"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics

แคคตัส

แคคตัส


ปัจจุบันนี้มีผู้นิยมปลูกเลี้ยงแคคตัสกันอย่างกว้างขวางมากยิ่ง เนื่องมาจากลักษณะทรงต้นของแคคตัสที่แตกต่างไปจากพืชอื่นๆ คือ รูปทรงแปลกตา น่ารัก มีหนามขึ้นโดยรอบต้น มีดอกสวยงาม สีสันของดอกสดใสดึงดูดสายตา ไม่ว่าจะเป็นดอกสีแดงสดของ Rebutia wessneriana หรือดอกสีขาวของ Obregonia denegrii หรือสีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีชมพู สีเขียว สีม่วง หรือสีส้ม รวมทั้งรูปทรงของดอกที่แตกต่างกันออกไป แคคตัสบางสกุล เช่น สกุล Mammillaria นั้นจะออกดอกเล็กๆ พร้อมกันทั้งต้นดูละลานตา หรือในสกุล Melocactus ที่จะออกดอกบริเวณที่เรียกว่า cephalium ซึ่งเป็นลักษณะที่พืชอื่นไม่มีทั้งรูปร่างลักษณะของต้น จะเรียงตัวของตุ่มหนาม สีสัน และรูปร่างของดอกแคคตัสนี้ คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้มีผู้นิยมปลูกเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุ


























แคคตัสมีรูปร่างแตกต่างกันไปมากมาย เช่น ทรงกลม ทรงกระบอก มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และที่ขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม ขนาดก็ต่างกัน ตั้งแต่ขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร สูงไม่เกิน 5 เซนติเมตร อย่างเช่นสกุล Lophophora จนถึงพวกที่มีลักษณะต้นสูงใหญ่กว่า 24 เมตร เช่น Pachycereus grandis


















คนส่วนใหญ่คิดว่าแคคตัสเป็นพืชที่ชอบขึ้นอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอากาศร้อนแห้งแล้งเช่นในทะเลทราย แต่ในความจริงแล้วแคคตัสสามารถเจริญเติบโตได้ในหลายพื้นที่ เช่น บริเวณชายฝั่งทะเล เช่นสกุล Pachycereus ที่ขึ้นอยู่แถบชายฝั่งทะเลในประเทศเม็กซิโก บริเวณทุ่งหญ้า ในป่าที่มีความชื้นสูง ที่ความสูงระดับน้ำทะเลไปจนถึงที่ซึ่งมีระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร อากาศหนาวเย็น อย่างเช่นทางตอนเหนือและตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ที่อากาศร้อนแห้งแล้ง เช่น ทะเลทราย บริเวณที่ราบ แม้แต่ตามซอกหินไหล่เขาซึ่งมีดินอุดมสมบูรณ์หรือเป็นหินแข็ง นอกจากนี้ยังพบว่ามีแคคตัสหลายชนิดที่เจริญเติบโตได้โดยอาศัยพืชอื่น เช่น แคคตัสพวก Ephithelantha bokei ที่เจริญเติบโตขึ้นจากเมล็ดโดยอาศัยร่มเงาและความชื้นจากพืชในกลุ่ม xerophyte พวก Selaginella lepidophylla (Resurrection Plant)




















จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้นย่อมแสดงว่า แคคตัสสามารถเจริญอยู่ได้ในทุกสภาพพื้นที่และสภาพอากาศของโลกเกือบทั่วไป ไม่จำกัดเฉพาะแถบทะเลทรายเท่านั้น อย่างไรก็ตามแคคตัสแต่ละพันธุ์ก็ย่อมเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ส่วนการปลูกเลี้ยงนั้น เมื่อมันเป็นพืชที่แข็วแรง ทนทานอย่างนี้ ก็ย่อมเลี้ยงง่าย ดูแลง่าย ไม่กวนใจเหมือนไม้ประดับบางพันธุ์ ที่ต้องทะนุทะนอมเป็นพิเศษ จึงเป็นที่นิยมของคนทั่วไปนั่นเอง

TraveLAround


ปล. ตอนนี้ผมเขียนบล็อกมาได้กว่า 630 เรื่องแล้ว ล้วนเป็นสาระน่ารู้ต่างๆ ท่านที่เข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group :
นานา สาระ๑๐๐๐

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับบ้านและการตกแต่ง รวมรวมแยกไว้ในหมวด Home Lover’s Corner สามารถคลิ๊กที่ ลิงค์ด้านบนได้เลยครับ

ข้อมูลจาก
//202.29.138.73/studentweb/cantus/index.html




 

Create Date : 13 กันยายน 2551    
Last Update : 13 กันยายน 2551 12:16:24 น.
Counter : 2701 Pageviews.  

งานดอกไม้ประจำปี ณ โรงแรมปาร์คนายเลิศ : 22nd. Flower show at Nai Lert Park


พาเที่ยวงานดอกไม้ประจำปี ณ โรงแรมปาร์คนายเลิศ
22nd. Flower show at Nai Lert Park

นำภาพสวยๆ มาฝากกันไปชุดหนึ่งแล้ว ยังไม่หมดครับ
ภาพสวยๆในงานมีมาก เลยคัดภาพชุดที่ 2 มาฝากอีกชุด
ให้ดูกันให้ชื่นใจไปเลย





































































































TraveLArounD




 

Create Date : 10 กันยายน 2551    
Last Update : 10 กันยายน 2551 15:30:12 น.
Counter : 2255 Pageviews.  

สวนดาดฟ้า : Roof garden

สวนดาดฟ้า : Roof garden


เมืองนอกอาคารบ้านเรือนเขาสร้างหลังคาแบนๆได้ เพราะภูมิอากาศที่ต่างกับบ้านเรา เมื่อเขาจะทำสวนบนหลังคาเขาก็ทำได้ แต่หลังคาบ้านเรามันไม่แบนเหมือนฝรั่ง ดังนั้นการทำสวนบนยอดตึกทั้งหลายก็เลยต้องใช้ดาดฟ้า หรือระเบียง ผมจึงเรียกสวนดาดฟ้า หรือสวนระเบียง อย่างที่ฝรั่งเขาเรียก Roof garden


