Review: Knowing (สปอยล์นิดหน่อย)



Knowing คือภาพยนตร์ที่ลบคำว่า “พอดี” ออกไปจากหัวสมอง มันก็อาจกลายเป็นหายนะจริงๆขึ้นมาได้ ถ้าผู้สร้างมีเพียงเงินลงทุนแต่ปราศจากสิ่งที่เรียกว่าสติ ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่า การพยายามเอื้อมมือคว้าดาวครั้งนี้เป็นการตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว และก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกว่า จะมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อย มาช่วยกันสร้างบันไดเพื่อไต่ขึ้นไปสัมผัสกับสิ่งที่มุ่งหวัง

นิโคลัส เคจ รับบทเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย วันหนึ่งลูกของเขาได้รับกระดาษที่บรรจุไปด้วยตัวเลขกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในแค๊ปซูลเวลาจากโรงเรียนประธม ที่ถูกฝังเอาไว้ตั้งแต่ปี 1959 โดยมันอาจเหมือนกับการเขียนสุ่มตัวเลขขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ แต่เมื่อ เคจ ได้ถอดรหัสมันออกมาด้วยความบังเอิญ เขาก็พบว่ามันได้ทำนายภัยพิบัติที่เกิดขึ้นมาในรอบ 50 ปีอย่างแม่นยำ ไม่เว้นแม้แต่วันเวลาและจำนวนผู้เสียชีวิต และยิ่งเขาออกค้นหาความลับที่ซ้อนอยู่เบื้องตัวเลขเหล่านี้ เขาก็เริ่มมั่นใจว่าตัวเองและลูก อาจมีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหายนะ ทั้งที่เกิดขึ้นไปแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

โอเค เราอาจต้องยอมรับว่า พล็อตหนังช่างฟังดูเหมาะเจาะกับซีรี่ย์ตอนเดียวจบของ Mystery Science Theater 3000 (คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมาฉายทางช่อง 7) ที่ถูกโบลว์ด้วยฉากแอ็คชั่นขายสองสามฉาก ให้มีความยาวพอผ่านการฉายโรง แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว นี้คือภาพยนตร์ที่มีอะไรมากกว่าหน้าหนัง ซึ่งถ้าเราอยากดูเพื่อความบันเทิงและไม่อยากตีความอะไรให้มากมาย มันก็สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ไม่ต่างกัน

แต่สำหรับใครที่อยากจะบริหารความคิดกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สนองความต้องการด้วยสาระ ที่ให้กันไปคิดอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อโต้แย้งทางด้านวิชาการและหลักวิทยาศาสตร์ ระหว่างความคิดที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา ล้วนถูกกำหนดเอาไว้แล้วด้วยพลังงานซ่อนเร้นบางอย่าง (Deterministic) หรือว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะประกอบไปด้วยเรื่องบังเอิญชิ้นเล็กชิ้นน้อยมารวมตัวกัน (Coincidental) ซึ่งมันก็เป็นเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ ที่ปกคลุมเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปตลอดจนถึงบทสรุป

หรือว่าจะเป็นข้อสันนิษฐานด้านความเชื่อ ในหลักศาสนาที่อยู่บนไบเบิ้ล เช่นเรื่องชายชุดดำปริศนา 4 คน ซึ่งอาจเปรียบได้กับสิ่งที่มีชีวิตอยู่ 4 ตนแห่งสวรรค์ ซึ่งอยู่ในบทเอเสเคียล (Ezekiel) ของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม หรือว่ามันอาจจะหมายถึง สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ (Four Horsemen of Apocalypse) ที่อยู่ในบทวิวรณ์ที่ 6 ของพระคำภีร์ใหม่ และมันก็ยังกล่าวอ้างถึงต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of Life) ซึ่งก็เป็นเหมือนกับข้อเปรียบเปรยในพัฒนาการในตัวมนุษยชาติ

แต่อย่าได้ถามผู้เขียนเชียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะตัวเองก็ไม่มีคำอธิบายสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นหน้าที่ของใครก็ตามที่สนใจ ในการพัฒนาสมมุติฐานของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้อธิบาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคำตอบก็คือ การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถปลุกเอาความอยากรู้อยากเห็น ที่หลับไหลอยู่ตามซอกหลืบของจิตใจของนักดูหนังหลายๆคน

