ผังเมืองไทยเปลี่ยนตาม อำนาจเงิน (หรือเปล่า) ปัญหาผังเมือง กับสังคมไทย บทเรียนราคาแพงจากอุทกภัย ปี 54
Copy//เราชอบกันแต่เรื่อง Structure (โครงสร้างหรือการสร้างแนวกั้นน้ำ) ถ้า Structure แตกอย่างปี 54 มันส่งผลกระทบต่อสังคมเยอะ แต่บางสังคม เขาสนใจพวก Non-Structure(การวางผังเมือง ไม่เน้นสร้างแนวกั้นน้ำมากนัก)กลับกลายเป็นว่าป้องกันน้ำได้มากกว่า ซึ่งจริงๆ 2อย่างนี้ต้อง Combine (ควบคู่-ผสมผสาน) กันปัญหาผังเมืองที่ผ่านมา ที่เราเสียหายกัน 1.44 ล้านล้านบาท(การประเมินของ World bank) เพราะว่าน้ำเขาเดินของเขาอยู่แล้วแต่เราไปอยู่ในที่ของน้ำ ดังนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ยังไปแย่งที่น้ำ ในอนาคตผมเชื่อว่าน้ำเองคงไม่มีใครไปบังคับไม่ให้ท่วมได้ดังนั้นความเสียหายก็จะมีมากขึ้น....ดูเพิ่มเติมเรื่อง ปัญหาผังเมืองกับสังคมไทย //www.naewna.com/scoop/53318 ปัญหาผังเมือง กับสังคมไทย บทเรียนราคาแพงจากอุทกภัย ปี 54 จากหนังสือพิมพ์แนวหน้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2556โดย SCOOP@NAEWNA.COM Copy//เชื่อเหลือเกินว่า วันนี้ชีวิตคนไทยโดยเฉพาะผู้คนในสังคมเมือง คงไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกต่อไปเห็นได้จากปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีฝนตก หลายคนยังคงขวัญผวาเนื่องจากมหาอุทกภัยใหญ่เมื่อปี 2554ได้ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเกิดความขัดแย้งในสังคมที่เรียกกันว่า สงครามหน้าแนวกั้นน้ำไม่ว่าจะเป็นระหว่าง กทม. กับปริมณฑล , กทม.ฝั่งธนกับฝั่งพระนคร หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมกับภาคเกษตรกรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากไม่มีใครอยากให้น้ำเข้าไปในพื้นที่ของตน หากถามว่าอะไรเป็นสาเหตุคงตอบได้หลายประการ ไล่ตั้งแต่การบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด , ภาวะอากาศแปรปรวนซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ , การตัดไม้ทำลายป่าทำให้ไม่มีแนวดูดซับน้ำ ซึ่งนอกจากป้องกันน้ำท่วมแบบฉับพลันแล้วยังเก็บกักน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งได้ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของ ผังเมือง ที่พบว่า หลายๆ สถานที่ไปสร้างในที่ๆไม่ควรสร้าง เช่นนิคมอุตสาหกรรมที่ไปขวางทางน้ำตลอดจนการขยายเมืองอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นไปในด้านเศรษฐกิจ โดยมุ่งเอาชนะธรรมชาติเป็นหลักในทุกทาง ย้อนอดีต-มองปัจจุบัน เราพบว่า ศาสตร์ของผังเมือง ไม่ได้เป็นของใหม่ของประเทศไทยถ้าเราล้วงลึกไปในสังคมไทย เราพบว่าคนโบร่ำโบราณมีความฉลาดมากในการเลือกตั้งถิ่นฐานนี่แหละคือศาสตร์ในการเลือกสถานที่ที่มีความปลอดภัยคนสามารถรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ เป็นเสียงจาก ศ.ดร.