สังคมที่อบอุ่น....เกิดขึ้นได้จากการแบ่งปัน
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 มีนาคม 2551
 
 

เรียนรู้จาก คุณมาร์ติน วิลเลอร์ ( 2 )





มาร์ติน เคยตั้งใจไว้ว่า เขาจะไม่ทำงาน ที่ต้องผูกเนคไท
และหิ้วกระเป๋าเอกสาร อย่างเด็ดขาด แต่เมื่อครั้งที่เขาต้อง
มาเป็นครูสอนภาษาในครั้งนั้น เขาต้องแต่งตังเรียบร้อย
ผูกเนคไท หิ้วกระเป๋าเอกสาร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขา
ไม่อยากทำทั้งสิ้น เขาจึงคิดว่า “เขาทรยศต่อตัวเอง”
อีกประเด็นหนึ่งคือการเป็นครูสอนภาษานั้น มาร์ตินมองว่า
เขาเอาเปรียบเพราะการเป็นครูสอนภาษาครั้งนั้นเขาได้รับ
เงินเดือนละ 30,000 บาท เขาเกิดความละอายใจ เพราะว่า
เขาเองไม่ได้มีทักษะการเป็นครูเลย ทำงานก็ทำไม่มาก แค่
พูดๆๆเด็กก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พอหมดชั่วโมงก็เดินออก
ไป แต่พอคนไทยเห็นว่าเขาเป็นฝรั่งก็คิดว่าเขาต้องสอนภาษา
ได้ ก็เลยจ้างให้เขาเป็นครูสอนภาษา เขายังบอกอีกว่าฝรั่งที่มา
เป็นครูสอนสอนภาษาอังกฤษบางคนก็ไม่ใช่คนอังกฤษเลย
เพราะบางคนสอนภาษาอังกฤษ แต่พูดกับเขาเองที่เป็นคน
อังกฤษ ฟังยังไม่รู้เรื่องเลย แต่คนไทยก็ยกย่อง เห็นว่าเป็นฝรั่ง
แล้วต้องพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน

ทุกครั้งที่เขารับเงินเดือนเขารู้สึกไม่สบายใจ บางทีคิดจน
ปวดหัว เครียด กินเหล้า จน ทำอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะ
ได้เงินมามาก แต่เขาทำงานไม่คุ้มกับค่าเงิน ได้เงินมาก็ใช้
ไม่เป็นประโยชน์ เขาชอบที่จะทำงานอย่างเต็มที่ อย่างเช่น
จ้าง 100 บาท ให้ขนอิฐ จำนวน 100 ก้อน เขาก็พอใจ เพราะ
ว่าได้ทำงานคุ้มค่ากับเงินที่ได้รับ แต่ไม่ได้คิดว่าเงินที่ได้มานั้น
คุ้มกับแรงที่เขาลงไปหรือเปล่า

จากความคิดดังกล่าวของเขา จึงทำให้เขาคิดว่า งานที่ทำ
อยู่นั้นไม่มีความสุขสำหรับเขาเลย ถึงแม้จะได้เงินมากมาย
“เขารู้สึกละอายใจ” เพราะเขารู้ดีว่าตัวเขาเองไม่ได้สอนให้
เด็กได้เก่งเรื่องภาษาขึ้นมาเลย เหมือนกับเป็นการหลอก
คนอื่น ซึ่งหากเขาไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ ถึงอย่างไร เขาก็รู้ได้ด้วย
ตัวเอง

จากการคุยกันในครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า มาร์ติน คือ ผู้ที่มี
ความพอพียง รู้จักพึงพอใจในความเป็นอยู่ของตนเอง ไม่ยึด
ติดอยู่กับวัตถุที่สำคัญ “มาร์ตินเป็นผู้ที่มีคุณธรรม”
อย่างเปี่ยมล้น และยังเป็น นักจัดการความรู้ ที่เนียนไปกับ
การใช้ชีวิตตัวจริงครับ