ดาดฟ้านับเป็นพื้นที่อาคาร ที่ถูกละเลยมากที่สุด ในกทม.และเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ดาดฟ้าของตึกแถวจำนวนมาก ผมว่ากว่า 90 % ไม่ได้ใช้งาน ถ้าเราขึ้นไปบนตึกสูงๆขของกรุงเทพฯแล้วมองลงมา คงจะเห็นสภาพความรกร้างของดาดฟ้าตึกแถวได้เป็นอย่างดี อาคารอื่นๆนอกจากตึกแถว ก็คงมีไม่ถึง 10 % ของตึกแถว และน่าจะมีการใช้งานได้ดีกว่า หรือมากกว่า การที่ใช้เป็นที่ตากผ้า หรือเก็บขยะ ส่วนบ้านนั้น สมัยหนึ่งนิยมทำระเบียงหน้าบ้านกันมาก ออกแบบบ้านต้องขอระเบียงหน้าบ้าน แต่ก็ไม่ค่อยเห็นคนใช้งาน อย่างเก่งก็เอาไว้ตั้งเครื่องแอร์ เท่านั้น



















ก่อนอื่นผู้ที่ต้องการปลูกต้นไม้บนดาดฟ้าจะต้องทำก่อนคือ ตรวจสอบสภาพอาคารของท่าน ว่าอาคารนั้นมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักหรือไม่ เพราะโดยปกติการปลูก ต้นไม้บนตึกสูง พื้นโครงสร้างจะต้องมีความสามารถในการรับน้ำหนักมากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัม/ตารางเมตร หรือหนักเป็นตัน แต่อาคารสูงส่วนใหญ่ในพื้นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่สำนักงาน โดยเฉพาะตึกแถว วิศวกรหรือผู้รับเหมา จะออกแบบไว้ให้รับน้ำหนักได้เพียงแค่ ๓๐๐ กิโลกรัม /ตารางเมตร เท่านั้น ดังนั้นสำหรับอาคารเก่า และตึกแถวทั่วไป ผมจะแนะนำให้จัดสวนกระถางเท่านั้น เพราะน้ำหนักจะไม่มาก แต่ถ้าออกแบบสร้างใหม่ ก็ควรจะให้วิศวกรเขาคำนวณโครงสร้างเผื่อไว้เลย และรูปแบบที่นำมาให้ดูเป็นตัวอย่างนั้น ก็จะเป็นการจัดแบบไม่ใช้สิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เราพอจะนำมาดัดแปลงดาดฟ้า หรือระเบียงของเรา ให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น


สวนแบบก่อกระบะ จะมีขนาดใหญ่ และน้ำหนักมาก ถ้าอาคารไม่ได้ออกแบบไว้ก่อน จะไม่ควรทำ





















การปรับปรุงระบบเพื่อรองรับสวนดาดฟ้า
การปลูกต้นไม้บนอาคารต่างๆ ต้องระลึกไว้เสมอว่าต้นไม้ทุกชนิด ต้องการน้ำ และการบำรุงรักษา ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ

1.เตรียมแหล่งน้ำที่จะใช้รดต้นไม้ ต้องต่อท่อเตรียมก๊อกน้ำ เอาไว้รดน้ำเพื่อความสะดวก ถ้าเป็นไปได้ การเก็บกักน้ำจากน้ำฝนไว้ใช้ได้จะยิ่งดี เพราะดาดฟ้ารับน้ำฝนได้โดยตรง ถ้าปล่อยทิ้งไปเสียก็จะเสียของไปเปล่าๆ

2.เมื่อเรารดน้ำแล้ว น้ำที่ไหลออกจากกระถางต้นไม้ หรือกระบะจะไปทางไหน หากน้ำไม่มีทางออก รากก็จะเน่าตาย จึงต้องเตรียมระบบระบายน้ำไว้ให้ดี ซึ่งจะไม่เหมือน การระบายน้ำทั่วไป เพราะการรดน้ำต้นไม้ จะมีเศษดิน ทราย ตามออกมาด้วย หากน้ำออกไปลงท่อระบายทั่วไป ที่ไม่ได้กันหรือเตรียมการไว้ เพื่อกันเศษดิน ท่อก็จะตัน (แล้วน้ำก็จะท่วม)

3.โครงสร้างที่รองรับต้นไม้ เช่นระแนงไม้เลื้อย เป็นทางออกอย่างหนึ่ง ในกรณีที่เราต้องการร่มเงาของต้นไม้มากขึ้น ที่ต้นไม้กระถางมีไม่พอ โครงสร้างระแนงนี้สามารถต่อเติมได้ โดยวางบนตำแหน่งเสาคานเดิม ก็จะไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำหนักพื้นที่ต้องรองรับกระถางต้นไม้

4.ระบบพื้นถ้าโครงสร้างแข็งแรงพอ ควรจะปู roof slab เป็นคล้ายกระเบื้องปูพื้น แต่มีขาหนุนกระเบื้องให้ลอยจากพื้น จะทำให้พื้นมีการระบายน้ำได้ดี และช่วยลดอุณหภูมิของห้องด้านล่าง ได้ดีอีกด้วย เป็นของแถม เพราะปกติห้องชั้นบนสุดจะร้อนระอุมากจากแสงแดด เมื่อปูพื้นนี้แล้ว จะเย็นโดยอัตโนมัติเลย




การทำร้านไม้เลื้อย ถึงจะมีน้ำหนักมาก พอกับกระบะ แต่เราจะทำให้ตรงกับโครงสร้าง คือเสา-คาน น้ำหนักของมันก็จะถ่ายลงสู่อาคาร ทำให้รับน้ำหนักได้มากกว่าแบบกระบะ ที่น้ำหนักจะถ่ายลงพื้น






















เมื่อเตรียมเรื่องระบบต่างๆพร้อมแล้ว เราก็มาเลือกวิธีการปลูกต้นไม้ และการบำรุงรักษา ว่าต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
1.ดาดฟ้าควรใช้ไม้กระถางมากกว่าทำกระบะต้นไม้ เพราะนอกจากจะมีน้ำหนักมากแล้ว กระบะต้นไม้จะต้องมีความชื้น หากกระบะต้นไม้ ใช้ผนังเดียวกับผนังห้อง ความชื้นก็จะซึมผ่านผนัง ไปทำให้ผนังอีกด้านชื้น เกิดราหรือสีลอก ดังนั้น ถ้าจะใช้กระบะต้นไม้ ควรทำแยกผนังออกจากผนังห้อง และใส่น้ำยากันซึมในปูนฉาบ ฉาบด้านในกระบะ ส่วนเรื่องการปลูกไม้กระถาง ตามอ่านในเรื่อง การปลูกไม้กระถางต่อไปนะครับ