ดั่งเช่นที่มันปลุกเอาความกระตือรือล้นของผู้เขียน ที่สลบไสลไปตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง The Fountain ผ่านออกไปจากชีวิต ซึ่งถ้าให้เทียบกันแล้ว ทั้งสองนั้นมีส่วนที่ใกล้เคียงกัน ทั้งในเรื่องแนวคิด, จิตวิญญาณ และแนวทางการดำเนินเรื่อง ซึ่งถึงแม้ว่า Knowing จะอ่อนด้อยกว่ามากในเรื่องของบทภาพยนตร์ ที่ขาดทั้งความลึกซึ้งและความเข้าใจในเรื่องที่พูดอย่างถ่องแท้ แต่มันก็ได้เพิ่มเติมในส่วนของฉากความสูญเสีย ที่จะกระชากหัวใจคนดูทุกคน




ก็เป็นอย่างที่บอกเอาไว้ในย่อหน้าที่สองว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสนองความต้องการของคนดูได้ทั้งสองระดับ คือถ้าใครจะเอาความบันเทิงแบบเพียวๆแล้วละก็ มันก็มีสนองได้อย่างเต็มเปี่ยมและมีประสิทธิภาพ ดังเช่นฉากเครื่องบินตก ที่ได้รับการกล่าวขวัญกันอย่างมากกับการถ่ายลองเทค ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นฉากที่โอ้อวดหรือโม้กันเกินไปเลย เพราะนี้คือฉากที่มีคุณค่าทั้งในเรื่องของศิลปะและเทคนิคการถ่ายทำ มันสามารถเอาไปขึ้นหิ้งได้เฉกเช่นฉากลองเทคในหนังที่แล้วๆมา มันให้ความรู้สึกคลาสสิคเช่นเดียวกับฉากเปิดใน Touch of Evil และความรู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกับฉากผ่านสมรภูมิรบใน Children of Men

แต่มันก็ไม่ใช่ฉากเดียวในเรื่องที่มีความโดดเด่น เพราะยังมีฉากรถไฟใต้ดิน ซึ่งสไตล์การถ่ายทำนั้น ถือว่ายืนอยู่กันคนละฝากกับฉากที่ได้กล่าวไปแล้วเลย ทั้งการตัดต่อด้วยความเร็วสูง รวมถึงการใช้ซีจีเข้ามาช่วยอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่มันทำได้เหมือนกัน ก็คือมันทำให้ผู้เขียนรู้สึกเหมือนว่า มีอะไรแหลมๆวางอยู่บนเก้าอี้แสนนุ่มอยู่ตลอดเวลา

หนังยังมีจุดที่ไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง นั้นคือถ้าเราหลับตา พร้อมกับปิดเสียง F/X และบทสนทนาระหว่างรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ นี้ก็อาจถือได้ว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีช ของคอมโพเซอร์ดาวรุ่งอย่าง มาร์โค เบลธามี เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการทุบคนดูให้อยู่หมัด เขาก็ทำได้ราวกับตัวเองเป็น เบอร์นาร์ด เฮอร์แมน กลับชาติมาเกิด และเมื่อใดก็ตาม ที่เขาต้องการยกคนดูให้ลอยขึ้นไปเหมือนอยู่บนสรวงสรรค์ เขาก็ทำได้ไม่แพ้ จอห์น วิลเลี่ยม เลย รวมถึงการเลือกใช้ ซิมโฟนีหมายเลข 7 ของ บีโธเฟ่น อย่างฉานฉลาดถึงสองครั้งสองครา ซึ่งครั้งที่ 2 นั้นเอง ก็ได้กลายเป็นการใช้ที่จะตราตรึงอยู่คนดูในใจไปอีกยาวนาน สำหรับผู้เขียนแล้ว นี้คือเพลงบรรเลงประกอบที่น่าจำจดที่สุดชิ้นหนึ่ง นี้คือสุนทรียภาพทางโสตประสาทอย่างแท้จริง

สำหรับนักแสดงนำของเรื่อง ผู้เขียนรู้สึกได้ว่าถ้าภาพยนตร์เรื่องไหน มีอะไรให้ นิค เคจ ทำแล้ว เขาก็ไม่เคยทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง จริงอยู่ที่เขาแสดงเยี่ยมใน Lord of War ก็อาจต้องมี Gone in Sixty Second เป็นภาพยนตร์ก่อนหน้า หรือว่าเขาแสดงได้สุดยอดใน Adaptation ครั้งหน้าเขาก็อาจกลับไปรับบทใน Ghost Rider แต่ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า ตราบใดที่วิญญาณเขาอยู่กับตัวละครที่เล่นแล้ว มันก็จะทำให้เรารู้สึกอินไปกับตัวละครที่เขารับบทจริงๆ

