไถ,โดยใช้สัตว์ดึงคันไถ,เป็นไนถทำจากแขนงของต้นไม้ ทำให้การกสิกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้น การกสิกรรมนี้,บังคับใหมนุษย์หินใหม่ ศึกษาการเคลื่อนไหวของดวงดาว ทั้งนี้เพื่อให้รู้ฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับหว่านพืชและไถคราด จึงเกิดปฏิทินและวิชาดาราศาสตร์ขึ้น รวมทั้งการวัดมุมถัดมาก็เกิดกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามลุ่มน้ำต่างๆ วิชารังวัดและเรขาคณิตก็เกิดตามมา พวกที่เร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อยู่ทางเหนือของโลกนั้น ย่อมสำนึกในประโยชน์ของไฟในการให้ความอบอุ่นและแสงสว่าง พวกเขาจึงถือไฟเป็นพระเจ้า แต่พวกที่ทำกสิกรรมนั้นนับถือน้ำ,ที่ได้จากฝนและจากทางน้ำต่างๆ เขาจึงยกน้ำเป็นพระเจ้าและถือน้ำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกนี้คือพวกที่นับถืองูหรือนาคมาแต่ก่อน เขาจึงได้สมญาว่าพวกนาคา ซึ่งในภายหลังเข้าใจผิดกันว่าเป็นนาคจริงๆไป

สมัยหลังของหินใหม่ มีเหตุการณ์ที่เราทราบแน่นอนกว่าสมัยแรกมาก เพราะมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุถึงมากมาย ต้นเหตุของสังคมในสมัยหลังของหินใหม่ คือการรบพุ่งระหว่างมนุษย์ นี่,น่าจะเกิดราว 10,000 - 8,000 ปีก่อน ค.ศ. การรบพุ่งนี้เกิดจากการหินกินล้ำแดนกันผู้ที่แพ้ในการรบ จะถูกจับเป็นเชล ซึ่งอาจถูกฆ่าเสีย หรือรับเข้าไว้ในชาติวงศ์ก็ได้ ขณะนั้นคนในชาติวงศ์ต่างๆ ยังถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันอยู่ และเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตร่วมกันในตอนต้นๆสมัยหินใหม่ ภายในชาติวงศ์เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ดั้งเดิมแล้ว เพราะทุกคนเป็นพี่น้องกันหมดเสมอภาคกันในความเป็นอยู่ สมาชิกในชาติวงศ์จะเลือกตั้งประมุขไว้คนหนึ่งเพื่อเป็นผู้นำทางศาสนา ผู้นำนี้อาจถูกปลดเสียเมื่อไรก็ได้ จากไคเภ็กของจีนเราทราบว่าประมุข,อาจเลือกจากผู้ค้นพบเครื่องมือหรือเทคนิคใหม่ๆก็ได้ การรบพุ่งซึ่งมีบ่อยครั้ง ทำให้ต้องเลือกตั้งหัวหน้านักรบไว้อีกคนหนึ่งด้วย เมื่อชาติวงศ์ใหญ่ขึ้นและแยกย้ายกันไป ทำให้ต้องเลือกตั้งหัวหน้านักรบไว้อีกคนหนึ่งด้วย

เมื่อชาติวงศ์ใหญ่ขึ้นและแยกย้ายกันไป กลายเป็นชาติกุลหรือเผ่าชนไป ก็มีการเลือกตั้งประมุขของชาติกุลหรือเผ่าชนขึ้นคนหนึ่ง จากประมุขของชาติวงศ์และมีการเลือกตั้งหัวหน้านักรบขึ้นสองคน ด้วย การรบพุ่งนี้,เป็นเหตุให้พวกผู้ชายได้ทรัพย์สินจากการรบ ทั้งนี้,เพราะการรบเป็นไปตามแบบประชาธิปไตยในการรบ คือ อาสาสมัครและจัดหาอาวุธมาเอง ทรัพย์สินที่ได้จากการรบจึงตกเป็นของส่วนตัวของชายคนนั้น พวกเด็กและผู้หญิงอยากได้สิ่งเหล่านี้ ก็พากันเอาใจพวกผู้ชาย อีกประการหนึ่งปรากฏว่าเชลยศึกบางคนเป็นช่างฝีมือและเขาสามารถทำของใช้ต่างๆได้ ผู้ชายคนใดได้เชลยไว้ ก็เห็นช่องที่จะเอาสิ่งที่ทำขึ้นได้นี้เป็นของตนแต่ผู้เดียวทั้งนี้เพราะเป็นสิ่งที่เชลยศึกทำขึ้น ไม่ใช่คนในชาติกุลทำขึ้น เขาจึงเอาเชลยศึกไว้เป็นทาส สำหรับรับใช้แทนการถูกฆ่าให้ตายเสีย ต่อมา,ความโลภก็ถูกเพาะขึ้นในจิตใจพวกผู้ชายจึงเอาทาสไปเลี้ยงสัตว์และทำไร่ จึงเกิดแผ่น ดินและฝูงสัตว์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวขึ้นทาสเหล่านี้ยังมีลูกหลานออก มาด้วย ทาส,จึงเสมือนสัตว์เลี้ยงอย่างหนึ่งไป ด้วยภาวะทางวัตถุใหม่ๆเช่นนี้ ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นในสังคมมนุษย์ กล่าวคือ พวกผู้ชายถูกเลือกตั้งเป็นประมุขของชาติวงศ์และชาติกุลแทนผู้หญิงไป ผู้หญิงและเด็กที่ไม่ได้ไปรบ ไม่มีทาส ก็ต้องตกเป็นคนที่ไม่มีอะไรเป็นสมบัติส่วนตัวไป พวกผู้ชายจะมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวต่างๆขึ้นมา และเพื่อให้สมบัติตกแก่บุตรที่แท้จริงของเขา พวกผู้ชายจะกันภรรยา,คนที่เขาจับคู่ไว้,มาเป็นของเขาแต่ผู้เดียว ผู้หญิงจึงมีสามีได้แต่หนึ่งเท่านั้น นับจากเวลานี้เป็นต้นไปสิทธิทางมารดาและเกียรติ ของสตรีก็สูญไปด้วย แม้เทพี ก็ถูกหลงลืมกัน เพราะเมื่อประมุข ,ผู้ชาย,ที่มีชื่อ, ตายไป เขาก็กลายเป็นเทพเจ้าผู้ชายไปด้วยการยกย่อง ระบบพ่อเป็นใหญ่ (Patriarchal Family) ได้เกิดขึ้นในโลกราวๆ 6000 –5000 ปีก่อน.ค.ศ. มาแล้ว

