Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2548
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 

นักแสดงมุสลิม

ฮีน-ศศิธร พานิชนก
*เมื่อได้รับการติดต่อจาก บริษัท ฟิล์มเซิร์ฟ จำกัด ในเครือ บริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น จำกัด ให้มารับบท ซากีนะห์ สาวชาวมุสลิมในหมู่บ้านแหลมตะลุมพุก ในภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงเรื่อง ตะลุมพุก มหาวาตภัยล้างแผ่นดิน นางเอกสาวตาคมอย่าง ฮีน - ศศิธร พานิชนก ที่เคยรับบท ไฮซินธ์ ในเรื่อง จัน ดารา ก็ไม่รอช้ารีบตอบตกลงทันที เพราะงานนี้ได้บทตรงตัวและโดนใจเป็นที่สุด นอกจากเจ้าตัวจะเป็นชาวมุสลิมโดยกำเนิดแล้ว ความคิดของตัวแสดงในเรื่องกับความคิดของตัวจริงก็มีส่วนคล้ายกันอีกด้วย

ฮีน ศศิธร เผยว่า "เรื่องตะลุมพุกฯ ฮีนรับบทเป็นซากีนะห์ค่ะ เป็นสาวชาวบ้านคนหนึ่ง แต่มีความคิดที่แตกต่างไปจากสาวชาวบ้านทั่วไป ในเรื่องเป็นชาวมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม เขามีกรอบประเพณีที่เป็นตัวบังคับให้เขาดำเนินชีวิตไป แต่ว่าใจเขาค่อนข้างที่จะสมัยใหม่ และมีความคิดเป็นของตัวเอง คือมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าแหกกฎนะคะ คือความคิดค่อนข้างหัวใหม่ และกล้าที่จะแสดงออก เช่นรักพระเอกก็แสดงออกมาเลยว่ารัก จะไม่มาแอบมองหรืออะไร

สำหรับคาแรกเตอร์ที่ได้รับในเรื่องนี้ ฮีนคิดว่าค่อนข้างตรงกับตัวฮีนเลย อย่างแรกคือเป็นมุสลิม ฮีนก็ค่อนข้างเข้าใจในเรื่องของวัฒนธรรมและประเพณี และความคิดของฮีนก็อาจจะคล้ายๆ กับซากีนะห์ แต่ที่ต่างกับตัวจริงก็ตรงที่บางทีตัวซากีนะห์ค่อนข้างจะกล้ากว่าตัวจริงของฮีนด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นฮีนจะรักใครแต่จะให้หนีตามก็ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ เพราะอย่างน้อยเราก็ยังแคร์ความรู้สึกของคนในครอบครัวและสังคมเราด้วย"

ฮีน ศศิธร ชอบใจบทสาวมุสลิม ตรงตัวโดนใจใน ตะลุมพุกฯข่าววันที่ 26 พฤศจิกายน 2545

บรรยากาศงานเปิดตัว ตะลุมพุก มหาวาตภัย ล้างแผ่นดิน

"ถ้าสีดามีตัวตนและมีชีวิตอยู่ เธออาจจะอยากเล่าเรื่องชีวิตของเธอตั้งแต่ต้นจนจบใหม่" รศ.พรรัตน์ ดำรุง ผู้สร้างบทและกำกับการแสดงละครเรื่องใหม่ของภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว ละครเรื่อง สีดา : ศรีราม? ตั้งคำถามเกี่ยวกับภาพของหญิงในอุดมคติผู้มีชื่อเสียงที่สุดในวรรณคดีอมตะของไทยเรื่อง "รามเกียรติ์" ว่า คุณค่าของเธอนั้นต้องขึ้นอยู่กับการส่งเสริมบารมีของสวามีคือพระรามเท่านั้นหรือไม่

ละครเรื่องนี้พูดถึงเรื่องเล่าของผู้หญิงหลายคน ในปัจจุบันที่อ้างว่าชีวิตของพวกเธอ มีส่วนคล้ายชีวิตของนางสีดา ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่างามและดีพร้อมที่สุดในสามโลก แปลกที่ว่าเรื่องที่นำมาเล่าใหม่นี้ช่างแตกต่างไปจากเรื่องเดิมที่เราเคยฟังมาก่อน มาฟังเรื่องที่สีดา "ยุคดิจิตอล" เล่าให้เราฟัง แล้วลองเทียบเคียงกับสีดาเมื่อวันวาน บางทีเราอาจ เห็นความงามและความดีของสีดาต่างไปจากสิ่งที่เคยคิดไว้ และบางทีตัวเราเอง ซึ่งมักคิดว่าตัวเรานั้นมิได้ดีพร้อม ก็อาจมีสิทธิเป็น "นางแก้ว" อย่างสีดาได้เช่นเดียวกัน

