เหนื่อยค่ะเหนื่อย...ไม่รู้เหมือนกันว่าเหนื่อยอะไรนักหนา เหนื่อยกะผู้คนรอบตัว เหนื่อยกับงานตอนนี้ที่ไม่ได้มากมาย (แล้วเหนื่อยทำไมล่ะนี่) เหนื่อยกับข่าวคราวเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าข่าวการสู้รบชายแดนไทยไม่ว่าใต้และอีสานที่ไม่รู้ว่าจะยุติลงได้เมื่อไร เสียเลือดเสียเนื้อเสียบุคลากรทรัพย์สินของทางราชการและของชาวบ้านไปเท่าไรแล้ว แล้วบ้านเมืองจะสงบได้อย่างไร
เรื่องราวภายในประเทศยังไม่มากพอที่จะแก้ใช่ไหม ถึงไปทำให้เกิดเรื่องราวนอกประเทศอีก ทุกอย่างเกิดจากอะไรน่าจะรู้อยู่แก่ใจถ้าไม่ใช่เพราะคนที่บอกว่ารักชาติแค่ปากหรือ คนที่รักชาติจริงต้องไม่ทำให้ประเทศชาติถดถอยและเสียหาย ไม่ก่อเรื่องไม่ทำเรื่องและไม่หาเรื่องจนทำให้ประเทศชาติต้องเดือดร้อนเพราะการแกว่งเท้าหาเสี้ยนที่ทำอยู่มันคุ้มกันไหม ที่เอาประเทศชาติเป็นเดิมพัน ไม่ว่าพวกบ่างช่างยุ พวกปากอยู่ไม่สุข ปากไม่ดีชอบท้าทายด้วยคำพูด แล้วยืมมือคนอื่นจัดการแทนปากตนเองอย่าง รมต.บางคนที่น่าจะเป็นกระบอกเสียงให้ประเทศเพื่อให้นานาประเทศได้รู้จักประเทศไทยด้วยชื่อเสียงที่ดี ไม่ใช่ชื่อเสีย..แบบที่ตัวเองเป็น เนื่องจากมี รมต.ปากยื่นปากยาวแบบนี้ศึกภายนอกถึงคุกรุ่นใกล้ประเทศแบบนี้ ทำไมเรื่องง่ายๆ แค่นี้ รบ.นี้แก้ไขไม่ได้แค่ปลดปล่อยลอยแพคนแบบนี้ไปจากตำแหน่งที่ล่อแหลม ซึ่งอาจทำให้ประเทศชาติดีกว่านี้ก็ได้ ควรเรียกคนแบบนี้ว่า "วุฒิภาวะบกพร่อง" ไม่ใช่บกพร่องในตำแหน่งแต่เป็นการบกพร่องในความเป็นคนที่ดีเสียมากกว่าตราบใดที่มี รมต.ปากเสียปากเน่าแบบนี้การปะทะก็ย่อมเกิดได้ทุกเมื่อ ที่พูดไม่ได้กลัวหรือยอมตกเป็นทาสใคร แต่บางครั้งถ้าจะแสดงความสามารถ ความเก่งให้นานาประเทศเห็นก็ควรแสดงอย่างมีกึ๋น นานาประเทศจะได้รู้ว่าคนไทยเก่ง ฉลาด มีความสามารถ ไม่ใช่แค่ปากคุยโว เพราะคนเก่งจริงเค้าทำมากกว่าพูดนะคะ...
