Jack-A-Little-Monster

++ทิเบต++ ดินแดนหลังคาโลก #5 The Potala & Jokhang (จบ)

หลังจากเที่ยวที่เมืองอื่นครบ ก็กลับมายังเมืองลาซาอีกครั้ง





...

ปิดทริปทิเบตด้วยการเที่ยวในเมืองลาซา คราวนี้อาการแพ้ความสูงไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ร่างกายฟิตแตกต่างกับวันแรกที่มาถึงโดยสิ้นเชิง





ยามเช้าไปชมพระราชวังโปตาลา คนหนาตาเพราะเป็นวันเสาร์

เพียงแค่ได้เห็นภายนอกก็รู้สึกอลังการในความยิ่งใหญ่แล้ว

จนอดใจไม่ไหว ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อชมความงามของพระราชวังแห่งนี้





มาเที่ยวที่นี่ ต้องออกแรงเดินขึ้นไปนิดหน่อย มาถึงตอนนี้กลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปแล้ว กับที่ระดับความสูง 3,600 เมตรกว่าๆ





ไกด์คนเก่งพาพวกเราชมด้านในพระราชวัง ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปได้

ผมได้แต่เดินชมความงามโดยไม่ค่อยรู้เรื่องรายละเอียดอะไรนัก เพราะภาษาไม่กระดิกหูเลยสักนิดเดียว





ไกด์พาพวกเราไปถ่ายรูปด้านนอก เห็นวิวโปตาลาจากมุมสูง ดูยิ่งใหญ่มาก





หลังจากผมอยู่ทิเบตมาได้สักพัก วิชาเริ่มแก่กล้า..55+





...





ต่อจากโปตาลา เราเป็นเยือนวัด Jokhang ซึ่งเป็ฯวัดเก่าแก่ที่มีผู้คนมาไหว้กันไม่ขาดสาย





ทั้งพระราชวังโปตาลาและ Jokhang ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย unesco ด้วย





ชาวทิเบตจำนวนมากมายมาที่วัดแห่งนี้ เพื่อทำการไหว้ตามที่แต่ละคนตั้งใจเอาไว้ อาจะเป็นแสนครั้ง ก็ก้มหน้าก้มตากราบไหว้กันไป





ภายในวัดมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย มีคุณค่าประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้

..





ภายนอกบริเวณหน้าวัด มีร้านขายของที่ระลึก รวมถึง ของที่ใช้ในการไหว้ ผมแวะซื้อธงมนต์สีสันสดใสมาสองสามม้วน ในขณะที่อาได้กำไรในหนึ่งวง

ซื้อของที่นี่ต้องต่อให้กระจาย อย่าให้ความอยากได้ครอบงำเราเร็วเกินไป เดินดูหลายๆ ร้าน และตาต้องดี เพราะของปลอมมีอยู่ทั่วไปหมด

..





วันนี้อากาศดี ได้แสงแดดที่แผดจ้าลงมาสัมผัสตัวแล้วรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

ดีใจที่ได้มาเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ขณะเดียวกันก็คิดถึงเมืองไทยใจจะขาด

หากมีโอกาสก็จะกลับมา คุยกับพ่อไว้ว่าจะไปเขาไกรลาศด้วยหากยังมีเงิน มีเวลา และยังมีแรง

ลาก่อนครับ ทิเบต..







 

Create Date : 15 กันยายน 2553    
Last Update : 15 กันยายน 2553 16:07:28 น.
Counter : 1149 Pageviews.  

++ทิเบต++ ดินแดนหลังคาโลก #4 Gyantse & Holy Lakes

หลังจากแวะชม EBC เสร็จแล้ว ก็เป็นเส้นทางกลับซึ่งจะใช้อีกเส้นหนึ่ง โดยคืนนี้จะไปนอนกันที่ Gyantse





ยามเช้าแวะชม Pelkor Monastery

ท้องฟ้าแจ่มใส เจือกับแสงแดดยามเช้าอุ่นๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก





ถึงตัววัดที่ได้ชื่อว่าวัดพระพุทธรูปแสนองค์

พวกเรายืนรอเวลาที่จะได้เข้าไปชมภายใน ประมาณสิบโมงเช้า ก็มีคนมาเปิดประตูให้

สามารถขึ้นไปแต่ละชั้นได้เรื่อยๆ แต่ละชั้นก็มีห้องเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปไว้มากมาย





มองไปยังเขาลูกนู้น เห็นป้อมปราการในสมัยก่อน





น่าขึ้นไปชม แต่ด้วยสภาพร่างกายของแต่ละคน คงได้แต่ยืนชื่นชมอยู่จากเบื้องล่าง

จะเที่ยววัดนี้ให้ครบ ต้องใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียว





..





ขับรถต่อไป มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบ เจออ่างเก็บน้ำ แวะชมความงามของทิวทัศน์ก่อนเดินทางต่อไป





น้ำเขียวเข้มเลย

..





