Jack-A-Little-Monster

ไต่ Kilimanjaro หลังคาแอฟริกา ตอนที่ 3 (Shira Camp - Barranco Camp)

วันที่สาม Shira camp ไปยัง Lava Tower ลงไป Barranco Camp

Elevation (m): 3850m to 4600m down to 3950m, Distance: 12km, Time: 6-7 hours, Habitat: Semi-desert.


เป็นเช้าที่ฟ้าครึ้มๆ ไม่สดใส ยังดีที่ฝนหยุดกวนใจ หลังจากต้องนอนฟังเสียงเปาะแปะทั้งคืน

บรรยากาศโดยรอบยังเงียบสงบ ยามที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังซุกตัวในถุงนอนอุ่นๆ

ผมบันทึกภาพบรรยากาศโดยรอบ สมาชิกเริ่มโผล่ออกมาจากเตนท์กันมากขึ้น

..

"เป็นวันที่หนักที่สุดเท่าที่ผ่านมา" ผมสรุปใจความหลังจากได้ดูภาพกล้องหมอสุ่น ที่บันทึกการเดินทางทั้งหมดของเว็บป๋าเอาไว้ในกล้องตัวเก่ง

?ต้องเดินจาก 3850 เมตรขึ้นไปถึง 4600 เมตร แต่เดินลงมานอนที่ 3950 เมตร?

เท่ากับระยะกระจัด เดินสูงขึ้นไปอีกแค่ 100 เมตร

ดูจะเสียแรงเดินขึ้นไปตั้งเยอะ

แต่นับเป็นการปรับสภาพที่ดีทีเดียว

..






....


อากาศเริ่มหนาวเย็น หมอกฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย พวกเราบางคนใส่เสื้อกันฝนกันตั้งแต่เริ่มเดินเลย

เส้นทางชันขึ้นไปเรื่อยๆ วิวสองข้างทางเริ่มแปลกประหลาด

มองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนหินก้อนกรวด จะมีบ้างก็บางต้นที่สะดุดตา

ต้น Lobelia พืชประจำถิ่น ลำต้นตั้งตรงชูใบเป็นพุ่มๆ

สวยจนต้องหยุดถ่ายรูป


..



อาการปวดหัวเริ่มมาเยือน หลังจากขึ้นที่สูงไปได้สักพัก

ผมเดินเกาะกลุ่มอย่างช้าๆ โดยมีไกด์บาลีนำ ตามด้วยพี่นเรศร์ และป๋าเสริฐ

พวกเราหยุดพักเป็นช่วงๆ บาลีพยายามย้ำให้พวกเราจิบน้ำบ่อยๆ

ป๋าเสริฐเห็นผมอาการไม่ค่อยดี คอยเดินประกบอยู่ไม่ห่าง

อาการคลื่นไส้เริ่มมาเยือน แต่ก็ยังไม่มากพอจะขย้อนอะไรออกมา

บาลีบอกพวกเราว่าอีกไม่นานจะถึงทางแยก ทางซ้ายไป Lava Tower และ Arrow Glacier

ทางขวาไป Barranco Camp

ตามโปรแกรมจะเดินอ้อมไปชม Lava Tower ก่อนจะย้อนกลับลงมา

ผมบอกแกไปว่า เดี๋ยวไปถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน

..

พวกเราเดินกันช้าๆ เนิบๆ เป็นจังหวะ Pole Pole ตามสไตล์แทนซาเนีย

สักพักก็ถึงทางแยก

หมอกลงจัดจนมองแทบไม่เห็นอะไร แถมอากาศก็หนาวจัด

บาลีหยิบก้อนน้ำแข็งบนพื้นดินให้ดู ช่วยยืนยันความหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี

..

พวกเราหยุดพักกินอาหารกลางวันกันที่นี่

เพราะอาการปวดหัว และอากาศที่หนาวจัด ทำให้ผมกินอะไรไม่ค่อยลง

เอาบิสกิตแข็งๆ มากัดกินไปสองชิ้น กับน้ำผลไม้กล่องปิรามิดมาดูดๆ

ฝนเริ่มแหมะๆ ลงมาอีก

พี่นเรศร์บอกบาลีว่าไม่ต้องไป Lava Tower ก็ได้

พอดีกับป๋าขึ้นมาสมทบพอดี ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน

เดินลง Barranco Camp โลด!