เก็บมาฝากค่ะไปเจอบทความโดน ๆ ในประชาไทมีเนื้อหาอย่างไรหากใครสนใจอ่านดูค่ะ แต่ถ้าใครไม่สนใจหรืออ่านแล้วก็ข้ามหัวข้อนี้ไปเลยนะคะ และเป็นอะไรที่ตัวเองนิสัยเสียมากๆ หรือเป็นเพราะขี้ลืม ก๊อบข้อความแล้วคลิกปิดเวปไปเลยก็เลยอ้างหน้าเวปไม่ได้แต่ในบทความมีบอกว่าเอามาจากประชาไทใครสนใจก็ไปหาอ่านที่ประชาไทกันเองและกันนะคะหรือจะเสริชหาก็ได้ค่ะ
...โดน... อย่าเป็นเหยื่อการเมืองภายในประเทศที่นำไปสู่สงคราม
จาก ชาตินิยม: ชีวิตของชาวบ้านตาดำๆ กับวาระซ่อนเร้นของการเมืองภายในประเทศ
โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ แปลและเรียบเรียงโดย ทวีพร คุ้มเมธา
จาก Needless deaths, murky motives behind flare-up ตีพิมพ์ใน The Nation ฉบับวันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554
สืบเนื่องจากการปะทะกันของทหารไทยและทหารกัมพูชาบริเวณพื้นที่พิพาทชายแดนเมื่อวันศุกร์ที่แล้วทั้งผู้นำไทยและผู้นำกัมพูชา ก็ต่างสาดโคลนใส่กันโดนการกล่าวหาอีกฝ่ายว่า เป็นฝ่ายรุกล้ำหรือเริ่มยิงก่อน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหกเป็นแน่แท้ การปะทะดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ใช่เวลาที่คนไทยมารวมใจเป็นหนึ่งสนับสนุนผู้นำของตนในการสาดโคลนใส่อีกฝ่ายอย่างไร้การตั้งคำถามหากนี้เป็นเวลาที่ประชาชนของทั้งสองประเทศควรจะตั้งสติให้มั่นตั้งคำถามกับคำพูดและการกระทำของผู้นำของตนตรวจสอบเรื่องราวและข้อเท็จจริงของสงครามการปะทะพร้อมทั้งประณามสงครามอย่างแข็งกร้าว
การปะทะครั้งนี้ ได้ทำให้หลายชีวิตต้องไม่มีที่อยู่อาศัย บาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อยแล้วและคนเหล่านี้หาใช่นักการเมืองและนักการทูตปากเก่งที่กรุงเทพฯ และพนมเปญรวมทั้งไม่ใช่กลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงที่ออกมาร้องหาสงครามอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแต่เป็นชาวบ้านตาดำๆ และพลทหารเล็กๆ ของทั้งสองประเทศ
นี้จึงควรเป็นเวลาที่เราได้ตระหนักเห็นถึงความเลวร้ายของลัทธิชาตินิยมซึ่งทำให้คนตาบอดต่อเหตุผล และนำไปสู่การอาฆาตเกลียดชังทำลายล้างกันของมนุษย์
ขณะที่สื่อไทยนั้นกระตือรือร้นเสียเหลือเกินในการรายงานยอดตัวเลขคนไทยที่บาดเจ็บและเสียชีวิตและยังให้น้ำหนักกับคำพูดของผู้นำฝ่ายตนอย่างไม่ตั้งคำถามสื่อกัมพูชาก็คงกำลังประพฤติมิตนไม่ต่างกัน
คนไทยคลั่งชาติจำนวนหนึ่งได้เรียกร้องให้ทำลายวัดพุทธที่สร้างขึ้นโดยชาวกัมพูชาในบริเวณพื้นที่พิพาทราวกับว่าไม่มีอะไรผิดตรงไหน ที่จะเรียกร้องแบบนั้นแม้ว่าพวกเขาเป็นชาวพุทธคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเป็นสถานการณ์กลับกันที่มีวัดพุทธสร้างโดยชาวไทยตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาทบ้างชาวไทยพุทธจำนวนมากคงออกมาประณามชาวกัมพูชาที่เรียกร้องเช่นนั้นว่าเป็นพวก "ไอ้ชาวพุทธจอมปลอม"
ในใบปลิวหนึ่งของกลุ่มคนไทยรักชาติ ซึ่งนำโดยนายวีระ สมความคิด มีเนื้อหาที่มุ่งย้ำเตือนให้คนอ่านเห็นว่า "ดินแดนของประเทศสยาม" นั้นถูกเฉือนไปให้กับสองประเทศอาณานิคมใหญ่อย่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลายครั้งหลายคราหากทว่าใบปลิวนี้หาได้มีการพูดถึงเมื่อครั้งประเทศสยามไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้านจนไปยึดครองพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นของตนซึ่งหากไม่มีการรุกรานครั้งนั้นเพื่อนบ้านของไทยก็น่าจะเป็นเจ้าของแผ่นดินผืนนั้นในทุกวันนี้
ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่บริเวณอีสานตอนล่าง ซึ่งคนท้องถิ่นส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดที่เป็นชายแดนไทย-กัมพูชานั้นเป็นคนไทยที่มีเชื้อสายเขมรและคนส่วนใหญ่ในแถบนั้นก็ยังคงพูดภาษาเขมรอยู่