2.ในการบำรุงรักษา หากต้นไม้ตาย หรือต้องการเปลี่ยนต้นไม้ ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับทำงาน ในแง่ความปลอดภัย อย่าวางกระบะต้นไม้ หรือกระถางที่ต้องเอื้อมตัวออกนอกตึกมากนัก หรือต้องใช้บันไดพาดไปทำงาน (บนตึกสูงๆ) เพราะอาจพลาดพลั้งได้

3.การปลูกต้นไม้บนตึกสูง จะต้องคิดถึงเรื่องลมที่จะพัดแรงกว่าบนพื้นดิน ทำให้ต้นไม้ของท่านหักโค่นหรือล้ม (และอาจจะหล่นลงมาข้างล่างทำอันตรายผู้อื่น) การใช้กระถางควรต้องเลือกขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากหน่อย เพื่อถ่วงแรงลม
ส่วนการขนต้นไม้หรือดิน ปุ๋ย ในครั้งแรก ก็คงต้องเหนื่อยเป็นพิเศษ แต่เมื่อจัดเสร็จครั้งแรกแล้ว การบำรุงรักษาก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก



สวนแบบกระถาง เป็นแบบที่ง่าย และปัญหาน้อยที่สุด

























สุดท้ายการเลือกต้นไม้ สำหรับสวนดาดฟ้า อาจจะใช้หลักคิด เช่นการจัดสวนได้เช่น ความต้องการด้านการใช้ประโยชน์ เช่น สวนดอกไม้ประดับ สวนครัว สวนสมุนไพร ฯลฯ เมื่อรู้ความต้องการแล้ว เราจึงมาเลือกชนิดของพืชที่เหมาะสม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเช่น
1.เลือกต้นไม้ที่อยู่แดด หรือทนทานสภาวะอากาศได้ดี เพราะบนดาดฟ้าจะมีความร้อนมาก ความชื้นน้อย เพราะไม่มีความชื้น เย็น จากดินหรือสนาม
2.ต้นไม้ที่มีใบแข็งหนาหน่อย เพราะต้นไม้ที่มีใบเล็กๆ หรือกิ่งอ่อนๆ จะรับแรงลมไม่ได้ และไม่ค่อยเป็นรูปทรง ต้นไม้จะโทรมเร็ว พวกปาล์ม หรืออย่างเฟื่องฟ้า จะเหมาะมาก พวกไม้เลื้อยก็ต้องดูตามหลักการนี้เช่นกัน

ส่วนเรื่องความสวยงาม ก็ต้องอาศัย “หัว” หรือความสามารถเฉพาะตัว โดยอาศัยดูจากภาพงานตกแต่งต่างๆ มาดัดแปลงเอา จัดไปจัดมา เดี๋ยวก็สวยได้เองละครับ

TraveLAround


หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ปล. ตอนนี้ผมเขียนบล็อกมาได้กว่า 610 เรื่องแล้ว ล้วนเป็นสาระน่ารู้ต่างๆ ท่านที่เข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group :
นานา สาระ๑๐๐๐

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับบ้านและการตกแต่ง รวมรวมแยกไว้ในหมวด Home Lover’s Corner สามารถคลิ๊กที่ ลิงค์ด้านบนได้เลยครับ

เรียบเรียงจาก
//www.roof-gardens.com/




 

Create Date : 06 กันยายน 2551    
Last Update : 13 กันยายน 2551 0:22:30 น.
Counter : 7892 Pageviews.  

วิธีการปลูกไม้กระถาง และการบำรุงรักษา

วิธีการปลูกไม้กระถาง และการบำรุงรักษา

ขั้นตอนนี้ เป็นรายละเอียดของการลงกระถางต้นไม้ ตอนที่เราซื้อมา อาจเป็นถุงมา หรือกระถางเดิมเล็กไป ต้องมีการเปลี่ยนย้าย เราก็ต้องออกแรง อีกสักหน่อย จึงจะได้ไม้กระถางสวยตามต้องการ แต่นอกจากความสวยงามแล้ว เรายังต้องรู้จักต้นไม้ของเราอย่างดีด้วย ว่าเขาชอบดินอะไร เมื่อซื้อกระถางใหม่ ก็จะต้องจัดซื้อดินมาเตรียมพร้อมไว้เลย

ดินหรือเครื่องปลูก
ในธรรมชาตินั้น ต้นไม้เจริญเติบโตหรือขึ้นได้ในพื้นที่ ที่มีความเหมาะสมของพรรณพืชแต่ละชนิด แต่การปลูกเลี้ยงไม้กระถาง เป็นการกำหนดให้ต้นไม้ต้องอยู่ในที่ที่จำกัด ในภาชนะปลูกหรือกระถางของเรา ดินหรือเครื่องปลูกจึงมีความจำเป็น ต้องมีคุณสมบัติในการยึดลำต้น การอุ้มน้ำ การถ่ายเทอากาศ และง่ายในการที่รากจะไชชอนได้สะดวก การปลูกพืชในกระถาง รากพืชจะถูกจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะภายในกระถางเท่านั้น แต่มันก็ไม่วายที่จะยาวและชอนไชลงไปหาดินจนได้ เราก็ต้องคอยดูหรือสังเกตุ คาวมเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย

ดังนั้นเพื่อให้พืชเจริญเติบโตตามความประสงค์ของเรา ดินหรือวัสดุปลูก ควรมีความอุดมสมบูรณ์ มีคุณภาพดี โดยมีคุณสมบัติทั่วไปดังนี้ (ส่วนที่ไม่ทั่วไปต้องเปลี่ยนแปลงสูตรไปตามพืชที่ต้องการเลี้ยงเป็นพิเศษ เช่นพวกบอนไซ พวกตะบองเพชร ฯลฯ)
1.ดินร่วนโปร่ง น้ำหนักเบา ระบายน้ำได้ดี ถ่ายเทอากาศได้ทั่วถึง ดูดซับน้ำได้ดี
2.มีธาตุอาหาร หรือปุ๋ยที่พืชต้องการอย่างสมบูรณ์
3.ไม่มีความเป็นกรด เป็นด่างมากเกินไป
4.มีความแน่นพอที่จะยึดให้ลำต้นทรงตัวอยู่ได้
5.ไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อรากพืช