สักพักใหญ่ก็มาถึง คาโรล่ากลาเซียร์ ที่มีความสูง 5,500 เมตร จะถ่ายป้ายตรงหมู่บ้าน ต้องระวังชาวบ้านเข้ามาเก็บตัง ไกด์บอกว่าถ้าถ่ายติดพวกชาวบ้าน เค้าจะมาเก็บตัง (มีงี้ด้วย)





พวกเราไม่ได้ใช้เวลานานนักเพราะชาวบ้านเริ่มกรูเข้ามาขายของกันมากขึ้น

..





คนขับรถพาออกไปอีกนิดเดียวก็ต้องจอด เพราะวิวยอดเขามันงดงามเหลือเกิน

เหมือนกับว่าผมเริ่มจะปรับตัวกับความสูงนี้ได้แล้ว เดินฉิวๆ ไปถ่ายรูปป้ายที่อยู่ตรงเนิน โดยไม่เหน็ดเหนื่อยเหมือนเมื่อวานเลย

..

เดินทางกันต่อ จุดหมายถัดไปก็คือ Yamdroktso Lake ทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของทิเบต มีขนาดใหญ่และลึกมาก





น้ำสีเขียวดูน่าว่าย แต่คงจะแข็งตายแน่นอน หากริลงไปว่าย





ขึ้นรถต่อ ชื่นชมความงามกันระหว่างทาง





เห็นความกว้างใหญ่





..





คนขับรถพาพวกเราลงไปดูจุดที่เขาทำพิธี Water Burial กันคือ หากมีคนตาย ในระดับชาวบ้าน ก็จะนำศพมาที่นี่แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ก่อนจะลงไปในน้ำ ให้ปลาตอดกิน





เห็นบริเวณสถานที่แล้วก็รู้สึกแหยงๆ สังเกตดูตรงพื้นยังเห็นรอยเลือดเป็นหยดๆ ก็มี





ได้ยินที่เค้าเล่าแล้ว ก็ทำให้ผมคิดว่า ความเชื่อที่ว่าชาวทิเบตไม่ทานปลา มีสาเหตุมาจากเรื่องพิธีกรรมด้วยรึเปล่านะ..

..





ปิดท้ายทริปของวันนี้ด้วยไปเยี่ยมชมทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งซึ่งก็คือ Namtso Lake หรือทะเลสาปนามูโช เส้นทางไปค่อนข้างทุรกันดาร ต้องขับขึ้นเขากันอีกแล้ว โดยต้องผ่านจุดสูงสุด คือ La kenla ที่ระดับความสูง 5190 เมตร





มาถึงตรงนี้ไม่ค่อยเกิดอาการอะไรกันแล้ว เพราะได้ปรับตัวกันมาหลายวัน ลงไปถ่ายรูปกันเล็กน้อยก็ต้องรีบวิ่งกลับเข้ารถ เพราะลมพัดแรงเหลือเกิน แม้แดดจะเปรี้ยงๆ แต่ก็ไม่ได้ไล่ความหนาวเย็นออกไปได้

ช่วงใกล้เข้าสู่ทะเลสาป ก่อนจะถึงหมู่บ้าน รถมีปัญหา หม้อน้ำรั่ว คนขับรถแก้ปัญหาด้วยการเติมน้ำเข้าไปก่อน ดีที่เตรียมน้ำมาเยอะ

ไกด์เตือนพวกเราว่าให้ระวังชาวบ้านที่มาขายของ เธอเล่าว่า เมื่อก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมีชาวบ้านบางคนเอาหินของปลอมมาหลอกขาย ทำให้ชื่อเสียงของหมู่บ้านเสียหาย นักท่องเที่ยวไม่กล้าซื้อของจากที่นี่อีก พลอยทำให้คนอื่นขายของไม่ออกไปด้วย จนถึงปัจจุบัน เลยแทบจะไม่มีใครไปซื้อขอองด้วยเลย พาลทำให้ชาวบ้านมีทัศนคติไม่ดีกับนักท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเธอเตือนพวกเราว่า ให้เดินห่างๆ อย่าไปสนใจกับพวกเร่ขายของ

..





จากจุดที่จอดรถ เดินลงไปทะเลสาบ ค่อนข้างไกล พ่อกับลุงตัดสินใจรออยู่ที่รถ ในขณะที่ผมจะไปให้ถึง อาตัดสินใจไปกับผม เดินๆ อยู่ไม่นานก็ถึง โดยมีชาวบ้านสองสามคนที่จะขายของเดินไล่ตามมาอยู่ไม่ห่างนัก ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร





น้ำในทะเลสาบแข็งหมด จนลงไปยืนเล่นได้เลย ก็ดูแปลกตาดีสำหรับผม





พวกเราถ่ายรูปกันเสร็จ ก็รีบเดินกลับ ใจจริงอยากเดินสำรวจหมู่บ้าน แต่จากที่ไกด์แนะนำก็เลยทำให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก

ขึ้นรถได้ ก็คิดสงสารชาวบ้านอยู่เหมือนกัน แต่ธุรกิจทุกอย่าง หากไม่ซื่อสัตย์กับลูกค้า ก็อยู่ได้ไม่นานต้องล้มเลิกกิจการกันไป

เหมือนที่เค้าว่าไว้

"ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน"




...




