บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
All Blogs
 

สร้างวัฒนธรรมองค์กร ลูกผสม ตะวันออก + ตะวันตก....

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



เรื่องวัฒนธรรมองค์กรบางคนบอกว่าสร้างยาก บางคนบอกว่ามันเป็นสิ่งที่มีสำหรับองค์กร แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าการสร้างวัฒนธรรมองค์กร มันสามารถทำได้ จะบอกว่ายากหรือไม่นั้น มันขึ้นกับคนทำว่าสามารถเปลี่ยน มีแรงที่จะทำ มีแนวความคิดเพื่อส่วนรวมจริงๆหรือไม่ และ หวังผลเพื่อองค์กรมากน้อยเพียงใด กล้าที่จะชนเพื่อองค์กรหรือไม่ นั่นเป็นกุญแจสำคัญในการปรับเปลี่ยนองค์กรเลยทีเดียว... คนที่ประเภทรู้ทั้งรู้ว่าการปรับเปลี่ยนบางครั้ง อาจจะทำให้เจ้านายบางคนไม่ชอบก็ต้องทำเพราะ สร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อเป็นหนทางที่จะสร้างให้องค์กรประสบความสำเร็จ บางทีอาจจะโดนให้ออกแบบกลางอากาศ บางคนก็ยังกล้าที่จะทำ ที่เจอจังๆก็ประเภทยื่นเวลาให้ออกจากงาน แต่ก็ยังทำเพื่อองค์กรในระยะเวลาที่เหลืออยู่ คนไทยที่เป็นหัวหน้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแบบนี้ก็ยังมี และ หัวหน้างานที่พยายามเปลี่ยนแปลงองค์กรไปในทางที่ดีขึ้นก็มีนะครับ ผลลัพธ์ตอนแรกมันอาจจะยังไม่เด่นชัด แต่ในระยะยาวจะเห็นได้เลยว่า สิ่งที่ทำไปเพื่อองค์กร มันจะส่งผลให้องค์กรแข็งแรง คนที่ไม่ทำเพราะไม่กล้า แต่คนที่กล้าทำ ก็อยู่ไม่ได้ มีเยอะไป...

สุภาษิตคนทำงานคือ คนไม่ทำ ไม่ผิด (แต่ก็ไม่ถูก)


องค์กรของคนไทยที่เจอมาไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายเสมอไป เท่าที่ผมผ่านเข้าไปวิเคราะห์ระบบงานให้กับบริษัทฯของคนไทย และ คนต่างชาติมากมาย ผมไม่ค่อยได้เจอบริษัทฯ ที่พนักงานไม่ทำงาน เกเร หรือ ลับหลังเจ้านายกลายเป็นอีกอย่างมากนัก อาจเป็นเพราะผมโชคดีก็ได้มั๊ง... ที่เจอจริงๆก็ประเภทไม่ทุ่มเท เพราะพนักงานทำงานแลกกับเงิน ไม่มีหัวใจของคนทำงานอยู่ในตัวเลย แต่ผมก็ค่อยๆแก้ด้วยวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ค่อยๆสร้างให้เขา และปรับเปลียนโครงสร้างกันไป พวกเขาก็ทำงานกันแบบทุ่มสุดตัวเหมือนกัน สิ้นปีผลงานออกมาแบบต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว

องค์กรของคนไทย เป็นองค์กรแบบพี่น้อง โอบอ้อมอารี และ ทำอะไรไปเรื่อยๆ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะวางแผนงานสักเท่าไร ดังนั้น การเอารูปแบบของตะวันตก ผสม ตะวันออก เข้าไปผสมบ้างถึงจะดี แต่ต้องไม่ทำให้วัฒนธรรมทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปในคราเดียว ต้องค่อยๆผสมผสาน ชี้ให้เห็นผลที่จะได้รับจากการกระทำ ไม่ใช่การสั่งการ


คนไทยชอบทำงานแบบสบายๆก็จริง แต่ผมว่าไม่ใช่เพียงคนไทย คนต่างชาติก็เป็น เขาก็เปิดงานสบายๆ หรือ ไม่ทำงานเลยมากกว่าเราเสียอีก แต่ไม่เห็นเขาเอามาบอกกล่าวเลย กลับเอาแต่คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ทำงานหนักมาบอกกล่าว เพื่อตอกย้ำให้คนในชาติ ทำงานลักษณะนี้ เมื่อพบเห็นลักษณะดีๆบ่อยๆ ก็จะซึมซับให้ทุกคนมีลักษณะที่ดีขึ้น คนชอบทำงานสบายๆ กินแรงงานของเขานะมีเยอะ ไม่อย่างนั้นเขาจะคิดเอาวิธีการต่างๆเข้ามาควบคุมการทำงานของพนักงานของเขาหรือ ประเภท KPI ที่เขาคิดนะก็เป็นการควบคุมคนไม่ได้คุณภาพของเขา เพื่อผลักดันให้มีคุณภาพมากขึ้น ผมเห็นว่า คนเราทุกคนไม่ว่าชาติใด ศาสนาใด ย่อมมีคนดี และ คนไม่ดี ปะปนกัน เราต้องส่งเสริมคนดี และ จำกัดขอบเขตของคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจจนสามารถมาทำร้ายคนดีได้ (พระราชดำรัส) แต่การที่เรายกเอาเรื่องของคนที่ไม่ดีในชาติเพียงบางส่วน แล้วบอกว่า ชาติเราไม่ดีนั้น ผมว่ามันอาจจะทำให้บ้างเมืองเราสูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีได้... ส่วนหนึ่งในใจของผม คืออยากให้คนเราปรับเปรี่ยนความคิดให้ดีขึ้น และ คิดได้มากขึ้น แต่ความเป็นจริง คนที่สามารถคิดได้นั้นมีน้อย ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการเอาสิ่งไม่ดีมาเป็นตัวอย่าง เราทำไมไม่เอาข้อดีของคนในชาติที่ดีๆ มายกย่อง ชมเชย และ เชิดชูให้สังคมเราได้รับรู้และชื่นชมกับคนไทยของเรา