แต่เสียดายที่นักแสดงรอบตัวของเขา คือส่วนที่อ่อนด้อยที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ บทของนักแสดงเด็กทั้งสองอาจจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในเรื่อง แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถแสดงได้ตามความสำคัญของตัวเอง ในขณะที่นักแสดงสาวชาวออสซี่อย่าง โรส เบิร์น ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกัน เมื่อตัวละครของเธอนั้นไม่มีแรงจูงใจอื่นใด ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้

โดยปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น มันก็อาจมาจากบทสนทนาปลีกย่อย ที่บางทีฟังดูแล้วน่าขันและไม่ได้ช่วยบิ้วส์อารมณ์ใดๆให้กับคนดู ซึ่งมันถูกสอดแทรกอยู่ระหว่างบทสนทนาที่เป็นใจความสำคัญจริงๆ เช่นการโต้เถียงเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆในห้องเรียน หรือว่าฉากที่ นิค เคจ พูดถึงความเชื่อของเขา ที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น




สำหรับใครก็ตาม ที่รู้สึกว่าการที่ผู้สร้างจับเอาหลักศาสนา มาผสมผสานกับนวนิยายวิทยาศาสตร์ จะเป็นเรื่องที่ดู “สิ้นคิด” ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้สร้างหลายคนที่อาจเจอทางตัน และหาทางออกให้กับปมที่ตัวเองผูกมา ด้วยการหันไปหาสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้จากนอกโลก (ดังเช่น The Forgotten ของ จูลี่แอนน์ มัวร์) ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า คนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้กึ่งหนึ่งอาจจะเห็นเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว มันกลับจุดประกายความคิดบางอย่างขึ้นมา มันทำให้เราฉุกคิดว่า “หรือว่าพระเจ้าที่เรารู้จักกันนั้น คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก” หรือในทางกลับกันก็คือ “สิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ก็คือพระเจ้าที่เรารู้จักนั้นเอง”

สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้กำกับ อเล็ค โปรยาส ได้สวมวิญญาณของพ่อมดฮอลลิวู้ด สตีเว่น สปีลเบิร์ก สำหรับแง่มุมของสิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่เขาก็ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ สำหรับแง่มุมที่ว่าด้วย “ที่อยู่อาศัยของพวกเรานั้น มันเป็นของมนุษยชาติจริงๆหรือเปล่า” ซึ่งมีอยู่ในภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขา

มีหลายคนที่คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จบแบบปาหมอน (มันหมายความว่าอะไร ใครช่วยบอกที...) มันก็ทำผู้เขียนคิดไปถึงเคสของภาพยนตร์เรื่อง Sign ของนาย มาโนชย์ ซึ่งต่างก็มีแง่มุมทางศาสนาที่ใกล้เคียงกันมากถึงมากที่สุด (ถึงแม้ว่าสโคปการทำลายล้างจะไม่สามารถเทียบกับเรื่องนี้ได้เลย) เพราะภาพยนตร์เรื่องนั้น พูดถึงเรื่องที่ว่าทุกสิ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเปรียบได้เหมือนการแทรกแซงจากพระเจ้า (Divine Intervention) เพียงแต่ความคาดหวังของคนดูหลายคนนั้น มองว่ามันต้องเกี่ยวกับการรุกรานของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งก็ไม่ต่างจาก Knowing ที่พวกเขาหวังว่ามันจะเป็นหนังหายนะล้างโลก ที่ไม่ได้ออกมาเป็นกันอยู่อย่างที่เห็นนี้

ก็ไม่คงต้องบอกว่า ผู้เขียนยังไงกับฉากจบที่เป็นอยู่ นี้คือฉากจบที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดเรื่องหนึ่ง สำหรับผู้เขียนแล้ว Knowing คือหนังที่หวังสูง ซึ่งถ้าเรานับแค่ความพยายามในระดับทะยานออกนอกระบบสุริยะจักรวาล มันก็สมควรได้รับคำชื่นชมแล้ว และแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมาไม่ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ด้วยความพยายามที่แสดงออกมาให้เห็น ผู้เขียนคิดว่าพวกเขาเดินทางไปถึงดวงอาทิตย์เลยทีเดียว


BloodyMonday Rating:




 

Create Date : 27 มีนาคม 2552
22 comments
Last Update : 28 มีนาคม 2552 2:04:21 น.
Counter : 5624 Pageviews.