สีดา : ศรีราม? เป็นงานวิจัยทางการละครโครงการที่สี่ในชุดโครงการเรื่องเก่าเล่าใหม่ของภาควิชาศิลปการละคร ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ต่อจากเรื่อง เกศาราพุนเซล และ มหัศ จรรย์ผจญภัยเจ้าชายหอย สร้างบทและกำกับการแสดงโดย รองศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง นักการละครระดับนานาชาติผู้เชี่ยวชาญ เรื่องละครขนบนิยมสมัยใหม่ ผู้สร้างผลงานซึ่งเป็นที่กล่าวขานหลากหลายเรื่อง อาทิ ลุยไฟ, ความรักความตาย ,นนทุก รวมถึงละครสำหรับเด็กเรื่องอย่าง จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า(ไม่ขอข้าวขอแกง), หมูอู๊ดอิ๊ดกับกระปุกกายสิทธิ์ และ ฉลามฟันหลอ สร้างดนตรีไทยร่วมสมัยโดยกลุ่มแทร็คซ์ นำโดย สินนภา สารสาส ออกแบบฉากและแสงโดย Allan Stichbury ศิลปินรับเชิญจากมหาวิทยาลัยวิคตอเรีย ประเทศแคนาดา

พบกับสองนักแสดงรับเชิญจากกลุ่มละครมะขามป้อม "เอี้ยง" เสาวณีย์ อุทุมมา ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง โหมโรง และ "กุ๊กเบิร์ด" นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ จาก Potato Chat และ "เพียว"ดวงใจ หิรัญศรี นักแสดงละครเวทีระดับนานาชาติจาก Prism และ ยักษ์ตัวแดง ในภาคพิสดารของนางในวรรณคดีมากหน้าหลายตาอาทิ แก้วหน้าม้า, อีฟ , วันทอง,โมรา ฯลฯ ที่เรียงแถวกันมาประชันบทกับ สมศักดิ์ ศิริพันธุ์ หนึ่งในสามรูปของพระราม ร่วมด้วย *"ฮีน" ศศิธร พานิชนก" นางเอกสาวในบทหญิงไทยยุคสมัย ที่พาเราไปตั้งคำถามกับเรื่องราวของสีดาในยุคปัจจุบัน ที่แสดงโดยเหล่านิสิตสาวจากรั้วจามจุรี

สีดา : ศรีราม? จัดแสดงทุกวันพฤหัสบดี-ศุกร์ เวลา 18.30 น. เสาร์ เวลา 14.00 และ 18.30 น. และอาทิตย์ เวลา 14.00 น. ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม - 4 กันยายน 2548 ณ โรงละครอักษรศาสตร์ บัตรราคา 200 บาท นักเรียน นิสิต นักศึกษาและหมู่คณะสิบห้าคนขึ้นไป 150 บาท บัตรจำหน่ายที่ ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ห้อง 809 ชั้น 8 อาคารบรมราชกุมารี และที่ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ทั้งสองสาขา ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-22184802 และ 0-15597252

สีดา : ศรีราม?
คำถามใหม่จากละครอักษรฯ จุฬาฯ


*(น.ส.ศศิธร พานิชนก หรือ น้องฮีน อายุ 23 ปี จบอักษรศาสตร์จุฬาฯ เอกศิลปการละคร เป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่อง ตะลุมพุก และละครเวทีเรื่อง กุหลาบสีเลือด เป็นลูกครึ่งไทยอินเดีย เป็นครูสอนการแสดงอยู่ )

"ฮีน" เมินถ่ายหวือ
ฮีน-ศศิธร พานิชนก ไม่สนงานละคร เพราะกำลังเรียนอย่างหนัก เผยไม่คิดถ่ายหวือ เพราะทางศาสนาอิสลามห้ามเด็ดขาด
ฝากฝีมือการแสดงหนังเอาไว้แล้วถึง 2 เรื่อง คือ "จันดารา" และ "ตะลุมพุก มหาวาตภัย" ล่าสุดมารับเล่นหนังเรื่อง "อุกกาบาต" อีกเรื่อง มาถึงวันนี้ทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น

"หลังจากเล่นเรื่องตะลุมพุกฯ ก็มีคนจำฮีนได้มากขึ้น บางคนก็เข้ามาทักว่าใช่ฮีนหรือเปล่า เพราะเขาไม่แน่ใจ ฮีนก็ดีใจที่มีคนจำฮีนได้ เพราะปีหนึ่งฮีนจะเล่นหนังประมาณ 1 เรื่อง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พอเข้าวงการแล้ว ฮีนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย ฮีนยังเป็นปกติเหมือนเดิม"

เห็นฮีนเล่นภาพยนตร์มาแล้ว 3 เรื่อง ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องของงานละคร ว่ามีคนทาบทามให้เล่นละครหรือไม่ ฮีนยิ้มแล้วบอกว่า มีละครติดต่อมาเหมือนกัน แต่ยังเล่นให้ไม่ได้

"งานละครตอนนี้ฮีนยังไม่รับเล่นเลย เพราะละครใช้เวลาในการถ่ายทำเยอะ ฮีนเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอักษรศาสตร์ ซึ่งไม่สามารถจะหยุดได้เลย ฮีนไม่อยากมีปัญหากับการเรียน แต่หนังเรื่องนี้ เขาขอคิวแค่วันเสาร์-อาทิตย์ หรือไม่ก็วันจันทร์อีกวันหนึ่ง ซึ่งฮีนให้ได้ อีกอย่างละครที่เขาติดต่อเข้ามา ก็ชนกับคิวของหนังเรื่องนี้พอดี ก็เลยไม่รับเล่น ฮีนเลยคิดว่าเรียนจบก่อนค่อยรับงานละคร"