บุ ค ค ล า ก ร
องค์กรที่มีพนักงานที่ทำงานไม่เต็มที่เพราะขาดการควบคุมดูแลอย่างทั่วถึง และ ระบบงานยังไม่สามารถคงรูปของมันเองได้ การปรับเปลี่ยนต้องเปลี่ยนตั้งแต่เจ้าของไล่ลงมาถึงหัวหน้างานกันเลยทีเดียว สิ่งที่แก้ไขยากคือเจ้าของธุรกิจ และ ผู้บริหารระดับสูง แต่หากเป็นผู้บริหารระดับกลางลงมา มันไม่ยากแต่ต้องให้เขาทั้งหลายเข้าใจ


เ จ้ า ข อ ง ธุ ร กิ จ
ที่ยอมรับการบริหารแนวใหม่ๆ สามารถปรับเปลี่ยนองค์กรไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น ก็สามารถทำให้องค์กรไปได้ไกล แต่หากเจ้าของธุรกิจไม่ยอมรับใครเลย และยังเชื่อมั่นในตนเองมากๆ ก็อาจจะทำให้องค์กรของตนอ่อนแอขี้โรค เพราะทั้งระบบสร้างจากความคิดเดียว ลักษณะงานเก่าๆ ที่ขาดการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นเมื่ออ่อนแอขี้โรค หากโดนกระทบจากภายนอกเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้เป็นไข้ไม่สบายได้ง่ายๆ เจ้าของธรุกิจลัษณะนี้ก็มี และก็ล้มหายตายจากไปก็มี ดังนั้นองค์กรจะเป็นเช่นไร เจ้าของธุรกิจเป็นคนขับเคลื่อนความเป็นไป ดีหรือไม่ มันมีผลจากเจ้าของธุรกิจเป็นหลัก


ผู้ บ ริ ห า ร ร ะ ดั บ สู ง
ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่มีวิสัยทัศน์ และ แนวทางการทำงาน แต่ บางท่านไม่มีวิสัยทัศน์แถมยังคงความเป็นไปของการทำงานให้แค่รอดๆไปวันๆก็มี ซึ่งต้องเข้าใจถึงพื้นฐานของผู้บริหารระดับสูงแต่ละท่านก่อนว่าขึ้นมาได้อย่างไร

การปรับตำแหน่งของพนักงาน
1. ประเภทขึ้นมาจากความสามารถส่วนใหญ่แล้วมีแนวความคิด และ หนทางในการทำงานที่ดี ยิ่งขึ้นถึงผู้บริหารระดับสูงได้ ก็คงต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้เป็นส่วนเสริมคือ
1.1 มีลูกน้องดี มีความสามารถ สนับสนุนการทำงานทุกอย่าง
1.2. บริหารงานในทีมได้ดี ทำงานได้ตรงตามเป้าหมาย
1.3 เก่งจากความสามารถของตนเพียงผู้เดียว ประเภท ต้องการอะไรได้หมดทุกอย่าง

บางคนมีเพียงอย่างเดียว บางคนมีมากกว่าหนึ่งอย่างในตน แต่บางคนมีทั้งสามอย่าง ผสมกัน

2. ประเภทขึ้นมาจากอายุงานที่มากขึ้น ซึ่งอายุงานมากก็หมายถึงมีประสบการณ์มาก คนกลุ่มนี้บางคนจะคิดจะอ่านจะเข้าไปในกรอบที่ตัวเองเคยทำมาเท่านั้น

3. ประเภทขึ้นมาจากการเป็นญาติ หรือ การฝากฝังคนกลุ่มนี้ต้องเข้าไปสัมผัสกับเขาโดยตรงว่า แนวความคิด ของเขาอยู่ในระดับใดก่อนจะทำอะไรลงไป

ดังนั้นหากรู้พื้นฐานการขึ้นมาของผู้บริหารระดับสูง คุณก็จะพบว่า องค์กรที่มีพนักงานทำงานไม่เต็มที่ นั้นส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มผู้บริหารที่ขึ้นมาจากประเภทที่ 2 และ 3 คุณก็สามารถหาวิธีการบริหาร ผู้บริหารระดับสูงได้แล้วว่า คุณต้องทำอย่างไร