..




เส้นทางขาลง ก็ลงดิ่งจริงๆ

เวลาลงพวกเราไม่เดินลงกัน แต่ใช้วิ่งแทน

ทั้งบาลี ทั้งป๋าเสริฐ ทั้งพี่นเรศร์

ไม่รู้จะรีบไปไหนกัน

ทำให้ผมต้องทำตัวรีบไปกับเค้าด้วย

วิ่งแซงทั้งลูกหาบ ทั้งลูกทริป

จนถึงจุดๆ หนึ่งผมก็ต้องหยุดกึ้ก

เพราะวิวมันสะดุดตาเหลือเกิน

มองไปทางซ้าย ด้านบนเห็นยอดหิมะปกคลุมจางๆ หลังสายหมอก

ด้านหน้าเป็นผาขนาดใหญ่ มีน้ำตกไหลลงมาจากผาสูง

มีต้น Cinecia กระจายอยู่เต็มไปหมด

งามแบบนี้ จะรีบร้อนไปไหน

(จริงๆ คือ ขอพักเหนื่อยสักพักนะ จะตายอยู่แล้ว)





..

ถ่ายรูปเพลินๆ ได้สักพัก ก็มีลูกหาบกลุ่มอื่นบอกบาลีว่า มีคนไทยหลงทาง 3 คน

ฟังแล้วก็ตกใจ

แกบอก 3 คนหลงเดินขึ้นไป Lava Tower

ยังไม่ทันได้ถามไถ่รายละเอียด ก็ได้ยินเสียงคนเดินลงมา

หมอโอ หมอสุ่น และพี่วินัย

คนไทย 3 คนนั้นนั่นเอง!

หมอโอเล่าให้ฟังว่าไป Lava Tower มา เหนื่อยมาก แถมไปหลงทาง

โชคดีเจอไกด์อีกกลุ่มช่วยพากลับลงมาได้

แม้ร่างกายผมจะไม่อำนวย

แต่ก็แอบคิดอิจฉาเล็กๆ ที่เค้าได้เที่ยวคุ้มค่ากว่าคนอื่น

..

ตอนหยุดถ่ายรูปดงต้น Cinecia อาการไม่ดีก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง

และแล้วการอ้วกครั้งแรกของทริปก็ได้ฤกษ์เริ่มต้นขึ้น

ไม่มีอะไรออกมา นอกจากเสียงอ้วก

หลังจากนั้นก็รู้สึกโล่งสบาย

..





..

แคมป์วันนี้รายล้อมด้วยอ้อมกอดของขุนเขา

เบื้องหลังเป็นยอดคีลีมันจาโร ด้านซ้ายมี Barranco Wall กำแพงทมึนประจันหน้าอยู่

คั่นกลางด้วยเหวลึก

มีต้นไม้ ดอกไม้นานาชนิดขึ้นปกคลุมดิน

ถือเป็นทำเลทอง

ทั้งสวยงาม ทั้งมีแง่งหิน ไล่ระดับกัน หลบสายตาคนได้ดี

ข้อหลังนี้ใช้กับการปลดทุกข์!

..

ผมเข้าไปงีบในเตนท์เพื่อหลบฝนที่ยังกระหน่ำลงมา

แต่แม้กระทั่งอยู่ในเตนท์ น้ำก็ยังท่วม!

แถวปลายเท้ามันเป็นแอ่งพอให้น้ำไปขังเล่นได้

หนีน้ำจากกทม. ก็ยังมาเจอน้ำบนภูเขาอีก

ดีที่แผ่นรองนอนหนาพอ

อาจจะชื้นบ้าง ก็อย่าได้แคร์

..