มาร์ติน ทนทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ อยู่ได้
10 เดือน จนเมื่อได้พบภรรยา และภรรยา ตั้งครรภ์
ลูกคนแรก เขาคิดแล้วว่า เขาต้องทำอะไรให้มากกว่านี้
เพราะต่อจากนี้ไปเขาไม่ใช่คนตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อน
แล้ว เมื่อก่อนถ้าไม่มีกินก็เป็นเฉพาะเขาคนเดียว แต่เมื่อ
มีภรรยา มีลูก เขาก็ต้องรับผิดชอบ จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง
เขาได้ไปเที่ยวบ้านภรรยา ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภออุบลรัตน์
จ.ขอนแก่น ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าบ้านนอก แต่สำหรับ
มาร์ตินแล้วเขาคิดว่าที่บ้านนอกนี่แหละเป็นสังคมที่น่าอยู่
หลังจากนั้นเขาจึงตัดสินใจ ไปอยู่บ้านของภรรยา
ที่บ้านคำปลาหลาย อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น......

เมื่อตัดสินใจที่จะไปอยู่บ้านของภรรยา ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก
มีเพียง 50 หลังคาเรือน ชาวบ้านมีอาชีพรับจ้างบ้าง
ทำการเกษตรบ้าง บางส่วนก็ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปทำงานใน
เมืองใหญ่ๆ บ้านคำปลาหลา ยกขึ้นชื่อเป็นหมู่บ้านที่ยากจน
ที่สุด ในอำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น

เมื่อมาร์ตินและครอบครัว เข้ามาอยู่ แรกๆก็ไม่มีทรัพย์สมบัติ
ใดๆเลย จะมีก็เพียงบ้านที่เป็นกระต๊อบหลังเล็ก ที่ใช้เงินในการ
สร้างเพียง 12,000 บาท ที่คนอีสาน เรียกว่า เถียงนา แต่สำหรับ
มาร์ตินแล้วเขากลับภูมิใจ ว่านี่คือบ้านของเขา มันสามารถทำให้
เขามีที่อยู่ ที่นอน ที่กิน ที่ที่สามารถกันแดดกันฝน ให้กับเขาได้

มาร์ตินเขาให้ข้อสังเกตว่า “สังคมอีสานเป็นสังคมที่น่าอยู่
เพราะเป็นสังคมที่มีน้ำใจ มีความเอื้ออาทรกันอย่างแท้จริง ทั้งๆที่มี
ความยากจน แต่ก็ยังมีน้ำใจ หากเป็นสังคมเมืองนอก คงจะเกิดการ
แก่งแย่งกันอย่างมาก” นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของสังคมในชนบท
เขายังบอกต่ออีกว่า “คนอีสานมีที่ดินกันเยอะมาก แต่ไม่ค่อยได้
ทำประโยชน์ ทิ้งที่ดิน ทิ้งไร่ ทิ้งนา ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าไว้
แล้วไปเป็นลูกจ้างทำงานรายวันในเมืองใหญ่” เขาเปรียบเทียบกับ
สังคมอังกฤษว่า “คนที่อังกฤษส่วนใหญ่ ไม่มีบ้านไม่มีที่ดิน ไ
ม่มีบ้าน อยู่ จะมีก็แต่คนรวยๆเท่านั้นที่มีที่ดิน และในชนบทของ
อังกฤษก็จะมีแต่คนรวยๆที่มีเงินทั้งไปอยู่กัน เพราะมีเงินซื้อที่ดิน
ได้” ซึ่งสภาพดังกล่าวจะแตกต่างจากสังคมไทยอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเขาและครอบครัวได้มาอยู่บ้านคำปลาหลาย เขาก็เริ่ม
มองหาอาชีพ ว่าจะทำอะไรดี เขาทำหางานทำ งานแรกที่ได้ทำ
ก็คืองานก่อสร้าง (อาชีพเดิมตอนอยู่อังกฤษ) แต่เป็นงานสร้าง
บ้านหลังเล็กๆ ได้ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาท สำหรับมาร์ตินแล้ว
เขาพอใจกับค่าแรงตรงนี้และทุ่งเทให้กับการทำงานอย่างมาก
เขาตั้งใจว่าจะต้องเก็บเงิน มาซื้อที่ดินให้ได้