ผู้บริหารระดับกลาง(ผู้จัดการ) และ หัวหน้างาน
คนกลุ่มนี้ต้องเป็นคนที่ทำงานจริงจัง จึงจะส่งผลให้องค์กรก้าวหน้า การขาดประสบการณ์ ทำให้ขาดความมั่นใจ ดังนั้นการควบคุมลูกน้องจึงอาจจะขาดหายและไม่รู้ลึกซึ้งถึงงานบริหาร เพราะคนกลุ่มนี้ มักขึ้นจากความสามารถส่วนบุคคลเป็นหลัก แล้วจับมาอยู่ในสายบริหาร บางคนอาจจะไม่ถนัด ทำให้รู้สึกสับสนและใช้คนไม่เป็น การให้ความรู้กับคนกลุ่มนี้ จึงสำคัญมากที่สุดในการสร้างองค์กร และ วัฒนธรรมการทำงานให้ได้ผลงาน เพราะเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับพนักงานมากที่สุด องค์กรส่วนใหญ่ที่มีพนักงานไม่เต็มที่กับงาน ต้องจัดการกับคนกลุ่มนี้ก่อนเลย การจัดการก็ไม่ยาก ก็เพียงหาเครื่องมือในการจัดการให้เขา สร้างระบบงานที่ดีให้ เครื่องมือต้องสามารถให้คุณ และ โทษกับลูกน้องได้ และ สามารถช่วยงานวิเคราะห์ หรือ บริหารในบางส่วนได้ อีกอย่าง การสอนให้กลุ่มคนกลุ่มนี้สามารถคิดเชิงกลยุทธ์ได้เอง จะช่วยส่งเสริมให้องค์กรมีพื้นฐานที่แข็งแรงในอนาคตอีกด้วย


พ นั ก ง า น
ที่ทำงานไม่เต็มที่นั้น หากไล่ออก หรือ ตัดเงินเดือน หรือ ลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ก็เหมือนกับการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ จริงๆแล้วหากเข้าใจพวกเขาว่าต้องการอะไร ก็ให้ในสิ่งเหล่านั้น พร้อมกับการทำให้พนักงานยินดีในการทำงาน เช่น พนักงานทุกคน ต้องการเงินเดือน ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ ต้องการโปรโมท ต้องการความมั่นคงในหน้าที่การงาน ต้องการสังคมที่เป็นลักษณะของเขาเอง ต้องการพักผ่อน ต้องการสวัสดิการที่ดีต่อชีวิต การให้เขาได้รับสิ่งเหล่านั้น หรือ มีแนวทางที่จะให้เขาเหล่านั้นได้ในสิ่งที่เขาต้องการ จะส่งผลให้พนักงานทำงานอย่างทุ่มเทมากขึ้น แต่หากเราให้ แล้วไม่ได้รับตอบสิ ก็ต้อง ทำโทษเช่นกัน การใช้ KPI ในการควบคุมการทำงานของพนักงานนั้น ต้องให้เขาเข้าใจถึงสิ่งที่ทำทำเพื่อตัวเขาเอง เพราะ เป็นหนทางที่เป็นรูปธรรมสำหรับผลงานของเขา เมื่อมีผลงานที่เป็นรูปธรรม ความก้าวหน้าในอาชีพ การขึ้นเงินเดือน ความมั่นคงในหน้าที่การงาน ย่อมตามมา หากองค์กรสามารถส่งเสริมเรื่องสวัสดิการ และ สุขภาพของเขาเหล่านั้นด้วยจะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้เต็มที่ และ เต็มใจมากขึ้น พนักงานที่มีคุณภาพก็เก็บไว้ทำงานกับเรานานๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราได้พนักงานที่มีคุณภาพ คงต้องย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นคือ การหาพนักงานเข้าทำงานขององค์กรว่ามีประสิทธิภาพมากเพียงใด ด้วย


ร ะ บ บ ง า น
พูดเรื่องคนไปมากแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับองค์กรที่พนักงานทำงานไม่เต็มที่ก็คือ ระบบงาน ที่พนักงานทำงานกันอยู่
องค์กรส่วนใหญ่ที่พนักงานทำงานไม่เต็มที่ เพราะ งานมีน้อยกว่าพนักงาน คนทำงานแต่ละคนทำเพียงงานเล็กๆที่ไม่ครอบคลุมเวลางานทั้งหมด ทำให้ระบบงานใหญ่เกินความจำเป็น ผมมักเรียกองค์กรเหล่านี้ว่า เป็นคนที่อ้วนเกินไป ต้องบริหารร่างกายแล้ว... ก่อนจะบริหารร่างกาย ก็ต้องจัดระบบการทำงาน ไม่ว่า เรื่องเอกสารการติดต่อ เรื่องการทำงาน ลำดับการทำงานของแต่ละส่วน ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความสามารถของผู้ทำ เพื่อจัดโครงสร้างการทำงานให้เป็นรูปร่าง และ ได้สัดส่วนที่พอเหมาะ ไม่อ้วนไป ไม่ผอมไป และ ต้องแข็งแรงสมบูรณ์ ดังนั้น การมีตัวตายตัวแทน หรือ มีมือขวาย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทำให้ระบบงานสามารถยืดหยุ่นได้ ในลักษณะที่ไม่อ้วนเกินไป งานมีพอดี หรือ น้อยกว่าจำนวนคนเพียงเล็กน้อย และ สร้างความรับผิดชอบให้กับพนักงานในองค์กร มีระบบอื่นๆมารองรับเช่น การวัดความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน ระบบการประเมิณผลในรูปแบบทุกทิศทาง และมีเป้าหมายที่เด่นชัดเพื่อให้องค์กรก้าวไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเป็นรูปธรรม สิ่งเหล่านี้ขึ้นกับองค์กรว่า จะเห็นคุณค่าของมันมากน้อยเพียงใด เพราะนี่เป็นคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ มันมองไม่เห็นถึงสิ่งที่จะตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่ระยะยาวจะส่งผลให้ผลักดันธุรกิจไปได้ไกลมากขึ้น


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:32:13 น.
Counter : 2327 Pageviews.  