ฝนเริ่มซาลง มีเพียงละอองพรำๆ

พื้นดินเละตุ้มเป๊ะ เนื่องจากอุ้มน้ำไว้เยอะ

ไม่เว้นแม้แต่ในเตนท์กลาง พื้นดินเละเป็นโคลนไปหมด

โผล่หัวเข้าไปในเตนท์ นั่งคุยนู่นนี่กับป้าสมจิตร

ชั่วครู่ใหญ่ สมาชิกก็เริ่มออกมาจากเตนท์ตัวเอง





..





เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากข้างนอก ผมโผล่หัวไปดู

รุ้งกินน้ำ! ขนาดครึ่งวงกลม พาดผ่าน Barranco Wall

อารามดีใจ หมอสุ่น ร้องเพลง รุ้งตัวอ้วน ของรวิวรรณ จินดา

เอ๊ะ เพลงอะไรนี่ ผมเกือบจะไม่คุ้น!

แต่ละคนรีบไปคว้ากล้องตัวเอง

เป็นชั่วโมงแห่งความสุข







แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง ยามต้องแสงช่างอบอุ่นหัวใจ

เป็นยากระตุ้นชั้นดี ให้พวกเรารู้สึกอยากจะขึ้นยอดต่อไป

หลังจากหดหู่มาสองสามวัน






..


แสงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าหายไป

แทนที่ด้วยหมู่หมอกเมฆ และความมืด






วันนี้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูจะมีสีสันมากกว่าเมื่อวาน

ตกดึก ฟ้ายังเป็นใจ

ยอดขาวๆ ของคีลี่โผล่ชัดๆ ท่ามกลางหมู่ดาว

คืนนี้..ฝันดี

ราตรีสวัสดิ์







 

Create Date : 22 มกราคม 2556    
Last Update : 22 มกราคม 2556 22:06:04 น.
Counter : 1164 Pageviews.  

ไต่ Kilimanjaro หลังคาแอฟริกา ตอนที่ 2 (Machame Camp - Shira Camp)

วันที่สอง Machame camp ไปยัง Shira Camp
Elevation (m): 3000m to 3850m, Distance: 9km, Time: 4-6 hours, Habitat: Moorland.

วันนี้ระยะความสูงสั้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย เทรลยังเดินเพลินๆ มีต้นไม้ ดอกไม้เยอะ ปกคลุมไปด้วยฝอยลมอยู่ทั่วไปหมด





....

พวกเราเดินกันแบบไม่เร่งรีบมาก หมอกเริ่มปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ สภาพภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่เริ่มหายากมากขึ้น

วันนี้ขบวนนักท่องเที่ยวดูเยอะเป็นพิเศษ บางช่วงต้องต่อแถวรอคิวกันเดินขึ้น พาลนึกไปว่ากำลังเดินขึ้นภูกระดึง

ตามทางมีดอกไม้ น่าสนใจหลายชนิด บางทีอยากจะถ่ายรูป แต่ก็ไม่อยากหยุดเดิน เพราะกลัวคนอื่นจะเดินแซง

...

เดินมาได้ครึ่งค่อนทาง พวกเราก็หยุดพัก มีผมเกาะกลุ่มกับหมอสุ่นและป้าสมจิตร ขณะที่พี่วินัย หมอโอ และพี่นเรศร์ลิ่วไปนานแล้ว

ไกด์บาลีชี้ให้ดูจุดแคมป์ของคืนนี้ ดูไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้





พักกินแพ็คอาหารกลางวันที่แจกมา ขนมปังกับน้ำผลไม้ กัดๆ ดูดๆ เสร็จ ก็เดินกันต่อ

..

อากาศเริ่มแย่ลง ฟ้าครึ้ม ฝนเริ่มตกปรอยๆ

ทีแรกคิดว่าเล็กน้อย เดินฝ่าๆ ไปก็ได้

กลายเป็นเทโครมลงมา จนเกือบควักเสื้อกันฝนมาใส่กันไม่ทัน

ก้มหน้าก้มตา เดินจ้ำๆ ตามก้นบาลีอย่างเดียว

เดินตามแกไม่ต้องคิดอะไรมาก

สเตปแกดี เหมือนจะรู้จักก้อนหินทุกก้อนบนคิลี่

มารู้สึกตัวอีกทีก็ถึงแคมป์แล้ว

เตนท์พวกเรากางเสร็จเรียบร้อย ขาดแต่เตนท์กลาง

ฝนยังเทกระหน่ำลงมา จนบาลีไล่พวกเราไปหลบฝนที่บ้านพักไม้ก่อน





..

ยังไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดตก

มองไกลๆ ไปที่เตนท์ เห็นสมาชิกทยอยมาสมทบเกือบครบแล้ว

บางคนก็เข้าไปนอนในเตนท์เลย บางคนก็มาหลบฝนที่บ้านพักไม้ที่ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยลูกหาบและนักท่องเที่ยว

อากาศเลวร้ายมาก ทั้งเปียกชื้น ทั้งหนาวเหน็บ มองที่พื้นดีๆ เหมือนจะมีลูกเห็บเล็กๆ ตกปนลงมาด้วย

ผมไม่ถูกกับอากาศแบบนี้เลยจริงๆ

..

ที่บ้านพักไม้ เหลือผม หมอสุ่น และพี่วินัยยืนรอฝนหยุดกันอยู่สามคน

น่าจะเกินชั่วโมงแล้วล่ะ

บางทีฝนก็ซา แต่สักพักก็โหมตกลงมาอีก

ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจลุยฝนกันไปที่เตนท์

สมาชิกมากันครบทีมแล้ว

เข้าไปในเตนท์ เห็นพี่เกียรตินอนอยู่

เข้าไปนั่งพักหลบฝนได้สักพักก็เผลอหลับไป





..

ตื่นมา ฝนหยุดไปแล้ว อากาศเริ่มเปิด





เตนท์กลางคราคร่ำไปด้วยสมาชิกที่นั่งจับกลุ่มคุยกัน ผมแทรกตัวเข้าไปในร่วมในวงสนทนา ที่มีป๊อปคอร์น ชา กาแฟ และน้ำร้อน เสิร์ฟอยู่





อากาศแบบนี้อยู่เตนท์กลางดีที่สุด อบอุ่นไปด้วยเพื่อนฝูง และอาหารการกิน

..

ก่อนอาหารเย็น ไกด์โจชัวบอกพวกเราให้ไปดู Shira Cave





ระยะทางไม่ไกลนัก ผมจึงชวนหมอโอไปถ้ำมอง เอ๊ย มองถ้ำ

เป็นถ้ำเล็กๆ เอาไว้ใช้หลบฝนได้ ภายในไม่ใหญ่โตนัก

เมื่อก่อน Porters เอาไว้ใช้หลับนอน แต่ตอนนี้เค้าไม่ให้ใช้แล้ว





เศษขยะภายในเกลื่อน แถมมีหนูวิ่งไปวิ่งมา

..

พรุ่งนี้จะเปียกเหมือนวันนี้มั้ย ต้องไปลุ้นกันต่อ





 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2555 21:22:31 น.
Counter : 1065 Pageviews.  

ไต่ Kilimanjaro หลังคาแอฟริกา ตอนที่ 1

นับถอยหลังขึ้นปีใหม่กันที่ยอดคีรีมันจาโร (2012)
…..

เส้นทาง Machame Route

DAY 1: MACHAME GATE TO MACHAME CAMP
Elevation (m): 1800m to 3000m, Distance: 11km, Time: 5-7 hours, Habitat: Montane Forest.

พวกเรามารอพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ลานหน้าโรงแรมควาย





พร้อมด้วยสปอนเซอร์ใจดี





รอกันอยู่่นานสองนาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าทัวร์จะมารับ





ต้องรอถึง 2 ชั่วโมง กว่ารถบัสคันใหญ่จะโผล่มา ก็ยังดีกว่าไม่มาละนะ จ่ายตังไปหมดแล้วด้วย


รถออกจากโมชิ ไปยัง Machame Gate ระยะทางกว่า 25 กม. ถึงที่เกทนักท่องเที่ยวล้นหลาม วุ่นวาย





เส้นทางวันนี้เดินไต่ระดับจาก 1800 ไป 3000 เมตร





ขบวนลูกหาบรอต่อคิวชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง





เส้นทางร่มรื่น ปกคลุมไปด้วยป่าใส่เสื้อ ป่าโบราณ พรรณไม้หลายชนิด





ไกด์ทาเดเดินมาแล้วก็พูด โปเล่! โปเล่! (ช้า ช้า)

จนหลายๆ คนคิด มันจะเดินช้าไปไหนวะ





สปีดแต่ละคนแตกต่างกัน โดยเฉพาะพี่วินัย กับหมอโอ หายลับไปกับสายลมแล้ว

เดินกันใช้เวลาไม่นานนักก็ถึง Machame Camp ลงชื่อในสมุดลงทะเบียนให้เรียบร้อย แล้วรอลูกหาบกางเตนท์ให้นอน





มีวิวยอดคิลี่ให้เห็นพอชื่นใจ





ขณะที่วิวยอดเมรุ ก็แทงตระหง่านไม่น้อยหน้ากัน





อนาคตจะเป็นยังไงต่อไว้ว่ากัน ตอนนี้ขอเติมพลังกายกันก่อน






 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 12:04:32 น.
Counter : 1413 Pageviews.  

+++ พิชิตยอด Gunung Agung ใน Bali +++

ครั้งแรกที่ได้ไปเยือนอินโดนีเซีย ก็คือการไปเยือนบาหลี เกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ดูๆแล้วน่าจะเป็นทริปที่ชิลๆ แต่จริงๆ แล้วเน้นการไปเทรคกิ้งมากกว่าการพักผ่อน

....

หลังจากที่พวกเราไปถึงบาหลี ก็มีรถมารับพาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น

Tanahlot





ชมคนเล่นกระดานโต้คลื่น





Gunung Batur อีกหนึ่งภูเขาไฟชื่อดังของบาหลี





น้ำตกกิทกิท





วัดกลางน้ำ Pura Ulun Danu Bratan





Pura Taman Ayun





เที่ยวชมวัดฮินดูที่สำคัญที่สุดของเกาะบาหลี Pura Besakih





วัดนี้หากไม่รู้จักคนใน การไปวัดค่อนข้างจะยุ่งยาก เหมือนมีมาเฟียคุม โชคดีที่คนขับรถพวกเรารู้จักคนแถวนั้น ทำให้การเข้าชมวัดไม่น่าปวดหัวนัก
กำลังทำพิธีกันอยู่




...

ช่วงดึกคืนนี้เราพักกันใกล้ๆ วัดเบซากีห์ ซึ่งมีความสูงราว 980 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หลังจากที่เราตกลงกันแล้วว่าค่ำคืนนี้จะเทรคขึ้น Gunung Agung ยอดเขาสูงสุดของบาหลีกัน ซึ่งมีความสูงถึง 3142 เมตร

มีเรื่องน่าเศร้านิดหน่อยสำหรับผม คือซุ่มซ่ามเผลอทำกล้องตก ทั้งๆ ที่กล้องอยู่ในกระเป๋าและตกในความสูงที่่ไม่ถึงเมตร แต่คงจะซวยจริงๆ UV Filter และ CPL แตกจนไม่สามารถใช้การได้อีก TT




..

พอเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ไกด์ก็มารับ พวกเราแต่งตัวเตรียมพร้อมออกเดินทาง
เดินผ่านหลังวัดเบซากีห์กันไปในความมืด ที่หัวแต่ละคนมีไฟฉายคาดกันอยู่
สักพักก็ถึงวัดบนเขา ซึ่งเราจะต้องทำพิธีแสดงความเคารพกับภูเขาศักด์สิทธิ์นี้กันก่อน




...

