โลกมีทางให้เดินเป็นพันพันทาง เราต่างใช้ปรัชญาแห่งชนชั้นของตน นำทางในการเดิน เราต่างเดินตาม ปรัชญาแห่งชนชั้นตน
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 กรกฏาคม 2551
 
 

ศาสนาพระเป็นเจ้าองค์เดียวที่มีจริยธรรมเป็นรากฐาน

เมื่อเกิดจริยธรรมขึ้นในวัฒนธรรมคนเมืองใหม่แล้ว ศาสนาพระเป็นเจ้าองค์เดียว (Monotheistic Religion มอน-โอะธีอิสทิค ริลีจิ-อั่น) ก็รับเอาจริยธรรมเข้าไว้ในศาสนา นี่ทำให้ศาสนาแบบนี้ขยายใหญ่ขึ้น เพราะ ได้รับความนิยมจากพวกทาสและคนยากจน หลังพุทธกาลจึงเกิดศาสนาและองค์กรศาสนาใหญ่ๆขึ้น 2 ศาสนาคือศาสนา คริสเตียนกับศาสนาอิสลาม ในศาสนาใหม่นี้ การประพฤติชอบตามคำสอนในจริยธรรมมีค่าเท่า
กับการภักดีต่อพระเป็นเจ้าเหมือนกัน สังคมจึงรับศาสนาเหล่านี้ไว้ด้วยเหตุผลทางจริยธรรม ณ ปัจจุบันนี้เราจึงยังมีศาสนาพระเป็นเจ้าองค์เดียวที่มีจริยธรรมเป็นส่วนประกอบอยู่

1 ศาสนายิวหรือฮีบรู

เราได้กล่าวถึงประวัติของชนชาติยิวหรือฮีบรูมาแล้ว ชนเผ่านี้เคยเป็นโนแม็ดสฺเลี้ยงสัตว์และมีเทพเจ้าประจำชาติกุลชื่อว่า ยาห์เวห์ (Jahweh) หรือพระยะโฮวา ระหว่างนั้นพวกฮิบรูยังบูชายัญเป็นพลีกรรมต่อพระยาห์เวห์ด้วยไฟ และมีการฆ่าสัตว์บูชายัญด้วย การฆ่า คนเช่นฆ่าบุตรบูชายัญ ก็ยังมีร่องรอยเหลืออยู่ เมื่อพวกฮิบรูตั้งรัฐขึ้นที่ปาเลสไตนฺ(Palestine) พระยาห์เวห์ก็กลายเป็นเทพเจ้าองค์เดียวประจำชาติฮีบรูไป งู ซึ่งเป็นเทพเจ้าเก่า บัดนี้กลายเป็น มาร - ซาตานไปแล้ว

พวกฮีบรูผู้เร่ร่อนและเดือดร้อน ได้จดจำนิยายปรัมปราเก่าไว้ และนำมาเชื่อมต่อกับประวัติชนชาติของตน แล้วผสมผสานให้กลายเป็นเรื่องราวที่แสดงถึงการที่พระเป็นเจ้าเข้าโอบอุ้มชนชาติของตน, ไปได้อย่างแนบสนิท พวกนี้รวบรวมคัมภีร์ทางศาสนาไว้โดยเรียกว่า คัมภีร์เก่า (Old Testament โอลด เทซ-ทะเม็นทฺ) และได้ความคิดเรื่องสร้างโลกมาจากพวกบาบิโลเนีย ในนี้มีการแสดงถึงการสร้างโลกเป็นเจ็ดขั้นด้วยกัน เราเก็บบันทึกเรื่องราวตอนนี้ไว้ได้เป็นหนังสือบนแผ่นดินเหนียวตากแห้ง ในการขุดค้นเมืองนิเนเวห์ (Nineveh) เรายังได้บันทึกเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกด้วย