การวางระบบธุรกิจ

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



ระบบงานใหญ่ๆ บริษัทฯใหญ่ๆ รวมทั้งบริษัทฯต่างชาติ ทำไมเค้าถึงสามารถทำให้คนในระบบ ทำงานได้อย่างลงตัว มีหัวหน้างาน มีผู้จัดการ มีตำแหน่งต่างๆมากมาย ในบริษัทฯ แต่ไม่มีเจ้าของบริษัทฯ ไม่เคยเห็นคนออกแบบระบบงานเลย.. แต่ระบบงานก็ดำเนินไป ก้าวหน้ากันไปเรื่อยๆ.. เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ... แล้วทำอย่างไรเพื่อให้ได้ระบบงานอย่างนั้น.. น่าคิดนะครับ.. เรื่องง่ายสำหรับบริษัทฯ ที่มีระบบงานอยู่แล้ว แค่เอาระบบงานเก่ามาวางเป็นแนวทางการดำเนินงาน จากนั้นก็หาคนมาลงให้เข้ากับงาน แต่บริษัทฯ ที่ไม่มีระบบงานนี่สิ.. จะทำระบบงานขึ้นมาควบคุมนั้น จะทำอย่างไร ผมแนวความคิดผมมีดังนี้..

คนที่ทำบริษัทฯ อยู่แล้วนั้น หากยังไม่มีระบบอยากจะแนะนำอย่างนี้ครับ..

1. จัดงานย่อยแต่ละงานทำให้ดีเป็นส่วนๆ จัดควบคุมคุณภาพในส่วนย่อยๆ โดยการหาจุดบกพร่องของงานแต่ละชิ้น แต่ละส่วน แล้วหาวิธีการทำให้มีข้อบกพร่องให้น้อยที่สุด หาหนทางเพื่อที่จะป้องกันข้อบกพร่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เมื่อคุณแน่ใจ คุณต้องทดสอบระบบ และ ค่อยๆปล่อยงานให้เดินได้เอง... แล้วไปทำเหมือนลักษณะนี้ แต่ทำกับงานย่อยอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ..

2. ระหว่างการจัดการกับงานย่อย คุณควรจะ จัดความสัมพันธ์ของงานย่อยแต่ละงาน เพื่อให้สอดคล้องและไม่ติดขัด ซึ่งกันและ กัน การเชื่อมประสานงานต่างๆนั้น ต้องเริ่มจัดจากกลุ่มที่ติดต่อกันมากๆ ไปเป็นการติดต่อกับบ้าง เพื่อแยกออกมาเป็นแผนก หรือ ส่วนๆ ออกมา.. มันก็คือหลักการของการแบ่งแผนก นั่นเอง..

3. จัดแบ่งงานย่อยให้บุคคลต่างๆ ได้รับผิดชอบ ตามจำนวนเนื้องาน ให้พนักงานที่เข้ามารับผิดชอบ ทำให้ได้เนื้องาน ถ้าใช้ KPI อาจจะต้องให้ได้ประมาณสัก 80-85% ของเนื้องานเมื่อเทียบกับจำนวนเวลางานทั้งหมดที่ทำ หรือตามจำนวนที่ยอมรับได้แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 70%

4. หาคนที่เป็นกุญแจของระบบ เข้ามาควบคุมการทำงานในระบบย่อย ซึ่งก็หมายถึง หัวหน้างาน มารับงานต่อจากคุณ อาจเป็นคนที่มีความสามารถจากกลุ่มพนักงานที่มี และ มีความคิดที่ดีต่องาน ต่อคน เค้าอาจจะขาดในบางส่วน ดังนั้น เป็นหน้าที่ของคุณที่จะเติมเต็มในส่วนที่เขาขาด หากคุณไม่สามารถสอน ก็ให้คนที่มีความสามารถสอนเขา ให้เขาได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำของคุณต่อไป.. เมื่อได้กุญแจ ก็มอบสิทธิมอบอำนาจให้จัดการแต่อย่าเพิ่งให้หมด ควรตรวจสอบเขาอย่างต่อเนื่องไปอีกสักระยะหนึ่ง เมื่อคุณเห็นว่าปล่อยได้แล้ว คุณก็ไปดูในส่วนงานอื่นๆอีก แค่นี้ คุณก็จะได้ Supervisor ที่มีคุณภาพ เพื่อควบคุมงานย่อยที่พนักงานในแต่ละส่วนทำอีกระดับหนึ่ง เมื่อทำเสร็จแผนกหนึ่ง ก็ทำในลักษณะเดียวกัน เป้าหมายตอนนี้คือคุณต้องสร้างหัวหน้างานในส่วนต่างๆ ให้มากที่สุด เพื่อให้ระบบงาน เดินได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่คุณต้องสร้างคนขึ้นมาแล้วครับ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรือ เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ แต่ไม่ยากเกิน หากคุณคิดว่ายาก ก็จ้างให้คนที่มีความสามารถเข้าไปจัดการแทนคุณ หรือ ส่งให้ไปเรียนอบรม และ ส่งตัวคุณเองเข้าไปรับการอบรมพร้อมกันด้วยนะครับ