กลับไปที่เหล่านักการเมืองและนายพลระดับสูง แน่นอนว่าไม่ผู้นำไทยก็ผู้นำกัมพูชาต้องโกหก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเปิดฉากการปะทะก่อน แต่คุณจะเชื่ออภิสิทธิ์เพียงเพราะว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนคุณและคนกัมพูชาก็เชื่อฮุนเซ็นเพราะเป็นคนกัมพูชาเหมือนกันด้วยเหตุผลเพียงเพราะผู้นำคนนั้นเป็นคนชาติเดียวกับคุณอย่างนั้นหรือ
การเชื่อตามผู้นำง่ายๆ เช่นนี้ย่อมนำมาสู่ปัญหา แทนที่ฟังแล้วเชื่อเลยสิ่งแรกที่ต้องถาม คือ ใครจะเป็นคนได้ประโยชน์หากมีการปะทะเกิดขึ้น เราควรจะถามด้วยว่า ทำไมปัญหานี้จึงแก้ด้วยสันติวิธีไม่ได้เสียที
ลองมาคิดเล่นๆ ดูว่ากองทัพไทยหรือกองทัพกัมพูชาจะได้งบประมาณจัดซื้ออาวุธเพิ่มเติมถ้าหากเกิดสงครามขึ้นหรือไม่? ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงงบประมาณดังกล่าวก็ก็แลกมาด้วยเงินภาษีของประชาชนความเดือนร้อนของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่ชายแดนรวมถึงชีวิตของพลทหารและชาวบ้านที่ต้องตายไป และเป็นไปได้ไหมว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะมีคนต้องการสร้างสถานการณ์ให้วุ่นวายเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร
เหตุการณ์ทั้งหมดดูไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่ง เริ่มตั้งแต่ที่อยู่ดีๆ กลุ่มของนายวีระก็เดินทางไปที่พื้นที่ชายแดนที่มีปัญหา จนเกิดการจับกุมตัวของคนไทยทั้งเจ็ดคน จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เป็นเหตุให้กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติออกมาประท้วงพักค้างแรมหน้าทำเนียบ ตามด้วยการประท้วงของพันธมิตรฯซึ่งเรียกร้องให้ใช้กำลังทหารในการจัดการกับปัญหาชายแดน เกิดเป็นแรงกดดันไปที่ชายแดน มีการเสริมกำลังทหารไปตรึงที่ชายแดนทั้งสองฝ่าย และต่อมาก็เกิดการปะทะในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ผู้เขียนนั้นไม่ทราบว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชามีวาระซ่อนเร้น หรือจะได้ประโยชน์อันใดจากการปะทะครั้งนี้หรือไม่ แต่ท้ายสุดแล้วทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาก็ควรพินิจพิจารณาคำพูดและการกระทำของผู้นำของประเทศตนอย่างรอบคอบ อย่าตกเป็นเหยื่อของวาระซ่อนเร้นทางการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งอย่าได้ให้มีชีวิตไหนต้องมาเละกับผลประโยชน์ของนักการเมืองและนายทหารบางคนอีกเลย
(Paul_Cols คิดว่า นายกรัฐมนตรีไทยน่าจะมีวาระซ่อนเร้นหรือจะได้ประโยชน์จากการปะทะ เห็นได้ชัดว่า การปะทะเกิดจากการเมืองภายในประเทศ และจุดเริ่มมาจาก เจ็ดประจัญบานบุกรุกเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน และนายกรู้คนเดียว แสดงให้เห็นเจตนาของนายกรัฐมนตรีไทยตั้งแต่แรก ส่วนกระแสจะจุดติดหรือไม่ คงขึ้นกับเวลาที่สื่อจะค่อย ๆ ประโคมข่าวแบบลัทธิคลั่งชาติ เรียกคนไปเรื่อย ๆ และนายกอภิสิทธิ์คงหวังว่าจะได้คะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้นจากการบริหารแบบนี้)
เมื่อเราเห็นความยิ่งใหญ่ของพิรามิดกิซ่าที่อียิปต์ ทัชมาฮาลที่อินเดียและนครวัดที่กัมพูชา เราไม่ควรแค่ตะลึงในความยิ่งใหญ่ของมันหากควรพึงระลึกไว้ด้วยว่ากว่าจะได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่ของสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ต้องแลกมาด้วยชีวิตและหยาดเหงื่อแรงงานของทาสจำนวนนับหมื่นนับแสน ฉันใดก็ฉันนั้น ลัทธิชาตินิยก็มีด้านที่น่ารังเกียจอยู่พอๆ กัน
...............................................................