เนื่องจากดินปลูกไม้กระถางอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด ดินปลูกจึงควรมีลักษณะร่วน โปร่ง อุ้มน้ำ หรือเก็บความชื้นได้ดี สามารถระบายน้ำ และถ่ายเทอากาศได้ดี ดินทั่วไปมีคุณสมบัติทางเคมี และทางกายภาพที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะสมเป็นเครื่องปลูกไม้กระถางจึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพโดยมีวัสดุอื่นๆ เป็นส่วนผสมดังนี้
1.อินทรีวัตถุ ประกอบด้วย เศษซากใบไม้ผุ เปลือกไม้แห้ง แกลบ ขุยมะพร้าว กาบมะพร้าวสับ ฟางข้าว และเปลือกถั่ว เป็นต้น
2.ปุ๋ยคอก ประกอบด้วย ขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู ขี้ไก่ และขี้ค้างคาว เป็นต้น
3.ทราย อิฐป่น และถ่านป่น
วัสดุดังกล่าวเมื่อนำมาผสมกับดินธรรมชาติแล้ว จะมีคุณสมบัติร่วน โปร่ง มีน้ำหนักเบา อินทรีวัตถุ นอกจากจะช่วยปรับสภาพเนื้อดินให้ดีขึ้นแล้ว ยังพบว่ามีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของไม้กระถาง คือเป็นปุ๋ยโดยตรงกับพืช แต่อาจจะไม่มากเหมือนปุ๋ยเคมีก็ตาม
ดินปลูกที่ดีสำหรับไม้กระถางต้องคงทน มีอายุการใช้งานได้นาน ไม่สลายหรือยุบตัวเร็ว ดินปลูกที่มีส่วนผสมของเปลือกถั่ว แกลบ เปลือกไม้แห้ง กาบมะพร้าว จะอยู่ได้นานกว่าดินที่มีส่วนผสมใบไม้ผุ ฟางข้าว หรือ หญ้าแห้ง





ตัวอย่างส่วนผสมของดินปลูกไม้กระถาง
ส่วนผสมดินปลูกไม้กระถางทั่วไป
สูตรที่ 1 : ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย 2 ส่วน
อินทรีวัตถุ 1 ส่วน
ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
สูตรที่ 2 : ดินร่วน 1 ส่วน
ทรายหยาบ 1 ส่วน
ใบไม้ผุ 1 ส่วน
ถ่านป่น 1/4 ส่วน
สูตรที่ 3 : ดินร่วน 1 ส่วน
ทรายหยาบ 1 ส่วน
ใบไม้ผุ 1 ส่วน
ปุ๋ยคอก 1/4 ส่วน

ในกรณีที่ดินเป็นดินเหนียวควรใช้ส่วนผสมดังนี้
สูตรที่ 4 : ดินเหนียว 2 ส่วน
ขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน
ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
เปลือกถั่ว 1 ส่วน
ในกรณีดินที่มีความเป็นกรดสูง เช่น ดินนา ดินเหนียวในร่องน้ำนิ่ง ต้องใช้ปูนเป็นส่วนผสม เช่น ปูนดิบ หรือปูนสุก (ปูนขาว) ปูนจากเปลือกหอยเผาเป็นส่วนผสม อัตราส่วนของปูนครึ่งกิโลกรัมต่อส่วนผสมดินปลูก 10 ปีบ

ซึ่งในปัจจุบัน ดินปลูกต้นไม้ จะมีขายตามสูตรต่างๆอยู่แล้ว เราสามารถหาซื้อได้ โดยไม่ต้องมานั่งผสมเอง แต่ควรเลือกดูส่วนผสม ให้ตรงกับต้นไม้ที่เราจะปลูก


ขนาดและจำนวนของต้นไม้ ที่จะปลูก
การปลูกไม้กระถางนั้น เราต้องคำนึงถึงความสมดุลของ ขนาดของต้นไม้ และกระถาง ควรให้เหมาะสมกัน ถ้าต้นไม้ยังเล็กอยู่ก็ใช้กระถางเล็กไปก่อน พอต้นไม้โตพอที่จะเปลี่ยนกระถางจึงเปลี่ยนกระถาง ตามขนาดของต้นไม้ เนื่องจากการปลูกไม้กระถางเป็นไม้ประดับนั้นต้องการความสวยงามเป็นหลักอยู่แล้ว

ควรปลูกต้นไม้ต้นเดียวในหนึ่งกระถาง เพื่อให้ไม้ในกระถางโตเร็ว ไม่ว่าจะใช้ต้นไม้เป็นทรงพุ่ม แตกกิ่งก้านแผ่มาก ก็ควรปลูกต้นเดียวในหนึ่งกระถางเช่นกัน ส่วนต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านน้อยทรงสูง แต่ถ้าเราต้องการให้เป็นพุ่มเพื่อความสวยงาม ก็จะปลูกลงหลายต้นในหนึ่งกระถางก็ได้ จำนวนต้นจึงแล้วแต่ความเหมาะสม ระหว่างต้นไม้กับขนาดของกระถาง ถ้าต้นไม้เป็นไม้ทรงสูงมีลำต้นเดี่ยวตั้งตรงแล้วแตกพุ่มตอนบน ก็ต้องปลูกลงต้นเดียวในหนึ่งกระถาง

วิธีการปลูก
เมื่อเลือกกระถางตามความเหมาะสมกับต้นไม้ที่จะปลูกแล้ว เราเริ่มปลูกตามขั้นตอนดังนี้
1.เอาเศษอิฐ หรือเศษกระถางแตก อุดที่รูระบายน้ำที่ก้นกระถางเสียก่อน ถ้าจะให้ดีต้องโรยทับด้วยกรวด อิฐมอญทุบ หรือถ่านอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ได้ เพื่อให้ก้นกระถางโปร่ง และระบายน้ำได้ดี
2.จากนั้นเอาดินหรือเครื่องปลูกที่เตรียมไว้ใส่กระถาง และทำมูลดินเป็นยอดแหลมเท่ากับความลึกของดินที่ปลูก
3.ก่อนปลูกหากไม้มีรากมากเกินไปควรตัดรากเก่าออกบ้าง เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างระบบรากใหม่ที่แข็งแรง และแตกแขนงได้มากขึ้น
4.วางโคนต้นไม้ลงบนยอดแหลมของมูลดิน และจัดระบบรากให้แผ่ออก รอบด้าน และทิ้งตัวลงตามแนวลาดของมูลดิน
5.เติมดินรอบๆโคนต้น เพียงเล็กน้อยก่อน แล้วกดดินบริเวณรอบๆโคนต้นเบาๆ เป็นการไล่โพรงอากาศ และเพื่อให้ดินสัมผัสรากพืชได้กระชับขึ้น
จากนั้นเติมดินและกดเบาๆ จนเกือบเต็มกระถาง ให้ระดับดินอยู่ต่ำกว่าขอบกระถางพอประมาณ พยายามอย่าเติมดินจนเต็มหรือพูนกระถางจนเกินไป เพราะเวลารดน้ำจะทำให้น้ำไหลออกนอกกระถาง แทนที่จะซึมลงกระถาง และเลอะเทอะพื้น แต่ถ้าเติมดินน้อยเกินไป ก็จะทำให้ดินยุบตัวจนเกิดรากลอย หรือทำให้บริเวณโคนต้นชื้นเกินไป เป็นสาเหตุให้เกิดโรคราได้ง่ายขึ้น