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ทางบ้านว่าอย่างไรบ้างที่ฮีนทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ฮีนบอกว่า ที่บ้านสนับสนุนมาตลอด และที่สำคัญเขาให้ฮีนเป็นคนตัดสินใจเอง

"ฮีนจะเลือกบทเอง ดูว่าอยากจะเล่นหรือเปล่า ยิ่งเป็นเรื่องที่มีเลิฟซีนก็คงต้องถามที่บ้านก่อน ซึ่งฮีนเองก็ต้องดูหลายๆ อย่าง ว่าจะต้องเล่นแค่ไหน ยิ่งตอนนี้ฮีนกำลังเรียนอยู่ด้วย ก็เลยต้องรักษาสภาพของการเป็นนิสิตจุฬาฯ เอาไว้ด้วย ก็เลยไม่อยากจะรับบทเลิฟซีนเท่าไหร่

ที่มหาวิทยาลัยไม่มีลิมิตอะไร แต่เกรงใจอาจารย์เขามากกว่า ฮีนว่าต้องรอให้ฮีนเรียนจบก่อน จะได้ทำอะไรได้สบายมากขึ้น แต่เรื่องของการถ่ายชุดว่ายน้ำไม่มีการถ่ายแน่นอน เพราะศาสนาของฮีนเขาไม่ให้ถ่ายแบบนี้อยู่แล้วด้วย"
ผู้เขียน : editor


โชคล้านดวง
ตาคมสวยเข้ม เจ้าแม่ละครเวที อักษรฯ
"ฮีน" สละสิทธิ์ประกวดนางงาม ยันไม่ได้สมัครสร้างข่าว

อานัส ฬาพานิช


รับบท 'แม่ค้านอกจอ' 'นาถยา' โดนเม้าท์เลิกสามี*

แต่งงานมีความสุขอยู่กับสามีและลูกอยู่ดีๆ ก็มีพวกชอบเม้าท์ปล่อยข่าวว่า กุ๊ก-นาถยา แดงบุหงา (เบ็ญจศิริวรรณ) ชีวิตตกตํ่าเลิกกับสามี จนต้องมาเป็นแม่ค้า ขายของมือสอง 2 แหม่ม ไม่รีรอเชิญมาไขข้อข้องใจทันที

"กุ๊กเป็นแม่ค้าจริงๆค่ะ ตอนแรกไปช่วยพี่สาวขาย แต่ทำไป ทำมาสนุกก็เลยรับของมาขายเอง ขายพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ขายดีมาก การที่กุ๊กมาทำตรงนี้ไม่ใช่ว่าลำบาก ยืนยันว่าชีวิตมีความสุขดี ทุกวันนี้นอกจากหน้าที่แม่บ้านแล้ว กุ๊กยังช่วยสามีดูแลธุรกิจบ้านเช่า และอพาร์ตเมนต์ มีรายได้เข้ามาเหลือ ใช้ด้วยซํ้า ผู้หญิงบางคนเวลาแต่งงานแล้ว สามีต้องดูแล แต่สำหรับกุ๊กไม่ใช่ ไม่เคยคิดว่า พอชีวิตสุขสบายแล้วจะไม่ ทำอะไรเลย กุ๊กโชคดีที่ได้สามีดี ขยันทำมาหากิน ดูแลเอาใจใส่ครอบครัวทุกเรื่อง" ได้สามีดีขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา เพราะนางเอกคนสวยของเราขี้งอนมาก เคยงอนจนจะขนข้าวของออกจากบ้านเลยทีเดียว กุ๊ก รีบออกตัว "กุ๊กบอกตรงนี้เลย ผู้หญิงเราอย่าทำแบบนี้เด็ดขาด เดี๋ยวเค้าไม่ง้อแล้วจะเสียใจ แหม แต่เรื่องที่งอนก็น่าโมโหจริงๆ" เรื่องที่ว่ารุนแรงแค่ ไหน!? ติดตามชม "สมาคมชมดาว" คืนวันพุธนี้ สี่ทุ่มยี่สิบ ช่อง 3.

นาเดีย นิมิตรวานิช...ผู้หญิงสีชมพูของวงการบันเทิง
*
สาวสวยวัยยี่สิบกว่าๆคนนี้ ผู้อ่านหลายคนคงคุ้นเคยกับบทบาท วี.เจ. นักแสดง และพิธีกรของเธอมาบ้างแล้ว แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าบนบัตรประจำตัวประชาชนของเธอปรากฏชื่อ “วิชิตา นิมิตรวานิช” มิใช่ “นาเดีย นิมิตรวานิช” อย่างที่เราเคยรู้จัก...นอกเหนือไปจากประวัติอันน่าสนใจของเธอแล้ว ผมเพิ่งทราบว่าเธอเป็นสาวไทยแท้ ไม่ได้เป็นสาวลูกครึ่งอย่างที่ผมคาดเดาเอาไว้ในใจก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย...