 

Create Date : 09 กันยายน 2553    
Last Update : 9 กันยายน 2553 16:08:04 น.
Counter : 913 Pageviews.  

++ทิเบต++ ดินแดนหลังคาโลก #3 Everest Base Camp (EBC)

จาก Shigatse จุดหมายต่อไปของวันนี้ก็คือ Everest Base Camp หรือ Qomolangma Base Camp สำหรับผมแล้ว EBC เป็นจุดหมายหลักของทริปนี้เลยทีเดียว

แม้ว่าพวกเราจะไม่ต้องเดินกันให้เมื่อยตุ้ม (บอกตรงๆ ว่าเดินขึ้นลงรถที่ระดับความสูงแบบนี้ ผมก็เหนื่อยแล้ว) แค่นั่งรถไปเรื่อยๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความไกล รวมถึงเส้นทางที่ค่อนข้างขรุขระ คดเคี้ยว นั่งไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที





คนขับรถพาพวกเราไปตามถนนสาย 318 เส้นทางเริ่มกันดารขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เห็นความงามมากขึ้นเช่นกัน ถนนเริ่มคดเคี้ยวเลี้ยวลด งานนี้ต้องพึ่งคนขับรถคนเก่งที่พาพวกเราไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย





เข้าสู่เขต Tingri เห็นธงหลากสีผูกไว้เยอะๆ




แสดงว่าพวกเรามาถึงทางเข้าเขตพื้นที้สงวนของ Qomolangma ซึ่งมีความสูงอยู่ที่5248 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลกันแล้ว





มองไปทางไหนก็เห็นภูเขาหิมะสูงสุดลูกหูลูกตา ผมเดินปลีกวิเวกไปเดินย่ำหิมะเล่น ราวกับคนเพิ่งเห็นหิมะเป็นครั้งแรก อากาศหนาวๆ แต่แดดก็แรงสุดๆ เดินไปได้ไม่ไกลก็กลับขึ้นรถ เพราะยังเหลือระยะทางอีกไกลโขกว่าจะไปถึง base camp





พวกเราตื่นเต้นกันมากหลังจากที่คนขับรถชี้ไปเขาข้างหน้านู่น นั่นแหละ เอเวอเรสต์





จำไม่ได้แล้วว่ามีด่านตรวจกี่ด่าน กี่ครั้งที่มีตำรวจขึ้นมาดูหน้าพวกเรา กี่ครั้งที่ต้องส่งพาสปอร์ทให้ไกด์เพื่อไปลงทะเบียน





ด่านบางด่าน ตำรวจทำเสียเวลา เพราะอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตรงไหนชื่อพวกเรา ไม่รู้ว่า Name คือชื่อ แถมสะกดชื่อประเทศไทยเป็นภาษาจีนไม่ถูก เขียน "ไท้" ที่แปลว่าใหญ่ไปซะงั้น จนคนขับรถบ่นกับพวกเราว่า อ่านไม่ออกยังจะทำเป็นตรวจอีก...





พวกเรามาถึงเมืองเชการ์ (Shegar) หรือติ้งริใหม่ (New Tingri) ก็แวะทานอาหารกลางวันกันก่อน จากนี้ไปจะมีด่านสุดท้ายที่ต้องลงไปรายงานตัว ก่อนที่จะถึงแยกถนนลูกรัง ซึ่งจะเหลือระยะทางอีกประมาณ 100 กม.





ดูจากถนนแล้วก็เหนื่อยใจแทนคนขับ คิดอยู่เหมือนกันว่าจะคุ้มมั้ยนี่ แล้วฟ้าจะปิดรึเปล่า จะปวดหัวมั้ย ฯลฯ

แต่พอมองเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่ไกลๆ แล้วมันก็รู้สึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราต้องมาเห็นกับตาให้ได้ ถึงแม้ไม่มีปัญหาจะปีนขึ้นเอเวอเรสต์แต่ได้ไปถึง base camp ก็ภูมิใจสุดๆ แล้ว

อันนี้ไม่รู้ใครมาสลักไว้ สงสัยคนไทย + คนไอร์แลนด์รึเปล่า





เส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดเป็นงูกันเลยทีเดียว มองลงไปด้านล่างเห็นถนนคดเป็นทางยาว แล้วก็คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงฟระนี่ อากาศก็ดูไม่ค่อยดีแล้ว เพราะฟ้ามันครึ้มๆ ไปถึงแล้วไม่เห็นยอดนี่จะเป็นอะไรที่ซวยสุดๆ

ถนนหนทางที่พวกเราไป ไม่มีรถโดยสารผ่านไปมาเลย ดูท่าทางแล้วพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวเพียงกลุ่มเดียวในวันนี้ที่มาเยือน Qomolangma Base Camp
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

...