ศาสตราจารย์ กิลเบิร์ต เมอร์เร่ย์ (Gilbert Murray) นักศาสนวิทยากล่าวว่า ศาสนาในระยะแรกเริ่มของมนุษยชาตินั้นดูจะเป็นอย่างเดียวกันหมด พวกกรีกเองก็เคยมีประเพณีฆ่าคนบูชายัญ และเพิ่งมาเลิกเสียในสมัยพุทธกาลเท่านั้น ประเพณีฆ่าคนบูชายัญนี้เกิดขึ้นตอนต้นสมัยทาสดังได้กล่าวอธิบายมาแล้ว ในปี 586 ก่อน ค.ศ. พระราชาแค็ลเดียชื่อ เนบูคัดเนซซ่าร์
(Nebuchadnezzar) ตีเมืองเยรูซาเล็มได้ และจับพวกฮีบรูไปเป็นทาสใน บาบิโลเนียอันเป็นนครหลวงของจักรวรรดิแค็ลเดียที่ 2 ระหว่างที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้เองพวกฮีบรูก็ค้นพบจริยธรรม และสถาปนาพระวินัยไว้ใช้ในการปกครองกันเอง ต่อมาใน ปี 509 ก่อน ค.ศ. พระราชาซีรุสแห่งเปอร์เซียก็มาตีแค็ลเดียได้ พวกยิวจึงถูกปลดปล่อยเป็นอิสระไป และได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่เยรูซาเล็มอย่างเดิม ในวาระนี้เองศาสนายิวได้เจริญขึ้นเป็นฝั่งฝา ทั้งนี้โดยมีการจัดตั้งเป็นองค์กรศาสนาและมีสุเหร่ายิวขึ้นสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ระหว่างนี้ก็มีการบันทึกพระวินัยไว้ในศาสนาจูเดะ (Judaism จู-เดะอิส’ม) อำนาจองค์กรศาสนาได้เป็นใหญ่ขึ้นอีก
โดยผู้นำทางศาสนากลายเป็นผู้ปกครองประเทศไป ฉะนั้นจึงมีการจัดตั้งองค์กรศาสนาให้เป็นองค์กรปกครองไปในตัวด้วย

ผู้นำของพวกฮีบรู ได้ทำการศึกษาบันทึกโบราณของชนชาติฮีบรู ปรากฏว่าบันทึกหายไปเสียเป็นบางส่วน บันทึกเหล่านี้ถูกจัดเรียงกันไว้ เป็นลำดับ คือบันทึกเพลงสวด 150 บท, บันทึกเกี่ยวกับมนตร์และคำสวด หนังสือเกี่ยวกับพระวินัย, ศาสดาพยากรณ์และคำสวดถูกจ่ายแจกไปเป็นม้วนๆ โดยแยกกันเป็นหมู่ๆ ราวปี 330 ก่อน ค.ศ. พวกยิวที่ไปอยู่ในเมือง อเล็กซานเดรีย, ได้รวบรวมคัมภีร์เก่าของเขาไว้เป็นภาษากรีก พอถึงปี 100 ก่อน ค.ศ. คัมภีร์เก่า (Old Testament โอลดฺ เทซ ทะเม็นทฺ) ก็ถูกรวบรวมไว้เรียบร้อย แต่นักศาสนวิทยาบางคนว่ามารวบรวมครบถ้วนก็ต่อเมื่อถึงสมัยคริสต์กาลแล้ว สมัยที่พวกยิวฟื้นจากความล่มจมนี้ถูกเรียกว่าสมัยปฏิสังขรณ์ (The Restoration ฑิ เรซโทะเร-ฌั่น) พวกยิวได้ประสบความพินาศอีกเมื่อแอนไตโอคัส ซีลูซิด (Antiochus Seleucid) มาตีเยซูซาเล็มได้ ราชาองค์นี้ห้ามมิให้ประกอบพิธีกรรมตามศาสนาฮีบรูด้วย โบสถ์วิหารต่างๆถูกทำลายลงอีก ต่อมายิวก็ได้ผู้นำชื่อ จูดาส แม็กกาเบียส (Judas Maccabaeus) ซึ่งกู้อิสรภาพคืนมาได้ แต่พวกโรมันก็มาถึงปาเลสไตน์เสียแล้ว ใน ปี 40 ก่อน ค.ศ., เฮรัดมหาราช (Herod The Great ) ก็เข้ามาปกครอง
เยรูซาเล็ม ทีนี้ก็มีการประหารชีวิตกันเป็นการใหญ่ และอะไรต่ออะไรก็ล้มละลายหมด