5. เมื่อหัวหน้างานเริ่มมีมากขึ้น คุณก็ต้องหาคนที่สามารถดำเนินระบบงานต่อไป มีความคิด และ สามารถสร้างสรรงานให้ดีขึ้น เพื่อมารับงานต่อ เพื่อให้คำแนะนำในการสร้างระบบงานให้ดีขึ้นกับหัวหน้างาน หลายๆคนที่ทำงานประสานกันบ่อยๆ นั่นคือ ผู้จัดการนั่นเอง เพื่อแบ่งเบางานของคุณออกไป การได้ผู้จัดการดีๆ สักกลุ่มนึงไม่ใช่เรื่องง่าย (ผมใช้คำว่ากลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่คนหนึ่ง) คุณจะเริ่มมีเวลาพอที่จะบริหารกิจการของคุณในแนวนโยบายได้มากขึ้นแล้วครับ

6. เมื่อคุณเริ่มมีผู้จัดการแต่ละส่วนมากๆเข้า งานเล็กงานน้อยคุณก็จะวางมือได้มากขึ้น คุณก็เริ่มต้องดูนโยบายการบริหารของในบริษัทฯ การหาคนมารับผิดชอบ ระบบงานของบริษัทฯ ให้ดำเนินไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ นั้นหายาก คุณอาจจะให้ผู้จัดการที่มีความสามารถ และ เป็นที่ยอมรับของผู้จัดการท่านอื่น และ มีวิสัยทัศน์ในการมองธุรกิจของคุณได้ออก และ ลึกซึ้ง ขึ้นมาเป็น Director โดยมีคุณ เป็น MD เพื่อควบคุมนโยบายหลักโดยรวมต่อไป คราวนี้ก็หางานใหม่ แตกแนวบริษัทออกไปแล้ว. ถึงช่วงนี้คุณก็เปลียนไปเป็นคนละคนแล้วครับ...

ผมเลือกใช้วิธีการของต้นไม้ แต่มองตั้งแต่ยอดไม้ลงมาหาลำต้น ละเจาะลึกไปถึงโคนราก เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้ระบบงานยังคงเดินได้ และ เดินได้ดีขึ้น และ คุณจะได้ค่อยๆมองให้เห็นส่วนประกอบขององค์กร และ การจัดการส่วนย่อยเพื่อให้สามารถสร้างส่วนใหญ่ และ ได้วิเคราะห์ลึกไปเห็นถึงแก่นของเนื้อไม้และเห็นถึงโคนรากกันเลยทีเดียว... มันอาจจะไม่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่อาจจะช่วยคุณได้บ้างนะครับ

หากคุณเปิดบริษัทฯในทำนองเดียวกัน คุณก็เพียงเอาโครงต้นไม้นี้มาวาง แล้วหาคนมาลงตามตำแหน่งต่างๆ ตามความรับผิดชอบ ในส่วนต่างๆ แล้วให้ระบบเดินงานโดยผ่านการควบคุมของคุณต่อไป...คราวนี้คุณก็หาจากตำแหน่งสูงไล่ลงไปถึงพนักงานธรรมดาได้แล้วครับ คราวนี้หารากไม้ไล่ไปหาใบครับ เป็นวิธีการกลับกัน..

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:33:48 น.
Counter : 9071 Pageviews.  

หาเงินเก็บสัก 5 ล้านบาท จากธุรกิจอาหาร เล็กๆ

หาเงินเก็บสัก 5 ล้านบาท จากธุรกิจอาหาร เล็กๆ


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)




มีเงินเริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ สัก 10,000 บาท
ทุกวันมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประมาณสัก 2,000 บาท
ทำได้กำไรสัก 100% ในสถานที่ดีๆสักที่หนึ่ง
ก็จะได้กำไรวันละ 2000 บาท
ทำสัก 5 ปี ก็จะได้กำไรที่ลงทุนไป 3,650,000 บาท..

หากทำระบบได้ดี ก็ขยายธุรกิจ ทุกๆ ครึ่งปี ก็จะได้เงินโดยคร่าวๆ
ในช่วงระยะเวลาเมื่อสิ้นปีที่ 5 ดั้งนี้

แห่งที่ 2 ในระยะเวลาอีก 4.5 ปี จะได้เงิน 3,285,000 บาท
แห่งที่ 3 ในระยะเวลาอีก 4.0 ปี จะได้เงิน 2,920,000 บาท
แห่งที่ 4 ในระยะเวลาอีก 3.5 ปี จะได้เงิน 2,555,000 บาท
แห่งที่ 5 ในระยะเวลาอีก 3.0 ปี จะได้เงิน 2,190,000 บาท
แห่งที่ 6 ในระยะเวลาอีก 2.5 ปี จะได้เงิน 1,825,000 บาท
แห่งที่ 7 ในระยะเวลาอีก 2.0 ปี จะได้เงิน 1,460,000 บาท
แห่งที่ 8 ในระยะเวลาอีก 1.5 ปี จะได้เงิน 1,095,000 บาท
แห่งที่ 9 ในระยะเวลาอีก 1.0 ปี จะได้เงิน 730,000 บาท
แห่งที่ 10 ในระยะเวลาอีก 0.5 ปี จะได้เงิน 365,000 บาท

รวมได้เป็นเงิน 20,075,000 บาท
มีค่าใช้จ่ายลูกจ้าง และ อื่น ทั้งหมดสัก 50%
ก็คงเหลือสัก 10 ล้านกว่าบาท ภายใน 5 ปี
แต่ละปีต่อจากนี้จะมีรายได้ต่อปีประมาณ 7,300,000 บาท
ต่อเดือนก็ประมาณสัก 6 แสนกว่าบาท
หักโน่นนี่ ก็น่าจะเหลือสัก 5 แสนบาทต่อเดือนได้มั๊งครับ...