ชุมชนบุพกาล,ที่มีแม่หรือสตรีเป็นใหญ่ มีความเสมอภาคกันในความเป็นอยู่ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน เป็นเจ้าของเครื่องมือในการผลิตร่วมกัน ฯลฯจะแตกสลายเป็นชุมชนใหม่ ชาติวงศ์ใหม่ ชาติกุลใหม่ที่มีชายถืออาวุธเป็นประมุข ในชาติวงศ์หนึ่งๆจะมีพ่อเป็นประมุข พร้อมด้วยภรรยาเอกคนหนึ่ง,ซึ่งเป็นอิสระชน ถัดไปจะมีภรรยาทาสอีกมากหลาย พร้อมทั้งทาสผู้ชายกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ครัวเรือนในปลายสมันหินใหม่นี้จึงใหญ่ไม่แพ้ครัวเรือนแต่ก่อนๆเลยแต่ครัวเรือนแบบนี้ดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเกิดรัฐแล้วเท่านั้น เราจึงควรพิจารณาย้อนต้นอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อรบพุ่งกันหนัก และเกิดการนิยมใช้ทาสกัน การฆ่าทาสเป็นพลีกรรมต่อเทพเจ้า,ก็ตามมาด้วยการฆ่าทาส เพื่อส่งไปให้บรรพชนในโลกวิญญาณ นี่,คือการจับคนบูชายัญนั่นเอง หลุมฝังศพของประมุข,จึงมีสัตว์กับทาสถูกฝังทั้งเป็นตามลงไปด้วย ประมุขชาย,ในปลายสมัยหินใหม่นี้นิยมใช้สัตว์ป่าเป็นสัญลักษณ์แสดงชาติกุลของตน ดังเช่นที่พวกอินเดียนแดงนิยมทำกันอยู่ บางทีเขาก็เอาหัวสัตว์หรือเขา หรือเขี้ยวของมันมาประดับกายให้ดูดุร้ายน่ากลัว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการรบ บางทีก็เขียนหน้าด้วยสีให้น่ากลัวด้วย เมื่อประมุขเช่นนี้ตายไป และถูกยกเป็นเทพเจ้าก็เกิดเทพเจ้าหัวสัตว์หรือบางส่วนเป็นสัตว์ขึ้น เทพเจ้าผู้ชายและเทพเจ้าที่เป็นสัตว์จึงเกิดขึ้นได้ในปลายสมัยหินใหม่นี้ แต่คนโบราณได้เล่าเรื่องนี้กลับไปอีกอย่างหนึ่งว่า เทพเจ้า,มาเป็นบรรพชนของเขา พวกกรีกและอินเดีย,มักมีนิยายเล่าเช่นนี้ แต่เราก็เชื่อได้เพียงว่า คนโบราณยกบรรพชนเป็นเทพเจ้าเท่านั้น เทพเจ้าเหล่านี้มีประจำชาติวงศ์หรือชาติกุลหนึ่งๆและมีการเก็บกระดูกหรือศพของเขาไว้ในเคหะพิเศษ,คือบ้านจำลองที่เรียกว่าศาลเจ้าหรือศาลเทพารักษ์ทางอีสานเรียกศาลเช่นนี้ว่าปู่ตาเฉยๆ คนสมัยหินใหม่,ได้แต่งคำกล่าวเยินยอบรรพชนหรือเทพเจ้าของเขาไว้ ชาติวงศ์เดียวก็นับถือเทพเจ้าองค์เดียว ฉะนั้นพวกพราหมณ์จึงกล่าวว่า ในกฤตยุค หรือสมัยชุมชนบุพกาลนี้ มีการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว และมีพระเวทเดียวคือฤคเวท สำหรับสรรเสริญเทพเจ้าเท่านั้น