ระหว่างทางนอกจากยอดเอเวอเรสต์ (8848 เมตร) แล้วยังมองเห็นยอดที่สูงเกิน 8000 เมตรอีก 3 ยอดคือ Lhotse (8516 เมตร) Makalu (8463 เมตร)
และ Cho Oyu (8201 เมตร) ดูไกลๆ แล้วภูเขาเหล่านี้ยิ่งใหญ่มากไม่แพ้เอเวอเรสต์เลย (ดู Lhotse แล้วพาลคิดไปว่า คล้ายๆ ดอยหลวงเชียงดาวเลย) เพียงแต่เอเวอเรสต์จะสูงโดดขึ้นมา ขณะที่รอบข้างเตี้ยๆ หน่อย





กับการเดินทางบนถนนลูกรัง ด้วยระยะทาง 100 กม. พวกเราใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงวัดหรงปุซึ Rongbuk Monastery ซึ่งเป็นวัดที่อยู่สูงที่สุดในโลก ที่ระดับ 5,200 เมตรกว่าๆ จากจุดนี้ไปจะใช้เวลา 20 นาทีก็ถึงจุดหมายที่เราทุกคนเฝ้ารอมาทั้งวัน

เส้นทางช่วงนี้มีหวาดเสียวเล็กน้อยเพราะถนนมีหิมะปกคลุม คนขับรถต้องใช้ฝีมือพอสมควร

และแล้วพวกเราก็มาถึง Mt. Qomolangma Base Camp หรือ Everest Base Camp





มีเจ้าหน้าที่ออกมาต้อนรับกันมากมาย บอกว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกและกลุ่มสุดท้ายของวันนี้





หิมะปกคลุมทั่วไปหมด อุณหภูมิต่ำกว่า -10 องศา ไอ้ตัวผมที่เกลียดความหนาวมาแต่ไหนแต่ไร เจอแบบนี้ก็อาการออกเลย แถมความสูงระดับนี้ที่ไม่ได้ปรับตัวมาก่อน ทำให้การเดินขึ้นไปชมวิว ระยะทางคร่าวๆ แค่ 100 เมตร ผมเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ ขณะที่คุณพ่อ คุณลุง และคุณอา เดินกันชิวๆ เหมือนเดินเล่น เห็นแต่ละคนเดินกันฉิว ทำเอาผมท้อใจเหมือนกัน





ถึงแล้ว!





พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงก็ต้องกลับ ขากลับแวะชมวัด Rongbuk อีกครั้ง ผมตั้งใจจะขึ้นไปเดินชมวัดสักหนึ่งรอบ แต่อาการ Altitude Sickness ทำเอาผมต้องถอดใจ ขอยืนถ่ายรูปอยู่ตรงถนนนี่แหละ คิดแล้วก็อนาถตัวเองมากมาย





คืนนี้ไม่ได้นอนกันที่วัด แต่ไปนอนกันที่ Shegar ซึ่งเป็นความคิดที่ดีแล้ว (มีนักท่องเที่ยวก่อนหน้าติดอยู่ที่วัด Rongbuk 4 วันหลังจากอากาศหนาวจัด รถสตาร์ทไม่ติด คิดแล้วเสียวเลย)

ดูเวลาแล้วถึง Shegar มืดแน่นอน พวกเรากลับถึง Shegar ตอนสามทุ่มกว่า ทานอาหารค่ำกันเสร็จก็เข้าที่พัก ซึ่งเมืองนี้น้ำขาดแคลนมาก ห้องน้ำจึงเป็นส้วมหลุมอย่างเคย น้ำราดไม่มี ก็ต้องทนๆ กันไป.. อุณหภูมิยามดึกวัดได้ -16 องศา หนาวสุดขั้วหัวใจ

เป็นวันที่เหนื่อยและทรมาน แต่ก็ดีใจสุดๆ ครับ ว่าพาตัวเองมาถึงที่นี่จนได้ พ่อถามผมว่ามาอีกมั้ย ผมไม่ลังเลใจ บอกถ้ามีโอกาสก็จะมาอีก แต่คราวหน้าขอไปไกลกว่าเดิมนิดนึงละกัน ทริปนี้ผมเสียฟอร์มไปเยอะเลย ไปๆ มาๆ กลายเป็นคนอ่อนแอที่สุดในทริปนี้เสียได้...






 

Create Date : 28 เมษายน 2553    
Last Update : 28 เมษายน 2553 23:31:16 น.
Counter : 1752 Pageviews.  

== พิชิตยอด 4,095.2 เมตร ที่ Mt. Kinabalu ==

ทริปนี้มีกันอยู่ 7 คน

แต่ละคนประสบการณ์ล้นเหลือ

-------------------------------

วันแรกพักผ่อนกันที่เมืองโกตา คินาบาลูกันก่อน วันถัดมาเดินทางไปยังอุทยานและพักค้างคืนกันที่นี่

ค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องสภาพอากาศกันมาก เพราะเมฆจะครึ้มอยู่ตลอดเลย ถ้าขึ้นไปแล้วฝนตกไกด์ห้ามไปต่อนี่เศร้าสุดๆ แน่ๆ