การให้น้ำ
การให้น้ำต้นไม้ที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งสำคัญในการปลูก เพราะการให้น้ำมากเกินไป น้อยเกินไป หรือให้น้ำไม่ถูก วิธีเหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชทั้งสิ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ ชนิดของพรรณพืช สภาพของดิน หรือเครื่องปลูก และสภาพแวดล้อม เช่น ในร่ม กลางแจ้ง มีลมพัดผ่านหรือไม่ อุณหภูมิ และฤดูกาล เป็นต้น
ถ้าพืชได้รับน้ำน้อยเกินไป จะทำให้ใบเหี่ยว เนื่องจากน้ำในดินมีไม่พอให้รากดูดไปเลี้ยงลำต้น ช่วงเวลาใกล้เที่ยงถึงบ่าย 3 โมงเย็น เป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดพืชจะคายน้ำมาก เมื่อคายน้ำมากแล้วรากต้องดูดน้ำมาชดเชยให้กับใบที่เสียน้ำไปกับอากาศ ถ้าชดเชยไม่ทันก็จะทำให้ใบเหี่ยว การปลูกต้นไม้ เราอย่าคิดว่ามันพูดไม่ได้ เอาใจลำบาก อย่างใบเหี่ยวนี่ ก็เป็นการบอกของมันอย่างหนึ่งเลย มันฟ้องว่า เราลืมรดน้ำอีกแล้ว หรือรดน้ำน้อยไป ไม่เพียงพอ
แต่ถ้าน้ำมากจนเต็มช่องว่างทั้งหมดของดิน และไล่อากาศออกทำให้ดินอิ่มตัวจนเกิดน้ำขัง ก็จะไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช เพราะจะทำให้พืชขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการหายใจของราก ถ้าดินมีน้ำขังเพียง 2–3 วัน พืชจะมีอาการเหี่ยวทั้งๆ ที่ไม่ขาดน้ำ พืชบางชนิดอาจตายได้ แต่ในทางกลับกันถ้าพืชได้รับน้ำน้อยเกินไป ต้นก็เหี่ยวเหมือนกัน
วิธีการให้น้ำไม้กระถาง
1.ควรรดน้ำที่โคนต้น อย่าใช้วิธีฉีดทั้งใบ เพราะจะทำให้พุ่มและใบกระจายล้มได้ และทำให้น้ำกระจายออกนอกกระถาง ทำให้น้ำไม่ถึงระดับราก
2.ถ้าดินแห้งหดตัวหนีขอบกระถาง ทำให้น้ำไหลลงรูที่ก้นกระถางหมด และไม่ชุ่มถึงระดับราก ควรพรวนดินให้ฟูก่อน แล้วค่อยรดน้ำให้ชุ่ม
3.ควรใช้น้ำที่ไม่แรง รดช้าๆ จนชุ่ม ไม่ควรฉีดน้ำแรงมาก เพราะจะทำให้น้ำชะหน้าดินออกจากกระถาง ทำให้รากลอยและแห้งได้

การรดน้ำที่ดีควรรดน้ำแล้วปล่อยให้ใบแห้งก่อนค่ำ เพื่อป้องกันการเกิดโรคในขณะที่ใบพืชชื้น ควรพิจารณาตามฤดูกาล และความชื้นของดิน

ไม้กระถางในร่ม ต้องการแสงน้อย เนื่องจากการคายน้ำ การหายใจ การดูดธาตุอาหารของมัน น้อยกว่าไม้กลางแจ้ง การให้น้ำต้องสังเกตความต้องการน้ำของพืชด้วย เช่น สัมผัสดินปลูก ความสดใสของใบ ในขณะที่อากาศแห้ง ถ้าอากาศชื้น-เย็น ควรให้น้ำวันเว้นวัน หรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ไม้กระถางที่มีใบใหญ่ จำนวนใบมาก ใบและต้นมีลักษณะอวบน้ำ จะต้องการน้ำมากกว่าไม้ใบเล็ก หรือจำนวนใบน้อย ความต้องการน้ำแตกต่างกันตามชนิดของพรรณไม้ ไม้กระถางอายุยืน พุ่มใหญ่ ระบบรากสมบูรณ์ จะต้องการน้ำ มากกว่าไม้กระถางขนาดเล็ก อายุน้อย หรือระบบรากยังไม่เจริญเต็มที่ และความชื้นของดินมีผลมาจากส่วนผสมของดินปลูกที่แตกต่างกัน ดินที่มีส่วนผสมของอินทรีวัตถุ ปุ๋ยคอกและวัสดุอื่น เช่น อิฐมอญทุบ หรือทราย จะอุ้มน้ำได้ดีกว่าดินร่วนธรรมดา ดินเหนียวระบายน้ำและอากาศได้ไม่ดี ดินแน่นแข็งตัวง่าย ทำให้ระบบรากเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ชนิดของพรรณไม้ที่ต่างกันความต้องการน้ำมากน้อยก็แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นจึงมีข้อสังเกตบางประการที่พอจะบอกให้ทราบเกี่ยวกับการให้น้ำแก่พืช โดยดูจากสิ่งต่างๆ ดังนี้
1.คุ้ยผิวดินในระดับความความลึกประมาณครึ่งนิ้ว หากดินแห้งก็ควรให้น้ำได้แล้ว
2.สังเกตดูจากสีของผิวดินหน้ากระถาง ถ้าสีของดินจางลงมาก หน้าดินดูแห้งก็ควรให้น้ำได้แล้ว แต่ถ้าสีของดินยังค่อนข้างทึบแสดงว่าดินยังมีความชื้นอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำขณะนั้น
3.ดินในกระถางเริ่มหดตัว แยกออกจากขอบกระถางแสดงว่าดินแห้ง แต่ลักษณะนี้จะเห็นได้ชัดว่าเครื่องปลูกนี้มีส่วนผสมของดินเหนียวอยู่มาก วิธีแก้จึงควรพรวนดินให้ฟูก่อนรดน้ำ เพื่อให้ดินโปร่งและซับน้ำได้ดีขึ้น