ในปี 70 ก่อน ค.ศ. เยรูซาเล็มถูกโจมตียับเยินยิ่งกว่าครั้งใดๆอีกโดยฝีมือของไทตัส (Titus) ด้วยประการฉะนี้พวกฮีบรูหรือยิวจึงร่ำร้องต่อ พระเป็นเจ้าและกล่าวขวัญถึงพระเมสไซอะ (Messiah) ซึ่งจะมาช่วยพวกเขาให้พ้นทุกข์ พร้อมๆกันนี้ ก็ทำนายถึงอนาคตแห่งการฟื้นตัว ซึ่งแผ่นดินต่างๆ จะถูกปกครองด้วยพระเป็นเจ้า

พวกยิวได้ทำบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อีกชุดหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์เล่ม
สุดท้าย (Apocalyptic Writing อะพอค-อะ ลิพทิค ไร้ท-อิง) นี่มีข้อความเกี่ยวกับปรัชญาของศาสนาและประวัติศาสตร์ การระบุถึงวันพิพากษา, ณ วาระสุดท้าย, โลกใหม่, สวรรค์ใหม่, การขึ้นสวรรค์และการรับโทษในนรกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด , ความคิดเกี่ยวกับอมตภาพ และสำคัญที่สุดก็คือความคิดในเรื่องจะมีศาสดามาช่วยโลกอีก ความรู้ในบันทึกเหล่านี้ แพร่สะพัดอยู่ในหมู่ชาวยิวก่อนคริสต์ศตกาล ดร.แมตธิวสฺ (Dr. Matthews) อธิการบดีแห่งพระวิหารเซนตฺปอลประเทศอังกฤษจึงกล่าวไว้ว่า ความจัดเจนทางศาสนาของพระเยซูนั้นหลั่งไหลลงไปในแบบที่ถูกทำขึ้นไว้ก่อนแล้ว บันทึกคัมภีร์เล่มสุดท้าย (Apocalypse อะพอค-อะลิพซฺ) นี้เกิดในสมัยระหว่างคัมภีร์เก่า (Old Testament โอลดฺ เทซ-ทะเม็นทฺ) ของฮีบรูและคัมภีร์ใหม่ (New Testament นิว เทซ-ทะเม็นทฺ) ของคริสเตียน