ธนวัฒน์จารุพงษ์สกุลโฆษกคณะอนุกรรมาธิการศึกษางบประมาณที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วุฒิสภา ชี้ให้เห็นถึงภูมิปัญญาของบรรพชนชาวไทยในการเลือกตั้งเมือง ซึ่งมีหลายตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่นเมืองโบราณที่อินทร์บุรีใช้วิธีขุดคูรอบเมืองให้น้ำไหลผ่านเมืองแล้วยกกำแพงเมืองให้สูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือกรุงศรีอยุธยาที่ตัวเมืองสมัยก่อนอยู่ในพื้นที่เกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ และแม่น้ำเหล่านี้นอกจากจะเป็นทางระบายน้ำที่ดีแล้วยังใช้เป็นกำแพงธรรมชาติในการป้องกันเมืองในภาวะสงครามกับพม่าด้วย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาไทย (หรือสยามในเวลานั้น) ไม่ได้มีสงครามกับพม่าอีก ทำให้ละเลยประโยชน์ของทางน้ำไปแม้กระทั่งปัจจุบัน งบประมาณเพื่อบริหารจัดการน้ำ(ล่าสุดคือเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ) ถูกนำไปใช้ด้านสิ่งก่อสร้างต่างๆ แต่แทบไม่ได้ใช้ในด้านการให้ความรู้หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนเลยแต่อย่างใด
อ.ธนวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า หากย้อนข้อมูลในอดีต พบว่าน้ำท่วมกทม. ครั้งใหญ่สุด ไม่ใช่ พ.ศ.2526 หรือ พ.ศ.2485อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน แต่เป็นพ.ศ.2374 (สมัยรัชกาลที่ 3)ซึ่งครั้งนั้น น้ำได้ท่วมสูงถึง 3 เมตรและท่วมอยู่นาน 3 เดือนแต่เนื่องจากสภาพของเมืองไม่ได้ใหญ่โตแบบทุกวันนี้จึงไม่มีความเสียหายมากอย่างในปัจจุบัน ปัญหาคือที่ผ่านมาเรากลับไม่เคยวางผังเมืองเพื่อรับมือมวลน้ำในปริมาณดังกล่าวแต่อย่างใด เราชอบกันแต่เรื่องStructure (โครงสร้าง หรือการสร้างแนวกั้นน้ำ) ถ้า Structureแตกอย่างปี 54 มันส่งผลกระทบต่อสังคมเยอะแต่บางสังคม เขาสนใจพวก Non-Structure (การวางผังเมืองไม่เน้นสร้างแนวกั้นน้ำมากนัก) กลับกลายเป็นว่าป้องกันน้ำได้มากกว่า ซึ่งจริงๆ 2 อย่างนี้ต้อง Combine (ควบคู่-ผสมผสาน) กัน ปัญหาผังเมืองที่ผ่านมาที่เราเสียหายกัน 1.44ล้านล้านบาท (การประเมินของ World bank) เพราะว่าน้ำเขาเดินของเขาอยู่แล้วแต่เราไปอยู่ในที่ของน้ำ ดังนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ยังไปแย่งที่น้ำ ในอนาคตผมเชื่อว่าน้ำเองคงไม่มีใครไปบังคับไม่ให้ท่วมได้ ดังนั้นความเสียหายก็จะมีมากขึ้นอ.ธนวัฒน์ กล่าว เมื่อผังเมืองเปลี่ยนตามอำนาจเงิน มีคำกล่าวหนึ่งที่น่าเจ็บปวดสำหรับสังคมไทย นั่นคือ เมื่อเงินพูด ความจริงย่อมเงียบ ดังจะเห็นได้จากแทบทุกวงการล้วนมีข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่การบังคับใช้ผังเมือง ที่แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นที่ลุ่มที่แอ่งอันเหมาะกับการใช้เป็นแก้มลิง เพื่อพักน้ำก่อนรอระบายไปตามระบบแต่ทั้งเจ้าของที่ดินที่อยากขายที่ให้ได้ราคาแพงๆกับนายทุนที่อยากพัฒนาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและหมู่บ้านจัดสรรต่างพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย เมื่อผังเมืองหมดอายุเข้าไปกดดันให้แก้ไขผังเมืองอยู่เสมอ น.ส.อรพิมพ์พิมพ์เจริญ นักผังเมืองชำนาญการ เป็นอีกผู้หนึ่งที่พบปัญหาดังกล่าวในบ้านเราอยู่เสมอทั้งที่จริงๆ แล้ว บ้านเรามีองค์ความรู้และมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านผังเมืองมากมาย แต่ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเอาจริงเอาจังต่างกับประเทศอังกฤษ ที่ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานพบว่าที่นั่นผังเมืองเป็นวาระสำคัญระดับชาติ มีหน่วยงานมาดูแลเป็นการเฉพาะและมีอำนาจในการดำเนินคดีกับผู้ใช้พื้นที่ผิดประเภทได้ด้วย คุณอรพิมพ์ เล่าย้อนถึงการทำผังเมืองใน กทม. ซึ่งแต่เดิมนั้นก่อนที่กรมผังเมืองจะโดนยุบรวมกับกรมโยธาธิการ ได้มีการทำผังเมืองโดยพยายามรักษาพื้นที่ธรรมชาติ (สีเขียว) ใน กทม. และปริมณฑลไว้พอสมควรแต่หลังจากมีการโยกย้ายผังเมืองไปให้ท้องถิ่นดูแล เมื่อ พ.