1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30
สามขาพาทัวร์....ศรีลังกา 4...ไปชมเมืองมรดกโลก .... Polonnaruwa
วันที่ ๓ Polonnaruwa , Medirigiriya Polonnaruwa เป็นเมืองหลวงเก่าสมัยโบราณของศรีลังกา ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของศรีลังกา โปโลนนารุวะ ประวัติความเป็นมาของเมืองโปโลนนารุวะ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 1598-1779 นับเป็นสมัยโปโลนนารุวะ กษัตริย์ที่ทำให้ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือ พระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1598-1653 เดิมทีนั้น พระเจ้าวิชัยพาหุทรงปกครองอาณาจักรโรหณะอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทรงเห็นว่าลังกาตกอยู่ในสภาพถูกรุกรานต้องระส่ำระสายไม่เป็นอันพัฒนาประเทศ ก็ทรงรวบรวมกำลังชาวลังกาทั้งหมด เรียกร้องให้ผนึกกำลังกันครั้งใหญ่ โดยไม่แบ่งแยกชาวอาณาจักรเหมือนเมื่อก่อน เพื่อให้ทุกคนสำนึกในความเป็นชาติเดียวกัน เพื่อจะได้สู้รบกับคนต่างชาติคือกองทัพโจฬะซึ่งครอบงำลังกาในยุคนั้น ก็ได้ถูกชาวสิงหลโดยการนำของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 ขับไล่จนต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด หลังจากเอาชนะข้าศึกได้แล้ว พระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 ก็ทรงสถาปนาเมืองโปโลนนารุวะเป็นราชธานี ด้วยทรงเห็นว่าสถานที่ตั้งของเมืองนี้มีความเหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวงกว่าเมืองอนุราธปุระหลายประการ ที่สำคัญคือมีความเหมาะสมทางด้านยุทธศาสตร์ เพราะอยู่ห่างจากภาคเหนือของเกาะ ไม่ล่อแหลมต่อการถูกรุกรานจากอินเดียตอนใต้ ทรงสร้างราชวังใหม่ที่เมืองโปโลนนารุวะ มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง มีการส่งราชฑูตไปบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา มาประดิษฐานไว้ที่เมืองโปโลนนารุวะ ต่อมาในสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ได้ยึดครองอาณาจักรโปโลนนารุวะได้ทั้งหมด ทรงครองราชย์ระหว่างปีพ.ศ.1696-1729 ทรงเป็นกษัตริย์มหาราช ในด้านต่างๆ คือ 1.ทางด้านศาสนา ทรงสร้างวิหารประดิษฐานพระธาตุเขี้ยวแก้ว ที่เมืองโปโลนนารุวะ เป็นวิหารทรงกลม สร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สุดในลังกา สร้างวิหารลังกาดิลกอันสะท้อนศิลปะแบบฮินดู แกะสลักพระพุทธรูปที่กัลวิหาร 2.ทางอารยธรรม ทรงสร้างพระราชวังที่ใช้ทองคำฉาบพื้นพระราชวัง ภายในมีห้อง 1000 ห้อง สูง 7 ชั้น ทรงสร้างป้อมพระนคร สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน สวนสาธารณะ 3.