“นาเดีย เป็นชื่อเล่นค่ะ แต่ชื่อจริงคือ 'วิชิตา' ซึ่งแปลว่า ผู้ชนะ ไม่มีใครรู้เลย ส่วนใหญ่จะเรียกกันแต่นาเดียทั้งนั้น แล้วตัวเองก็ไม่ได้เป็นลูกครึ่งฝรั่งอะไรเลยค่ะ คุณพ่อเป็นคนจีน คุณแม่เป็นคนไทยแต่นับถือศาสนาอิสลาม ก็เลยหน้าตาออกมาแบบนี้ ตัวเดียเองก็นับถือศาสนาอิสลามเหมือนคุณแม่”
หลังจากสอบเทียบ ม.๕ จากโรงเรียนราชินีได้แล้ว เธอเข้าศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วในที่สุดนาเดียก็ได้สวมเครื่องแบบนิสิตจุฬาฯอย่างที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ...

“ตอนเด็กๆอยากเรียนคณะอักษรมาก ไม่รู้ว่ามีแรงบันดาลใจอะไรนะคะ รู้แต่อยากเข้าอักษรมากๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เรียนเก่งจนได้ที่หนึ่ง แต่ก่อนที่จะเอ็นฯเราอ่านหนังสืออย่างเดียวเลย ตื่นเช้ามาก็ไปเรียนพิเศษ เลิกเรียนตอนเย็นก็กลับบ้านมาอ่านหนังสือจนถึงตีหนึ่งทำอย่างนี้อยู่ ๑ เดือนเต็มๆ พอผลออกมาว่าสอบติด ดีใจมากๆเลยค่ะ แต่พอเข้าไปเรียนแล้ว เราก็ร่าเริง สนุกสนานมากไปหน่อยจนลืมเรื่องเรียนไปบ้าง จากที่สมัยเด็กๆเคยได้เกรด ๓ ปลายๆ พอมาเรียนที่จุฬาฯ เกรดเหลือแค่ ๒.๖-๒.๗ เอง (หัวเราะ) ก็เลยต้องกลับตัวตั้งใจเรียน ซึ่งพอดีช่วงนั้นมีรุ่นพี่ที่เรียนเอกการละคร มาชวนเราไปเล่นละครเวทีตอนอยู่ปี ๑ พอเดียขึ้นปี ๒ ต้องเลือกวิชาเอก ก็เลยเลือกศิลปการละครนี่ละค่ะ คงไปไหนไม่ได้แล้ว” ไม่ว่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์หรือพรหมลิขิตก็ตาม เส้นทางสู่ดวงดาวของสาวน้อยคนนี้ก็ทอดยาวนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

“ละครเวทีเรื่องแรกเป็นงานเล็กๆ จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่ที่เป็นผลงานชิ้นใหญ่จริงๆคือ เรื่อง ขอโทษที่กวนประสาท เล่นตอนที่เรียนอยู่ปี ๒ ค่ะ เรื่องนี้เป็นละครแนวแปลก คนดูนั่งดูไป เราคนเล่นก็เดินรอบๆคนดูแล้วก็ด่าว่าเขา คล้ายๆจะเป็นละครเสียดสีสังคม หลังจากนั้นก็เล่นละครของคณะมาตลอด ชีวิตอยู่ในโรงละครเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งทำเบื้องหลัง ทำฉาก ทำคอสตูม ทำทุกอย่างเลยค่ะ... ๔ ปี กับการเรียนการละครเดียได้อะไรเยอะมาก คนที่เรียนศิลปการละครจะต้องค้นหาตัวเองให้พบว่าตัวตนจริงๆของเราเป็นอย่างไร มีอยู่คำถามหนึ่งที่ชอบมากๆ คือ อาจารย์จะถามว่าตัวเราเปรียบเหมือนสีอะไร? เดียก็คิดว่าเราเป็น 'สีชมพู' เป็นผู้หญิงที่น่ารัก นุ่มนวล อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม แล้วเราก็รู้สึกเฮิร์ทกับความคิดของตัวเอง เพราะแท้ที่จริงแล้วเราไม่ได้อ่อนหวาน น่ารักตลอดเวลา เดียก็มีความร้าย มีแง่ลบ มีความบ้า อะไรต่างๆอีกเยอะแยะ ในตอนนั้นเด็กสาวทุกคนอยากให้ตัวเองเป็นเหมือนสีชมพู คือ อยากเป็นผู้หญิงในรูปแบบที่คนชื่นชม อันที่จริงแล้วเดียว่ามันไม่จำเป็นเลยค่ะ จนตอนหลังก็เริ่มเป็นตัวของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด โดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะมันคือความเป็นตัวเรา แต่ขอให้อยู่บนพื้นฐานของการที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร ความคิดเหล่านี้เดียได้มาจากการเรียนการละครนี่ละค่ะ”

แล้วนิสัยจริงๆของนาเดียเป็นอย่างไร? คำถามพื้นๆของผม ทำให้เธอนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ก่อนที่จะหันมาตอบว่า...

“เดียเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์แวดล้อมได้ง่ายค่ะ เป็นคนที่ค่อนข้างยืดหยุ่น เดียชอบใช้ชีวิตที่เหมือนคนธรรมดาๆ ไปเดินเที่ยว ไปกินข้าว ไปดูหนัง หรือทำอะไรที่เราอยากทำ เพราะฉะนั้น เมื่อเราก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง ซึ่งจะต้องถูกจับจ้องจากผู้คน เดียเลยไม่รู้สึกอึดอัด เราต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของสถานที่ที่เราอยู่ ธรรมชาติของนักแสดงก็จะต้องมีคนมอง มีคนสนใจ อาจจะมีคนที่ชอบเราบ้าง ไม่ชอบเราบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างอาชีพนักข่าว เราก็ต้องไปหาข่าว เดียก็เข้าใจนะ พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ จะเป็นทุกข์ก็แค่เรื่องความรักเรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ...

...เดียเป็นคนเซ้นซิทีฟกับเรื่องพวกนี้...ผู้หญิงก็ต้องการให้คนมาดูแล บางครั้งมันก็เหมือนการคาดหวังจากคนที่เข้ามาหาเรานะคะ เราคิดว่ามันจะต้องเหมือนกับความรักในนิยาย คิดว่ามันสวยงาม ต้องเอาอกใจกัน มีเธอ มีฉันไปตลอด แต่พอเอาเข้าจริงเดียรู้สึกว่ามีเรื่องอื่นๆที่ยิ่งใหญ่กว่าความรัก และเดี๋ยวนี้ก็เป็นคนที่ปล่อยวางกับสิ่งรอบข้างมากขึ้น ใครจะทำอะไร...เอาเลย ตามสบายค่ะ แต่ข้อเสียของเดียก็คือเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก เป็นคนที่ทำอะไรเร็ว เห็นใครทำอะไรช้าๆ แล้วหงุดหงิด ซึ่งมันไม่ดีเลยค่ะ”

ผมหวังว่านั่นคงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ “นาเดีย” ต้องตกเป็นข่าวซุบซิบตามหน้านิตยสารบันเทิงและอินเทอร์เนตอยู่ระยะหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา

“ข่าวที่ออกมาว่าเดียเป็นคุณหนู ขี้โมโห เดียก็จำไม่ได้ว่ามันมีเรื่องอะไรบ้าง ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่เดียเป็นคนที่ยอมรับความเป็นจริง และมองโลกอย่างเป็นกลางค่ะ ใครว่าเราไม่ดีตรงไหนก็รับฟัง พอรู้ว่าตรงไหนไม่ดีก็ปรับเปลี่ยนตัวเองเลย บางคนเขาติเพื่อก่อ แต่บางคนเขาติเพื่อโค่นล้ม ไม่ชอบก็ด่า มีอคติกับเรา...ก็รู้สึกเสียใจนะคะ แต่ทุกอย่างมันมี ๒ มุม เสมอ เดียต้องขอบคุณคนที่รักเดียนะคะ ทั้งน้องๆพี่ๆที่ติดตามผลงาน สร้างเว็บไซต์ให้ พอรู้ว่าเราไม่สบายก็หอบของกินมาให้ ตรงนี้เป็นกำลังใจที่ทำให้เดียซาบซึ้งมากๆเลยค่ะ ส่วนเรื่องข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้โกรธแค้นอะไรใคร เพราะเขาไม่ได้รู้จักตัวตนของเรา หรือถ้าบางเรื่องที่เราทำอย่างนั้นจริงก็ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วย ถ้าหากเคยพูดจาไม่ดีหรือแสดงอะไรไม่ดีไว้กับใคร เพราะบางครั้งคนเราอาจมีอารมณ์เหนื่อย อารมณ์เด็กๆ ซึ่งเราอาจไม่รู้ตัว...

...ส่วนเรื่องที่คนมักคิดว่าเดียเป็นลูกรักของบริษัทโพลีพลัสนะเหรอค่ะ? เดียว่าพี่นิด (อรพรรณ วัชรพล) ก็รักนักแสดงทุกคนเท่ากันนะ ยังมีนักแสดงคนอื่นๆอีกหลายคนที่เป็นความภูมิใจของบริษัท ซึ่งเป็นผลมาจากฝีมือการแสดงที่นักแสดงคนนั้นๆสร้างไว้”

จากผลงานที่ผ่านสายตาผู้ชมมาแล้วมากมายทั้ง วิมานกุหลาบ อลหม่านบ้านก๊วนโสด สยึ๋มกึ๋ยส์ วังวารี ปริศนา แสนแสบ เขาวานให้หนูเป็นสายลับ จนกระทั่งมาถึงผลงานที่เพิ่งลาจอไปเมื่อไม่นานมานี้คือ “รักเกินพิกัดแค้น” รวมไปถึงการแสดง แสง สี เสียง เรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี ๒๕๔๗ “แม่น้ำของแผ่นดิน ปีที่ ๕ ชุด พระ...คู่พระบารมี” ส่งผลให้ผู้ชมประทับใจกับความสามารถที่หลากหลายของผู้หญิงคนนี้ไปตามๆกัน...