ศ.2535ได้มีความพยายามยกเลิกพื้นที่สีเขียวนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้ทุกๆ 5 ปี ที่ผังเมืองหมดอายุและจะต้องประชุมรับฟังความคิดเห็นกันใหม่ก็มักจะถูกกดดันอยู่เสมอ ทุก 5 ปี เราต้องไปประชุมในพื้นที่นี้ มีทั้ง ส.ส. ระดับชาติ ไปติดป้ายโฆษณาว่าเลือกผมแล้วผมจะยกเลิกสีเขียวให้หมดเลย เราก็ถ่ายรูปเก็บไว้ พอเขาได้รับเลือกเขาก็มาหาเรา บอกว่าแก้ผังเมืองหน่อยเพราะหาเสียงไว้ ก็บอกไปว่าคุณหาเสียงแต่เราไม่ได้หา ที่บอกว่าผังเมือง 5 ปีน้อยไปไหมมันน้อยไปสำหรับคนไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแต่มันทรมานสำหรับคนที่เจ้าคุณปู่เขาให้ที่ไว้ แล้วยังสร้างคอนโดไม่ทันวันนี้ผังเมืองประกาศใช้ เขาทรมานมาก พออีก 5 ปี เขาก็โทรมาถาม เนี่ย! อั๊วซื้อที่ดินไว้แล้วที่สีเขียว เขาบอกว่าผังเมืองเปลี่ยนทุก 5 ปี เดี๋ยวเหลืองแดง ส้ม เขียว น้ำตาล ลื้อไม่เห็นเปลี่ยน นี่ 2 รอบแล้วก็ถามว่าซื้อมานานยังอาแปะ ก็บอกว่า 30 ปีแล้วถมไปหมดตั้งเยอะ แล้วจะทำอะไรคะ? อยู่ในเขียวลาย(พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) เลยนะ แปะรอได้ไหม สักร้อยปีได้ไหมให้เราชัวร์ว่าน้ำไม่ท่วมก่อน นี่เป็นแค่ 1 ในหลาย caseเท่านั้น คุณอรพิมพ์ อธิบายต่อไปว่าผังเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกๆ 5 ปีเสมอไป แต่คำว่า 5 ปีนี้หมายถึงระยะที่ต้องประเมินสภาพพื้นที่ ซึ่งยืนยันว่าตราบใดที่ยังคุมปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ ก็จะไม่มีทางยกเลิกพื้นที่เขียวลายเป็นอันขาดแต่อาจแก้ไขข้อกำหนดบางประการให้เข้ากับสภาพชุมชน เช่นอนุญาตให้ก่อสร้างตลาดหรือร้านค้าขนาดเล็กได้ นอกจากนี้พื้นที่ที่ห้ามสร้างหมู่บ้านจัดสรร เจ้าของโครงการกลับใช้กลยุทธ์ ศรีธนญชัย เพื่อเลี่ยงข้อบังคับดังกล่าวเช่นถ้าห้ามสร้างหมู่บ้านตั้งแต่ 10 ยูนิตขึ้นไป คนเหล่านี้จะใช้วิธีไปขอทุกวันวันละ 9 ยูนิต ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสร้างหมู่บ้านแล้วกลับไม่ยอมสร้างระบบระบายน้ำอีกด้วย โดยผลักภาระไปให้กับ กทม. แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา? ปัจจุบัน กระแสสังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคสิทธิเสรีภาพเบ่งบานคนแต่ละคนต่างคำนึงถึงสิทธิของตน จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เมืองไทยวันนี้อยู่ในยุคสำลักเสรีภาพ จนลืมใส่ใจสังคมส่วนรวมหรือไม่? ซึ่งบทเรียนจากมหาอุทกภัย 54ได้ชี้ให้เห็นปัญหาดังกล่าว เมื่อหลายพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งที่มวลน้ำจ่อประชิด กทม. แล้ว แต่ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปสร้างแนวกั้นน้ำได้เพราะเจ้าของพื้นที่ไม่ยินยอม ทำให้น้ำเข้าท่วม กทม. ฝั่งตะวันตกในที่สุด นายกังวาฬ ดีสุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักระบายน้ำ กทม.