2 ศาสนาคริสเตียน

พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ เจ-สัส คไร้สทฺ) แห่งนาซาเรธ (Nazareth) เกิดมาในแอกของศาสนายิวและการปกครองของพวกโรมันในพุทธศักราช 543 พระองค์เป็นบุตรคนยากจนและได้ต่อสู้เพื่อคนจน ความน่าเลื่อมใสของพระเยซูคริสต์อยู่ตรงที่พระองค์สร้าง จริยธรรมเข้าข้างผู้ถูกกดขี่, ทาส, คนยากจนและคนตกอยู่ในทุกข์ คัมภีร์ลุค (LUKE) แสดงถึงการที่
พระองค์เข้าขัดแย้งกับศาสนายิวแต่เดิม แต่ประนามพวกเศรษฐี พระองค์แสดงการต่อต้านไสยศาสตร์ออกมาอย่างชัดๆ และพยายามกำจัดการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพ พระองค์ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้า คือสอนให้รักเพื่อนบ้านและยึดหลักอหิงสา, คือให้อภัยศัตรูเสมอ พระเยซูคริสต์เสนอวิธีแก้ความยากจนด้วยการให้ทานเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ได้มีสาวกเลื่อมใสและติดตามพระองค์ไปในการเที่ยวจาริกสอนธรรมมากมาย พวกนี้ได้อ่านบันทึกคัมภีร์เล่มสุดท้าย และมั่นหมายจะได้พบ
ศาสดาที่จะมากู้โลกอยู่แล้ว เมื่อเห็นพระเยซูคริสต์สอนธรรมน่าเลื่อมใสจึงเกิดความ ศรัทธา และถือกันว่าพระเยซูเป็นตัวแทนของพระเป็นเจ้า บันทึกคัมภีร์เล่มสุดท้าย (Apocolypse อะพอค-อะลิพซฺ) กล่าวถึงพระเป็นเจ้าที่จะทรงมาปกครองโลก พวกนี้จึงคิดว่าพระเยซูจะมาเป็นกษัตริย์ดังกล่าว อนึ่งก็เป็นที่ทราบกันด้วยว่า พระเยซูคริสต์สืบสายมาจากกษัตริย์เดวิดของพวก ฮีบรู ความนิยมในตัวพระเยซูจึงสูงขึ้น พวกโรมันเองหาสนใจต่อการปฏิวัติศาสนาของพระเยซูไม่ แต่พวกยิวเจ้าของศาสนาเก่านั้นเองได้พยายามทำลายพระองค์ พวกเขาจึงไปยุแหย่พวกโรมันว่า พระเยซูจะมาเป็นใหญ่ในดินแดนปาเลสไตน์และล้มล้างอำนาจชาวโรมัน ข้อนี้เองเป็นเหตุให้พระเยซูถูกประหารชีวิตและนำไปตรึงประจานไว้บนไม้กางเขน ด้วยประการฉะนี้, ศาสนาซึ่งมีไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์, ศาสนา คริสเตียน, จึงอุบัติขึ้นในโลก
เมื่อพระเยซูทรงประสูติใหม่ๆ, มีผู้นำนกพิราบมาถวาย นกพิราบจึง กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพมาตราบกระทั่งทุกวันนี้ การสวรรคตของพระเยซูเป็นการเสียสละอย่างสุดซึ้งเพื่อมนุษยชาติ เพราะมันเป็นผลแห่งการต่อสู้เพื่อความดีงามของพระองค์ ประชาชนที่เฉยเมยต่อคำสอนของพระองค์จึงกลับหันมามีศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างดูดดื่ม คนๆหนึ่งชื่อพอล, ซึ่งต่อมาเป็นเซ้นตฺ พอล (Saint Paul) ได้นำคริสต์ศาสนาไปเผยแพร่ในกรุงโรม ขณะนั้นชาวโรมันเกลียดชังศาสนานี้และพยายามทำร้ายนักสอนศาสนา พอลเองก็ถูกฆ่าตาย แต่พวกคริสเตียน ได้กระทำตาม
อย่างพระเยซู และพลีชีวิตเพื่อการเผยแพร่ศาสนา ดังนี้ผู้เลื่อมใสใน คริสต์ศาสนาจึงทวีจำนวนขึ้น องค์กรคริสต์ศาสนาจึงเติบใหญ่กระทั่ง ต้องมีสังฆราชขององค์กรเรียกว่าพระราชาคณะ (Archbishop อาชบิฌ-อัพ) ตำแหน่งนี้เลือกตั้งจากบรรดาเจ้าคณะ (Bishop บิฌ-อัพ)ในท้องถิ่น ตั้งแต่นั้นมาองค์กรคริสต์ศาสนา จึงมีคู่เคียงไปกับองค์กรปกครองบ้านเมืองในประเทศโรมัน และความเลื่อมใสของประชาชนทำให้อำนาจวัดเป็นที่เกรง
ขามต่อฝ่ายบ้านเมืองเป็นอันมาก
ชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ ถูกบันทึกไว้เป็นคำสอน The Gospel (ฑิ ก็อส-เพ็ล) ซึ่งฉบับแรกที่สุดถูกเขียนขึ้นโดยนักบุญชื่อ ม้าร์ก (Mark) ราวปีค.ศ. 70 ถัดมาก็มีผู้เขียนเกียรติคุณของพระเยซูคริสต์ไว้อีกเช่นลุค (Luke) พระคัมภีร์ใหม่ (New Testament นิว เทส-ทะเม็นทฺ) จึงถูกองค์กรศาสนารังสรรค์ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 2 และมีการรับรองคัมภีร์นี้ว่าถูกต้องใน ปี ค.ศ. 397 ศาสนา คริสเตียนได้รับคัมภีร์เก่า (Old Testament โอลด เทส-ทะเม็นทฺ) และคัมภีร์ใหม่ ไว้เป็นของตน คัมภีร์ทั้งสองนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไม่น้อยเลย แต่เราก็ต้องเลือกสรรข้อความด้วยความระมัดระวัง เพราะผู้เขียนคัมภีร์ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ หากเป็นนักบุญที่ต้องการเชิดชูศาสนาเท่านั้น

ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 องค์กรศาสนาคริสเตียนเป็นผู้ถือกรรม สิทธิ์ที่ดินมากที่สุดในจักรวรรดิโรมัน ฉะนั้นเคียงคู่ไปกับจักรพรรดิโรมันก็เกิดจักรพรรดิ คริสเตียนเรียกว่าโป๊ป (Pope) ขึ้น
องค์กรปกครองของชนชั้นปกครองตามรัฐต่างๆ เห็นว่าองค์กรศาสนามีประโยชน์แก่การปกครอง จึงเข้าติดต่อร่วมมือด้วย จักรพรรดิโรมันได้กลายเป็นคริสเตียนไป ซึ่งองค์แรกชื่อจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine ปีค.ศ. 274-337) โป๊ปได้เข้าไปพัวพัน กับพระราชประเพณีโดยเป็นผู้สวมมงกุฎให้แก่จักรพรรดิโรมัน ดังนี้ศาสนากับบ้านเมืองจึงเข้าผสมผสานอำนาจกัน ทั้งนี้แม้จะมีการขัดแย้งและกระทบกระทั่งกันบ้างก็
ตาม ในกรุงโรมได้เกิดองค์กรคาธอลิก (Catholic Church แคธ-โอะลิค เชิช) ขึ้น แต่เมื่อจักรวรรดิโรมันแยกออกเป็นสองเสี่ยง ทางอาณาจักรตะวันออกที่เรียกว่า ไบแซน-ทีน (Byzantine) ก็ตั้งองค์กรศาสนาขึ้นต่างหากใน กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล (Constantinople) องค์กรนี้ชื่อว่า ออโธะด็อกซฺ เชิช(Orthodox Church) การแบ่งแยกในคริสต์ศาสนาจึงเริ่มขึ้นแต่นั้นมา และการแบ่งแยกคงมีมาเรื่อย ๆ กระทั่งหลังจากที่จักรวรรดิโรมันล่มไปแล้ว