ด้วยความเป็นฝรั่งจึงเป็นที่น่าสนใจของชาวบ้านทั่วไป ประกอบกับ
เขาเป็นคนที่อัธยาศัยดี คุยได้กับทุกคน พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
ก็พยายามที่จะสื่อสารกับชาวบ้าน ก็เรียกได้ว่ามาร์ตินไปที่ไหนก็มี
เสียงหัวเราะที่นั่น คงจะขำทั้งที่คุยกันไม่รู้เรื่องบ้าง ขำเรื่องตลกๆ
มุขเล็กๆน้อยของมาร์ตินบ้างตอนนั้นชาวบ้านเขาจะเรียกมาร์ติน
“ฝรั่งขี้นก” ซึ่งก็เปรียบเหมือนฝรั่งตกยาก (เขาเข้าใจว่า
อย่างนั้น) แต่เขาก็ไม่ได้โกรธเคือง กับถือเป็นเรื่องสนุก

วันหนึ่ง มาร์ติน ได้ขอซื้อที่ดิน แปลงที่อยู่ติดกับบ้านของเขา
จากผู้ใหญ่บ้าน คือผู้ใหญ่ ถาวร สรรสมบัติ จำนวน 6 ไร่ (ราคา
เท่าไหร่ผมจำไม่ได้ครับ) และขอผ่อนส่งเดือนละ 5,000 บาท
ผู้ใหญ่ถาวร สงสารก็เลยตกลงขายที่ดินให้ เมื่อได้ที่ดินมาแล้ว
มาร์ติน เริ่มมีความหวัง และเริ่มลงมือทำประโยชน์ในผืนดินที่ได้มา
ด้วยน้ำพักน้ำแรงอย่างจริงจัง เขาตื่นแต่เช้า แล้วก็รีบทำงาน
กลางวันก็ออกไปรับจ้าง เย็นก็กลับมาทำงานในที่ดินของตนเอง
โดยที่เขาได้ศึกษาแนวทางของการทำเกษตรแบบพอเพียง ตาม
พระราชดำรัสของในหลวง อย่างจริงจัง

ผู้ใหญ่ถาวร ได้เล่าให้ผมฟังว่า “คุณมาร์ติน เป็นคนที่มีความ
ขยันมาก ตอนที่เขาซื้อที่ดินใหม่ๆเขาไม่มีบ่อน้ำ เพราะยัง
ไม่มีเงินขุดบ่อ เขาได้ขอใช้น้ำจากสระของผู้ใหญ่บ้าน
ตอนแรกผู้ใหญ่บ้านก็นึกว่าเขาจะซื้อเครื่องสูบน้ำมาสูบ
ก็กลัวเหมือนกันว่าน้ำจะไม่พอใช้ แต่ก็ตัดใจอนุญาตให้เขาใช้น้ำ
ในสระด้วยกันได้ พอได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่บ้าน มาร์ตินกลับ
ใช้วิธี “หาบน้ำ” จากบ่อวันละประมาณ 50 หาบ มารดน้ำต้นไม้
พืชผักสวนครัว ของเขา สร้างความประทับใจให้กับผู้ใหญ่บ้าน
ไม่น้อย” ผู้ใหญ่บ้าน ยังเล่าต่อว่า “มาร์ตินเขาเป็นคนที่ประหยัดมาก
จะซื้ออะไรซักอย่าง คิดแล้วคิดอีก แม้แต่กระทั่งรถยนต์ ก็ไม่ยอม
ซื้อ เขาบอกว่า “จะซื้อไปทำไมเวลาไปไหนก็ไปกับผู้ใหญ่
สบายดีออก น้ำมันก็ไม่ต้องเติม ขับก็ไม่ต้องขับ ดีไม่ดี นั่งหลับ
สบายกว่ากันเยอะ” ฟังเขาพูดเข้า แต่เขาได้ก็บอกต่อว่า เขาก็
อยากได้อยู่รถ แต่ตอนนี้คิดว่ายังไม่จำเป็น ไม่มีก็ยังไม่เดือดร้อน
รถโดยสารก็มีเยอะอยู่” ในหมู่บ้านก็ใช้มอเตอร์ไซค์ก็พอ