หากกำไรทำได้น้อยลงไม่ตามเป้า ตกเป้าไปสักครึ่งหนึ่ง..
ก็จะมีเงินเก็บประมาณ 5 ล้านกว่าๆ
และ รายได้หลังเลิกการขยายกิจการก็ประมาณ 2.5 แสน ต่อเดือน

(คิดเล่นๆครับ..)

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 2:39:22 น.
Counter : 6606 Pageviews.  

ปัจจัยที่สำคัญในการทำธุรกิจ

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)



การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีปัจจัยสำคัญหลักๆ ดังนี้

(1) ต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่กว้างและกำลังขยายตัว

(2) ต้องมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างและใช้แล้วหมดไป

(3) ต้องมีศักย์ภาพในการขยายกิจการอย่างไม่มีขีดจำกัด





ข้อ 1. ต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่กว้างและกำลังขยายตัว

ทำไมต้องเป็นอุตสาหกรรมที่กว้างและกำลังขยายตัว เรามาพิจารณาเปรียบเทียบอุตสาหกรรมที่แคบก่อน เช่นอุตสาหกรรมแผ่นเสียง อุตสาหกรรมเพจเจอร์ ในปัจจุบันมีผู้ใช้น้อยลงเรื่อยๆ ผู้ที่ยังทำธุรกิจกับอุตสาหกรรมดังกล่าว จะต้องหากลยุทธ์ใหม่ๆในการทำธุรกิจ หากต้องการที่จะประกอบธุรกิจให้อยู่รอด สำหรับธุรกิจที่ขยายตัวช้า ได้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ส่วนอุตสาหกรรมที่กว้างและกำลังขยายตัวคือ

- อุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ต

- อุตสาหกรรมสื่อสารและไปรษณีย์

- อุตสาหกรรมโภชนาการและสุขภาพ

- อุตสาหกรรมทะนุถนอมความงามและเครื่องสำอาง

อุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ต เมื่อ 20 ปีที่แล้ว หลายบ้านไม่มีโทรทัศน์ ซึ่งบางบ้านมี บางบ้านไม่มี แต่ในปัจจุบันทุกบ้านมีโทรทัศน์ และมีหลายบ้านที่มีมากกว่า 1 เครื่อง ดังนั้น ธุรกิจที่เติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา คือการทำธุรกิจบนสื่อโทรทัศน์ เช่น ละคร เกมโชว์ วาไรตี้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้อย่างมหาศาล แก่ผู้ทำธุรกิจบนสื่อโทรทัศน์ แต่ในปัจจุบัน ผู้ประกอบกิจการสื่อนี้ ขาดทุนหลายราย เพราะจำนวนช่องในการนำเสนอมีน้อย เวลามีจำกัด มีการกีดกันจากนายทุน มีการแข่งขันสูง และเมื่อเรามามองทางด้านอุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันหลายบ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ หลายคนไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต หากเรามองไปในอีก 5 ปีข้างหน้า อีก 10 ปีข้างหน้า ทุกบ้านจะมีคอมพิวเตอร์ ทุกบ้านจะติดตั้งอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ที่ทำธุรกิจผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต จะทำรายได้อย่างมหาศาลในปัจจุบันและในอนาคต

อุตสาหกรรมสื่อสารและไปรษณีย์ เช่นโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์พกพา การติดต่อสื่อสาร และการตอบรับทางไปรษณีย์ หากธุรกิจใดไม่ครอบคลุมถึงหรือไม่ใช้ระบบการสื่อสารหรือการตอบรับทางไปรษณีย์ คุณจะไม่สามารถทำธุรกิจได้เลยหากไม่มีการติดต่อสื่อสาร ในปัจจุบันมีผู้จำหน่ายมือถือเพิ่มมากขึ้น บริษัทให้บริการก็เพิ่มขึ้นอย่างรวมเร็วเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าแสดงให้เห็นถึงอุตสาหกรรมการสื่อสารกำลังเติบโต อย่างไม่มีขีดจำกัด

ส่วนธุรกิจการตอบรับทางไปรษณีย์ คุณลองสังเกตตู้ไปรษณีย์ของคุณ ในเดือนหนึ่งๆ คุณได้รับจดหมายทางไปรษณีย์ เสนอขายสินค้าอะไรบ้าง ถึงแม้ว่าตัวคุณดูแล้วไม่สนใจ แต่ 1ใน 10 รายที่ได้รับสื่อดังกล่าว จะมีผู้สนใจและโทรกลับเพื่อสั่งซื้อสินค้าดังกล่าว นี่เป็นการทำการค้าอีกอย่างหนึ่งที่จะสามารถอยู่ได้ในอนาคต

