|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เครื่องปั่นอาหารโดยใช้พลังงานมนุษย์
เครื่องปั่นอาหารโดยใช้พลังงานมนุษย์
ความมหัศจรรย์อีกอย่างของมนุษย์ก็คือไม่ต้องใช้พลังงานจากน้ำมันเพื่อทำให้เกิดมลพิษจากภาวะอากาศเสียและอาจจะส่งผลให้โลกร้อน แต่ร่างกายเราใช้พลังงานที่เผาผลาญเองจากการรับประทานอาหารเข้าไป เรามาเรียนรู้ไปพร้อมกันครับ
เมื่อเราจัดแจงหาอาหารมาตามเท่าที่ต้องการและความหิวแล้ว คงไม่รอช้าในการป้อนอาหารเข้าปากตนเอง เมื่ออาหารคำแรกเข้าไปในปาก แทบจะเป็นอัตโนมัติที่ฟันและลิ้นพร้อมทั้งน้ำลายเริ่มทำงาน โดยฟันก็เคี้ยวอาหารตามที่สมองสั่งการ ลิ้นก็คอยตวัดอาหารและดันอาหารไปทางกระพุ้งแก้มซ้ายและขวาสลับกันเพื่อให้ฟันบดเคี้ยวได้ดีขึ้น ขณะที่น้ำลายก็มาช่วยคลุกเคล้าให้อาหารที่แข็งนั้นอ่อนตัวลงด้วย ในน้ำลายเองก็มีน้ำย่อยชนิดหนึ่งชื่ออะไมเลส ที่คอยย่อยอาหารจำพวกแป้งให้กลายเป็นน้ำตาล ซึ่งการย่อยที่เกิดขึ้นในปากโดยใช้ฟันบดและเคี้ยวนี้เรียกว่า การย่อยเชิงกล ส่วนการย่อยที่ใช้น้ำย่อยในน้ำลายเรียกว่า การย่อยเชิงเคมี(ก็น้ำย่อยเป็นสารเคมีนั่นเอง)
เมื่ออาหารถูกเคี้ยวและกลืนเข้าไปในท้อง อาหารนั้นก็จะถูกส่งผ่านไปยังหลอดอาหาร ซึ่งตรงจุดนี้ต้องผ่านลิ้นเปิดปิดระหว่างหลอดอาหารและหลอดลมเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารหลุดเข้าไปในหลอดลม ลิ้นตัวนี้ก็จะปิดหลอดลมไว้ ถ้าบังเอิญมีอาหารหลุดรอดเข้าไปร่างกายก็จะพยายามสำลักออกมา ถ้าไม่ออกมาหรือใหญ่จนออกมาไม่ได้ คนนั้นก็อาจจะเสียชีวิตเพราะขาด อากาศหายใจ ดังจะได้ยินข่าวเด็กกลืนเหรียญเข้าไปติดหลอดลมแล้วเสียชีวิตมาบ่อย
อาหารที่ถูกเคี้ยวและส่งผ่านหลอดอาหารซึ่งจะไม่มีย่อยใดๆ ทั้งสิ้น เพียงการเพิ่มความสะดวกในการดันก้อนอาหารนั้นลงไปในกระเพาะอาหาร ซึ่งหลายคนคิดว่าส่วนนี้สำคัญที่สุด และคิดว่าอาหารจะถูกย่อยตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด เนื่องจากกระเพาะจะทำงานเพียงไม่กี่อย่างแต่จะทำงานนานนั่นเอง
ในระหว่างที่อาหารกำลังเคลื่อนลงมา กระเพาะอาหารก็มีการเตรียมตัวโดยการหลั่งสารที่เป็นเมือกมาเคลือบกระเพาะอาหารก่อนเพื่อรองรับกรดแก่อย่างกรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งกรดนี้มีหน้าที่สำคัญในการปรับเปลี่ยนน้ำย่อยหรือเอนไซม์ให้สามารถทำงานได้ในสภาพที่เป็นกรด และในกระเพาะอาหารนี้จะทำหน้าที่ย่อยอาหารที่เป็นโปรตีนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ ไม่ใช่เฉพาะอาหารที่เป็นเนื้อนะครับ หมายถึงอาหารที่มีโปรตีนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยจะถูกย่อยในส่วนนี้เพื่อให้โปรตีนมีขนาดเล็กลงสำหรับไปย่อยในส่วนถัดไป
เนื่องจากในกระเพาะอาหารมีกรดแก่มาก ดังนั้นคนที่รับประทานอาหารไม่ตรงเวลาบ่อยๆ ก็จะถูกกรดนี้ทำลายเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร เมื่ออาหารเข้าไปสัมผัสกับเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายนี้ก็จะเกิดอาหารปวดท้อง เหมือนแผลสดของเราถูกน้ำ ถูกอาหารสัมผัสนั่นเอง การป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระเพาะอาหารดีที่สุด เพราะถ้าเกิดเป็นโรคนี้แล้ว การรักษาจะใช้เวลานานกว่าและถ้าหากกระเพาะอาหารถูกทำลายบ่อยเข้าจนบางขึ้นและทะลุ เลือดก็จะออกมาในช่องท้องและถ้าหากเสียเลือดมากก็ทำให้เสียชีวิตได้เหมือนกันนะ