ตอนหัวค่ำก็มาฟังเค้า brief ให้ฟัง ถึงวิธีการเดินทาง ขั้นตอนต่างๆ





สภาพที่นอนก็ประมาณนี้ มีชุดอาบน้ำ น้ำดื่มให้ทุกคนพร้อม





ยามเช้าตื่นมาพร้อมกับความหวัง เพราะมองเห็นยอดได้อย่างชัดเจน เห็นแล้วก็หวั่นใจอยู่ว่าจะขึ้นไปไหวรึเปล่า





คนขับรถพาพวกเรามาส่งที่ timpohon gate ระยะทางจาก hq ก็ 4.5 km พร้อมแล้วก็เริ่มเดินทางกันเลย

ช่วงแรกๆ เดินกันไปสบายๆ เพราะทางลง เริ่มมีขึ้นเล็กน้อยก็เจอน้ำตก





ไม่นานก็ถึงป้ายบอกระยะทาง 500 เมตรแรก (แต่รู้สึกว่ามันไกลนะ)

สมาชิกกลุ่มเริ่มแยกกันแล้ว เส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามเกาะผู้นำคือพี่ชะลิต แต่พี่แกเดินไวมาก น่าทึ่งจริงๆ อายุ 55 ปีแล้วแต่แข็งแรงสุดๆ





ก่อนถึงกม. 4 มีคนบาดเจ็บค่อยๆ ถูกพยุงลงมา อาการท่าทางพอสมควร โขยกเขยกเดินลงมาอย่างช้าๆ





เลยกม. 4 ไปสักพักก็ถึงจุดทางแยกระหว่าง timpohon กับ mesilau ทีแรกพวกเราตัดสินใจขึ้น timpohon แต่ลง mesilau แต่ไปๆ มาๆ ต้องเปลี่ยนไปลงที่เดิมครับ เพราะหนักเอาการ





ช่วงท้ายๆ นี่ผมเหนื่อยมากมาย พี่แกเดินนำไปนู่นแล้ว ผมเดิน 10 ก้าวหยุดพักทีนึง





ช่วงที่ชันๆ ก็เป็นบันได เริ่มสวนกับผู้คนที่กำลังลงมามากขึ้นเรื่อยๆ





เจอศาลาก็นั่งพักเอาแรงสักพัก น้ำที่ติดไปเริ่มพร่อง ต้องกินอย่างประหยัด เพราะน้ำแต่ละจุดพักเค้าไม่ได้ทำไว้สำหรับดื่ม

อดทนอีกนิดเดียวก็จะถึง Laban Rata แล้ว





เห็นศาลาอันแรกนึกว่าถึง ที่จริงยังต้องเดินขึ้นมาอีก เหนื่อยแทบขาดใจ ในที่สุดก็พาตัวเองขึ้นมาถึงที่นี่





ดูนาฬิกาแล้ว ใช้เวลาเดินขึ้นมา 4 ชม.พอดี พี่ชะลิตนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว

เอาข้าวกล่องที่ได้รับจากร้าน balsam cafe ตอนกินอาหารเช้าด้านล่างมาแกะกิน เป็นไข่ น่องไก่ และผลไม้ กินไปได้ไม่มากนัก ก็เบิกกุญแจห้อง ค่ามัดจำ 10 ริงกิต

พวกเราไปพักกันที่ Gunting Lagadan ซึ่งต้องเดินขึ้นไปอีก เหนื่อยสุดๆ ประมาณว่าขึ้นแล้วไม่อยากเดินลงมาที่ laban rata อีก





ห้องนอนพวกเราเป็นเตียง 2 ชั้น 8 ที่นอน ห้องน้ำรวม มีห้องครัวให้ต้มน้ำได้ แต่น้ำร้อนไม่ทำงาน

นอนพักผ่อนสักพัก พี่เสมอก็ตามมาสมทบ จากนั้นกลุ่มที่เหลือก็ขึ้นมากันจนครบ





ตอนเย็นฝนตกลงมาหนักมาก มองออกไปเห็นน้ำตกเป็นสายใหญ่ ดูสวยงาม แต่ก็กังวลว่าพรุ่งนี้จะขึ้นยอดกันได้รึเปล่า





โชคดีตอนเย็น ฝนหยุดตก ลงไปกินอาหารเย็นที่ห้องอาหาร Laban Rata คนเยอะดูครึกครื้นดี มื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์ กินกันจนอิ่มหนำสำราญดีแล้วก็กลับขึ้นมาที่ที่พัก ยามเย็นมีแสงสวยๆ ของพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าให้ชม





พวกเราต้องเข้านอนกันแต่ประมาณทุ่มนึงได้ เพราะต้องตื่นตอนตีสองเพื่อขึ้นยอด

ไอ้การนอนเช้าๆ ที่ระดับความสูงแบบนี้ ทำให้นอนกันไม่หลับ แถมเสียงดังภายนอกห้อง ที่มีคนเดินไปเดินมา ห้องก็ดันติดห้องน้ำ ทำให้ได้ยินเสียงดังหนวกหูอยู่ตลอดเวลา สรุปไม่มีใครได้นอนกันเลย

ตื่นตีสอง แต่ละคนก็เตรียมตัวให้พร้อม อาหารฝากไกด์ Doina กับ Porinus เอาติดขึ้นมาจาก Laban Rata ให้ เพราะไม่มีใครอยากจะเดินลงไปกินให้เหนื่อย (เพราะทางเดินขึ้นยอดจะต้องผ่านที่ Gunting Lagadan อยู่แล้ว)

ผมต้มกาแฟกินกับมาม่า เตรียมไฟฉายคาดหัว ใส่ถุงมือเรียบร้อย พอไกด์มาก็เริ่มออกเดินกันในความมืด

....