อุตสาหกรรมโภชนาการและสุขภาพ รวมถึง อุตสาหกรรมทะนุถนอมความงามและเครื่องสำอาง ดูง่ายๆ ในโทรทัศน์ มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพมากมาย เช่นเครื่องออกกำลังกาย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องบำรุงผิวประทินผิว ลดรอยเหี่ยวย่น และเครื่องสำอางมากมาย ทำไมจึงมากเช่นนี้ ทำไมถึงสองอุตสาหกรรมนี้ จึงอยู่ในกลุ่มของตลาดที่กว้างและกำลังขยายตัว คุณเคยได้ยินคำว่า เบบี้บูมเมอร์ หรือไม่ เบบี้บูมเมอร์ คือกลุ่มคนกว่าพันล้านคนที่เกิดในเวลาใกล้เคียงกัน หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงชั้นประชากรของโลกได้ล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผลผลิตของทุกประเทศทั่วโลกต่ำลง และระบบเศรษฐกิจโลกถดถอย ทุกประเทศจึงต้องเร่งวางแผนเพิ่มประชากรในแต่ละประเทศโดยเร็วในช่วงระยะเวลาปี ค.ศ. 1946 ถึงปี ค.ศ. 1964 เบบี้บูมเมอร์กลุ่มนี้ปัจจุบันมีอายุอยู่ที่ 30-60 ปี มีฐานะการเงินที่มั่นคง มีเงินเก็บเพียงพอหลังเกษียณอายุ คราวนี้เรามามองถึงคนกลุ่มนี้ และบุตรหลานของคนกลุ่มนี้ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว ว่านอกจากเงินแล้วทุกคนต้องการอะไร กลุ่มคนเหล่านี้มีอายุมากขึ้น เริ่มชราภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงไปตามวัย ซึ่งตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีใครต้องการแก่ก่อนวัยอันควร ทุกคนจึงต้องการสุขภาพและรูปร่างที่ดีเหมือนเดิม ไม่ว่าจะต้องเสียเงินสักแค่ไหนก็ตาม ให้สังเกตว่าทำไมโรงพยาบาลเอกชน จึงเกิดขึ้นมากมากมายเหมือนดอกเห็ด รวมถึงสถานบริการต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะมีลูกค้ามากมายที่ใช้บริการ ดังนั้น สองอุตสาหกรรมสุดท้ายดังกล่าวคือ อุตสาหกรรมโภชนาการและสุขภาพ กับอุตสาหกรรมทะนุถนอมความงามและเครื่องสำอาง จึงเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ซึ่งจะเป็นตลาดที่กว้างและกำลังขยายตัวในอนาคต

ดังนั้น ประการแรกที่ต้องคำนึงถึงในระบบการทำธุรกิจในอนาคต จะต้องเป็นธุรกิจที่มีตลาดที่กว้างและกำลังขยายตัว ไม่มีขอบเขตในการทำธุรกิจ สามารถทำธุรกิจได้ทั่วไทย และสามารถทำธุรกิจที่ประเทศใดๆก็ได้ในโลก




ข้อ 2. ต้องมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง และใช้แล้วหมดไป

หากคุณมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่แตกต่างจากท้องตลาด เช่นคุณเป็นผู้จำหน่ายผงซักฟอก สบู่ ซึ่งในท้องตลาดก็มีขายแล้วใครที่จะมาซื้อสินค้าจากคุณ เพราะเขาสามารถซื้อได้จากร้านค้าทั่วไป แต่หากคุณมีสินค้าที่แตกต่างและไม่มีวางขายในท้องตลาด ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะอยู่ที่ไหนจังหวัดใดก็ตาม เขาก็ต้องติดต่อคุณและจะเป็นลูกค้าของคุณไปตลอด เพราะสินค้าไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาด ดังนั้นคุณไม่ต้องกลัวที่จะต้องแข่งขันทางด้านราคา ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดทุน และหากเป็นธุรกิจที่สามารถทำธุรกิจได้ทั่วโลก คือลูกค้าของคุณอยู่ที่ประเทศอะไรก็ตามที่บริษัทเปิดดำเนินการอยู่ คุณสามารถแจ้งทางบริษัทจัดส่งสินค้าให้แก่คุณได้ทันที

นอกจากผลิตภัณฑ์ต้องแตกต่างจากในท้องตลาดแล้ว จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วหมดไป เช่นหากคุณเป็นผู้จำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นรุ่นที่ล้ำหน้าที่สุดทันสมัยที่สุด เดือนแรกคุณมีลูกค้ามาสั่งซื้อสิบราย ในเดือนที่สองคุณจะต้องเหนื่อยในการหาลูกค้าใหม่เรื่อยๆ หากสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ ใช้แล้วหมดไป ในเดือนแรกคุณมีลูกค้าสิบราย ในเดือนที่สอง คุณมีลูกค้าใหม่อีกสิบราย อีกทั้งลูกค้าเก่าสั่งซื้อซ้ำ เป็นยี่สิบราย และถ้าในเดือนที่สาม คุณมีลูกค้าใหม่เพียงสามราย แต่ลูกค้าเก่ายี่สิบรายมีการสั่งซื้อซ้ำ จะเห็นว่า ถึงแม้คุณไม่มีเวลาไม่สามารถหาลูกค้าใหม่ๆได้ คุณก็จะมีลูกค้าเก่าสั่งซื้อซ้ำเรื่อยๆ คุณแค่ติดตามผลและบริการหลังการขายให้ดีในช่วงแรกๆ คุณไม่ต้องเหนื่อยในการหาลูกค้าใหม่เรื่อยๆ แต่หากว่าคุณมีเป้าหมายที่จะหาลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆเดือน คุณก็จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นทุกเดือนเช่นกัน