 

อ่านไป 4 ย่อหน้า ขอหยุดอ่าน กลัวโดนสปอยล์

ตอนแรกไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะบทวิจารณ์
ก็ออกมาธรรมดา (ค่อนไปทางแย่)

แต่ คุณ BloodyMonday ให้ตั้ง 3 ครึ่ง มันก็น่าสนใจขึ้นมาเลยแฮะ


แต่งานของ Alex Proyas เขาน่าสนใจเสมอครับ
ที่ผมสังเกตุ งานเขาชอบตั้งคำถาม ประเภทหนึ่งกับคนดูเสมอ ไม่เว้นแต่หนังที่เหมือนจะทำตามใบสั่งอย่าง I'Robot (เรื่องนี้ก็เข้าข่ายนะ)


ไปดูแล้วจะมาอ่านเต็มๆครับ

 

โดย: navagan 27 มีนาคม 2552 20:55:05 น.  

 

ผมคงจะรีบเผ่นไปดูหนังเรื่องนี้อย่างไม่ลังเลเลยครับ หลังจากที่อ่านรีวิวของคุณบลัดดี้แล้ว แต่การที่หนังมีนิโคลาส เคจเป็นพระเอกนี่มัน... ทำใจไม่ได้อ้ะ

หลังจาก The Rock มาผมดูหนังเค้าเกือบทุกเรื่องเลยนะ แต่ยิ่งดูความชื่นชอบก็ยิ่งเสื่อมถอยลง จนถึงวันนี้พูดว่าเกลียดได้เต็มปาก แบบว่าเห็นหน้ากับหัวเถิกๆนี่แล้วก็ไม่สนอีกเลยว่าเล่นหนังอะไร ยังไงกรูก็ไม่ดู (ใช่แล้ว มันคืออคติ)

ส่วนตอนจบแบบปาหมอน ผมไปตอบให้หลังไมค์แล้วนะ

 

โดย: แฟนผมตัวดำ 27 มีนาคม 2552 22:17:10 น.  

 

ชอบ มาร์โก เบลตรามี่ เหมือนกัน คือเรารู้สึกว่านั่นเ้ป็นส่วนที่ดีมากๆของหนัง (ชอบที่เลือกใช้ซิมโฟนี่หมายเลข 7 ครั้งหลังสุดนี้ด้วย จนรู้สึกอยากให้หนังจบลงตรงนั้นด้วยความอิ่มเอมใจ และจะให้ A- โดยไม่ลังเล) และถือว่าช่วยหนังได้เยอะมาก จะบอกว่ายกระดับหนังเลยก็ไม่ผิด

จริงๆเราก็ยังรู้สึกว่า นิโคลัส เคจ เป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในหนังอยู่ดี ดูๆไปก็แอบรู้สึกว่าบางฉากนั้นพี่เคจแกคงถือวิสาสะเพิ่มบทเอาเอง จนแอบฮาไปยังไงบอกไม่ถูก (เช่นฉากเอาไม้ฟาดต้นไม้ขู่พวก Whisper People และฉากดริฟต์รถที่ปั๊มน้ำมัน 55555)

ปัญหาหลักที่สำคัญที่สุดก็คงเหมือนที่บลัดดี้เขียนไว้ หนังเรื่องนี้มันยังไม่ "ถ่องแท้" กับตัวมันเองในหลายๆจุด จนเมื่อมานั่งย้อนคิดไป เรากลับรู้สึกว่าหลายอย่างในเรื่องมัีนออกจะ nonsense อยู่ไม่ใช่น้อยเลย ช่างน่าเสียดาย


ปล. เราชอบ The Happening มากกว่าน่ะ 55555555555555555555555

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.131.69 27 มีนาคม 2552 22:41:54 น.  

 

เห็นเขาโปรฉากเครื่องบินตกที่ถ่ายแบบลองเทคกันเหลือเกิน
ชักอยากไปดูเร็วๆ แล้วสิ ที่นี่พี่เคจพูดไทยไม่รู้จะทำให้เสียอรรถรสในการชมหรือเปล่า
จะว่าไป ประเด็นพูดไทยนี่ก็ทำให้คิดหนักอยู่เหมือนกันเวลาจะเลือกดูหนังต่างชาติ

ขอจังหวะเหมาะ แล้วจะไปดูจ้า

 

โดย: renton_renton 28 มีนาคม 2552 8:31:05 น.  

 

ดูเรื่องนี้แล้วค่ะ
สนุก ตื่นเต้นมากกกก Effect สุดยอดจริง
เสียอย่างเดียวที่ตอนจบ ดูงงๆ ยังไงก็ไม่รู้
แต่ เป็นหนังดีทีเดียวเลยยนะเนี่ย

 

โดย: bb IP: 115.67.134.129 28 มีนาคม 2552 11:24:57 น.  