เส้นทางขึ้นยอด Agung ต้องยอมรับกันจริงๆ ว่าไม่ใช่เทรคกันแบบเล่นๆ หากลองคำนวณระยะกระจัดดูแล้ว จะตกใจกับระยะทางความสูงที่จะต้องเดินกัน คือ 3124 - 980 คือเกือบประมาณ 2200 เมตร หรือ ต้องเดินขึ้นระยะกระจัดในแนวตั้ง 2 กิโลเมตรกว่าเลยทีเดียว

นอกจากทางที่ชันดิกแล้ว อุปสรรคที่สำคัญของพวกเราอีกอย่างก็คือ ทางเดินที่เป็นหินภูเขาไฟ มันร่วนๆ เดินแล้วก็ไหล บางช่วงต้องปีนป่าย อันตรายเป็นอย่างมาก

พวกเราเดินกันไป รอกันไป จาก 5 ทุ่ม ตั้งใจจะไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันบนยอด จนแล้วจนรอดไม่สามารถทำได้ตามเวลาที่ตั้งไว้ เงาของโคนภูเขาไฟสาดส่องมาทางด้านหลังขณะปีนขึ้น





ผมถึงยอดต่อจากหมอโอ ซึ่งฟิตจัดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ขึ้นไปถึงยอดเวลาเกือบ 7 โมง คิดดูแล้วพวกเราใช้เวลาเทรคขึนไปประมาณ 8 ชั่วโมง แต่น่าดีใจที่พวกเราทุกคนสามารถขึ้นถึงยอดได้หมด

พอแสงสว่างมาก็เริ่มเห็นความสวยงามของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ วิวที่มองไปทางภูเขาไฟ Batur และ Abang เป็นวิวที่ประทับใจไม่รู้ลืม





ด้านบนลมพัดแรงมาก และหนาวสะท้านไปหมด ผมรีบหยิบแจ็คเก็ตตัวเก่งมาสวมก่อนจะรูดซิปปิดเพื่อเพิ่มความอบอุ่น





บนยอดสามารถเดินต่อไปได้จนถึงปากปล่องภูเขาไฟ โดยทางเดินอันตรายมากทีเดียว เป็นกรวดภูเขาไฟที่่ร่วนและพร้อมจะลื่นได้ตลอดเวลา





ด้านหลังของยอด Agung มองไปเห็น Gunung Rinjani ยอดสูงสุดของเกาะ Lombok ซึ่งมีความสูงถึง 3700 กว่าเมตรทะลุทะลวงหมู่เมฆขึ้นมา





มีโอกาสจะไปเยือน





สมาชิกเริ่มทยอยมาสมทบ





ปากปล่องมีป้ายเล็กๆ บอกความสูง 3142 เมตร ความสูงน้อยกว่ายอด Fansipan ในเวียดนามแค่เมตรเดียว





พวกเราใช้เวลาบนนี้ราว 1 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวคนอื่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งลงไปหมดแล้ว แสงแดดเริ่มสาดแรงขึ้น ทำให้ความหนาวเหน็บคลายลงไปได้เยอะ

..

ขาลงเหมือนว่าจะง่าย แต่จริงๆ ทำเอาผมท้อไปเหมือนกัน ทั้งทางเดินที่ร่วน จำไม่ได้ว่าลื่นไถลไปกี่รอบ พยายามจะตามคนนำทางที่วิ่งลง ดูเหมือนจะง่ายแต่ก็ทำแบบเค้าไม่ได้ ผมกับหมอโอเหมือนกับวิ่งกันลงมา ทิ้งกลุ่มหลังไว้ค่อนข้างห่าง ใช้เวลาอยู่นานมาก รู้สึกอ่อนล้าไปหมด และหิวน้ำจัด รวมไปถึงหิวข้าวด้วย

พอถึงด้านล่าง บายูคนขับรถก็มารอรับ พร้อมกับแสดงความยินดีกับพวกเรา สิ่งแรกที่ทำคือ ไปหาซื้อน้ำอัดลมมากินแก้กระหาย อาบน้ำเสร็จก็นอนรอกลุ่มหลัง

การปีน Gunung Agung เป็นหนึ่งในประสบการณ์โหดที่ประทับใจไม่ลืมเลยจริงๆ

หมายเหตุ Gunung Agung สามารถขึ้นไปชมได้ 2 ทาง คือทางใต้และตะวันตก แต่ทางใต้ไม่สามารถขึ้นถึงยอดได้ หากต้องการพิชิตยอด ต้องใช้เส้นทางตะวันตก ซึ่งจะเดินผ่านวัดเบซากีห์ เริ่มเดิน 5 ทุ่มถึงยอดประมาณ 7 โมงเช้า




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2555 21:44:04 น.
Counter : 2034 Pageviews.  