ทางด้านชลประทาน ทรงสร้างเขื่อน 168 แห่ง ขุดคลอง 3,910 คลอง สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 2,376 แห่ง อ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดกินเนื้อที่ถึง 5,940 เอเคอร์ ระหว่างปี พ.ศ. 1745-1751 เมืองโปโลนนารุวะก็ถูกทหารทมิฬทำลายอีกครั้ง ลังกาในช่วงเวลานี้ ตกเป็นฝ่ายรับมือข้าศึกจนไม่เป็นอันพัฒนาบ้านเมืองได้เลย จนเรียกได้ว่าเป็นจุดจบของอาณาจักรโปโลนนารุวะรู้จักประวัติคร่าวๆ กันแล้วนะคะ ก่อนออกเดินทาง กองทัพเดินได้ด้วยท้องค่ะ แม่บุญกับมิเชลไปนั่งรอเพื่อนๆ ที่ห้องอาหารของโรงแรม ไม่นานนักเพื่อนๆ ก็มากันครบ หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นชาวศรีลังกาคุ้นเคยกับแขกที่พูดภาษาฝรั่งเศส เพราะมีชาวฝรั่งเศสมาพักที่นี่มาก เขาจึงสามารถเข้าใจคำศัพท์ง่ายๆ ได้ และนำมาพูดกับพวกเรา ทำให้ได้หัวเราะกัน อาหารเช้ามีขนมปัง น้ำผลไม้ ผลไม้ แล้วก็เครปแบบศรีลังกาออกรสหวานนิดๆ ข้างในมีไส้มะพร้าวด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกัน วันนี้ท้องฟ้าโปร่งใสอากาศดี ทักทายกับคนขับและชามูร์แล้วก็พากันขึ้นรถ วันนี้ตามโปรแกรมที่เขาเขียนไว้คือ ไปชมอุทยานเมืองเก่า Polonnaruwa หากจะเปรียบเทียบกับไทยก็คล้ายๆ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยของเรา แต่ของไทยกว้างใหญ่ ร่มรื่น มีโบราณสถานให้ชมมากกว่า อันนี้แม่บุญเห็นด้วยกับมิเชลค่ะ รถพาเราไปจอดข้างๆ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ เพื่อให้ถ่ายภาพพระพุทธรูปยืนที่สร้างไว้ใกล้ๆ กัน แต่ชามูร์บอกว่า นี่เป็นเพียงองค์ที่สร้างเลียนแบบของเก่าๆ ที่เขาจะพาไปดูต้องไปกันอีกไกลกว่านี้ ว่าแล้วก็พากันขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ เพื่อไปที่ Medirigirya ซึ่งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ที่มีโบราณสถานเก่าแก่มากมายหลงเหลืออยู่ รถวิ่งขึ้นไปจอดบนสันของสระน้ำพระเจ้าปรากรมพาหุ มีรูปปั้นของพระองค์ท่านยืนเด่นอยู่ เมื่อรถจอด รอบๆ บริเวณมีลิงมากมายวิ่งหาเศษอาหาร คุ้ยหาตามถังขยะเล่นเอาสกปรกกันไปทั่ว อยู่ๆ ก็มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดตรงประตูรถที่เพื่อนๆ กำลังพากันเดินลงมา เขาถามว่าพวกเราพูดภาษาฝรั่งเศสเหรอ ? เขาเป็นไกด์ สามารถอธิบายสถานที่ต่างๆ ในนี้ให้พวกเราเข้าใจได้ เพื่อนบอกว่ามีไกด์แล้วๆ ก็ชี้ไปที่ชามูร์ เท่านั้นแหละ หนุ่มใหญ่ก็แสดงอาการเกรี้ยวกราดใส่ชามูร์ และบอกว่า ชามูร์ไม่ได้เป็นไกด์ เป็นแค่คนที่พูดฝรั่งเศสได้นิดหน่อยแถมไม่มีบัตรไกด์อีกต่างหาก เห็นท่าทางของเขาแล้วก็ช่างน่าสงสาร อารมณ์ใดหนอที่ทำให้ แสดงกิริยาท่าทางก้าวร้าวได้ขนาดนี้ พวกเรารีบป้องกันชามูร์ โดยบอกว่า เรารู้ว่าเขาไม่ใช่ไกด์อาชีพ แต่เราพอใจที่จะให้เขามาพาเราเที่ยว ไม่เป็นไร หนุ่มใหญ่ยังไม่ลดละ เดินตามมาพูดอีกมากมายกับชามูร์พร้อมกับทำท่าจะลงมือลงไม้ จนพวกเราต้องตะโกนว่าเราไม่ต้องการเขาๆ ถึงได้ขับรถมอเตอร์ไซค์หนีหายไป ชามูร์หน้าเสีย ที่โดนต่อว่า เขาขอโทษพวกเราๆ บอกว่าอย่าไปคิดมาก ทำหน้าที่ของเธอที่เธอต้องทำให้ดีที่สุดก็พอ จากนั้นเขาก็พาพวกเราไปเลือกรถจักรยานเพื่อที่จะได้ถีบเข้าไปในอุทยานฯ งานนี้แม่บุญทิ้งไม้เท้า ไม่ต้องเดินช่างดีจริงๆ แต่พอไปถึงหน้าอุทยานบางแห่งก็ต้องจอดรถไว้แล้วเดินชมรอบๆ วันนี้มีนักเรียน นักศึกษามาทัศนศึกษานอกสถานที่กันด้วย รวมกับนักท่องเที่ยวแล้วก็นับว่ามีคนมาชมไม่น้อย แดดเปรี้ยงๆ ลงมากลางหัวทำให้ต้องหยิบหมวกมาใส่กันแดด ชามูร์เดินนำไปดูสถานที่แต่ละแห่ง แต่อย่างที่บอก เขาไม่รู้ประวัติมากนัก จะว่าไป ??? เมื่อฟังแล้วก็เข้าหูซ้ายออกหูขวา จะมีสักกี่คนที่จดจำเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างจะแจ้ง หากไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์อย่างจริงๆ จังๆ ดูอย่างแม่บุญ ตอนกลางคืน ไม่มีอะไรทำ นอนอ่านประวัติสถานที่แต่ละแห่งเอาเป็นเอาตาย ตื่นเช้าขึ้นมาลืมหมดแล้ว..ก๊ากกก เรียกว่า ถ้าเป็นสูตรทำอาหารละอีกอย่าง อันนั้นแค่ดูก็จำได้ เพราะความสนใจมันต่างกันไง คณะเราเดินชมสถานที่ต่างๆ ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ เหงื่อไหลจนเสื้อข้างหลังเปียกกันเลยทีเดียว แม่บุญเดินรั้งท้ายสุดเพราะเจ็บขา แถมยังหยุดถ่ายภาพด้วยเลยช้าไปใหญ่ แต่ทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร จนเรามาหยุดเดินเพื่อพักดื่มน้ำริมถนนภายในอุทยานฯ ที่มีคนมาขายน้ำ ขายผลไม้ กำลังนั่งรับลมเย็นๆ อีตาหนุ่มใหญ่ไกด์กิตติมศักดิ์ก็ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดพรอดหน้าพวกเรา จากนั้นก็ลงรถลงมาพาลหาเรื่องชามูร์ต่อ เขาคงเสียดายค่าไกด์ที่หากมีแขกมากค่าแรงก็มากตามและคงคิดว่าชามูร์คงจะฟันพวกเราเหนาะๆ ไปหลายตังค์ ถึงได้ตามมาราวีไม่ยอมหยุด ความอิจฉา ความโลภ..ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ หลังจากยืนต่อว่าต่างๆ นาๆ ด้วยภาษาที่พวกเราไม่เข้าใจ เขาก็หันมาพูดภาษาฝรั่งเศสกับพวกเราว่าน่าเสียดายอย่างนั้นอย่างนี้ งานนี้พระเอกของเรื่องก็ออกมาฟาดฟัน...มิเชล...นั่นเอง...แกพูดออกมาแบบนิ่มๆ ว่า ฉันพอใจที่จะมีไกด์ที่ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ แต่มีความสุภาพกับพวกเรา มากกว่าจะมีไกด์มืออาชีพแต่กริยาท่าทางก้าวร้างอย่างคุณ....