เส้นทางช่วง 2.7 km นี้ชันตลอดทาง ไกด์ Porinus บอกว่าพวกเราเดินค่อนข้างช้า กลัวไม่ทันลง Mesilau ผมคำนวณดูเวลาแล้ว ก็เห็นด้วย สมาชิกในกลุ่มเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าให้เห็น คงเป็นเพราะแทบจะไม่ได้นอนกันเลย

ผ่านทางชันช่วงแรก มาถึงช่วงไต่เชือก เส้นทางเห็นแล้วผมรู้สึกหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ไม่ได้รู้มาก่อนว่าจะต้องไต่เชือกที่ชันแบบนี้

ไกด์ Porinus บอกให้ผมกับพี่ชะลิตไต่ไปก่อน สมาชิกที่เหลือจะตามไป ผมกับพี่ชะลิตไต่กันอย่างช้าๆ ระวังตัวสุดๆ เพราะถ้าพลาดไปนี่ไม่ตายก็คางเหลือง

...

พี่ชะลิตเริ่มมีอาการเหนื่อยมากขึ้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่ความสูง (ของผมกินยาปรับตัวที่ได้มาจากทริปทิเบตมาแล้วเลยไม่รู้สึกอะไร) แกเริ่มหยุดพักบ่อย แต่พวกเราก็ทำเวลาได้ค่อนข้างดีทีเดียว

ไกด์บอกระยะทางที่ต้องไต่เชือกประมาณ 200 เมตร แต่ความรู้สึกผมคือมันไกลทีเดียว ไต่เชือกแบบนี้ เสียเวลา และเสียแรงมาก

พวกเราพักเหนื่อยกันบ่อย จนหันหลังกลับมาเจอพี่เกียรติ พี่โหน่ง พี่ฮุย และพี่หน่อย ตามมาสมทบแล้ว

มองไปด้านล่าง แสงไฟจากเฮดไลท์ของคนอื่นๆ ทอดยาวเป็นงูเลย ใจชื้นว่ายังมีคนตามหลังมาอีกเยอะ

...

พี่ชะลิตบอกให้ผมเดินล่วงหน้าไปก่อน ผมค่อยๆ ไต่เชือกขึ้นไป เริ่มพักบ่อยขึ้น หายใจหอบเสียงดัง ช่วงเวลานี้ได้ยินแต่เสียงหอบของตัวเอง รอบข้างเงียบสงัด ในความมืดมองเห็นเงาดำของ South Peak ยอดที่ผมตั้งใจจะมาดูกับตาตัวเอง รู้สึกดีใจที่ได้เห็นมันแล้ว มองลงไปเห็นไฟในเมือง ด้านบนมีดาวเต็มไปหมด เหนื่อยสุดๆ แต่ก็อดใจไม่ไหวที่จะพิชิตยอด Low's Peak

ผมเดินตามเส้นเชือกที่ลากยาวจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะจบที่ไหน ได้แต่ตามเชือกกับแสงไฟของคนก่อนหน้าที่อยู่ลิบๆ ไป ก้าวสิบก้าว ก็พักเหนื่อยทีนึง แต่พยายามจะพักให้น้อยที่สุด ก้มหน้าตั้งหน้าตั้งตาเดินไป เดี๋ยวมันก็ถึงเอง มองข้างบนมากๆ แล้วมันจะท้อเอา

...

เห็นป้ายหลักกิโลเมตร 8.5 km มีบอกระยะทางอีก 200 เมตรก็ถึงยอด แสงไฟคนข้างหน้าบอกให้รู้ว่าใกล้จะเริ่มไต่ขึ้นยอดสูงสุดกันแล้ว

ทางขึ้นยอด low ชันพอตัว ใครใคร่ปีนก็ปีน ใครใคร่จับเชือกก็ทำกันไป ผมได้ยินเสียงเฮของกลุ่มข้างหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าใกล้ถึงยอดเต็มที

... และแล้วก็ถึงเวลาของผมเฮบ้าง ในที่สุดก็พาตัวเองขึ้นมาถึงยอดสูงสุด 4,095.2 เมตรได้ ใช้เวลาไป 2 ชม.ครึ่ง ดูเวลาแล้วตี 5 ยังต้องรออีกสักพักกว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์





เริ่มหามุมทิศตะวันออกรอถ่ายรูปยามเช้า ด้านบนเล็กกว่าที่จินตนาการไว้เยอะ แถมหินนั่งยากมากมาย