ถือว่านำมาลงเพื่อให้อ่านกันเล่นๆ และกันค่ะ ที่นำมาลงเผื่อใครเป็นแบบ จขบ. ที่ งง ว่าอยู่ๆ 7 คนเหล่านั้น อยู่ๆ ไปเดินเล่นแถวนั้นทำไมไม่ใช่ที่สำหรับเดินเล่นซะหน่อย จะไปวัดหลักเขตหาเสาหลักหรือหาพระแสงอะไรก็ตามก็ไม่น่าจะใช่หน้าที่และไม่ใช่ที่และสถานการณ์ที่ควรจะไป เพราะขนาด จขบ.ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโต คิดแบบชาวบ้าน คนไทยธรรมดาๆ จะไม่ไปแถวนั้นเป็นอันขาดเพราะกลัวจะมีปัญหาลุกลามกับประเทศเพื่อนบ้านได้เพราะเป็นที่ทับซ้อนเราต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา และต่างคนต่างอยู่น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ก็เลยไม่เข้าใจความคิดของคนที่ทำว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร ก็เลยต้องไปหาเรื่องเหล่านี้อ่าน เพื่อประเทืองปัญญาตน เมื่ออ่านแล้วโบราณเคยบอกว่าการให้ความรู้คนอื่นต่อเป็นสิ่งที่ดี และจะส่งผลทำให้ตนเองฉลาด ด้วยความอยากฉลาดก็เลยต้องเก็บมาฝากคนอื่นๆ ค่ะ...555555....
วันนี้ฟังข่าวประเทศอียิปต์ แล้วอิจฉาประชาชนประเทศนั้นชะมัดเลยค่ะ ที่ผู้นำของเค้ายอมลงจากตำแหน่งโดยดี ไม่หน้าด้านอยู่ในตำแหน่งต่อ เพราะประชาชนลงทุนออกมาขับไล่เรือนแสน ผิดกับบางประเทศเนอะค่ะที่หน้าด้านหน้าหนาประชาชนลงทุนขับไล่เรือนแสน กลับทำหน้าทนอยู่ต่อทั้งที่ประชาชานตายหลักร้อยบาดเจ็บนับพันนี่ล่ะเค้าถึงพูดกันว่า อำนาจเป็นอะไรที่หอมหวาน เหมือนคนขึ้นบนหลังเสือแล้วไม่กล้าลง...ก็คงเหมือนเมื่อขึ้นมาอยู่บนอำนาจแล้วไม่อยากลง เพราะอำนาจสร้างเงินทอง สร้างตำแหน่งหน้าที่ความมีหน้ามีตาในสังคม สร้างความร่ำรวยจากการกอบโกย เมื่อทุกอย่างสร้างมาบนความไม่ถูกต้องจะลงก็กระไรอยู่ เพราะลงเมื่อไรก็คงโดนอายัดทรัพย์สินเหมือนผู้นำอียิปต์และบางคนก็กลัวว่าจะถูกเปิดโปงความชั่วเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เพราะทำแต่สิ่งชั่วๆ เลยเกิดความหวาดกลัวๆ จนทำทุกวิถีทางที่จะให้อยู่ตรงนี้นานๆ เพื่อปกปิดความชั่วที่ตัวเองเคยทำมานั่นแหละ..เก็บการ์ตูนคุณเซียแห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หน้าสามมาฝากเอามาลงในภาพที่ถูกใจจอร์ชว่างั้นเหอะ...