ได้ยินเท่านั้น หนุ่มใหญ่สะบัดหน้า หันหลังเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับหนีหายไปเลย งานนี้ชามูร์ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากมิเชล.. พระเอกวัยดึก ..ก๊ากกกก เพื่อนๆ พากันเดินมาปลอบใจชามูร์ ตบหัวลูบหลังกันไปด้วยความเอ็นดูลูกหลาน จากนั้นก็พากันถีบจักรยานออกจากอุทยานฯ มันเลยเที่ยงไปนานจนท้องเริ่มร้องกันแล้วไง ชามูร์บอกว่าจะพาไปกินอาหารพื้นเมืองของศรีลังกา คนขับรถพารถวิ่งเข้าไปในนาข้าวกว้างใหญ่ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีร้านอาหาร จนไปเจอป้ายใหญ่เขียนไว้ว่า อาหารพื้นบ้าน...เออน่าสนใจ ในที่สุดรถก็มาจอดนิ่งสนิทหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูแล้วว่ายังคงสร้างได้ไม่นาน บ้านสองชั้นใต้ถุนสูง ข้างๆ มีรถตุ๊กๆ เขียนโฆษณาร้านติดไว้ ใกล้ๆ กันมีสวนเล็กๆ ปลูกมะละกอและพืชผักสวนครัวอย่างอื่นไว้ด้วย เข้าท่าดี ไม่ต้องไปซื้อผักที่ไหน เอาผักที่ปลูกไว้มาทำอาหารดีจริงๆ พวกเราเดินผ่านเข้าไปที่ใต้ถุนทรงสูง จึงเห็นตะอาหารที่ตั้งเรียงรายไว้ ด้านหน้าเป็นบ่อเลี้ยงปลา แหม่..เศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ มุมตรงข้ามจัดไว้อย่างน่าสนใจ เพราะมีหม้อดินเผาใส่อาหารตั้งเรียงรายเป็นทางยาว มีเตาไฟที่จุดเทียนเอาไว้อุ่นอาหารด้วย ที่เจ๋งสุดๆ ก็ตรงที่ หน้าหม้อแต่ละหม้อ เหนือขึ้นไป เขาจะวางผัก ชนิดที่ใช้ปรุงอาหารของหม้อนั้นๆ เพื่อให้รู้ว่าเป็นอะไรโดยไม่ต้องเปิดฝาหม้อ เช่น ฟักทอง มะรุม บวบ ฯลฯ อาหารส่วนมากเราก็เคยเห็นกันมาแล้วตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น เพียงแต่รูปแบบที่เสนอแตกต่าง น่าชม เท่านั้นเอง ถัดไปข้างๆ มีหญิงวัยกลางคนกำลังยืนย่างโรตีอยู่คนเดียว แม่บุญถามว่าขอถ่ายรูปได้ไหม เธอพยักคอไปมา จากนั้นก็เรียกให้แม่บุญไปทำโรตีกับเธอ แม่บุญรีบตะโกนเรียกมิเชลให้มาถ่ายภาพแทน ส่วนตัวเองกระโจนลงไปยืนนวดแป้งกับปิ้งโรตีราวกับได้ของเล่นใหม่ก็ไม่ปาน เพื่อนๆ เห็นเข้าก็พากันยิ้มบอกว่า ถูกคนพอดี จากนั้นก็วางมือไปเดินตักข้าวกินเพราะหิว อาหารแต่ละหม้อ ทำจากผักในสวน แต่ที่แปลกใจมาหลายวันตั้งแต่ได้กินอาหารแบบนี้คือ ทำไมคนศรีลังกาไม่ปลอกเปลือกผักเลย เช่น ฟักทอง หั่นชิ้นโตเท่าครึ่งฝ่ามือ เปลือกแข็งๆ ก็ไม่เอาออก มะรุม...เปลือกแข็งมาก หั่นชิ้นยาวเชียว ฝรั่งจะกินเป็นไหมนั่น? บวบ...