การมีทาสใช้,ก็เท่ากับเกิดเครื่องมือในการผลิตอย่างใหม่ขึ้นในสังคม และเกิดความสัมพันธ์อย่างใหม่ อันผลักดันสังคมอยู่ นี่,คือความสัมพันธ์ระหว่างทาสกับนายทาส นายทาส,ได้ใช้ให้ทาสทำสินค้าขึ้นมากหลายเกินความต้องการ ทีนี้,ก็มีการนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกันในตลาด วัว,ถูกใช้เป็นสื่อ ของการแลกเปลี่ยนก่อน แล้วต่อมา,จึงมีการใช้วัตถุอื่นเช่นเปลือกหอยและโลหะมีค่า เครื่องชั่ง,ได้ถูกผลิตขึ้นใช้ในการค้า การชั่ง,เลยเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา

ในชั้นแรก มนุษย์เอาหินมาสกัดทำเป็นภาชนะต่างๆใช้ก่อน เราพบร่องรอยแสดงว่าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แม้จะเป็นเวลาโบราณแค่ 5000 ปีก่อน ค.ศ. นี้เองก็ยังหามีเครื่องปั้นดินเผาใช้ไม่แต่เครื่องปั้นดินเผาก็ถูกค้นพบในราวๆ 4500-5000 ปีก่อน ค.ศ.นี้เอง ขณะนี้ยังมีชนคนป่าะหลายเผ่าในส่วนต่างๆของโลกซึ่งยังหาค้นพบเครื่องปั้นดินเผาไม่
ธนู,อันค้นพบใหม่สมัยหินใหม่นี้เอง เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดทาสขึ้น เพราะด้วยการยิงได้ในระยะไกล เชลยศึกจะไม่กล้าหนี และยอมตนเป็นทาสต่อไป ไถ,ทำด้วยไม้ ก็ให้กำเนิดไร่นาใหญ่ๆอันทำให้มนุษย์มีอาหารสมบูรณ์แน่นอนยิ่งขึ้น และสามารถหล่อเลี้ยงทาสไว้ให้ทำงานอื่น สินค้าจึงถูกผลิตขึ้นขายในตลาดได้ ตลาด,ทำให้เกิดเมือง แล้วก็มีชาติกุลบางชาติกุลเป็นใหญ่ขึ้นในเมืองนั้น ทั้งนี้โดยเขาเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ในเมืองนั้น ชาติกุลนี้จะดำเนินการปกครองเมือง,ขึ้นกองทหาร,ที่จัดไว้เพียงในเวลารบและปลดไปในเวลาสงบ ก็เลยมีอยู่เป็นการถาวร ส่วนหนึ่งถูกใช้ออกกระทำการเป็นตำรวจ ตำรวจและทหารเหล่านี้มีไว้ป้องกันพวกทาสกำเริบขึ้น ดังนี้ระบบครอบครัวแบบพ่อบ้านเป็นใหญ่ ซึ่งมีทาสและทหารเหล่านี้มีไว้ป้องกันพวกทาสกำเริบขึ้น ดังนี้ระบบครอบครัวแบบพ่อบ้านเป็นใหญ่ ซึ่งมีทาสใช้ในครัวเรือน,จึงดำรงอยู่ได้

เนื่องจากชาติกุลต่างๆที่มาค้าขายในเมือง มีเทพเจ้าประจำชาติกุลของตนอยู่ จึงมีการจัดสร้างวิหารในเมืองสำหรับเป็นที่ไว้เทพเจ้าต่างๆ ชาติกุลแต่ละชาติกุลต่างก็มาประกอบพิธีกรรมตามวิหารนี้ตามขนบประเพณีของตนจึงเกิดศาสนานับถือเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism Bronze) ขึ้น ภาวะสังคมเช่นนี้มีตัวอย่างให้เห็นในคริสต์ศตวรรษที่ 6 คาบที่ 7 ของคริสตกาล ซึ่งในนครมักกะห์