อาหารที่ผ่านการย่อยที่กระเพาะอาหารแล้ว อาหารทั้งหมดที่ถูกคลุกกับกรดจะมีสภาพไม่เหมาะที่จะย่อยต่อเนื่องจากกรดจะไปทำลายเนื้อเยื่อในลำไส้เล็ก ร่างกายจึงต้องสร้างของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นเบสเพื่อทำปฏิกิริยากับกรดให้หายไปกลายเป็นสภาพที่เป็นกลางนั่นเอง
เมื่ออาหารถูกนำมาส่งที่ลำไส้เล็กซึ่งอยู่ต่อจากกระเพาะอาหาร ตับสร้างน้ำดี(ขมๆ) ไว้รองรับโดยส่งเก็บไว้ที่ถุงน้ำดีและส่งน้ำดีมายังลำไส้เล็ก น้ำดีมีหน้าที่ทำให้ไขมันที่มีขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงเพื่อให้น้ำย่อยในลำไส้เล็กที่ชื่อไลเปสย่อยไขมันได้ดีขึ้นและเร็วมากขึ้น คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยไขมันอาจจะเกิดจากน้ำดีไม่ทำงานหรืออาจจะเป็นโรคดีซ่าน ซึ่งอาจจะมีปัญหาในการรับประทานอาหารจำพวกไขมัน นอกจากน้ำดีแล้ว ในลำไส้เล็กก็ยังมีน้ำย่อยอีกหลายชนิดที่ลำไส้เล็กและตับอ่อนสร้างขึ้นมา เพื่อใช้ในการย่อยอาหารทุกชนิด(ย้ำอีกครั้ง อาหารที่มีการย่อยได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน)
ฉะนั้นอาหารจะถูกย่อยที่ลำไส้เล็กมากที่สุด โดยน้ำย่อยชื่อทริบซินย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน อะไมเลสย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส น้ำย่อยซูเครสก็ย่อยน้ำตาลซูโครสให้เป็นกลูโคสและฟรักโทส น้ำย่อยเลกเตสย่อยน้ำตาลเลกโตสให้เกิดเป็นน้ำตาลกลูโคสและกาแลคโตส น้ำย่อยมอลเทสก็ย่อยน้ำตาลมอลโทสให้เป็นน้ำตาลกลูโคส น้ำย่อยไลเปสย่อยไขมันให้ได้กรดไขมันและกลีเซอรอล ส่วนอาหารจำพวกวิตามินและเกลือแร่เป็นผลที่ได้จากการย่อยอาหารในแต่ละอวัยวะ เช่นเมื่อย่อยผลไม้ในลำไส้เล็กวิตามินก็จะถูกดึงออกมาละลายในสารละลาย หรือเกลือแร่ก็ถูกละลายออกมาจากอาหารในขณะที่กำลังคลุกเคล้ากันอยู่ ฉะนั้นในลำไส้เล็กขณะนี้จึงมีสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ(ขึ้นอยู่กับการกินของคนแต่ละคนด้วย)เมื่อร่างกายย่อยอาหารจนได้โมเลกลุขนาดเล็กที่สุดแล้ว ร่างกายก็จะดูดซึมสารอาหารเล็กๆ เหล่านั้นเข้าไปในเส้นเลือดที่อยู่ตามผนังด้านในของลำไส้เล็กและส่งรวมกันไปตามเลือดที่ส่งไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย เพื่อใช้ในการเผาผลาญให้เป็นพลังงานใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
กากอาหารที่เหลือจากการย่อยละ ก็ส่งผ่านไปที่ลำไส้ใหญ่ซึ่งภายในลำไส้ใหญ่นี้จะมีแบคทีเรียและจุลินทรีย์หลายชนิดคอยกินกากอาหารและขับถ่ายของเสียออกมา ทั้งนี้ก็เพื่อให้กากอาหารที่เหลือนั้นเหลวเหมาะที่จะขับถ่ายออกมาโดยไม่ลำบากและถ้าหากใครกินเส้นใยเข้าไปมาก แบคทีเรียย่อยไม่ได้ก็จะช่วยให้การขับถ่ายได้ดีขึ้น เพราะถ้าหากกากอาหารเหลวเกินไปจะทำให้เกิดการดูดน้ำกลับไปมาก กากอาหารจะจับเป็นก้อนแข็งทำให้ขับถ่ายออกยาก เกิดโรคริดสีดวงทวารได้ย่อย แต่ถ้าหากมีเส้นใยก็จะช่วยให้ท้องไม่ผูกนั่นเอง
สุดท้ายฝากไว้นิดนะครับ ว่าทุกวันนี้เราเกิดโรคภัยต่างๆ ขึ้นมากมายนั้น ส่วนหนึ่งเราเองนั่นแหละที่หยิบมันเข้าไปในร่างกายโดยการกิน ดังนั้นเพื่อสุขภาพของแต่ละคนเอง ก่อนหยิบอะไรเข้าปากต้องมั่นใจว่า สะอาดและมีประโยชน์ครับ
Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 16:34:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 690 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]
|
แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
|
|
|
|
|
|
|
|