 

เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินเสียงวิจารณ์ในแง่ลบ ของหนังเรื่องนี้กันพอสมควรแล้ว งั้นเรามาลองอ่านบทความของคนที่โปร Knowing กันบ้างดีไหมม ^^


In Defense of KNOWING (Fangoria)


Love and Hate and KNOWING (Roger Ebert)

 

โดย: BloodyMonday 28 มีนาคม 2552 12:02:42 น.  

 

ู^
^
เห็ฯว่าตอนจบ"โปรคริสต์" ครับ เลยไม่อยากดู

 

โดย: McMurphy 28 มีนาคม 2552 17:42:43 น.  

 

ขออนุญาตยังไม่อ่านนะคะ เพราะคิดว่าจะไปดู ^^

ตอนแรกไม่ค่อยอยากจะดูเท่าไหร่ แต่พอดูตัวอย่างหนังหลายรอบเข้าก็เริ่ม เอ้อ...มันน่าดูว่ะ

แต่นั่นก็ต้องหลังจากได้ดูก้านกล้วยกับ 20th Century boys 2 ก่อนนะคะ (555 มีจัดคิวด้วย)

- - - - - -
ตอบจากในบล็อคเราค่ะ

อื้มมม...ถ้าดู Always แล้วไม่เบื่อ มาดูเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเบื่อนะ เพราะว่ามันไม่ใช่หนังนิ่งๆ ซึมๆ เป็นไฮกุขนาดนั้น มันก็มีช่วงเร่ง ช่วงผ่อนเหมือนกันค่ะ

ส่วนที่ว่าคล้าย Always หรือเปล่า ถ้าโดยเนื้อเรื่องแล้วไม่เหมือนค่ะ แต่ว่าบรรยากาศในเรื่องมันคล้ายๆ พวกฉากขี้บิ๊ว ความสวยงามของชุมชน มีเด็กๆ วิ่งเล่นหัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก ยังกับเอาฟิล์มของเรื่องนั้นมาใช้เลยแหละ 555 (แค่ต่างเมืองค่ะ ระหว่าโตเกียวกับฮิโรชิม่า)


วันนี้ได้ปิดไฟหรือยังงงคะ?? ^^

 

โดย: ยิ่งยง นั่งยองยอง 28 มีนาคม 2552 22:21:00 น.  

 

ยังไม่อ่านนะครับ เพราะเดี๋ยวไปดู

เห็นดาวแล้ว ยิ่งกระตุ้นให้อยากไปดู

แต่คนดูแล้วแบ่งออกเป็นสองกระแสอย่างแรงเชียว

 

โดย: เอกเช้า IP: 124.120.195.67 28 มีนาคม 2552 23:56:05 น.  

 

ไปดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว
สนุกดีนะ
แล้วที่วิจารเค้าว่าสิ้นคิด
คุนหละ?
บางที
ถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
คุนจะพูดว่ามันสิ้นคิดอีกมั้ย
เค้าเอาเรื่องศาสนามาแล้วมันยังไง?
ผิดหรอ!?
เค้าไม่ได้ลบหลู่ซักหน่อย
เราก้เปนคนคริสนะ
พระคัมภีมันก้มีเขียนเรื่องสิ้นโลกไว้เหมือนกัน
แล้วในพระคัมภีก้มีเขียนว่า
พระเจ้าจาไม่ล้างโลกด้วยน้ำอีกแล้ว
แต่จะทรงล้างโลกด้วยไฟ
แล้วถามหน่อยนะ
คนแต่งเค้าจาจินตนาการเปนพระอาทิตย์แล้วมันจาเปนไรไป
คนเรามีสิทธฺที่จาจินตนาการยังไงก้ได้
เอาแต่วิจารในทางลบแบบเนี่ย
ไม่สิ้นสติกว่าหรอ
วันสิ้นโลกมันก้ใกล้มาถึงแล้ว
มีแต่คนที่ไม่ใช่คนของพระเจ้า(คนที่ไม่เชื่อหรือคนเลว)เท่านั้นแหละที่จากลัววันสิ้นโลก
ถึงวันนั้น
หวังว่าคุนจากล้าบอกว่ามันสิ้นคิด
ออ เกือบลืม
ที่บอกว่าหรือว่าพระเจ้าที่เรารู้จักกันนั้น คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก” หรือในทางกลับกันก็คือ “สิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ก็คือพระเจ้าที่เรารู้จักนั้นเอง”
มนุษย์ในแต่ละยุคหนะ
จินตนาการภาพของพระเจ้าแตกต่างกัน
แล้วแต่กาลเวลา
แต่ความจิงพระคัมภีก้บอกอยู่แล้วว่า
พระเจ้าเป็ยดวงวิญญาน
แล้วคุนรู้หรอว่าดวงวิญญานน่าตาเป็นยังไง
แล้วอีกอย่างนะ
คิดได้ไงว่านั่นหมายถึงพระเจ้าหนะ
พระเจ้ามีองค์เดียว
แล้วในเรื่องมีตั้งหลายคน
เค้าอาจจาหมายถึงทูตสวรรค์ก้ได้
มีปีด้วยตอนสุดท้ายไม่เหนหรือไง


