Group Blog
All Blog
--- อ ยู่ ค น เ ดี ย ว : ขจรฤทธิ์ รักษา ---












อ ยู่ ค น เ ดี ย ว

ไปต่างประเทศนั้นดีอยู่อย่างหนึ่ง คือเราไม่ต้องพูดกับใครหากไม่จำเป็น เราสามารถมารถอ้างได้ตลอดเวลาว่าภาษาของเราไม่ดี และเมื่อภาษาเราไม่ดี เราก็ไม่ต้องพูดกับคนอื่น หรือเราเลือกที่จะพูดกับใครก็ได้

ที่เกสต์เฮ้าส์ของลุงดาร์ตา มีแขกเปลี่ยนหน้าเข้ามาแทบทุกวัน หญิงสาวจากประเทศนิวซีแลนด์จากไปแล้ว เธอบอกว่าจะไปเชียงใหม่ และจะบินกลับบ้าน เธอมีงานเกี่ยวกับส่งออกอะไรบางอย่าง เธอพยายามที่จะชวนผมคุยเรื่องการเยียวยา หรือการรักษาตัวเองหรืออะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับหัวใจและความสุข ผมรู้สึกเสียดายมากที่ผมไม่เก่งพอที่จะเรียนรู้จากสิ่งที่เธอพยายามจะบอก ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ปรากฏว่าเธอจากไปแล้วโดยไม่ได้ร่ำลา

ชายหนุ่มอีกคนมาจากตุรกี เขามาคนเดียวเหมือนผม พักอยู่ห้องด้านขวามือ เขามาอยู่สามคืน และนอนอ่านหนังสือตลอด แทบไม่ได้ออกไปไหน นอกจากไปกินข้าว หรือเดินเล่นสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง เราคุยกันนิดหน่อย เขาเป็นเอ็นจิเนีย หน้าตาหล่อเหล่า ผิวขาว จมูกโด่ง มีขนเต็มหน้าอก เขาชอบนอนถอดเสื้อ เห็นกล้ามท้องเป็นลอน ผมสวมแว่นดำและแอบมองหน้าท้องเขาด้วยความริษยา ผมเคยอยากมีร่างกายที่ดูดีแบบเขา แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ผมแก่เกินที่จะทำได้อย่างนั้น เขาบอกว่า จากนี้เขาจะไปสมุย ไปเกาะพงัน อยู่ที่นั่นสักสองอาทิตย์และกลับบ้าน เขาว่าเป็นช่วงพักร้อนของเขา

ผมถามว่าทำไมมาคนเดียว เขาว่า เพื่อน ๆ ต่างมีงานทำ ไม่มีใครว่าง

ดูท่าทางจะมีหลายเรื่องที่เราต้องคุยกัน แต่เมื่อผมบอกว่า ภาษาผมไม่ดีมากนัก ฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่องบ้าง เขายิ้ม และยักไหล่ จากนั้นก็คุยกันเรื่องง่าย ๆ เช่นไปดูระบำหรือยัง ไปนวดมากี่หนแล้ว เดินขึ้นภูเขาแล้วดีนะ เรื่องแบบนี้เบา ๆ ฟังง่าย ๆ

แต่ไม่มีทางที่คุณจะได้เป็นเพื่อนรักกับใครด้วยเรื่องเล่าพื้นเพียงเท่านั้น

ถ้าเป็นเพื่อนกัน เราต้องรู้กันแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่พ่อแม่คลอดเราออกมาและเราอยู่ในครอบครัวและสิ่งแวดล้อมแบบไหน โตขึ้นมาทำอะไร และความฝันอะไรบ้างเป็นเพื่อนกัน ต้องเปิดใจกันด้วยเรื่องที่ลี้ลับที่สุด ถ้าคุณไม่เปิดใจให้กว้าง คุณก็ไม่ใช่เพื่อน เป็นได้แค่คนรู้จัก เมื่อเวลาล่วงผ่านไปเราก็จะลืมคุณและคุณก็จะลืมเราเช่นเดียวกัน

ส่วนสาวร่างอวบที่มาจากแคนนาดาซึ่งอยู่ห้องด้านซ้ายมือนั้น ไม่ค่อยถูกชะตากับผมเท่าไรนัก เธอมักเปิดปิดประตูด้วยพลังแขนอันมหาศาล มันทำให้ผมสะดุ้งทุกครั้ง และทั้งสองคนก็มีนิสัยเหมือนกัน ทั้งปิดและเปิด เสียงดังโครมครามทุกครั้ง ผมอยากจะลุกขึ้นพูดออกไปว่า ยูช่วยปิดมันเบา ๆ ได้ไหม แต่ก็คิดว่าไม่พูดจะดีกว่า เธออยู่แค่สองคืนก็จากไปเหมือนกัน

ส่วนห้องข้างล่างมีหญิงชราสองคน อายุประมาณ๗๐กว่า ไปไหนมาไหนด้วยไม้เท้า สองคนเป็นเพื่อน และออกเที่ยวด้วยกัน เธอน่ารักมาก พูดไทยได้อยู่คำเดียว สวัสดีค่ะ และเมื่อเจอหน้ากันไม่ว่าจะที่ไหน เธอก็ "สวัสดีค่ะ"ใส่ผมก่อนเสมอ เราคุยกันน้อยมาก แต่เธอก็เป็นห่วงเป็นใยผม ถามว่า วันนี้ดีไหม สบายดีไหม ไปไหนมาบ้าง ผมก็ต้องเหมือน ๆ เดิมว่าสบายดี และก็ "วอค อะราวน์เฮีย" คือไม่ไปไหนหรอกเดินอยู่แถว ๆ นี้แหละ เธอว่ากู๊ด ๆ ฉันก็เหมือนกัน