สภาพแวดล้อม
เราควรศึกษาและสังเกตนิสัยความต้องการน้ำของพืชด้วย เพราะแต่ละสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นพืชชนิดเดียวกัน ก็อาจจะต้องการที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับ แสง อุณหภูมิ ความชื้นและลม สิ่งเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการให้น้ำด้วย เพราะมีส่วนทำให้พืชสูญเสียน้ำจากต้น ด้วยการคายน้ำ กับระเหยไปจากเครื่องปลูกด้วยเช่นกัน

การให้ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ยให้แก่ไม้กระถาง ควรพิจารณาถึงความอุดมสมบูรณ์ของเครื่องปลูกเป็นหลัก เครื่องปลูกที่มีดินร่วน ใบไม้ผุ และปุ๋ยคอกผสมอยู่ในปริมาณมาก อาจไม่ต้องให้ปุ๋ยเพิ่ม หรืออาจให้บ้างในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนเครื่องปลูกที่มีใบไม้ผุ และปุ๋ยคอกผสมอยู่ในปริมาณน้อย หรือไม่มีเลยก็ควรใส่ปุ๋ยเพิ่มให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช

โดยทั่วไปการใส่ปุ๋ยให้แก่ไม้ประดับกระถาง มักใช้ปุ๋ยไนโตรเจน เช่น ยูเรีย (46-0-0) ช่วยเร่งการเจริญเติบโต โดยใส่หลังจากปลูกประมาณ 3–7 วัน และครั้งต่อไปใส่สัปดาห์ละครั้ง เพื่อเร่งให้ต้นไม้สร้างใบ แตกยอด กิ่งก้านได้ดีขึ้น เมื่อให้ปุ๋ยทุกครั้ง ควรรดน้ำตามเสมอเพราะน้ำจะเป็นตัวละลายให้พืชดูดน้ำไปใช้ได้สะดวก วิธีให้ปุ๋ยยูเรีย อาจจะใช้วิธีหว่านแล้วรดน้ำตามไป หรือละลายปุ๋ยในน้ำแล้วรดก็ได้

การให้ปุ๋ยไม้กระถางประดับในอาคาร ควรใส่ปุ๋ยเพียงเล็กน้อย ไม่ควรใส่มากเหมือนไม้กลางแจ้ง เนื่องจากภายในอาคารไม่เหมือนกับสภาพธรรมชาติปกติ จะทำให้พืชยืดลำต้นเร็ว และอ่อนแอไม่ทนต่อโรคแมลง ช่วงการใส่ปุ๋ย ควรใส่ระยะที่นำไม้ออกมาพักฟื้นภายนอกอาคาร (ดูจากสภาพของต้นไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางลบ เช่นเหี่ยว โทรม) ปุ๋ยที่ใช้อาจเป็นปุ๋ยเม็ดสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 โดยใส่ทางดิน ร่วมกับการใช้ปุ๋ยน้ำสูตรไนโตรเจนสูง เช่น 21-13-13 เสริมไปด้วยโดยการฉีดพ่นทางใบสัปดาห์ละครั้ง เมื่อเห็นว่าต้นไม้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ควรงดปุ๋ยทางใบให้เฉพาะปุ๋ยเม็ดทางดินอย่างเดียว โดยให้ปุ๋ยเคมีทุกๆ 3 เดือน ครั้งละ 1–2 ช้อนชาสำหรับไม้กระถางขนาด 8–12 นิ้ว โดยโรยรอบๆ กระถาง หรือฝังกลบ 2–3 จุด ชิดขอบกระถางปลูก แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ไม้กระถางในร่ม ควรให้ปุ๋ยเคมีได้ในช่วงระยะเวลาที่พักไม้หลังจากใช้งานแล้ว ไม่ควรให้ปุ๋ยในระหว่างการตั้งประดับหรือระหว่างการใช้งาน

การดูแลรักษาโดยทั่วไป
การปลูกเลี้ยงไม้กระถาง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปฏิบัติดูแลรักษาอย่างดี และสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้ไม้กระถางมีอายุยืน และคงความสวยงามไว้ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนกระถาง หรือต้นไม้บ่อยครั้ง การดูแลรักษาโดยทั่วไปจึงควรคำนึงถึงความสำคัญดังต่อไปนี้
1.ไม่ควรตั้งไม้กระถางในที่ที่มีลมแรงมาก หรือตั้งใกล้ที่มีไอร้อนมาก เช่น อยู่ใกล้เครื่องแอร์(คอนเดนเซอร์) ไม้กระถางส่วนมากไม่ชอบให้ลมพัดโกรกมาก หรืออุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้พืชมีการระเหยน้ำมากจนต้นไม้นั้นเหี่ยวเฉาตายได้ โดยเฉพาะการใช้ไฟส่องแสงสว่างแรงๆ และใกล้ต้นไม้เกินไป ทำให้ต้นไม้ทนความร้อนไม่ไหวทำให้เหี่ยวเฉาตายได้ในที่สุด
2.การนำไม้กระถางไปใช้งานหรือประดับในห้องต่างๆ ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาการใช้งานของไม้แต่ละกลุ่มด้วย เช่น ไม้กลางแจ้งจำพวกหมากเหลือง ไทร ไผ่ วาสนา หากนำไปใช้ประดับในร่ม หรือในอาคาร จะมีช่วงเวลาของการใช้งาน 6-8 สัปดาห์ ก็ควรสับเปลี่ยนไม้ชุดใหม่เข้าแทน เพื่อจะได้พักฟื้นไม้ประดับชุดเก่า
3.ส่วนไม้ในร่มหรือกึ่งร่ม เช่น โมก คล้า อะโกลนีมา เปปเปอโรเมีย ฟิโลเดนดรอน พลูด่าง เฟิร์น รวมทั้งกลุ่มไม้ดอก เช่น กล็อกซีเนีย กล้วยไม้ อาฟริกันไวโอเลท จะอยู่ได้นานกว่า เพราะไม้กลุ่มนี้ต้องการแสงจำกัดอยู่แล้ว อายุการใช้งานอาจจะถึง 8–10 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานของไม้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ถ้ายิ่งใช้งานช่วงเวลาสั้นจะดีกว่า เพราะไม่ทำให้ต้นไม้โทรมหรือช้ำมาก ไม้จะฟื้นตัวเร็วและคงความสวยงามได้นาน ดังนั้นสำหรับไม้ประดับในร่มแล้ว จึงควรเตรียมไม้ประดับไว้หลายชุด เพื่อใช้สับเปลี่ยน
4.ไม้กระถางที่ใช้ประดับนอกอาคารนั้น สำคัญที่สุดก็คือการให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำแล้วจะเหี่ยวเฉา จึงควรมีจานรองก้นกระถางหล่อน้ำเอาไว้ จะช่วยได้มาก
5.การดูแลทำความสะอาดใบ ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะใบที่สะอาดคือใบที่แข็งแรง การล้างใบเป็นการล้างเอาฝุ่นละอองออกจากใบ นอกจากจะทำให้ใบสะอาดสวยงามแล้ว ยังทำให้พืชสามารถปรุงอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย วิธีล้างใบควรใช้น้ำสบู่อ่อนๆ จะไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อใบ ไม่ควรใช้ผงหรือน้ำยาซักฟอกประเภทกัดรุนแรงโดยเด็ดขาด
6.ส่วนโรคที่พบอยู่เสมอได้แก่โรคโคนเน่า มักเกิดกับพืชในระยะที่เป็นต้นกล้ายังตั้งตัวไม่ได้ แสดงอาการใบเหี่ยว เมื่อดูที่โคนต้นระดับผิวดินจะพบรอยเน่า และต้นล้มตายในที่สุด การป้องกันให้พยายามทำให้บริเวณโคนต้นโปร่ง มีการระบายอากาศดี มีแสงแดดส่องถึง และรักษาผิวหน้าดินปลูกอย่าให้ชื้นแฉะเกินไป

การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
การกำจัดแมลงศัตรูพืช
การป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช เป็นความจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการดูแลรักษาไม้กระถาง เพราะแมลงเป็นศัตรูต่อการเจริญเติบโตของพืช ที่พบมากมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.แมลงประเภทปากกัด ได้แก่ ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อ ด้วง ฯลฯ ทำลายโดยกัดกินใบ ทำให้ต้นไม้ไม้สามารถปรุงอาหารได้ และชะงักการเจริญเติบโต แมลงปากกัดบางชนิดกัดแทะเข้าไปถึงกิ่งก้านหรือลำต้น ทำให้ท่อน้ำท่ออาหารของต้นไม้เสียหาย ถ้าถูกทำลายมากต้นไม้จะเหี่ยวและตายในที่สุด วิธีกำจัดโดยการใช้ยาประเภทถูกตัวตายหรือกินตายฉีดพ่น หากพบจำนวนไม่มากให้จับทำลาย
2.แมลงประเภทดูดน้ำเลี้ยง ได้แก่ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจั๊กจั่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน แมงมุมแดง เพลี้ยหอย ฯลฯ ทำลายโดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบ แมลงปากดูดบางชนิดยังปล่อยสารพิษให้ต้นไม้ใบสีซีดเหี่ยวแห้ง ใบร่วงก่อนกำหนด ชะงักการเจริญเติบโต และแห้งตายในที่สุด วิธีกำจัดโดยการฉีดยาประเภทถูกตัวตาย

ข้อควรระวัง
เนื่องจากการปลูกไม้กระถางประดับเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับคน หากสามารถหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้มากเท่าไรหรือไม่ใช้เลยยิ่งดี โดยเฉพาะไม้กระถางที่ใช้ประดับในอาคารบ้านเรือน หากจำเป็นต้องใช้ยากำจัดแมลงควรกระทำอยู่ภายนอกอาคารและหลีกเลี่ยงยาที่มีอันตรายมากๆ มีฤทธิ์ตกค้างนานและมีกลิ่นรุนแรง ก่อนนำพรรณไม้เข้าประดับในอาคารควรงดฉีดยา หรือทิ้งไว้จนหมดกลิ่นและฤทธิ์เสียก่อน สิ่งสำคัญควรเลือกใช้ยาให้ถูกต้องกับแมลงที่ต้องการกำจัด แล้วนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะโดยทั่วไปยาฆ่าแมลงมีอันตรายต่อคนอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีอันตรายก็ยิ่งมากขึ้น

การกำจัดโรคพืช
โรคพืชที่พบบ่อยในไม้กระถางได้แก่ โรคโคนเน่า ลักษณะอาการแสดงออกที่บริเวณโคนต้นระดับผิวดินจะเน่าและต้นจะล้มตายในที่สุด ทางป้องกันหรือลดความเสียหายทำได้โดยการกำจัดวัชพืชและตัดแต่ง ช่วยให้โคนต้นโปร่งมีการระบายอากาศ แสงแดดส่องได้ทั่วถึง และพยายามรดน้ำให้น้อยลง รักษาผิวหน้าดินอย่าให้ชื้นแฉะเกินไป

การกำจัดวัชพืช
วัชพืชหรือหญ้าต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ในเครื่องปลูกจะเป็นตัวแย่งอาหารจากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้ไม่สวย และยังเป็นที่อยู่อาศัยหรือแหล่งสะสมของโรคแมลงบางชนิดด้วย การกำจัดวัชพืชควรทำในขณะที่วัชพืชยังเป็นต้นอ่อน ยังไม่ออกดอกติดเมล็ด เพราะเมล็ดแก่อาจหล่นลงในเครื่องปลูกงอกเป็นต้นอ่อนได้ ทำให้ต้องเสียเวลาในการกำจัดต่อไปอีก วิธีการกำจัดวัชพืชอาจใช้วิธีถอนด้วยมือ แซะหรือขุดด้วย พลั่วมือ เสียม หรือจอบ โดยพรวนดินร่วมไปด้วย

การตัดแต่ง
การตัดแต่ง ไม้ประดับหลังจากปลูกประดับไปนานๆ ส่วนยอด กิ่งก้าน หรือใบจะยืดยาวเจริญไม่เป็นระเบียบ ขาดความสวยงาม จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งออกบ้าง เพื่อรักษาทรงพุ่มให้สวยงามยิ่งขึ้น หากมีกิ่งหักเสียหายที่เกิดจากการเคลื่อนย้าย กิ่งมีโรคแมลงเข้าทำลาย หรือกิ่งแห้ง ควรตัดออกให้ดูสวยงามและยังเป็นการรักษาสุขภาพของต้นไม้ให้ดีขึ้นด้วย โดยใช้กรรไกรตัดแต่งหรือมีดคมๆ เพื่อไม่ให้แผลที่ตัดช้ำมากนัก