เบื่อจิงๆคนสมัยนี้เป็นเหมือนพระคัมภีเปี้ยบเลย
คงอีกไม่นานหรอกโลกมันก้จาแตกแล้ว
แต่ขอบอกไว้อย่างนึง
ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้
ไม่ตายก้เริ่มใหม่ได้
คุนเปนคนเลือกเอง!

 

โดย: คน IP: 58.137.208.194 30 มีนาคม 2552 12:31:55 น.  

 

what's up, dawk!? กลับมาแล้วค่า

เรื่องนี้อ่านเนื้อเรื่องแล้วมันคุ้นมากเลยอ่ะ เป็นพล็อตปานแดงรูปหัวใจทายาทเจ้าคุณปู่เวอร์ชั่นไซไฟหรือนี่ คล้ายเรื่องที่จิมแครี่เล่น.. อ่าแล้วก็ที่ยวน แม็คเกรเกอร์เล่นที่มีเด็กคนไข้โรคจิตบอกอนาคตได้ (ทั้งสองเรื่องอิชั้นดูแล้วงงจนถึงบัดนาว)

four horsemen of the apocalypse.. อ่านถึงยัง ที่อยู่ใน good omen อ่ะ หุๆ

เฮียนิโคลัสเคจเนี่ย เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ดับเนอะ เดาใจแกยาก บางทีก็เล่นหนังใหญ่ บางทีก็หายต๋อมไปเลย จริงๆจะจับแนวฮีโร่ตลอดก็ดีนะตั้งแต่conair กับ the rock

มาคิดกันเล่นๆว่าใครกู้โลกมากที่สุดในฮอลลีวู้ด อป.ว่าเฮียวิล สมิธเค่อะ

ตอนนี้กำลังติด CSI:NY งอมแงม lieutenant Dan the MAN!!!

 

โดย: อป.พึ่งหายขี้เกียจ (apple_cinnamon ) 30 มีนาคม 2552 12:40:33 น.  

 

หลังไมค์ด้วยเค่อะ

 

โดย: อปอช (apple_cinnamon ) 30 มีนาคม 2552 21:27:16 น.  

 

อ่านความเห็นที่ 10 แล้วขำจริงๆ 555+ ขอคอมเม้นส์เป็นข้อๆให้ทุกคนเห็นนะ :-P

ที่เค้าพูด ---> แล้วที่วิจารเค้าว่าสิ้นคิด คุนหละ? ถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา คุนจะพูดว่ามันสิ้นคิดอีกมั้ย เค้าเอาเรื่องศาสนามาแล้วมันยังไง? ผิดหรอ!?

ที่เราวิจารณ์ไว้ ---> สำหรับใครก็ตาม ที่รู้สึกว่าการที่ผู้สร้างจับเอาหลักศาสนา มาผสมผสานกับนวนิยายวิทยาศาสตร์ จะเป็นเรื่องที่ดู “สิ้นคิด” ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า คนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้กึ่งหนึ่งอาจจะเห็นเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว มันกลับจุดประกายความคิดบางอย่างขึ้นมา (อ่านดูดีๆก่อน ข้าพเจ้าพูดหรือยังว่าหนังเรื่องนี้สิ้นคิด 55+)


ที่เค้าพูด ---> เอาแต่วิจารในทางลบแบบเนี่ย ไม่สิ้นสติกว่าหรอ

ที่เราวิจารณ์ไว้ ---> สำหรับผู้เขียนแล้ว Knowing คือหนังที่หวังสูง ซึ่งถ้าเรานับแค่ความพยายามในระดับทะยานออกนอกระบบสุริยะจักรวาล มันก็สมควรได้รับคำชื่นชมแล้ว และแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมาไม่ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ด้วยความพยายามที่แสดงออกมาให้เห็น ผู้เขียนคิดว่าพวกเขาเดินทางไปถึงดวงอาทิตย์เลยทีเดียว (สงสัยต้องบอกสั้นๆว่า "ชอบ" มั้ง คุณถึงเข้าใจ)