ชาติอาหรับเผ่าเบดูอิน (Bedouin) เป็นผู้ครอบอำนาจอยู่ ทั้งนี้โดยยังหาเกิดรัฐไม่ ในนครมักกะห์มีวิหารชื่อกะอบะซึ่งมีชาติกุลต่างๆนำเทวรูปที่ตนนับถือมาไว้บูชาเป็นอันมาก นครมักกะห์เป็นย่านค้าสำคัญในแคว้นอาระเบีย ซึ่งต่อมาพระมุฮัมมัดเจ้าศาสนาอิสสาม ได้เข้ามายึดเมืองนี้ไว้ใต้อำนาจได้ และได้สถาปนารัฐอาหรับขึ้นพร้อมๆกับลัทธินับถือเทพเจ้าองค์เดียว
เราจะเห็นได้ว่าเมื่อชาติกุลใดเป็นใหญ่ขึ้นในเมืองและมั่งคั่งขึ้นเพราะ
การค้า คนในชาติกุลก็สามารถเก็บภาษีจากการค้าไว้หล่อเลี้ยงกองทหารและตำรวจได้ ดังนี้ประมุขของชาติกุลจึงมีอำนาจถาวรโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการเลือกตั้งอีก ประชาธิปไตยของเผ่าชนหรือชาติกุลจึงสูญสิ้นไป ประมุขของชาติกุลก็ตั้งตัวเป็นราชะ หัวหน้านักรบก็กลายเป็นผู้บัญชา การทหารและตำรวจ ประมุขของชาติวงศ์ก็ถูกสถาปนาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ไปด้วย ระบบราชาจึงเกิดเคียงคู่ไปกับระบบประชาธิปไตยของชาติกุลราชะจะขยายอาณาเขตออกไปด้วยการใช้กองทหารออกปราบปราม ชาติกุลอื่นในดินแดนใกล้เคียงกับเมืองจนพวกนั้นยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครอง ด้วยประการฉะนี้รัฐจึงเกิดขึ้นในตอนปลายสมัยหินใหม่และเราจะผ่านจากระบบชุมชนบุพกาลไปสู่ระบบทาส เมื่อ 6000 – 5000 ปี ก่อน ค.ศ.
ในเวลาอันใกล้เคียงกันนี้ มนุษย์,ก็ค้นพบสำริด (Bronze) หรือโลหะผสมทองแดงกับดีบุกอีกด้วย และได้ใช้บร๊อนซ์หรือสำริดทำอาวุธแทนหิน สมัยหินใหม่จึงเป็นว่าสุดสิ้นลงแค่นี้

8.ปรัชญาสังคม
8.8ระบบต่างๆในวิวัฒนาการทางสังคม
8.8.3 สมัยทาส

ธนู ซึ่งเป็นเป็นอาวุธยิงได้ไกลนั้น เป็นเหตุให้เกิดระบบทาสขึ้น เพราะมันช่วยให้นายทาสคุมตัวพวกทาสไว้ได้ ต่อมาทาสได้ช่วยทำสินค้าหัตถกรรมและช่วยทำกสิกรรมกับเลี้ยงสัตว์ มนุษย์จึงเห็นประโยชน์ของทาสขึ้น นี่ชวนให้เกิดการรบพุ่งเพื่อหาทาสมาใช้ จากการใช้แรงงานทาส ก็เกิดความมั่งมีและความจนขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้นในโลก อิสรชนที่ไม่มีทาสจะใช้ ก็ยากจนลงและกลายเป็นลูกจ้างไป ได้เกิดตลาดค้าทาสขึ้น และการกู้ยืมเงิน,ก็ทอนอิสรชนลงไปเป็นทาสเพิ่มเข้ามาอีก เพราะเขาต้องขายตัวให้พ้นหนี้สิน เวลาราชะสิ้นพระชนม์ลง จะมีการฆ่าทาสฝังตามลงไปกับพระศพรวมทั้งสัตว์เลี้ยง ราชรถ และเครื่องใช้อื่นๆ แม้ศพของเศรษฐีก็ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาจีนทำพอเป็นพิธี คือทำตุ๊กตาทาสฝังแทนคน ถัดมาอีกเขาก็ทำเพียงแค่คนที่เป็นกระดาศในพิธีกงเต็ก นี่แสดงว่าระบบทาสเกิดขึ้นทั่วโลก และมีความร้ายแรงปานๆกันไม่ว่า ณ ที่ใดในโลก

เมื่อมีทาสใช้ การผลิตก็เพิ่มพูนขึ้น ความมั่งคั่งจะไปสู่คนจำนวนน้อยมากขึ้น คนจำนวนมากก็เดือดร้อนขึ้น ทุน,จะถูกสะสมไว้อย่างมหาศาลในสมัยนี้ จะเกิดรัฐทาสขึ้นตามลุ่มน้ำใหญ่ๆของโลกเช่นลุ่มน้ำไนล์ ยูเฟรตีส-ไทกริส สินธุและฮวงโห-แยงซีเกียง ถัดมาก็เกิดรัฐทาสในลุ่มน้ำคงคาและเจ้าพระยา แม่โขงขึ้นอีก ทางอเมริกาใต้ก็เกิดรัฐทาสขึ้นตามลุ่มน้ำเช่นเดียวกัน ในระบบทาสนี้ ชนชาติตามลุ่มน้ำ,ที่ทำกสิกรรมซึ่งเป็นชนชาติผิวดำ เชื้อชาติอียิปต์ เมสโสโปเตเมีย ดราวิเดียนหรือมิลักขะ เขมร-มอญ และไทยผิวเหลือง จะก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมโบราณก่อนพวกโนแมดอารยันกับมองโกล,ทางเหนือ