อากาศด้านบนหนาวจับใจ แถมลมพัดเล่นเอามือชาไปหมด

เมื่อความสว่างเริ่มมา ความงามก็เริ่มปรากฏ ทะเลหมอกมีเต็มไปหมด





ฝั่งยอดหูลา ก็สวยใช่ย่อย





นักท่องเที่ยวเริ่มมากันมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจับจองที่ทางของตัวเอง





และแล้วดวงอาทิตย์ก็ปรากฎตัว มันสวยงามมากมาย คุ้มค่ากับการรอคอย





รู้สึกสดชื่นดีจริงๆ เวลาโดนแสงทองต้องตัว มันหนาวตัวแต่ก็อบอุ่นหัวใจ





คนเริ่มแน่นโดยเฉพาะแถวป้าย Low's peak ทีแรกผมตั้งใจจะกลับไปถ่ายกับป้ายอีกครั้ง ตอนสว่าง แต่คนแออัดกันมากมาย บางคนนั่งแช่ตรงป้าย ทำให้ถ่ายกันไม่ได้ ผมชะเง้อมองหาสมาชิกร่วมทริป แต่ก็ไม่เจอใคร จนตัดสินใจลงไปถ่ายรูปข้างล่างต่อดีกว่า

เส้นทางลง ก็ต้องหาทางอีกด้านลงเอง เพราะด้านทางขึ้นยังมีคนขึ้นมาไม่ขาดสาย





การจราจรค่อนข้างติดขัด แต่ทางลงมีหลายทาง ก็เลือกกันตามสบาย





ผมมุ่งหน้าสู่ยอด South Peak ยอดสวยของที่นี่ แล้วก็ได้เจอพี่ชะลิตกำลังจะลงไปเหมือนกัน เลยได้เพื่อนร่วมเดินทางกันอีกครั้ง





ขาลงยังเห็นผู้คนเดินขึ้นสวนไปอีกพอประมาณ





South peak ฟอร์มสวยมากมาย





ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ความหนาวเย็นเริ่มจางหายไป





ขาลงก็สนุกไปอีกแบบ ได้เห็นความเสียวที่ไม่ได้เห็นตอนที่เราปีนขึ้นมา มองทะลุเมฆเห็นด้านล่างแล้วเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย





ขาลงบางช่วงลื่น ต้องอาศัยจับเชือกให้มั่น





เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย พี่ชะลิตลื่นตอนปีนลง โชคดีไม่เป็นอะไรมาก ผมว่ามันค่อนข้างอันตราย ไม่มีอะไรเซฟนอกจากเชือก คิดแล้วยังเสียวไม่หาย ถ้าพลาดตกลงไปจะเป็นยังไง ยิ่งตอนช่วงสุดท้ายขาลง ชันมากมาย





ลงมาถึงที่พักก็รอสมาชิกจนครบ เก็บของเสร็จ กินข้าวกันที่ Laban Rata จากนั้นก็เริ่มเดินลง ขาลงผมเจอนักท่องเที่ยวสาวมาเลย์ ที่พวกเราเจอกันเมื่อตอนขาขึ้น เธอใช้เส้นทาง Mesilau แต่ใช้เวลาขึ้นน้อยมาก

พวกเราลงกันแบบ non stop คือไม่ได้หยุดพักเลย ฝนตกก็ลุยกันไป จนมาถึง timpohon gate ด้วยการใช้เวลาไป 2 ชม. 15 นาที ปวดเข่าไปตามๆ กัน

นับเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า เหนื่อยสุดๆ แต่ก็สนุกมากมาย ได้รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆ ที่น่ารักทุกคน มิตรภาพดีๆ ที่หาไม่ได้ง่ายๆ

ท้ายนี้ขอขอบคุณอาจารย์บัณฑิตที่จัดการเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ขอบคุณพี่ชะลิต พี่เสมอ พี่หน่อย พี่เกียรติ พี่โหน่ง และพี่ฮุย ที่ทำให้ทริปนี้สมบูรณ์แบบ โอกาสหน้าหวังว่าคงได้ร่วมทริปกันอีกครับ







 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2555 22:15:27 น.
Counter : 953 Pageviews.  

++ทิเบต++ ดินแดนหลังคาโลก #2 เที่ยวเมือง Shigatse ชมวัด Tashilhunpo

(ต่อจากตอนแรก)

ผ่านพ้นคืนวันแรกอันแสนโหดร้ายมาได้ โดยที่แทบจะไม่ได้นอน เพราะอาเจียนตลอด เช้ามืดได้แอนตาซิลไปสองเม็ด ก็รู้สึกดีขึ้น ดูท่าทางเราจะปรับตัวได้มากขึ้น ความรู้สึกอยากอาเจียนลดลงไป





ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ออกเดินทางกัน โดยโปรแกรมเที่ยวลาซาโดนเลื่อนไปเป็นโปรแกรมสุดท้ายเพื่อความปลอดภัยจากเรื่องความบาดหมางระหว่างชาวทิเบตกับชาวฮั่น







จุดหมายของวันนี้คือ Shigatse หรือลือเคอะเจ๊อะ ซึ่งอยู่ห่างจากลาซาไป 300 กม.