ที่เค้าพูด ---> ที่บอกว่าหรือว่าพระเจ้าที่เรารู้จักกันนั้น คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก” หรือในทางกลับกันก็คือ “สิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ก็คือพระเจ้าที่เรารู้จักนั้นเอง”มนุษย์ในแต่ละยุคหนะ จินตนาการภาพของพระเจ้าแตกต่างกันแล้วแต่กาลเวลา แต่ความจิงพระคัมภีก้บอกอยู่แล้วว่าพระเจ้าเป็ยดวงวิญญาน แล้วคุนรู้หรอว่าดวงวิญญานน่าตาเป็นยังไง แล้วอีกอย่างนะ คิดได้ไงว่านั่นหมายถึงพระเจ้าหนะ พระเจ้ามีองค์เดียวแล้วในเรื่องมีตั้งหลายคน เค้าอาจจาหมายถึงทูตสวรรค์ก้ได้ มีปีด้วยตอนสุดท้ายไม่เหนหรือไง

ที่เราวิจารณ์ไว้ ---> แต่อย่าได้ถามผู้เขียนเชียวว่ามันเกิดอะไร ขึ้นบ้าง เพราะตัวเองก็ไม่มีคำอธิบายสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นหน้าที่ของใครก็ตามที่สนใจ ในการพัฒนาสมมุติฐานของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้อธิบาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคำตอบก็คือ การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถปลุกเอาความอยากรู้อยากเห็น ที่หลับไหลอยู่ตามซอกหลืบของจิตใจของนักดูหนังหลายๆคน (เอ้าา ก็เขียนอยู่ในบทวิจารณ์แล้วว่า มันคือสมมุติฐานของคนๆหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเป็นคำตอบสุดท้าย และเป็นคำตอบหนึ่งเดียวที่ถูกต้อง โห่ อ่านก่อนคอมเม้นส์หน่อยเห้ออ)


ที่เค้าพูด ---> เบื่อจิงๆคนสมัยนี้เป็นเหมือนพระคัมภีเปี้ยบเลย คงอีกไม่นานหรอกโลกมันก้จาแตกแล้ว แต่ขอบอกไว้อย่างนึง ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้ ไม่ตายก้เริ่มใหม่ได้ คุนเปนคนเลือกเอง!

โอเค เรารู้แล้วล่ะว่าคุณเป็นใคร คุณเป็นเจ๊คาร์โมดี้ จาก The Mist นั้นเอง... Somebody get my Revolver!!! 55+

 

โดย: BloodyMonday 30 มีนาคม 2552 22:32:11 น.  

 

+ เรื่องนี้ยังไม่ได้ดู ตอนแรกก็ลังเลใจที่จะดู (จริงๆ ผมชอบดูหนังหายนะ-นะ แต่พักหลังก็เริ่มเฝือๆ เหมือนกัน ) เพราะคะแนนวิจารณ์ที่ออกมาก็ก้ำกึ่งหนักไปทางลบๆ (แต่คนที่ชมอย่างเลิศหรูก็มีเหมือนกัน อย่างน้องที่ออฟฟิศเป็นต้น)

+ แล้วก็มาเหวอตรงเกรดที่คุณ Bd Md ให้เรื่องนี้ไว้ที่กระทู้นู๋จูริง (ตั้ง 9!) อ่ะครับ ซึ่งรู้สึกว่านานๆ จะเห็นซะที รวมทั้งคุณหมอผมอยู่ฯ ก็ให้ 8.5 ด้วย (แต่คนให้ต่ำๆ ก็มีเหมือนกัน) ... คิดว่าตอนนี้ตัดสินใจว่าจะดูแล้วครับ (แต่ดันเผลออ่านไปหมดแล้วทั้งรีวิวและคอมเม้นต์ เหอๆ )

+ วันพุธนี้ผมน่าจะมีคิวว่างได้เรื่องนึง คงไม่เก็บเรื่องนี้ก็ก้านกล้วยแหละครับ (วันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพิ่งดูมา 2 เรื่อง เลยเก็บอีก 2 เรื่องนี้ไม่ทัน แหะๆ ) ดูแล้วคิดเห็นยังไง จะมาช่วยแชร์ต่อเน้อ (แต่ตรง #10 กับ #13 ยังไม่ได้อ่าน เพราะกลัวโดนสปอยล์จริงๆ นะนั่น )

 

โดย: บลูยอชท์ 31 มีนาคม 2552 1:01:35 น.  

 

"โอเค เรารู้แล้วล่ะว่าคุณเป็นใคร คุณเป็นเจ๊คาร์โมดี้ จาก The Mist นั้นเอง... Somebody get my Revolver!!! 55+"

55+ กะจะพิมพ์แต่ แต่ไม่เอาครับ กลัว ที่พี่ BloodyMonday ก็ดีอยู่แล้ว

 

โดย: McMurphy 31 มีนาคม 2552 18:30:50 น.  