Nepal - Chapter 13: High Camp - Namche Bazaar

เวลาเดิน: 10 ชม.
ระยะทาง: 28 กม.

Island Peak High Camp: 5600 ม.
Namche Bazaar: 3420 ม.


หมดอารมณ์ถ่ายรูป



เช้าวันใหม่เต็มไปด้วยสายหมอกปกคลุมบริเวณที่กางเตนท์ อาการเหนื่อยล้าจากเมื่อวานหายเป็นปลิดทิ้ง เช่นเดียวกับอาการปวดหัว

ผมลุกออกมาจากเตนท์ เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนผืนผ้าใบร่วงกราวลงมา





ไม่รู้เมื่อคืนติดลบเท่าไหร่

แต่เป็นคืนที่นอนสบายกว่าเมื่อวานซืนมาก
..





วันนี้ไม่มีภารกิจอะไรให้พิชิตกันอีกแล้ว เพียงแค่เดินลงๆ สบายๆ ไปให้ถึง Namche Bazaar

หารู้ไม่ว่าวันนี้เป็นหนึ่งในวันที่เดินหนักที่สุดด้วยซ้ำ!

หลังจากอาหารเช้า ลูกหาบก็ช่วยกันเก็บเตนท์





ใครพร้อมแล้วก็เริ่มเดินลงจาก High Camp





จุดหมายแรก คือ Base Camp ผมใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลงมาถึง รอพลพรรคมารวมตัวกันแล้วเริ่มเดินกันต่อ

เมืองถัดไปคือ Chhukung ระยะทางเริ่มไกลมากขึ้น แม้เส้นทางจะมีลง แต่ก็มีขึ้นเช่นเดียวกัน

พวกเรานัดกันที่เมืองนี้ เพื่อกินข้าวกลางวัน รวมถึงเอาของที่เคยฝากไว้คืนมา

มาถึงร้านเดิมที่พวกเราเช่า Crampon, Harness และ Ice Axe

เจอคนออสเตรียน 2 คู่กำลังทดสอบอุปกรณ์ปีนเขากันอยู่

หวังว่าพวกเค้าคงไม่โชคร้ายเช่า Jumar อันที่เสียของผมไปใช้นะ

..

หลังจากเติมพลังด้วย Yak Steak เสร็จก็ต้องรีบเดินกันต่อ

ดูจากระยะทาง ระยะเวลา วันนี้เหนื่อยแน่นอน

จุดหมายถัดไปคือ Dingboche จำได้ว่าเดินจาก Dingboche มายัง Chhukung ไม่ค่อยไกลนัก

แต่ขากลับ รู้สึกว่ามันยาวไกลเหลือเกิน

ผมสับเท้าเดินอย่างเร่งรีบ แต่สักพักก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินมาจี้ติด ไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นฝีเท้าใคร

พอถึง Dingboche แวะซื้อน้ำเสร็จ ก็เดินกันต่อ ให้หมอโอเดินนำไปก่อน

ขณะที่ข้างหลังไม่เห็นคนอื่นตามมาเลย

..

หมอโอยังไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย

ผมได้แต่เดินตาม ระยะทางเริ่มห่างกันมากขึ้นทุกที

เส้นทางจาก Dingboche ไปยัง Tengboche ต้องตะโกนออกมาดังๆ

ว่า "นรก" มาก

คำว่า "ท้อ" เริ่มมาเยือน

เมื่อไหร่จะถึงซะที (วะ)

ถามตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ายังอีกไกล

ผ่านเมือง Pangboche ก็มาเจอ Debuche ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว

จาก Debuche ต้องเดินดิ่งขึ้นไปยัง Tengboche

เห็นทางแล้วอยากร้องไห้แบบพี่แมว

บัดนี้ความฟิตหายไปหมดเกลี้ยง

เดินๆ หยุดๆ หอบๆ มองขึ้นไป..ท้อใจ ก้มหน้า เดินต่อ... เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งหลายหน

กว่าจะถ่อขึ้นไปถึง Tengboche Monastery ได้ แทบกระอักเลือดตาย

หมอโอไม่รู้หายไปไหนแล้ว

อากาศเริ่มเลวร้าย ฟ้าครึ้ม ลมแรง หิมะเริ่มลง

พักเหนื่อยกินน้ำได้สักพัก หมอโอก็โผล่มาให้เห็น

แกไปแวะกินเบเกอรี่มา ขณะนี้พลังงานกลับมาเต็มเหมือนเดิม

ในขณะที่ผม พลังงานจาก Yak Steak หมดไปตั้งแต่ที่ Dingboche แล้ว

แต่ถึงตอนนี้บอกตรงๆ ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลย นอกจากน้ำ

ดูขวดน้ำตัวเอง เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแล้ว

วันนี้ซัดไปแล้วขวดครึ่ง!

..
ช่วงจาก Tengboche ไป Namche Bazaar เป็นอีกช่วงที่เดินแล้วท้อใจ

มันรู้สึกแย่ทั้งขาไปและขากลับ

เพราะช่วงกลางทางต้องเดินลงดิ่งไปเพื่อข้ามสะพาน

ก่อนจะต้องเดินดิ่งไต่ระดับขึ้นที่สูงอีกครั้ง

ทำใจไม่มองทางข้างบน ก้มหน้าก้มตาเดินๆ ไป

แต่พอหิว ก็เริ่มคิดถึงแต่อาหารต่างๆ ชนิด

อาหารไทย ขนมหวาน ผลไม้ ฯลฯ

ยิ่งเดินยิ่งเพ้อ

..

ดูนาฬิกาแล้วก็ห่วงคนข้างหลัง สงสัยต้องมีไนท์เทรลกันแน่ๆ

ขณะนี้ผมเดินกับหมอโอ แกจะเดินลิ่วไปก่อน มีหยุดถ่ายรูปบ้าง เป็นการรอผมไปในตัว

ช่วงเดินริมหน้าผา ตามหลืบเขา จะวิวด้านหลังเป็นยอดเอเวอเรสต์ต้องแสงสีทองงดงามเกินคำบรรยาย

แต่น่าแปลก ที่ผมไม่ได้ควักกล้องมาบันทึกภาพไว้สักใบ

เหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะมองวิว

everest ก็ everest เถอะ

ไม่สนใจแล้ว!

..

พวกเราสองคนมาถึง Namche Bazaar กันตอนประมาณ 6 โมง

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่ยังพอเห็นทาง

เข้ามาถึงโรงแรม Nmaste Lodge อย่างหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง

หลังจากได้ Yak Sizzler ไปคนละจาน ก็รู้สึกดีขึ้น

สมาชิกเริ่มทยอยมากันทีละกลุ่มๆ

กลุ่มหลังๆ ถึงขนาดต้องนั่งม้ากันเลยทีเดียว

ไม่ต้องถามความเห็นใดๆ แม้กระทั่งป๋าที่ไม่เคยจะได้เห็นแกบ่น ยังปริปากบ่นเหนื่อยออกมา

กับเส้นทางในวันนี้

วันที่เดินไกลที่สุด เกือบๆ 30 กม.

..





จบตอนที่ 13

==================================================================================




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2554 9:13:01 น.
Counter : 819 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เม่าดอยตุง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




นับๆ ดูแล้วยังเหลืออีกหลายอุทยานเลยที่ยังไม่ได้ไป ว่าแล้วก็กางแผนที่ ออกเดินทางพิชิตอุทยานกันต่อไป..
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เม่าดอยตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.