“เดียเล่นละครมาเยอะมากจนจำแทบไม่ได้หมด แต่ที่เล่นเรื่องแรกคือ เขาวานให้หนูเป็นสายลับ ส่วนรายการทีวีที่แจ้งเกิดให้กับเดียก็คือ ภาษาไทยในจอ พี่เอื้อยกับเจ้าจุก ทางช่อง ๙ อันนี้เป็นความภูมิใจเลยล่ะ เป็นครั้งแรกที่ได้ออกทีวี อ.ดังกล ณ ป้อมเพชร ซึ่งเป็นอาจารย์ที่สอนอยู่คณะอักษรฯท่านเป็นผู้เขียนบทโทรทัศน์รายการนี้ ท่านกำลังหาพิธีกรอยู่เลยลองมาเรียกให้เดียไปแคสฯ พอไปแคสฯแล้วเดียก็ได้ทำ ซึ่งรายการนี้ออกอากาศทุกวันหลังข่าว ช่อง ๙ เป็นเวลานานถึง ๒ ปี คนที่ดูข่าวก็เลยจำเราได้ ตื่นเต้นค่ะเพราะไม่เคยคิดว่ามันจะดังหรือมีคนรู้จักเรา หลังจากนั้นเดียก็มาเป็นวี.เจ.แล้วถึงได้มาเล่นละคร”

ผมคิดว่าเราคุยเรื่องการทำงานกับเธอมามากพอแล้ว น่าจะเปลี่ยนมาคุยเรื่องครอบครัวของเธอบ้าง...คุณว่ามั้ย?

“ถ้าเดียไม่ได้ออกไปทำงานก็จะใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่และน้องสาว ส่วนคุณพ่อนี่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ท่านแยกทางกันตั้งแต่เดียเด็กๆแล้ว กับคุณพ่อนานๆจะเจอกันสักที เดียสนิทกับแม่มาก เพราะเขาอาจจะกลัวว่าเราจะรู้สึกขาดอะไรในชีวิตไปมั้งค่ะ เลยดูเหมือนกับแม่ทุ่มเทความเอาใจใส่ทั้งหมดมาที่เดีย เรารู้ว่าเรารักเขา แล้วเขาก็รักเรา แม่ไม่เคยขัดอะไรที่เป็นความสุขของเดียเลย เดียก็อยากให้เขามีความสุข และสิ่งที่จะทำให้แม่มีความสุขก็คือ เดียต้องเป็นคนดีและมีความสุข...

...เด็กๆส่วนใหญ่ที่พ่อแม่แยกทางกันมักจะหาทางออกแบบผิดๆ อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเลยค่ะ เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ การมีครอบครัวที่อบอุ่นนั่นเป็นความสมบูรณ์แบบที่ใครๆก็ปรารถนา แต่ถ้าความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ก็ต้องยอมรับ มีทางให้เลือกอยู่ ๒ ทาง คือ เราจะทำตัวให้ดีขึ้นหรือเลวลง? ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่มีครอบครัวพร้อมหน้าจะเป็นคนดีไม่ได้ คนที่ไม่พร้อมก็เป็นคนดีได้ เดินไปข้างหน้าได้เหมือนกัน บางคนพ่อแม่อยู่ด้วยกันอาจจะไม่มีความสุขก็ได้ เพราะท่านต้องทะเลาะกันให้เราเห็น น้องๆต้องพยายามประคับประคองสิ่งที่ยังเหลืออยู่ให้ดีที่สุด การที่เดียคิดได้อย่างนี้ เพราะคุณแม่คนเดียวจริงๆ ท่านเป็นผู้หญิงธรรมดา อยู่บ้านเลี้ยงลูก แต่ว่าแม่เก่งเหลือเกิน เลี้ยงเราให้รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ขาดอะไรเลย คุณพ่อโทร.มาคุยบ้าง ถึงไม่ค่อยได้เจอแต่ท่านก็ส่งเสียเลี้ยงดูเรามาตลอด”

และนั่นก็คือความรักระหว่างครอบครัวของเธอที่เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงสายใยแห่งความผูกพันของครอบครัว นิมิตรวานิช มาโดยตลอดจนกระทั่งถึงวันนี้...

“คุณแม่จะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเท่าไร ส่วนใหญ่จะเขียนเป็นการ์ดมากกว่าค่ะ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเกิดเดียก็จะเกิดโศกนาฏกรรมร้องไห้กันที ที่บ้านจะชอบเขียนการ์ดค่ะ วันดีคืนดีหยิบการ์ดขึ้นมาอ่านก็นั่งน้ำตาไหลไป แม่เขียนให้เดีย ส่วนเดียก็จะเขียนให้น้องสาว มันเป็นคำพูดที่ถ่ายเทความรู้สึกใส่ลงไป วันหนึ่งกลับมาอ่านใหม่ก็ยังคงประทับใจอยู่เสมอ อย่างคำพูดที่แม่เขียนลงในการ์ดให้ว่า รักลูกที่สุดในโลก นี่เดียก็เชื่อว่าแม่รักเราที่สุดในโลกจริงๆ แล้วการ์ดของคุณแม่จะมีคุณค่าสำหรับความรู้สึกเดียมาก เก็บไว้ทุกเลยค่ะ”

...คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความรักจากครอบครัวได้ส่งผลมาถึงการทำงานของ นาเดีย นิมิตรวานิช ในปัจจุบันนี้ เพราะโครงการพัฒนาเยาวชน “Sis to Sis Smart Camp” ที่เธอร่วมกับเพื่อนๆจัดทำขึ้นมาเป็นประจำทุกปีนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากความรัก ความห่วงใยที่เธอสัมผัสมาจากทางบ้าน และผ่านต่อไปยังเยาวชนอีกทอดหนึ่ง...

“เดียเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเยาวชนมาโดยตลอด อย่างรายการที่เดียเป็น วี.เจ.ก็มีแฟนๆวัยรุ่นทั้งนั้น หรืออย่างแฟนคลับของเดียก็มีแต่เด็กๆ เป็นพี่เป็นน้องกันหมดเลยค่ะ เลยค่อนข้างใกล้ชิดกันและเดียก็ได้รับรู้ถึงปัญหาต่างๆของพวกเขา คือพวกน้องๆเขายังค้นหาตัวเองไม่เจอค่ะ คือไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองชอบอะไรกันแน่ เขาจะเป็นแต่ในสิ่งที่สังคมอยากให้เป็น อยากเป็นอย่างผู้หญิงคนนั้นเพราะหนุ่มๆจะได้มาชอบ ตามความคิดของเดีย ผู้หญิงสมัยนี้จะต้องมีทั้งความสามารถ เก่ง ทำงานได้ เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม ในขณะเดียวกันก็จะต้องมีจิตใจที่ดี อยากให้น้องๆค้นพบความสามารถของตัวเองและต้องเผื่อแผ่ความรักไปถึงคนรอบข้างด้วย

การเป็นผู้หญิงสำหรับเดียมันยาก เราเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน เลยมาคิดว่ามาทำอะไรที่เราชอบเราถนัดดีกว่าไหม? ก็มาคิดว่าทำเป็นโครงการพัฒนาคุณภาพเยาวชน (ผู้หญิง) “Sis to Sis Smart Camp”ดีกว่า มารวมกลุ่มกับเพื่อนๆซึ่งเป็นอาจารย์อยู่แล้วทั้ง อ.ตรีดาว อภัยวงศ์ ที่สอนการแสดงอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ อ.ดวงฤดี เตชะอินทรพงษ์ ซึ่งสอนภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกันหมด โครงการของเราจะเตรียมตัวกันนานเป็นเดือนๆ แต่จะจัดไปเข้าแค้มป์กัน ๓ วัน จะมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะ เช่น มีกิจกรรมศิลปะการแสดง เพื่อจุดประสงค์การค้นหาตัวเอง เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง กระเทาะเปลือกนอกออกมาให้ได้ว่าเราชอบอะไรแน่ มีกิจกรรมการเสริมสร้างพื้นฐานทางภาษาอังกฤษ กิจกรรมนี้จะเปลี่ยนทัศนคติในการเรียนรู้วิชานี้ เพราะหลายคนจะกลัวกับการพูดกับฝรั่ง ไม่ต้องกลัวค่ะ (เน้นเสียง) หัวใจของภาษาคือการสื่อสาร แค่เราสื่อสารได้ก็ดีแล้ว แต่ภาษาอังกฤษเราจะเก่งได้ก็ต่อเมื่อเราเริ่มใช้มัน แล้วเราก็ได้ พี่ฝน-วิรุฬกานต์ กฤตบุญญาลัย มาช่วยสอนน้องๆในเรื่องของการตลาด เขาจะสอนน้องๆในเรื่องของการวางตำแหน่งตัวเองในสังคม การเขียนแปลนชีวิตของตัวเองซึ่งนั่นจะทำให้น้องใช้ชีวิตแบบไม่เขว ไม่เดินทางเปะปนแบบผิดๆ...

...ส่วนเรื่องการทำอาหารเราก็ได้ น้ำพุ-ธารนที กฤตบุญญาลัย ซึ่งจบทางด้านนี้มาช่วยสอนน้องๆ พี่นก-ชลิดา ตันติพิภพ (เถาว์ชาลี) ก็มาสอนเรื่องศิลปะ การส่งเสริมให้เด็กๆใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนที่เดียชักชวนมาร่วมโครงการนี้เป็นคนที่มีจิตใจดี ทัศนคติดีหมดเลยนะคะ เดียอยากให้น้องๆได้อยู่ใกล้ได้ซึมซับสิ่งต่างๆจากพี่ๆพวกนี้...