มุมที่เป็นเหลี่ยมไม่มีการตัดออกเลย หั่นมาเป็นชิ้นใหญ่ทั้งเปลือกแข็งๆ นั่นแหละ สรุปคือผักทุกอย่าง ฉันไม่ปลอกเปลือก แม่บุญตักฟักทองมากิน เขาผัดใส่เครื่องเทศเผ็ดๆ ส่วนไก่ทอดจนแข็ง ผัดกับพริกแกงเผ็ดพอสมควร เมล็ดถั่วต้มจนสุกผัดกับเครื่องแกงกระหรี่เหลืองเชียว ผักอื่นๆ ผัดใส่พริกหยวก พริกชีห้าพริกใหญ่ เผ็ดดีอีกตามเคย ปลาเค็มตัวเล็ก ผัดใส่พริกเผ็ดและเค็มจนดื่มน้ำตามอีกอึกใหญ่ ตกลงที่เห็นหม้อกับข้าวเรียงรายเป็นสิบ กินได้ไม่ถึงสามอย่าง ของหวานคือ โยเกิรต์นมควายใส่น้ำผึ้ง มีมิเชลกับเพื่อนกินกันสองคน นอกนั้นกินผลไม้แทน เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน เข้ามาถามว่าอาหารอร่อยไหม? พวกเราตอบตามมารยาทว่า อร่อย ทำเอาเจ้าของยิ้มกว้าง นี่พูดปดผิดศีลนะแม่บุญ...ทำไงได้ ถ้าตอบว่าไม่อร่อย เขาจะพาลเสียหน้า เสียใจ เอาหน่อยน่า จากนั้นเขาก็อธิบายว่าร้านพึ่งเปิดได้ไม่นาน ลุกค้ามากินกันเยอะ แล้วก็เขียนข้อความต่างๆ เต็มฝาผนังไปแทบจะเต็มแล้ว เขาขอให้พวกเราเขียนด้วย แม่บุญเลยปีนกระไดขึ้นไปเขียนบนเพดานเป็นภาษาไทย ใครไปที่นั่นอย่าลืมอ่านนะ ร้านอาหารในป่าในดงแบบนี้ ถ้าไม่ให้ไกด์กินฟรี คงไม่มีใครพาลูกค้ามากินแน่ๆ ตกลงหนุ่มน้อยชามูร์ของเรากับคนขับรถก็โชคดีตามเคย ถามว่าคุ้มไหม? กับค่าอาหาร ? ไม่คุ้มหรอกเพราะกินได้ไม่กี่อย่าง มาอยู่นี่สามวันกินบุฟเฟย์ไปทั้งสามวัน แถมกินได้นิดหน่อยแต่จ่ายเต็มราคา หนุ่มน้อยชามูร์กับคนขับรถกินฟรีเพราะพาแขกมากินที่ร้านอันนี้ไม่บอกก็รู้ ที่ไหนๆ ก็เป็นเหมือนกันหมด ขากลับแม่บุญแอบคิดคำนวณดูว่า หากปล่อยให้หนุ่มน้อยพาไปกินบุฟเฟย์ต่อ เงินที่เตรียมมาคงไม่พอแน่ๆ เปรียบเทียบกับกินอาหารที่เมืองไทย ทั้งอร่อยทั้งมีให้เลือกมากมาย มื้อเที่ยงฟาดเกี๋ยวเตี๋ยว กินอย่างอื่นอีกแถมอร่อยด้วย ยังราคาถูกกว่าบุฟเฟ่ย์ที่ศรีลังกาจากนั้นก็พากันไปชมโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์อีกแห่ง ที่นี่จะมีพระพุทธรูปแกะจากหินปางยืนสูง ๗ เมตร ปางนั่งสมาธิ และปางนอน ยาวถึง ๑๔ เมตร เรียกสถานที่นี้ว่า Gal Vihara ( Uttararama) ที่นี่แหละที่เป็นมรดกโลก คนที่จะเข้าไปดูข้างในต้องถอดรองเท้า แต่เพราะแดดอันร้อนระอุ การถอดรองเท่าเดินบนหินและทรายร้อนๆ ทำให้นักท่องเที่ยวฝรั่งยินดูอยู่ข้างนอก แม่บุญคิดว่า ในเมื่อเราได้มาแล้วยังไงก็ต้องไปกราบให้ถึงที่ ถึงได้ถอดรองเท้าลุยคนเดียว เราชมกันไม่นานก็กลับเพราะแดดร้อนมาก หลังจากนั้น ชาวคณะขอให้พากลับโรงแรมเพราะอยากไปว่ายน้ำในสระ ด้วยอากาศอันร้อนระอุ บ่าย ๔ โมงเย็นพอดี ว่าไงก็ว่าตามกัน แม่บุญไม่ว่ายน้ำแต่เอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเลือกเอามาซักที่มันจะแห้งเร็ว งานนี้เตรียมเตารีดขนาดเล็กมาด้วย เลยไม่ต้องกังวล จะว่าไป จากประสบการณ์ที่อินเดีย เขาซักผ้าแล้วรีด...แกะออกมาดู ไม่มีรอยรีดเลยเจ้าพระคุณ แต่เวลาคิดเงินบอกว่ารีดแล้ว ที่ลาว ที่เขมร เหมือนกันหมด เลยต้องพกเตารีดไปด้วยทุกประเทศนี่แหละ จบวันที่สามของการเดินทางแล้วค่ะ ตอนหน้าพาไปที่ใหม่ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