นานๆ มาสักครั้งก็ต้องเขียนให้คุ้ม (ยาวๆ)...55555...เพราะเป็นคนเรื่องเยอะในสมอง คิดแล้วหาแล้วเขียน หรือคิดแล้วเขียนเลย พอดีวันนี้เจ้าตัวน้อยออกงานแสดงที่โรงเรียนก่อนปิดภาคเรียน เจ้าตัวน้อยเรียน EIP ก็เลยต้องขึ้นเวทีแสดงด้วยการพูดภาษาอังกฤษพร้อมแปลเป็นไทย ถูกคุณครูมอบหมายให้แสดงเป็นตัวตลก ภาพบนเวทียังไม่มีเพราะอยู่ในกล้องใหญ่ ส่วนภาพที่นำมาลงถ่ายไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วที่บ้าน ขอนำจากกล้องดิจิตอลเล็กๆ นำมาลงเก็บไว้ดูก่อนและกันค่ะ
ระหว่างเสริชหาเรื่องการสู้รบก็ไปเจอคลิปออกกำลังกายขำๆ สองคลิป ก่อนดูรู้สึกเครียดๆ กับหลายๆ เรื่อง แต่พอดูคลิปเหล่านี้แล้วเผลอหัวเราะออกมาไม่รู้ตัว อยากรู้ว่า จขบ.ทำไมถึงหัวเราะได้เป็นวรรคเป็นเวรก็ต้องคลิกเปิดดูคลิปกันเอาเองค่ะ รับประกันว่าต้องหัวเราะแน่นอนค่ะ...ส่วนคลิปอันสุดท้ายเป็นคลิปที่ดูแล้วทึ่งผู้ชายคนนี้ที่เต้นได้ทุกเพลงไม่ว่าเพลงนั้นจะโบราณหรือทันสมัยแค่ไหนเค้าออกสเต็ปได้ถึงใจจริงๆ ค่ะ...
ปฏิเสธไม่ได้ว่ารักเธอ
(เพลงประกอบละครเธอกับเขาและรักของเรา)
หยุดตัวเองยังไง
ฉันไม่ควรปล่อยใจให้รัก
หักใจยังไง ไม่ให้โบยและบิน ไปกับเธอ
รู้ว่าไม่ควรรัก รักคนอย่างเธอ
แต่ฉันไม่รู้ จะยื้อจะทน และฝืนยังไง
อยากจะลืมนาที ช่วงที่เธอผ่านพ้นเข้ามา
หลับตาใจแอบมองเห็น เธออยู่ดี
ทรมาน รักไปก็ช้ำไป ทุกที ชีวิตไร้ทางจะไป
ใจ... มันรักเธอคนเดียว
แม้ร่างกายของเธอ ตอนนี้จะอยู่กับเขา
จิตใจ... มีเสียงเตือนเบาเบา
ว่าเรื่องราวรักของเรา มันผิด
แต่ฉันยอม ไม่เป็นไร...
จะรอคอยเธอไปแม้หัวใจปวดร้าวทุกข์ทน
ชีวิตคนหนึ่งคนนี้ให้เธอแล้ว
รู้ทั้งรู้ เรื่องเธอกับฉัน... ไร้วี่แวว
ก็ขอรอเธอจนตาย
ใจ... มันรักเธอคนเดียว
แม้ร่างกายของเธอ ตอนนี้จะอยู่กับเขา
จิตใจ... มีเสียงเตือนเบาเบา
ว่าเรื่องราวรักของเรา มันผิด
แต่ฉันยอม ไม่เป็นไร...
ใจ... มันรักเธอคนเดียว
แม้ร่างกายฉันเอง ตอนนี้จะอยู่กับเขา
จิตใจ... มีเสียงเตือนเบาเบา
ว่าเรื่องราวรักของเรา มันผิด
แต่ฉันยอม ไม่เป็นไร...
ใจ... ตอนนี้ทรมาน ฉันรักเธอเหลือเกิน
แต่เธอต้องอยู่กับเขา
ปวดใจทำได้เพียงเป็นเงา
เข้าใกล้เธอเมื่อพบเจอ ไม่อาจ
กอดแนบเธอไว้ข้างกาย