มาร์ตินเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวมาเรื่อยตามแนวทางของ เศรษฐกิจ
พอเพียง เขาพยายามหาความรู้จากทุกที่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะไป
เรียนจาก กลุ่มปราชญ์ชาวอีสาน กลุ่มศรีษะอโศก กลุ่มไหนที่ว่า
มีการทำแบบพอเพียงมาร์ตินไปทุกที่ แล้วนำความรู้ที่ได้กลับมา
ทดลองทำจริง เขาไม่เพียงแต่ทำเฉพาะครอบครัวของตนเอง
ยังได้เป็นผู้นำร่วมกับผู้ใหญ่บ้านชักชวนคนในหมู่บ้านมาร่วมกัน
พลิกฟื้นฝืนดินให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา เขาได้ใช้ความรู้ความ
สามารถ แนะนำให้ชาวบ้านรู้จักอยู่ รู้จักกิน ลดการกู้หนี้ยืมสิน
ด้วยการอยู่อย่างพอเพียง แรกๆก็มีชาวบ้านเข้าร่วมเพียง 10
ครอบครัว แต่พอนานเข้าก็มีชาวบ้านสนใจเข้ามาร่วมกันมากขึ้นเรื่อย

ปัจจุบัน บ้านคำปลาหลาย ได้พัฒนาตนเอง จากหมู่บ้านขึ้น
ชื่อว่ายากจนที่สุดในอำเภออุบลรัตน์ กลายเป็นหมู่บ้านที่มี
ความเป็นอยู่ที่ดี ในระดับแนวหน้าของอำเภอ และมีหน่วยงาน
และองค์กรต่างๆมาศึกษาดูงานอย่างมากมาย รวมถึงรายการ
โทรทัศน์ ก็มาขอถ่ายทำไปแล้วหลายรายการ มาร์ตินมีส่วนร่วม
ในการพัฒนาอย่างมาก จนปัจจุบันชาวบ้านที่เคยเรียกเขาว่า
“ฝรั่งขี้นก” มาเป็น “พ่อใหญ่มาร์”
ประจำหมู่บ้านคำปลาหลาย

...............................................................................

ที่มา..//gotoknow.org/blog/lifeandlearn/66461




 

Create Date : 22 มีนาคม 2551
2 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2551 14:14:36 น.
Counter : 1806 Pageviews.

 

น่ายกย่องและเอาเยี่ยงค่ะ

 

โดย: Chulapinan 24 มีนาคม 2551 23:36:26 น.  

 

นีแหละสุดยอดคน ที่มีความคิดตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดีกว่าคนที่เฝ้าจงรักภักดีแต่ปาก เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ไม่เคยเอาคำของพ่อมาปฏิบัติเลย
ผมยกย่องคุณจริงๆ คุณมาร์ติน
nayfat50@hotmail.com

 

โดย: nayfat IP: 125.26.201.159 1 กรกฎาคม 2551 15:15:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

jintean
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




สาวช่างฝัน ราศีกันย์ ขยันหาโปรเจคใหม่ๆมาเปลี่ยนแปลงชีวิต ชอบสิ่งท้าทาย ชอบความหลากหลาย รักสัตว์ แต่ไม่รักเด็ก ( เพราะไม่ใช่นางงาม ) ชอบลักษณะของเป็ด ( เพราะทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง ) ไม่ชอบเผด็จการ ชอบทำอาหาร ( แต่ไม่ค่อยมีฝีมือ ) ถ้าว่าง...เชิญมาคุยกันนะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ
New Comments
[Add jintean's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com