Create Date : 15 เมษายน 2560
Last Update : 25 กรกฎาคม 2560 23:39:39 น.
21 comments
Counter : 1180 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณไวน์กับสายน้ำ , คุณกะว่าก๋า , คุณmoresaw , คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณรัชต์สารินท์ , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน , คุณtuk-tuk@korat , คุณQuel , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณMitsubachi , คุณSweet_pills , คุณชมพร , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณสองแผ่นดิน , คุณnewyorknurse
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:6:40:04 น.
โดย: moresaw วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:6:52:15 น.
โดย: ชมพร วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:10:21:02 น.
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:12:47:26 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2560 เวลา:21:12:01 น.
โดย: Quel วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:1:53:24 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:6:19:18 น.
โดย: Mitsubachi วันที่: 16 เมษายน 2560 เวลา:12:53:08 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 17 เมษายน 2560 เวลา:2:51:55 น.
โดย: Sweet_pills วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:1:34:08 น.
โดย: ชมพร วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:10:02:23 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 19 เมษายน 2560 เวลา:21:25:22 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 19 เมษายน 2560 เวลา:23:29:19 น.
โดย: moresaw วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:14:32:59 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
อันธพาล... จะได้ระวังตัว..มิให้พบพาล
แต่ครั้งที่ไป พม่า.. เจอคนขับแท๊กซี่สนามบิน เห็นเขาต่อ
ว่า เพื่อนด้วยกัน ด้วยสีหน้าไม่ดี
ผมยังคิดตำหนิ ทำไมต้องทะเลาะกัน ฟังแล้วได้ความว่า
เขาจัดคิวกันไว้... ว่าต้องเป็นไปตามคิว
ตกลงเราขึ้นรถจากสนามบิน ไปกับเจ้าของคิว..คันติ๊ดเดียว
แต่ปรากฏว่า... เขาขับดี สุภาพมาก ผิดกว่าที่เราเห็นครั้งแรก
เราเลยตกลงจ้างในวัดต่อไปอีก.. ราคาไม่แพง เขาเปลี่ยนรถ
เป็นคันโตในวันถัดไปด้วย..
แต่ร้านอาหารข้างบน หลังสุดนี่... ขนาดฟักทองไม่ปอกเปลือก
คงไม่ไหว แหะ ๆ กลัวฟันบิ่นหรือหลุด..
Maeboon Klaibann Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น