ระบบทาสทางเศรษฐกิจ เกิดตรงกับระบบราชะ ราชะในสมัยนี้มักเป็นหัวหน้าชาติกุล ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนา หัวหน้าชาติกุลเคยถูกยกย่องเป็นเทพเจ้า เลยมีการเข้าใจว่า เขาเป็นเทพเจ้าลงมาครองสมบัติในโลก ราชะจึงถูกเรียกว่าพระเจ้านั่นพระเจ้านี่ แต่ก็มีหลายครั้งหลายหนซึ่งผู้บัญชาการทหารเข้ายึดอำนาจจากราชะนักศาสนาได้ และโลกจึงมีนักรบหรือกษัตริย์ชิงความเป็นใหญ่ให้แก่พวกเขามาแต่ดั้งเดิม นี่เป็นความจริง, เพราะราชะแต่แรกเริ่มนั้นเป็นราชะนักศาสนา ในประวัติศาสตร์เราพบระบบราชะนักศาสนาเกิดขึ้นในทิเบตอีกและองค์การศาสนาคริสเตียนก็มีสังฆราชที่โรม พระมุฮัมมัดเองก็เป็นราชะเจ้าศาสนา ไทยเราก็มีสังฆราช นี่แสดงว่าศาสนาจักรนั้นเคยปกครองประเทศมาแล้วแต่เบื้องโบราณ, ในสมัยทาส

ในการเกิดราชะขึ้นนี้ ทำให้เทพเจ้าของชาติกุลที่เป็นใหญ่ถูกยกย่องยิ่งกว่าเทพเจ้าอื่นใด ฝ่ายปกครองจึงส่งเสริมเทพเจ้าของชาติกุลที่เป็นใหญ่ และคอยปราบปรามการบูชาเทพเจ้าอื่นๆ ฉะนั้นเมื่อเกิดรัฐขึ้นแล้ว ก็เกิดศาสนาเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism) ขึ้น

เมื่อเทพเจ้าของชาติกุล กลายเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์เดียว,ในสากลโลกไป ก็แน่ได้ว่าจะมีการอ้างกันว่าราชะองค์ที่ครองประเทศอยู่ สืบสายมาจากเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั้น เพราะว่า,ย่อมเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งที่ราชะองค์นี้จะสืบสายมาจากบรรพชนของพระองค์เอง ที่คนในชาติกุลยกขึ้นเป็นเทพเจ้าในสมัยนี้

ดังได้กล่าวแล้วว่าครอบครัวเป็นระบบปิตุลาธิปไตย (Patriarchal ซึ่งประกอบด้วยภรรยาทาสผู้เป็นบริวาร กับคนใช้ (คนใช้นี้หมายถึงคนชาติกุลเดียวกับนายทาส เขาเป็นเสรีชนแต่ยากจน) และทาสนับสิบๆ
สวรรค์ ของสมัยทาสจึงถูกวาดเป็นจินตนาการไว้ตรงกับระบบพ่อเป็นใหญ่นี้ คือเทพเจ้าจะมีเทพีใหญ่เป็นอรรคชายา และจะมีนางฟ้าแปดหมื่นสี่พันเป็นบริวาร คนใช้,ก็กลายเป็นเทวดาบริวาร ทาส,ก็กลายเป็นคนธรรพ์ผู้รับใช้เทพเจ้าไป สวรรค์,ของคนโบราณ,ก็คือชีวิตในบ้านเศรษฐี หรือในราชวังของราชะนั่นเอง ในทำนองเดียวกับนรก ของโบราณกาลก็สะท้อนถึงภาวะข้นแค้นแสนเข็ญของพวกทาส และการรับโทษทัณฑ์จากนายทาสด้วยประการต่างๆ

ระบบทาส,นำความก้าวหน้ามาให้แก่โลกในระยะแรกๆ แต่ต่อมา,มันก็ร้ายแรงเข้าทุกทีพวกโนแมดอารยัน ซึ่งมีความสามัคคีกันดี เพราะยังใช้ระบบประชาธิปไตยของชาติกุล,ทั้งนี้เนื่องจากสังคมของเขาเพิ่งวิวัฒนาการมาถึงขั้นนี้ของสังคมนั่นเอง, ได้ยาตรากำลังเข้าตีรัฐในระบบทาสของชนเผ่าผิวดำไอบีเรียน (Iberian) ในคาบสมุทรกรีกและบอลข่าน และเข้าตีรัฐของชนเผ่าผิวดำในเปอร์เชียและในลุ่มน้ำสินธุ โนแมดจีน,ก็เข้าตีรัฐของพวกไตในลุ่มน้ำแยงซีเกียงฮวงโห

การมีระบบทาส,ของรัฐตามลุ่มน้ำนั่นเอง ทำให้อิสรชน,ที่ถืออาวุธได้มีจำนวนน้อย จึงทำให้ชนโนแมดคนป่าอารยันและจีนผิวขาว มีชัยต่อชนผิวดำแห่งวัฒนธรรมโบราณอย่างง่ายดายครั้นแล้วพวกคนป่าอารยันก็ก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์ระหว่าง 1500-1000 ปี ก่อน ค.ศ. พวกเขาได้ทอนพวกผิวดำลงเป็นทาสทั้งหมด ระบบทาสจึงร้ายแรงยิ่งขึ้น พวกอารยันและจีน,ได้อาศัยวัฒนธรรมโบราณของคนผิวดำนั้นเองสร้างวัฒนธรรมขึ้นใหม่ ระหว่างนี้,มีการพบวิธีถลุงเหล็กและอักขระด้วย สมัยทาส,จึงให้กำเนิดวัฒนธรรมสมัยใหม่ตั้งแต่ 350 ปีก่อนค.ศ.เป็นต้นไป