แต่มีอยู่คืนหนึ่ง ห้องด้านขวามือของผม มีเลสเบี้ยนคู่หนึ่งมาพัก ผมรู้ว่าเป็นเลสเบี้ยนเพราะเธอทั้งสองจูบกันอยู่หน้าห้อง จูบกันจริงๆ ปากประกบปาก ไม่ใช่แกล้งจูบให้คนอื่นเห็น จูบโดยไม่สนใจว่าผมนั่งอยู่ใกล้ที่เก้าอี้ประจำของผม

ผมไม่ค่อยได้รู้หรอกว่าเลสเบี้ยนนั้นรักกันอย่างไร แต่สิ่งที่รบกวนทำให้ผมนอนไม่หลับเลยก็คือ พวกเธอส่งเสียงดังมาก ห้องที่เราอยู่นั้นไม่ได้เก็บเสียง หน้าต่างทำด้วยไม้ มีช่องให้ลมผ่าน เรานอนในมุ้ง จึงไม่ต้องกลัวยุงกัด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ระมัดระวังเรื่องเสียง คนที่อยู่ห้องติดกันจะถูกรบกวนด้วยเสียงอันดังของคุณ

ราวสี่ทุ่ม พวกเธอดื่มมาแล้ว มาถึงห้องก็พากันหัวเราะ หยอกล้อกัน และทำรักกัน ผมจับเวลา เริ่มตั้งแต่สี่ทุ่ม กว่าจะหยุดครวญครางได้นั้นเกือบเที่ยงคืน เป็นได้อย่างไรที่จะปฏิบัติการแห่งรักได้ยาวนานขนาดนั้น

ผมพยายามที่จะยัดหูฟังของเครื่องเสียงของผมเข้าไปให้ลึกสุด เปิดเพลงให้ดังสุด แต่ความอยากรู้ว่า เมื่อไรจะจบเสียทีนั้นทำให้ผมฟังเพลงต่อไม่ได้

นั่นเป็นคืนที่ทำให้ผมทรมานจนสั่นไหวไปทั้งกายและใจ ผมคิดว่า นี่คือเรื่องบางอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ มันจะเกิดมันก็ต้องเกิด พวกเธอร่วมรักกันเสร็จ บรรยากาศก็กลับมาผ่อนคลาย ทุกพื้นที่กลับสู่ความสงบ ได้ยินเสียงนกเขาขันและเสียงหมาเห่าลอยมาจากที่โน่นที่นี่

สองสาวเลสเบี้ยนนั้นหัวเราะหัวใคร่คุยกับผมอย่างดี คนหนึ่งมาจากอเมริกา อีกคนมาจากแม็กซิโก ทั้งสวยอย่างชนิดที่ทำให้ดวงจันทร์วันเพ็ญหมองไปเลยทีเดียว เธอถามผมว่ามาคนเดียวหรือ ผมว่าใช่ เธอว่า โนกู๊ด ไม่ดี เหงาเกินไป แล้วก็ยักไหล่

พวกเธออยู่แค่คืนเดียวก็จะกลับไปที่หาดคูตา เธอว่าจะมีปาร์ตี้ที่ชายหาด พวกเธอจะไปสนุกกันที่นั่น

ผมยิ้มพยักหน้ารับ คิดในใจว่า คงไม่สนุกกันเต็มเหนี่ยวเหมือนเมื่อคืนนี้นะ

เพราะไม่รู้จะไปไหน ผมนอนอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย หนังสือที่เอามาสามเล่มนั้นอ่านจบหมดแล้ว จึงนำกลับมาอ่านซ้ำ อ่านซ้ำแล้วก็รู้สึกดีที่ได้พบบางข้อความที่เราลืมคิดว่าดี เมื่ออ่านครั้งแรกเช่นเรื่องของความสุข ในหนังสือพูดว่า

"คนเราอาจคิดว่า ความสุขเป็นผลของโชค ที่อาจตกลงมาใส่คุณเหมือนอากาศดี แต่นั่นไม่ใช่กลไกของความสุข ความสุขเป็นผลมาจากการลงแรงของแต่ละคน คุณต้องต่อสู้ให้ได้มา ฝ่าฟันให้ได้มา ยืนหยัดให้ได้มา และบางครั้งอาจต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามหามัน คุณต้องเข้าไปมีส่วนอย่างไม่ย่อท้อ แสดงให้เห็นว่าคุณได้รับพร และเมื่อคุณบรรลุซึ่งความสุขก็อย่าละเลยการดูแลรักษามัน คุณต้องออกแรงว่ายน้ำต่อไป เพื่อขึ้นไปสู่ความสุขชั่วนิรันดร์ เพื่อลอยอยู่เหนือมัน ถ้าคุณไม่ทำ คุณจะสูญเสียความพึงพอใจที่จะซึมหายไป"

ผมใคร่ครวญเรื่องที่อ่านอย่างตั้งใจ และก็ชอบประโยคที่เขาพูดต่อมาว่า

“การตามหาความพึงพอใจจึงไม่ใช่แค่การเยียวยาตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ยังเป็นของขวัญแก่โลกด้วย การขจัดความทุกข์ทั้งหมดไปจะช่วยให้คุณมีทางออก การที่คุณมีความสุขไม่เพียงแต่ดีต่อตัวคุณเอง แต่จะส่งผลต่อคนอื่นด้วย”

ผมว่าประโยคนี้เป็นความจริง สามารถอธิบายได้ชัดเจน อ่านแล้วก็เอาหนังสือทาบอกและหลับตาลง





ขจรฤทธิ์ รักษา













Create Date : 28 กันยายน 2560
Last Update : 28 กันยายน 2560 10:22:28 น.
Counter : 836 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com