คนขับรถบัสพาพวกเราไปตามเส้นทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาและหิมะ ในขณะที่ต้นไม้ส่วนใหญ่จะเหลือแต่กิ่ง ดูแห้งแล้ง เหงาหงอย





นั่งรถมาได้สักพัก คนขับพาพวกเราแวะถ่ายรูปกันเล็กน้อย วิวภูเขาหิมะ และแม่น้ำ มันสวยแบบแปลกตาดีเหมือนกัน ผมลองไปย่ำๆ หิมะเล็กน้อย ก่อนต้องถอยออกมา เพราะทุ่นระเบิดของวัวเยอะเหลือเกิน





...

เดินทางกันต่อ..

มีบางช่วงมีด่านจับความเร็ว เป็นจุดๆ ซึ่งรถแต่ละคันจะต้องไปลงทะเบียนว่าถึงจุดแรกเวลาเท่าไหร่ ถึงจุดที่สองเท่าไหร่ ถ้าไปถึงจุดที่สองเร็วกว่ากำหนด ก็จะถูกปรับ

เพราะฉะนั้นรถส่วนใหญ่ผ่านจุดแรกไปก็จะขับความเร็วพอสมควร แต่พอใกล้จะถึงจุดที่สอง ก็จะจอดรอเพื่อฆ่าเวลา รอเวลาสมควรถึงค่อยข้บไปต่อ เราก็เลยเห็นรถจอดกันก่อนจุดเช็คพอยท์ที่สองกันเป็นแถว -*-





แวะทานอาหารกลางวันกันก่อน (อาหารจำเจมาก แถมมันเยิ้มๆ)





ขับต่อไปสักพักใหญ่ก็ถึงเมือง Shigatse เมืองใหญ่อันดับสองของทิเบต เช็คอินเข้าโรงแรมเรียบร้อย สักพักไกด์ก็โทรมาตามให้ไปเที่ยววัดกันได้





วัด Tashilhunpo เป็นหนึ่งใน 6 วัดใหญ่ของเกลุกปะ (กลุ่มหมวกเหลือง) ก่อตั้งเมื่อปีคศ. 1447 โดยดาไลลามะองค์แรก






วัดนี้มีพื้นที่ใหญ่โตเกือบ 300,000 ตารางเมตร ซึ่งควรมีเวลาอย่างน้อย 3 วันเพื่อเที่ยววัดนี้ให้ทั่ว





พวกเรามีเวลาแค่วันเดียว ก็ทำได้แค่เที่ยวชมสถูปที่เก็บร่างของ panchen lama องค์ต่างๆ น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปภายในได้ (ยกเว้นเสียตังเพิ่ม)





ด้านล่างเป็นลานโล่งกว้าง





ภาพวัดฝาหนังมีความงดงามและโดดเด่น





...

ขออนุญาตนำรูปส้วมของที่วัดนี้มาให้ชมกัน ต้องบอกว่าส้วมที่นี่ค่อนข้างสะอาดเมื่อเทียบกับหลายๆ ที่ พวกเราค่อนข้างมีปัญหา (โดยเฉพาะคุณอา)เวลาต้องเข้าห้องน้ำเพราะบางเมืองไม่มีน้ำ ส้วมจึงเป็นส้วมหลุม และเมื่อมองลงไปในหลุมก็ชวนไม่ให้ปลดทุกข์เหลือเกิน...แถมบางหลุมไม่ต้องก้มลงไปก็เห็นอะไรดีๆ กองพะเนินเทินทึกโผล่ขึ้นมาอยู่แล้ว...





...





มีโอกาสได้เดินรอบสถูป 3 รอบ เหมือนการเวียนเทียนบ้านเรา แต่บางคนก็ถือระฆังเล็กๆ มีด้ามถือ หมุนไปเรื่อยๆ หนึ่งรอบการหมุนระฆังเหมือนบทสวดหนึ่งบท คนที่ไม่มีก็เดินหมุนระฆังที่ตั้งอยู่ข้างๆ สถูป





ผู้คนที่นี่จะเชื่อในเรื่องโลกหน้า ดังนั้น ในชีวิตนี้เขาจะตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง เชื่อว่าในโลกหน้าจะได้เกิดมาดีกว่านี้ เหมือนกับทุกอย่างที่ทำตอนนี้ทำเพื่อชีวิตหน้านั่นเอง





บางคนตั้งใจไหว้จากบ้านตัวเอง นั่งกราบตามถนนมาตลอดทางจนถึงวัด (แล้วแต่ว่าจะไปที่วัดไหน) บางคนกินเวลาถึง 2 ปีกว่าจะทำสำเร็จ




...




 

Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 14:01:36 น.
Counter : 1794 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เม่าดอยตุง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




นับๆ ดูแล้วยังเหลืออีกหลายอุทยานเลยที่ยังไม่ได้ไป ว่าแล้วก็กางแผนที่ ออกเดินทางพิชิตอุทยานกันต่อไป..
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เม่าดอยตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.