ระบบทาสตอนปลายนี้ผิดกับระบบทาสตอนต้น กล่าวคือพวกโนแมดคนป่าอารยันได้นำประชาธิปไตยของชาติกุลมาใช้ในรัฐใหม่ ซึ่งแต่
เดิมถูกปกครองด้วยระบบราชะองค์เดียวอยู่ ระบบราชะถูกกำจัดออกไปชั่วคราว อิสรชนกรีกและอินเดียปกครองพวกเดียวกันด้วยประชาธิปไตย แต่พวกทาสหามีสิทธิทางการเมืองไม่ การดำเนินประชาธิปไตย,ของพวกอิสรชน,นายทาสได้นำความคิดไฝ่อิสรภาพมาสู่พวกทาส พวกทาสจึงหาทางปลดแอกของตน การที่ประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่โลกอีกวาระหนึ่งในระบบทาสนี้ ทำให้ปัญญามนุษย์ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในอินเดียวและกรีก รวมทั้งจีนด้วย และนี่,เกิดจากการต่อสู้ระหว่างฝ่ายทาสกับฝ่ายนายทาส จริยธรรม ตรรกวิทยาแบบฉบับ วิชาสุนทรพจน์ ปรัชญาต่างๆได้เกิดขึ้นในปลายสมัยทาสนี้ ในอินเดียและจีน,ก็เกิดศาสนาที่มีแต่จริยธรรม โดยไม่ต้องอาศัยความภักดีต่อพระเป็นเจ้า ต่อมาก็เกิดศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม ซึ่งแม้จะยึดถือในศาสนาพระเป็นเจ้าองค์เดียวเช่นโบราณกาล ก็ย้ำสอนเรื่องจริยธรรมคล้ายพุทธศาสนา อาณาจักรโรมันได้ขยายใหญ่ขึ้น ภายหลังอาณาจักรกรีก แต่ระบบทาสซึ่งรุนแรงขึ้น ทำให้พวกทาสคิดล้มนายทาสโรมัน ดังนี้อาณาจักรโรมันอ่อนแอลงเพราะขาดอิสรชนเป็นทหารป้องกันประเทศ ทางเหนือของยุโรป พวกมองโกลก็เริ่มแผ่อำนาจ เราสังเกตได้ว่าพวกนอแมดนี้ยิ่งอยู่เหนือขึ้นไปเท่าใด ก็ยิ่งรบเก่งกว่าพวกโนแมดทางใต้เท่านั้น นี่,ดูจะเป็นกฎทางสังคมทีเดียว ที่เมื่อใดโนแมดรุกรบกันเอง โนแมดทางใต้ที่อ่อนแอกว่าก็จะระบาดเข้ามารุกรานรัฐต่างๆที่ทำกสิกรรม พวกมองโกลได้มาขับไล่โนแมดเยอรมันในป่าของยุโรป โนแมดเยอรมันเลยระบาดมาสู่แหลมอิตาลี พวกเขาพบว่าชาวโรมันอิสรชนมีน้อยตัว จึงเข้ารุกรานจนระบบทาสของจักรวรรดิโรมันพังทลายลง ทั้งนี้เพราะนายทาสถูกฆ่าตายหรือหนีไป
ระหว่างนั้นพวกคนป่าทางยุโรปเหนือ ก็ออกเพ่นพ่านเที่ยวปล้น สะดมทางน้ำ จักรวรรดิโรมันจึงแตกทะลายออกเป็นเสี่ยงๆ ฉะนั้นราวปี
ค.ศ.1000 ระบบทาสที่แท้จริงของโลกก็พังทลายลงพร้อมๆกับจักรวรรดิโรมัน ก่อนหน้านี้พวกอิสลามที่มีอำนาจขึ้นในอาระเบียและอียิปต์ ก็ช่วยปลดปล่อยทาสในดินแดนของพวกผิวดำเหมือนกัน ชัยชนะของพวกอิสลามนี้นับได้ว่า เกิดจากการเลิกทาสนั่นเอง