...โครงการนี้จัดมาได้ ๒ ครั้ง แล้วละค่ะ ครั้งแรกจัดขึ้นที่ ฮอร์ส ทู พอยท์ พัทยา ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นที่ ตะนาวศรี รีสอร์ท ปราณบุรี สำหรับครั้งที่ ๓ นี้ใช้ชื่อว่า “Sis ti Sis Freedom One-2-call Camp” ซึ่งเดียกำลังเปิดรับสมัครน้องๆเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๗ สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณบี โทร.๐-๑๙๒๑-๗๘๔๓ หรือขอรับใบสมัครได้ที่ One-2-call Shop สาขา Center Point of Siam Square ได้ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ สำหรับในปีนี้เดียอยากจะเพิ่มเรื่องวัฒนธรรมไทยเข้าไปด้วยค่ะ เพราะเด็กๆสมัยนี้เดียรู้สึกว่าเขาอยากเป็นฝรั่งมากไปหน่อย บางคนคิดว่าพูดภาษาอังกฤษตลอดเวลาแล้วเท่ หรือเด็กบางคนที่ไปเรียนเมืองนอก ก็จะภาคภูมิใจกับการที่ได้รู้สึกว่าข้างในตัวเองเป็นฝรั่ง เราพูดภาษาอังกฤษเก่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องค่ะ แต่เดียอยากให้เด็กทุกคนรู้ว่าตัวเองเป็นคนไทยมากกว่า วัฒนธรรมไทยดีๆหลายอย่างกำลังจะเป็นสิ่งที่หายไปแล้วหายไปเลย เช่น เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่เด็กๆสมัยก่อนจะเดินก้มๆตัว แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้เห็นภาพอย่างนั้นแล้ว อย่างการไหว้ผู้ใหญ่ถึงจะรู้จักท่านหรือไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม เดียอยากให้มีไว้ การร้อยมาลัย การทำขนม เรื่องเหล่านี้ที่เราน่าจะช่วยกันอนุรักษ์ไว้ค่ะ”

...แปลกใจไหมครับ? ที่สาวสมัยใหม่อย่าง “นาเดีย นิมิตรวานิช” หันมาให้ความสนใจกับเรื่องการอนุรักษ์ความเป็นไทยที่หลายคนเคยมองข้าม...ครับนี่คือเสน่ห์ของเธอซึ่งนอกเหนือไปจากความสวยที่มีอยู่...

แสงไฟยามราตรีของร้านค้าในละแวกนี้ต่างทำหน้าที่ของมันอย่างสว่างไสว คล้ายป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมรีบปล่อยตัวเธอกลับไปทำหน้าที่ วี.เจ.ต่อไป...

“เดียขอบคุณนะคะสำหรับความจริงใจและมิตรภาพ ที่มีให้เดียรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก และต้องขอโทษที่บางครั้งอาจจะไม่ได้ตอบรับความรู้สึกนั้นอย่างที่เขาต้องการ แต่ขอบอกว่ารู้สึกเหมือนทุกคนเป็นเพื่อนที่เราไว้วางใจได้จริงๆ...และอยากจะบอกว่าตัวเดียเองก็เป็นคนธรรมดาที่มีหลายๆแง่มุมเหมือนมนุษย์ทุกคน ถ้ามีอะไรจะติชมก็บอกมาได้ค่ะ ถ้าเป็นการติเพื่อก่อ ขอให้ถือว่าทุกคนเป็นเหมือนญาติ พี่น้อง หรือใครก็ได้ที่เริ่มต้นรู้จักกันด้วยสิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ถึงมันจะจับต้องไม่ได้ด้วยมือ แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ทำให้เดียมีกำลังใจ และเป็นความพิเศษสำหรับเดียค่ะ”

แม้ “นาเดีย นิมิตรวานิช” จะรู้สึกว่าตัวเธอเองไม่ใช่หญิงสาว “สีชมพู” อีกต่อไปแล้ว แต่ในความคิดของผมเอง กลับรู้สึกว่าแม้เธอจะเปรียบตัวเองให้เป็นสีใดๆ ก็ตาม แต่ “สีชมพู” สวยหวาน ก็ยังคงอยู่ในตัวเธอเสมอ...

สกุลไทย..ฉบับที่ 2584 ปีที่ 50 ประจำวันอังคารที่ 27 เมษายน 2547
สัมภาษณ์โดย ชวลิต อรุณทัต

นาเดีย นิมิตรวานิช และประวัติ
นาเดีย นิมิตรวานิช : เลือกรถที่ความคุ้มค่าไม่ใช่ที่ราคา
ขวัญใจน่ารักของเราคนนี้เป็นคนดัง น้องนาเดีย
Nadia Nimitwanich
Fatwa Bank




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2548
5 comments
Last Update : 22 กันยายน 2550 23:28:39 น.
Counter : 7981 Pageviews.

 

ชอบน้องฮีนค่ะ นอกจากสวยแล้วยังมีสมองด้วย
ชอบมุสลิมะห์ที่ทันสมัยแต่ยังไม่ทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีแบบนี้แหละ
ขอบคุณ จขบ ที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ

 

โดย: sukh 10 สิงหาคม 2548 9:36:12 น.  

 

ชอบน้องฮีนเหมือนกัน

 

โดย: นู๋เองง่ะ 10 สิงหาคม 2548 15:47:32 น.  

 

น้องฮีนเพิ่งถอนตัวจากการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ค่ะ

 

โดย: ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์ 10 สิงหาคม 2548 20:25:20 น.  

 

เคยนึกเหมือนกันว่านางเอกตะลุมพุก หน้าหวานเหลือเกิน ไม่คิดจะดูตะลุมพุกค่ะ แต่ "ต้อง"ดู

 

โดย: ป้ามด 10 สิงหาคม 2548 21:04:20 น.  

 

ดูทั้งสองเรื่องชอบค่ะ

 

โดย: เสียงซึง 10 สิงหาคม 2548 23:00:24 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Aisha
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่
Aisha's blog ขอบคุณที่แวะมาค่ะ

Friends' blogs
[Add Aisha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.