เรื่องตอนนี้ นับว่าจะเป็นวิชาการ และละเอียดกว่าตอนอื่นๆ แต่การปลูกต้นไม้ ไม่ต้องห่วงเรื่องวิชาการจนเกินไป ผมอยากให้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์มากกว่า ปลูกไปเรื่อยๆ เรียนรู้ต้นไม้เอง เมื่อมีอะไรติดขัดนึกไม่ออก แก้ไม่ได้ ค่อยมาเปิดตำราดู

และอย่าปลูกต้นไม้ด้วยความเครียด อย่าคิดว่าเป็นงาน เป็นหน้าที่ เราต้องปลูกด้วยความสบาย ผ่อนคลาย เป็นงานอดิเรกที่ให้เราได้ใกล้ชิด และสัมผัสกับธรรมชาติ ให้ความรักกับต้นไม้ เหมือนเขาเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตของเรา และเขาก็ตอบแทนเราด้วยความสดชื่น ชีวิตชีวา พอๆกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก หรือเครื่องบันเทิงชนิดอื่นๆ เลยทีเดียวครับ

TraveLAround


ปล. ตอนนี้ผมเขียนบล็อกมาได้กว่า 1110 เรื่องแล้ว ล้วนเป็นสาระน่ารู้ต่างๆ ท่านที่เข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group :
นานา สาระ๑๐๐๐

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับบ้านและการตกแต่ง รวมรวมแยกไว้ในหมวด Home Lover’s Corner สามารถคลิ๊กที่ ลิงค์ด้านบนได้เลยครับ

เรียบเรียงจาก
//www.panmai.com/PotTechnic/PotMain.htm




 

Create Date : 03 กันยายน 2551    
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 13:17:29 น.
Counter : 6531 Pageviews.  

จัดสวนใต้น้ำ

จัดสวนใต้น้ำ

จัดบนบกยังไม่ได้ จะยุให้จัดในน้ำอีกเหรอ?

.............

เปล่าครับ !!!

ไม่ใช่ของแปลก หรือของยากอะไร

แต่เป็นการจัดตู้ปลาอย่างหนึ่ง

ซึ่งอาศัยจินตนาการ

คล้ายๆกับคนเลี้ยงบอนไซ

มันเป็นหลักการเดียวกัน

คือการย่อส่วนธรรมชาติ

เอามาดูเล่น ในบ้าน

.......................

บางท่านเลี้ยงปลามานาน

อาจจะนึกเบื่อ

ลองเปลี่ยนมาจัดสวนใต้น้ำนี้ดูบ้าง

ผมว่า น่าจะเป็นงานอดิเรกที่เพลินดี

อีกอย่างหนึ่งก็ได้นะครับ

..........................

หลักการจัด ก็ไม่ยาก

แต่ก็ไม่เหมือนกับที่ของเราชอบจัดกันนัก

ที่จริงก็เป็นหนึ่งในวิธีการจัดนี้นะครับ

ลองมาดูแบบแรก


1.สวนจำลอง แบบสวนป่า หรือป่าทึบ
แบบนี้ต้องใช้ไม้น้ำมากหน่อย กิ่งไม้ที่มีรูปร่างสวยๆ หนักๆ (ถ้าไม่หนักมันจะลอยครับ) จัดกลุ่มไม้ลักษณะต่างๆ คล้ายเราจัดสวนประดับ หินไม่ต้องใช้เยอะ และปลาอาจไม่ต้องเลี้ยง เอาแต่ต้นไม้เพียวๆเลย


















































2.สวนจำลอง แบบทุ่งหญ้า ป่าโปร่ง
แบบนี้ จะใช้ต้นไม้น้อยกว่า แบบแรก จัดโล่งๆ มีไม้ขอนสูงๆสักต้นสองต้น ให้เป็นจุดเด่น หรือใช้หินมาร่วมด้วย จัดพืชเตี้ยๆคลุมพื้น ให้ดูคล้ายทุ่งหญ้า หรืออาจทำเป็นเนินบ้างก็ได้ แก้เลี่ยน แบบนี้ถ้าเลี้ยงปลา ก็จะเลี้ยงปลาตัวเล็กๆ ให้เป็นฝูง จะได้สัดส่วนเหมือนป่าจำลอง ทุกอย่างต้องมีสเกลเล็กหมด


























































3.สวนจำลอง แบบใต้ท้องน้ำ ท้องทะเล
บ้านเรามักจัดสวนประเภทนี้ โดยมากจะชอบใช้ประการัง เป็นต้นๆมาจัด และตกแต่งด้วยของเล่นที่มีออกซิเจน แบบนี้เราจะจัดแบบมีต้นไม้น้ำมากหน่อยก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้ต้นที่มีใบเล็กยาว จะพริ้วไหวไปตามน้ำได้ หรืออาจใข้ต้นสั้นแต่จัดเป็นกอ เป็นกลุ่มๆ สลับกับหินฟอร์มสวยๆ ก็ได้ ถ้าไม่มีองค์ประกอบหลายอย่าง ก็ใช้ไม้ที่มีสีต่างๆกันมาลงสลับ ก็จะเน้นสีสันให้เด่นขึ้นได้ อย่าลืมปลาตัวเล็กๆ เป็นฝูงๆ เช่นปลานีออน ปลาม้าลาย จะได้สัดส่วนดีครับ








































ดูรูปแล้ว ประทับใจแบบไหน ชอบแบบไหน ก็เลือกจัดกันได้เลยครับ
ปรับปรุงตู้ปลาซะใหม่ หรือบางคนเลิกเลี้ยงปลา ยกเอาไปเก็บแล้ว ยกออกมาใหม่ มาใช้จัดบ้านได้ใหม่นะครับ ไม่เลี้ยงปลา เลี้ยงต้นไม้ ง่ายกว่าเยอะ !!!

TraveLAround


หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : d_sign_place@yahoo.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ปล. ตอนนี้ผมเขียนบล็อกมาได้กว่า 590 เรื่องแล้ว ล้วนเป็นสาระน่ารู้ต่างๆ ท่านที่เข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group :
นานา สาระ๑๐๐๐

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับบ้านและการตกแต่ง รวมรวมแยกไว้ในหมวด Home Lover’s Corner สามารถคลิ๊กที่ ลิงค์ด้านบนได้เลยครับ




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2551    
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 22:38:45 น.
Counter : 6226 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.