8.ปรัชญาสังคม
8.8ระบบต่างๆในวิวัฒนาการของสังคม
8.8.4 สมัยศักดินา

คนป่าหรือคนป่าเยอรมัน กับคนป่าสแกนดิเนเวียที่ระบาดครั้งใหญ่หลังปี ค.ศ.1000 นั้น ได้ก่อให้เกิดภาวะที่จักรวรรดิกลายเป็นเสี่ยงๆขึ้น กล่าวคืออำนาจปกครองศูนย์กลางมีขึ้นไม่ได้โดยที่เนื่องมาจากพวกคนป่าดังกล่าวคอยปล้นสะดมและขัดขวางการแผ่อำนาจไว้ ยุโรป,จึงประกอบด้วยการปกครองท้องถิ่นเป็นแห่งๆไป บัดนี้,ไม่มีทาสอีกแล้ว แต่มีอิสระชนซึ่งทำไร่ไถนาอยู่รอบๆป้อมปราการของผู้พิทักษ์ที่เรียกว่าเจ้าขุนมูลนาย (Feudal Lords) พวกเลก (Serf) หรืออิสระชนในสมัยใหม่นี้ ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ จึงยอมให้เจ้าขุนมูลนาย แบ่งส่วนผลได้จากไร่นาไปใช้ บางทีพวกเขาก็ไปช่วยงานในปราสาทของเจ้าขุนมูลนายนั้น เจ้าขุนมูลนายจำต้องทำปราสาทของเขาไว้ให้แข็งแรงเป็นป้อมปราการ ทั้งทำให้มีหอคอยสูงด้วยสำหรับไว้คอยดูพวกปล้นหรือพวกคนป่า ปราสาทของเจ้าขุนมูลนายหรือขุนนาง (Baron) นี้ไม่ผิดอะไรกับคุกสมัยใหม่เลย และในปราสาทก็มีคุกไว้ขังคนจริงๆด้วย เจ้าขุนมูลนายมีนายทหาร,เป็นพวกอัศวิน (Knights) ไว้เป็นกำลังรบ และก็เลี้ยงดูพวกนี้ด้วยส่วนแบ่งจากไร่นาของเลกนั่นเอง

เจ้าขุนมูลนายเหล่านี้เนื่องจากมีอำนาจน้อย จึงไปขึ้นอยู่กับเจ้าขุนมูลนายที่มีอำนาจกว่าเป็นขั้นๆไป กระทั่งถึงเจ้าขุนมูลนายที่เป็นราชะ การขึ้นอยู่กับเจ้าขุนมูลนายที่มีอำนาจเหนือกว่านี้หาได้หมายถึงการอยู่ใต้อำนาจไม่ เพราะราชะจะทำการอะไรก็ต้องปรึกษาเจ้าขุนมูลนายเสียก่อน
ความเดือดร้อนได้เกิดขึ้นเมื่อเกิดสงครามครูเสด (Crusade War) ในแหลมบอลข่าน พวกเจ้าขุนมูลนายได้เก็บภาษีจากพวกเลกอย่างแรงเพื่อ
เอาไปใช้จ่ายในสงคราม ในวาระแห่งสงครามคราวนี้ ยุโรปก็ฟื้นฟูการค้าขึ้น และมีเมืองเกิดขึ้นหลายแห่งในยุโรป พวกเลกที่ทำไร่นาได้ไม่พอกิน ก็ทิ้งนามารับจ้างเป็นหัตถกรในเมือง พวกพ่อค้าในเมืองก็ตั้งโรงงานหัตถกรรมขึ้น แล้วนำไปขายตามชนบทต่างๆ เขาจะมั่งคั่งขึ้นและเกิดเป็นชนชั้นกลางไป ดังนี้เขาจะมีอำนาจขึ้นจากเงิน ราชะหรือเจ้าขุนมูลนายที่อยากกู้เงินจากเขา จึงต้องเอาใจพวกพ่อค้าโดยให้เสรีภาพในการจัดตั้งเทศบาลเมืองขึ้น

ต่อมาในภายหลังพวกพ่อค้าเห็นว่าเจ้าขุนมูลนายกีดกันการค้าของพวกเขา และเก็บภาษี เกินขอบเขต ประจวบกับเจ้าขุนมูลนายบีบคั้นพวกเลกมากขึ้นด้วย กระทั่งเกิดจลาจลขึ้นบ่อยๆระหว่างพวกเลกกับเจ้าขุนมูลนาย พวกพ่อค้าก็ถือโอกาสนี้ส่งเสริมในราชะขยายอำนาจไปครอบงำเจ้าขุนมูลนายไว้ใต้อำนาจการปกครองศูนย์กลาง ประจวบกับพวกมองโกลได้ระบาดมาตียุโรป และนำวิธีทำกระสุนดินดำมาให้ด้วย ราชะจึงใช้ดินดำทำปืนใหญ่ยิงทลายปราสาทของเจ้าขุนมูลนายไว้ใต้อำนาจได้สำเร็จ ระบบศักดินาจึงสูญสิ้นไป พวกเลกก็กลายเป็นอิสระจากอำนาจของเจ้าที่ดินอีกวาระหนึ่ง แต่เขาก็คงตกอยู่ใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิ ราชย์อีกต่อไป

ราชะในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ขยัยขยายฐานะของตนและใช้จ่ายเงินในราชสำนักมากขึ้น พระองค์จึงต้องยอมให้พวกพ่อค้ามีสิทธิเสรีมากขึ้นทั้งนี้เพื่อแลกกับเงินกู้สำหรับใช้ในราชสำนักมากขึ้น พระองค์ จึงต้องยอมให้พวกพ่อค้ามีสิทธิเสรีมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อแลกกับเงินกู้สำหรับใช้ในราชสำนักมีหลายครั้งซึ่งพระองค์ทรงขาดเงิน และทรงปรารถนาจะเก็บภาษีจากราษฎรให้มากขึ้น ดังนี้จึงทรงยอมให้ราษฎร์เลือกตั้งผู้แทนมาเจรจากับพระองค์ในเรื่องนี้ นี่ก่อให้เกิดสภาผู้แทน ราษฎรขึ้น ซึ่งในที่สุด