3 ศาสนาอิสลาม

ประวัติแห่งการบังเกิดศาสนาอิสลาม มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อวิทยา ศาสตร์สังคม เพราะมันแสดงถึงกำเนิดของศาสนาพระเจ้าองค์เดียวจากศาสนาพระเจ้าหลายองค์ประการหนึ่ง และแสดงถึงตัวอย่างการเกิดรัฐขึ้นจากชาติกุลอาหรับ อีกประการหนึ่ง,การบังเกิดรัฐและศาสนาเทพเจ้าองค์เดียวในดินแดนอาหรับนี้, จริงอยู่, อาจไม่ตรงกับปรากฏการณ์อย่างเดียวกันกับในอดีตนัก แต่เราก็พอจะใช้สาดแสงสว่างให้แก่ปรากฏการณ์อย่างนั้นในอดีตได้
ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 พวกอาหรับในดินแดนอะเรเบียยังหาอยู่รวมกันเป็นรัฐไม่ หากอยู่กันเป็นชาติกุล-ชนเผ่าเบดูอินซึ่งใช้ชีวิตแบบโนแม็ด คือเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์และเร่ร่อนสินค้า อย่างไรก็ตาม, ตามริมๆของทะเลทรายอาระเบียอันไพศาลนั้นมีที่อุดม ทั้งนี้เนื่องจากมีน้ำพุและน้ำซับซึ่งทำให้พืชขึ้นงอกงาม บริเวณเหล่านี้จึงเป็นย่านค้าขายอันสำคัญและกลายเป็นเมืองขึ้นมา เมืองหนึ่งในบรรดาเมืองเหล่านี้คือนครมักกะห์ (Mecca) ที่เมืองนี้มีวิหารชื่อกะอฺบะฮ์ (Kaaba) ซึ่งเป็นที่เก็บเทวรูป, สำหรับชาติกุลต่างๆมาเคารพบูชากัน,ถึง 360 องค์ ชาติกุลไหว้บูชาเทวรูปเหล่านี้เป็นประจำปี และมีหัวหน้าชนเผ่ากุเรซเจ้าของที่ดินใหญ่ในนครมักกะห์คอยดูแลผลประโยชน์อยู่ นครมักกะห์อยู่ในอาระเบียใกล้ทะเลแดง ในเมืองนี้มีชายผู้หนึ่งชื่อมุฮัมมัดอาศัยอยู่ เขามีชีวิตอยู่ระหว่างค.ศ. 570 -
632 และได้ศึกษาศาสนายิวกับคริสเตียนมาแล้ว เขาเห็นว่าการเคารพเทวรูปนี้ไม่ถูกต้อง จึงพยายามฟื้นฟูลัทธิเคารพพระเป็นเจ้าองค์เดียวขึ้นใหม่
การสอนศาสนาของเขา นำไปยังการกระทบกระทั่งกับหัวหน้าชน เผ่ากุเรซ พระมุฮัมมัดจึงถูกปองร้าย เขาจึงหนีไปอยู่เสียที่เมืองยัธริบซึ่งต่อ
มาได้ชื่อใหม่ว่า มะดินะฮ์ (Medina) คำสอนของพระมุฮัมมัดคือให้เลิกเคารพเทวรูปโดยทำลายทิ้งเสีย และให้เคารพบูชาพระอัลเลาะห์องค์เดียว นอกจากนี้ก็เป็นจริยธรรมล้วนๆ ที่ มะดินะฮ์เขาได้ผู้เลื่อมใสเป็นกำลังมากมาย เพราะมีผู้เชื่อกันว่าเขาเป็นศาสนาผู้แทนของพระอัลเลาะห์ กลุ่มอิสลามหรือมุสลิมจึงก่อหวอดขึ้นและมีความสามัคคีกันแน่นแฟ้นเพราะมีศรัทธาอย่างเดียวกัน แต่เคล็ดลับในการนี้อยู่ที่พระมุฮัมมัดเอาประเพณีของชุมชนบุพกาลมาใช้ และพยายามทำให้คนหมู่มุสลิมทัดเทียมกันในความเป็นอยู่ พระมุฮัมมัดให้เลิกดอกเบี้ยและเลิกทาส เขาตั้งสุเหร่าขึ้นที่มะดินะฮ์และทำเป็นที่ประชุมของพวกมุสลิม สุเหร่านี้มีหอคอยสูงๆประกอบเพื่อให้คนขึ้นไปตะโกนเรียกอิสลามมาร่วมสวดมนตร์กันในโบสถ์การปกครองก็กระทำกันในสุเหร่านี้ จากนี้เราเห็นได้ชัดๆทีเดียวว่าภาวะของสังคมก่อนเกิดรัฐ, เมื่อผู้นำทางศาสนากลายเป็นพระราชานักบวช (Priest King พรีสทฺ คิง) ไปนั้น, ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว

พวกอิสลามรวบรวมกันได้เป็นกลุ่มใหญ่ และจัดตั้งกองทหารอาสาสมัครขึ้น พระมุฮัมมัดเป็นผู้นำทัพอิสลามนี้ด้วยตนเอง การจัดตั้งกองทหารนี้ก็เป็นไปตามแบบชุมชนบุพกาล คือใช้วิธีประชาธิปไตยทางทหาร ด้วยประการฉะนี้กองทัพอิสลามจึงมีความเข้มแข็งมาก ชาวกุเรซได้ยกทัพมาตีเมืองมะดีนะฮ์หลายหน แต่พวกอิสลาม, ที่มีกำลัง คนน้อยกว่าหลายเท่า,ก็สามารถเอาชนะได้ ต่อมาเมื่อเห็นว่าไม่อาจปล่อยชาวกุเรซมารุกรานบ่อยๆได้ต่อไปแล้ว พระมุฮัมมัดก็ยกทัพไปตีนครมักกะห์ และก็ ตีได้สำเร็จ พระองค์จึงพาไพร่พลเขาทำลายเทวรูป 360 องค์ที่วิหาร อัลกะอฺบะฮ์เสียหมด แล้วแปลงอัลกะอฺบะฮ์ให้เป็นวิหารอิสลามโดยให้
เหลือเพียงหินดำก้อนเดียววางอยู่เป็นที่บูชาเท่านั้น วิหารอัลกะอฺบะฮ์แห่งนครมักกะห์ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในวาระต่อมา และ นครมักกะห์ก็กลายเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับอิสลามิกทั่วโลกกระทั่งบัดนี้อิสลามิกก็พยายามหาทางไปเมืองนครมักกะห์กันอยู่, เมื่อถึงเทศกาลไหว้พระ

ความยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลามอยู่ที่ภราดรภาพ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นคำสอนทางจริยธรรมเท่านั้น หากยังเป็นศีลบังคับให้เกิดการกระทำด้วย อิสลามิกไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนรู้สึกเสมือนเป็นพี่น้องกัน คนมีคนจนยังมีอยู่ แต่ก็เกื้อกูลกันด้วยการให้ทานและให้ยืมเงินซึ่งไม่คิดดอกเบี้ย อิสลามิกถือการขูดรีดเป็นบาปและการช่วยเหลือกันเป็นบุญ อิสลามสอนให้งดการกระทำบางประการในวันพิเศษ นี่หมายถึงการงดทำบาปด้วย

กองทัพอิสลามเป็นกองทัพปลดปล่อยทาสอันแท้จริง และนี่เป็นเหตุผลที่แสดงว่า เหตุไรจักรวรรดิอิสลามจึงแผ่ไปอย่างรวดเร็วยิ่ง กองทัพอิสลามได้ยึดดินแดนอาหรับได้หมดโดยทำหน้าที่ปฏิวัติสังคมปลดปล่อยทาสไปในตัว มหาชนได้เข้าด้วยกับกองทัพนี้ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึงที่ 12 กองทัพอิสลามใต้การนำของพวกกาหลิบ, ผู้นำทางศาสนาของ อิสลามิก, ได้ครองอำนาจในประเทศอาหรับทั้งหมดแล้วขยายจักรวรรดิไปคลุมซีเรีย,ตุรกี, อียิปต์, อียิปต์, แอฟริกาเหนือ, สเปนและฝรั่งเศสใต้ จักรวรรดิโรมันซึ่งคุ้มครองนายทาสอยู่ในดินแดนเหล่านี้บรรลัยลง ทั้งนี้เพราะพวกทาสเป็นกำลังช่วยกองทัพอิสลาม กองทัพอิสลามพุ่งไปทางตะวันออกและยึดได้เมโซโปเตเมีย, อิหร่าน, เอเชียกลางกระทั่งจดแดนจีน อินเดีย, ซึ่งเชิดชูระบบวรรณะอยู่, ตกอยู่ใต้อำนาจพวกอิสลามได้อย่างง่ายดายที่สุด พวกอิสลามได้ลงทะเลและแผ่อิทธิพลถึงหมู่เกาะแปซิฟิก

ได้มีการกล่าวหาพวกอิสลามนิยมการรุกรานและกำจัดศาสนาอื่นข้อนี้ไม่มีมูลความจริงเลย ความยิ่งใหญ่ของอิสลามอยู่ที่ การปฏิวัติสังคม
เพื่อเลิกทาส พวกอิสลามลงปล่อยให้พวกคริสเตียนมาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ศาสนายังกรุงเยรูซาเล็มได้ พวกอิสลามไม่ทำลายพุทธศาสนา
เลย แต่ได้ทำลายเทวรูปของพวกฮินดู พุทธศาสนาในอินเดียที่เสื่อมโทรมไป เพราะลัทธิฮินดูเองดังกล่าวมาแล้ว

อย่างไรก็ดีการรบพุ่งบ่อยครั้ง และการปกครองแบบทหารก็ทำให้จักรวรรดิอาหรับเสื่อมโทรมลง ทั้งนี้เพราะเกิดการละเมิดวินัยของอิสลาม ในตุรกีพวกเติร์กได้มีอำนาจขึ้น พวกทหารตั้งตัวเป็นสุลต่านและปัดพวกกาหลิบออกไปเสียจากวงการเมือง พวกเติร์กได้แผ่ขยายมายึดเยรูซาเล็มได้และได้ห้ามมิให้ชาวยุโรปมาไหว้พระยังเมืองนี้อีกต่อไป นี่ได้ก่อให้เกิดสงครามครูเสดสฺ (Crusades) ขึ้นในสมัยต่อมา พวกมองโกลก็รุกรานไล่พวกอิสลามออกจากเอเชียกลางหมด ราวคริสต์ศตวรรษที่ 13 จักรวรรดิมุสลิมก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ระหว่างพระมุฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่เขาได้สอนธรรมวินัยไว้มากมาย และมีพวกศิษย์บันทึกคำสอนไว้ พอเขาถึงแก่อนิจกรรมพวกศิษย์ก็รวบรวมคำสอนเหล่านี้ไว้เป็นคัมภีร์เรียกว่า คัมภีร์กุรอาน นี่มี 114 บทใหญ่ คัมภีร์กุรอานบันทึก ชีวประวัติของพระมุฮัมมัดและประวัติของพวกอิสลามไว้ตลอดจนความรู้ทั้งมวลของพวกอิสลามเช่นวิทยาศาสตร์,ประเพณี, กฎหมาย, และสุขวิทยา ความรู้ที่รวบรวมไว้นี้ไม่ผิดอะไรกับความรู้ของพวกนักบวชตอนต้นสมัยทาสก่อนเกิดรัฐนั้นเลย