 

55555 Somebody get my Revolver!!!

ฝากเรายิงให้เลยมะ ช่วงนี้อยากฆ่าคนอยู่พอดี...

จะเข้ามาบอกว่าไอ้ไดอารี่ Like a fiction ของคุณ BdMd นี่ฮาและกวนมากๆ ไอ้ที่บอกว่า Inspired by true story นี่หมายถึงตอนนั่งเหม่อใช่มั้ย 5555++ ช่างเป็นชีวิตการทำงานที่น่าอิจฉาอะไรเช่นนี้

อย่าเครียดมากครับ (เดี๋ยวเค้าจะนึกว่าเราให้ความสำคัญ) ผมอัพบล็อคใหม่ให้ไปอ่านเอาฮาแล้วล่ะ ขอเชิญไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์หวานขมกันได้

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 222.123.114.82 31 มีนาคม 2552 22:09:54 น.  

 

ตายแล้ว วิจารณ์หนังได้เยี่ยมยอดอะไรอย่างนี้
เจ้าของ blog ต้องหล่อแน่ๆเลยอ่า

อยากเจอตัวจริงจังเลย ~~~~ ^^

จะแวะมาอ่านบ่อยๆนะคะ

^~^

 

โดย: AnNe IP: 203.209.124.176 1 เมษายน 2552 17:58:17 น.  

 

^
^
โอเช อาหารเกาหลีใช่แม่ะ 555+

 

โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 2 เมษายน 2552 10:36:40 น.  

 

+ เพิ่งได้ดูมาเมื่อคืน และเห็นด้วยเกือบทุกประการกับที่คุณ Bd Md ว่ามา ... ส่วนคุณคาร์โม้ดี้ ผมก็งงกะเค้าเหมือนกัน ว่าเค้าได้อ่านที่คุณ Bd Md เขียนไว้ข้างบนบ้างหรือไม่ หรือกะจะมาระบายแค้น เพราะเก็บกดอะไรสักอย่างเพียงอย่างเดียวอ่ะครับ เหอๆ

 

โดย: บลูยอชท์ 2 เมษายน 2552 11:43:09 น.  

 

อ้าว เพิ่งไปดูมาเมื่อคืนเหมือนกัน (หนังแบ่งออกเป็นสองจอ คนหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ อีกคนอยู่ระยอง)

จากการนั่งดูพร้อมภรรยา หลังดูจบ ภรรยาผมบอกว่าความรู้สึกเหมือนดูหนังสองเรื่อง ครึ่งเรื่องแรกเป็นทริลเลอร์ ไหงครึ่งหลังกลายเป็นไซไฟไปได้ฟะ ไม่เนียนๆ (แต่ก็ไม่ได้ว่าหนังไม่ดีนะ ก็ถือว่าโอเคอยู่)

สำหรับผมเองค่อนข้างโอเคกับหนัง (อาจจะเป็นเพราะรู้มาก่อนแล้วว่าตอนท้ายมันจะเป็นเช่นนี้) และเฮียเคจเรื่องนี้ด้วยบทที่ไม่ได้พยายามให้แกดูเป็นฮีโร๊ ฮีโร่ เหมือนเรื่องอื่นๆ ทำให้ผมดูแกเล่นไปได้เรื่อยๆอย่างไม่ทรมานอะไรมากนัก (แต่สีหน้าท่าทางในฉากที่แกรู้ว่ากำลังเจอกับอะไรนี่มันสุดยอดจริงๆ)

สรุปว่าชอบอยู่ไม่ใช่น้อย

ปล. ที่แท้ช่วงนี้ก็งานเข้านี่เอง เออเนาะ เวรกรรมมันตามทันเร็วจริงๆด้วย 55555++

 

โดย: แฟนผมตัวดำ 2 เมษายน 2552 15:07:18 น.  

 

อ่านตอนต้นๆ เหมือนกับจะไม่ชม แต่พออ่านๆไป อ้าว ชม แล้วไปๆมาๆ เลยทำให้อยากดูเหมือนกันเฮะ ได้เกือบเต็มด้วย

 

โดย: cottonbook 4 เมษายน 2552 23:29:20 น.  

 

จบแบบ ปาหมอน
น่าจะมาจาก ฉากจบการ์ตูนเรื่อง
ราชันย์แห่งภูต (Shaman King ) ครับ
ลองหาอ่านดูได้

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%95

 

โดย: ชาย IP: 180.183.233.65 2 พฤศจิกายน 2556 14:22:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.