ดังนั้น ประการที่สองที่ต้องคำนึงถึงในการทำธุรกิจในอนาคต โดยใช้ระบบการทำงานจากที่บ้าน จะต้องเป็นสินค้าที่แตกต่าง ไม่มีการแข่งขันทางด้านราคา ไม่มีวางขายในท้องตลาด และจะต้องเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีการสั่งซื้อซ้ำเรื่อยๆของลูกค้าคนเดิม ไม่เหนื่อยในการหาลูกค้าใหม่ และหากเพิ่มลูกค้าเรื่อยๆ รายได้คุณก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย




ข้อ 3.ต้องมีศักยภาพในการขยายกิจการอย่างไม่มีขีดจำกัด

หากคุณมีสินค้าที่ติดตลาด มีการสั่งซื้อซ้ำมากมาย เมื่อคุณเพิ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รายได้ของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณคงเคยเห็น ร้านค้าที่มีสินค้าที่จำหน่ายดีมาก เช่นร้านอาหาร หากว่าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารนั้น ซึ่งขายดีมาก จึงได้ขยายกิจการไปสาขาที่สอง และทำให้สาขาที่สองทำการค้าได้แบบสาขาแรก รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว และเมื่อคุณเปิดสาขาที่สาม และทำให้สาขาที่สามทำการค้าได้แบบสาขาแรก จะเห็นได้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นสามเท่าตัว และหากว่าคุณขยายสาขาไปเรื่อยๆ จะสังเกตว่ารายได้คุณเพิ่มมากขึ้นจริง แต่ตัวคุณเองจะขาดอิสรภาพทางเวลา คุณก็จะเป็นข้าทาสของธุรกิจตนเอง จะเหนื่อยมากกว่าการเป็นลูกจ้างเสียอีก ไม่สามารถหยุดหรือพักได้ แต่หากคุณเปลี่ยนความคิดในการขยายกิจการในรูปแบบใหม่ คือหาผู้ร่วมธุรกิจ (ฟรานไซน์) คุณเป็นเพียงคนวางระบบคอยกำกับดูแลในเบื้องต้น และสอนผู้ที่สนใจร่วมธุรกิจกับคุณ ให้สามารถสร้างรายได้เป็น เมื่อคุณสอนตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงสอนเทคนิคต่างๆ ที่คุณรู้ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ร่วมธุรกิจของคุณมีรายได้อย่างมหาศาลเช่นเดียวกับคุณ คุณก็จะมีรายได้เช่นเดียวกัน เป็นรายได้จากค่าลิขสิทธิ์เพราะเขาซื้อลิขสิทธิ์จากคุณ

ธุรกิจแบบ ฟรานไซน์ ได้มีมานานกว่า 40 ปี เช่น McDonald’s, KFC, CALTEX, ESSO, AIA, IBM, SONY, 7-11, TOYOTA, FUJI, KODAK, MICROSOFT ฯลฯ รวมทั้งธุรกิจอื่นอีกมากมาย ที่ใช้ระบบการขยายกิจการแบบฟรานไซน์นี้ และทุกธุรกิจดังกล่าวได้ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจ อีกทั้งขยายกิจการไปทั่วโลก

ดังนั้น ประการที่สาม ที่ต้องคำนึงถึงในการทำธุรกิจในอนาคต ก็คือต้องมีศักยภาพในการขยายกิจการอย่างไม่มีขีดจำกัด แบบธุรกิจฟรานไซน์ ซึ่งเรามีหน้าที่สอนให้ผู้ร่วมธุรกิจ สามารถสร้างรายได้เช่นเดียวกับเรา สามารถทำเงินได้มากมายแบบเดียวกับเรา ทำให้คนมากมายก็อยากเข้ามาร่วมทำธุรกิจกับเรา ถึงแม้สาขาของเราจะหยุดในวันใด แต่สาขาอื่นที่เราขยายกิจการไป ที่ขายลิขสิทธิ์ไป ก็สามารถสร้างรายได้ ทำให้เราประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เรายอมสอนเทคนิค สอนการทำงานทุกอย่างที่เรารู้ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และยอมให้เขาใช้เครื่องหมายการค้าของเราในการทำธุรกิจ

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:37:04 น.
Counter : 4411 Pageviews.  

วงจรของธุรกิจในเชิงความคิดของเจ้าของกิจการ

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





ความคิดของเจ้าของกิจการนั้น ส่วนใหญ่เป็นวงรอบของความคิด เมื่ออยากตั้งกิจการก็เริ่มวางแผน วางโครงการ สร้างกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการไปได้

จากนั้น ก็ต้องพัฒนาให้ธุรกิจสามารถเจริญเติบโต จนแข็งแรง บางธุรกิจเริ่มจากไม่มีอะไร ก็ค่อยๆสร้างกันไป... หากสร้างธุรกิจแล้ว ก็ต้องพยายามหาทางลดความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเกิดกับธุรกิจ เพื่อจะได้รักษาให้ธุรกิจสามารถมีแนวทางที่ปลอดภัยได้ยาวนานที่สุด

เมื่อธุรกิจอยู่ได้ ก็ต้องอยากที่จะพัฒนาเพิ่มมากขี้น ซึ่งถ้าไม่พัฒนา ธุรกิจก็จะอยู่คงที่ หรือ ถอยหลังเพิ่มมากขึ้น เมื่อพัฒนาจะสามารถเป็นคู่แข่งกับเจ้าตลาดได้ ก็ต้องเริ่มมีการต่อสู้ เพื่อแย่งชิงตลาด ดังนั้น ก็จะเริ่มวางแผนและโครงการใหม่เพื่อสร้างให้เกิดการพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง...

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)





 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 13:38:19 น.
Counter : 2990 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.