จักรวรรดิอาหรับหรือมุสลิม ได้นำความก้าวหน้ามาสู่โลกเป็นอันมาก เพราะปัญญาได้งอกงามขึ้นในจักรวรรดินี้ต่อจากปัญญาของพวกกรีกมา ระหว่างที่พวกอาหรับเจริญก้าวหน้าในทางวิชาการนี้ ยุโรปได้เข้าสู่สมัยมืดทางปัญญา (Dark Ages ดาค เอจ) อาศัยวัฒนธรรมและปัญญาของพวกมุสลิมยุโรปจึงฟื้นตัวขึ้นได้ แต่เรื่องนี้เราจะเอาไว้กล่าวถึงในภายหลัง




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
1 comments
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 23:36:02 น.
Counter : 925 Pageviews.

 

พระเยซูถือเกิดในพุทธศักราชที่เท่าใด

 

โดย: อิงค์ IP: 203.147.10.28 6 พฤศจิกายน 2551 15:28:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ลุงกฤช
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อดีต : พ่อค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปัจจุบัน : อาจารย์พิเศษสอนปรัชญาเป็นประจำแก่สถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง สอนพิเศษนักศึกษาปริญญาตรีและโทมหาลัยมหิดล

คืนกำไรให้ชีวิตหลังจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิต ขับรถไปฮันนี่มูนต่างจังหวัดบ้าง ไปสอนต่างจังหวัดบ้าง มีความสุขกับศรีภรรยาที่อยู่กันมาเกือบ 50 ปี
เธอดูแลเราเหมือนลูก เพราะลูกๆต่างก็มีครอบครัวแยกย้ายไปทำมาหากินกันดีๆทุกคนแล้ว เราเลยอยู่กันสามพ่อแม่ลูก(คนสุดท้อง)ซึงไม่ยอมมีผัว เพื่อดูแลพ่อแม่ กับหมาอีก 8 ตัว บางวันก็ไปสอนบ้าง บางวันก็เข้ามาในบล๊อกบ้างเพื่อเอางานที่เรียนรู้มา มาคืนให้แก่สังคม ดังที่เห็นๆกันแล้ว งานส่วนใหญ่ที่คัดลอกมาให้อ่านกันเป็นงานเขียนของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศ และทรรศนะส่วนตัว
อยากให้คนสนใจเรื่องปรัชญา เพราะตัวเองนั้นมีความสุขอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีปรัชญาชี้นำการดำเนินชีวิต มีความรู้ในการปฏิบัติทำมาหากิน ภายหลังหยุดชีวิตการทำมาหากินแล้วก็ยังมีสมบัติทีมากกว่าเบี้ยบำนาญของราชการ

แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่จน จึงอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนเข้ามหาลัยได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง เพราะชีวิตผมเริ่มต้นจากสูญ ไม่มีมรดกจากพ่อแม่

บทความซึ่งจะนำลงตอนละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่สนใจอ่านจะลบทิ้ง

บทความตอนใดที่ไม่มีผู้สนใจอ่าน(ไม่ให้ความเห็น)
จะลบออกเร็วกว่านั้น
อยากบอกอยากถามก็ขอให้เขียน เรามาแลกเปลี่ยนวิถีทรรศน์ของกันและกัน เพื่อเดินทางร่วมกันฉันท์สหาย
[Add ลุงกฤช's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com