ที่ครั้งก่อนเคยพูดถึงปัญหาความมักง่ายของชุมชนริมน้ำ ที่มักจะทิ้งขยะลงแหล่งน้ำทำให้ไปอุดตันตามท่อ หรือตามสถานีสูบน้ำต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่มักจะพบทั้งตู้ เตียงยางรถยนต์และอื่นๆ อีกมากมายสิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบระบายน้ำไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ มาคราวนี้คุณกังวาฬได้เล่าถึงความพยายามในการเข้าไปขอสร้างแนวกั้นน้ำในที่ดินเอกชนเมื่อครั้งมหาอุทกภัย 54 แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากเหตุผลเพียงเพราะบดบังทัศนียภาพของบ้านเท่านั้น ตอนที่น้ำยังไม่ท่วมเขาไม่ยอม จะไม่ยอมเลย ทั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาไม่ยอมให้เราสร้างบอกว่ามันปิดบังหน้าบ้านเขา คือมันก็จะเป็นฟันหลออยู่ตรงหน้าบ้านเขาน้ำมันก็เข้าตรงนั้นแหละ แล้วคนที่มีรั้วบ้านเดิมก็ไม่ยอมให้ทำคือรั้วก็ไม่แข็งแรงอะครับ พอน้ำมันยกตัวขึ้น มันก็ดันพังหมด คราวที่แล้วปี 54 พังไป 5 จุด ริมแม่น้ำ ริมคลองบางกอกน้อยคลองมหาสวัสดิ์ เพราะว่าเขาไม่ยอมให้เราทำ ที่พังไม่ได้พังที่เขื่อนมันเป็นรั้วบ้าน ที่มันเข้าไปในถนนจรัญ (จรัญสนิทวงศ์)คือพังเพราะเขาไม่ยอมให้เราทำ เราบอกว่าไม่แข็งแรงแต่เขาก็ไม่ยอม อันนี้พอพังเสร็จตอนนี้ให้ทำหมดเลยครับ มีเรื่องมาเลยครับขอให้ กทม. ทำ ตอนนี้เราทำไม่ทันคือมันต้องเจอก่อน พอถูกเข้าไปทีนึง ก็รู้เลยว่ามันหนักมาก เสียหายเยอะมากเขาไม่ยอมให้ทำ ทั้งๆ ที่เราจะทำให้ฟรี ไม่เสียตังค์เลย รอง ผอ.สำนักระบายน้ำ กทม. กล่าวทิ้งท้าย จะเห็นได้ว่าการวางผังเมืองให้ดี และบังคับใช้ข้อกำหนดผังเมืองอย่างจริงจังมีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากในการบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติที่นับวันมีแต่จะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามความแปรปรวนของสภาพอากาศโลกการใช้พื้นที่ให้ถูกประเภท ย่อมจะลดความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ยังมีผู้เสนอว่า กทม.และปริมณฑลควรหยุดการเจริญเติบโตในภาคธุรกิจได้แล้ว เพื่อให้เหลือพื้นที่แก้มลิงไว้พักน้ำหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นอีกและให้ทางระบายน้ำ (Flood Way) ที่มีอยู่เดิมตั้งแต่สมัย ร.5 ทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่มีอะไรไปขวางหรืออุดไว้ โดยควรไปขยายความเจริญในจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆเช่นฉะเชิงเทรา สระบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี ผ่านการเชื่อมระบบขนส่งที่รวดเร็วและทันสมัยไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ หรือถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อระบายผู้คนที่เข้ามาแสวงหาโอกาสใน กทม.จนกลายเป็นเมืองแออัดอย่างทุกวันนี้ ให้กระจายตัวออกไปบ้าง บางทีวันนี้ รัฐบาลที่อยากได้รถไฟความเร็วสูงน่าจะลองทำตามข้อเสนอดังกล่าว โดยให้ 4 จังหวัดใกล้ๆกทม.นี้เป็นโครงการนำร่องก่อนก็ได้ เพื่อจะได้รู้ว่า..ทำแล้วจะเป็นอย่างไร?จะกำไรหรือขาดทุน?
สนใจข้อมูลเรื่องการผังเมือง เข้าไปกด like กันได้ตามลิ้งก์ https://www.facebook.com/pages/สมาคมการผังเมืองไทย/524047510967962?fref=ts
Create Date : 29 พฤษภาคม 2556 | | |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2556 7:24:35 น. |
Counter : 1395 Pageviews. |
| |
|
|
|