อำนาจของสภานี้ก็เข้าขัดแย้งกับอำนาจของราชะ แล้วการปฏิวัติประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นในอังกฤษก่อน ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ต่อจากนั้นมาระบบทุนนิยมก็เกิดขึ้นในโลก

วัตถุอันก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าขุนมูลนายกํบพวกเลกคือที่ดิน ความขัดแย้งระหว่างคนสองพวกนี้นำมาซึ่งลัทธิประชาธิปไตยและระบบทุนนิยมในที่สุด พวกเลกก็กลายเป็นเสรีชน, ที่มีสุ้มเสียงทาง การเมืองขึ้นมาได้ เพราะเกิดจากการทำหัตถกรรมและการค้าขายในเมือง

ประชาธิปไตย,หาได้เกิดจากความคิดของนักปราชญ์ทางการเมืองคนใดไม่ หากเกิดจากการผลักดันทางเศรษฐกิจ ซึ่งก่อให้เกิดความจำเป็นในหมู่ชนชั้นปกครอง ที่จะต้องให้เสรีภาพแก่ประชาชน อย่างไรก็ดีเมื่อเกิดการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นในอังกฤษแล้ว ก็มีผู้ตั้งทฤษฎี ในการนี้ขึ้นมา ซึ่งได้ถูกนำไปใช้ในฝรั่งเศสและเยอรมนี แต่ฝรั่งเศสมีประชาธิปไตยได้สำเร็จก็ต่อเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แล้ว เยอรมนีเพิ่งมีประชาธิปไตยในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เราจึงเห็นได้ว่าประชาธิปไตย จะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย หากภาวะทางวัตุทางสังคมยังไม่ถึงขีดที่จะก่อให้ เกิดการปกครองแบบนี้ขึ้น

สมัคร บุราวาศ




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2551
2 comments
Last Update : 4 กรกฎาคม 2553 23:45:27 น.
Counter : 1584 Pageviews.

 

มัยมีรูปหัยอั่วเลยเ

 

โดย: คน IP: 58.136.207.89 21 ธันวาคม 2551 16:38:26 น.  

 

เนื้อหาดีมากเลย

 

โดย: คนจร IP: 223.206.122.34 26 ธันวาคม 2553 1:28:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ลุงกฤช
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อดีต : พ่อค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปัจจุบัน : อาจารย์พิเศษสอนปรัชญาเป็นประจำแก่สถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง สอนพิเศษนักศึกษาปริญญาตรีและโทมหาลัยมหิดล

คืนกำไรให้ชีวิตหลังจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิต ขับรถไปฮันนี่มูนต่างจังหวัดบ้าง ไปสอนต่างจังหวัดบ้าง มีความสุขกับศรีภรรยาที่อยู่กันมาเกือบ 50 ปี
เธอดูแลเราเหมือนลูก เพราะลูกๆต่างก็มีครอบครัวแยกย้ายไปทำมาหากินกันดีๆทุกคนแล้ว เราเลยอยู่กันสามพ่อแม่ลูก(คนสุดท้อง)ซึงไม่ยอมมีผัว เพื่อดูแลพ่อแม่ กับหมาอีก 8 ตัว บางวันก็ไปสอนบ้าง บางวันก็เข้ามาในบล๊อกบ้างเพื่อเอางานที่เรียนรู้มา มาคืนให้แก่สังคม ดังที่เห็นๆกันแล้ว งานส่วนใหญ่ที่คัดลอกมาให้อ่านกันเป็นงานเขียนของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศ และทรรศนะส่วนตัว
อยากให้คนสนใจเรื่องปรัชญา เพราะตัวเองนั้นมีความสุขอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีปรัชญาชี้นำการดำเนินชีวิต มีความรู้ในการปฏิบัติทำมาหากิน ภายหลังหยุดชีวิตการทำมาหากินแล้วก็ยังมีสมบัติทีมากกว่าเบี้ยบำนาญของราชการ

แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่จน จึงอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนเข้ามหาลัยได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง เพราะชีวิตผมเริ่มต้นจากสูญ ไม่มีมรดกจากพ่อแม่

บทความซึ่งจะนำลงตอนละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่สนใจอ่านจะลบทิ้ง

บทความตอนใดที่ไม่มีผู้สนใจอ่าน(ไม่ให้ความเห็น)
จะลบออกเร็วกว่านั้น
อยากบอกอยากถามก็ขอให้เขียน เรามาแลกเปลี่ยนวิถีทรรศน์ของกันและกัน เพื่อเดินทางร่วมกันฉันท์สหาย
[Add ลุงกฤช's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com