อ่านตอนที่ 1 : โคลอสเซียม...มหึมาบนซากชีวิตอ่านตอนที่ 3 : วาติกันมิวเซี่ยมและมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์...ประติมากรรมและจิตรกรรมขั้นเทพ
ตอนที่แล้วผมพาไปเที่ยวชม Colosseum ตลอดจนการเดินทางเข้าประเทศอิตาลีมา... ตอนนี้จะพาเที่ยวในโรมต่อเลยนะครับ สถานที่จะพาไปชมในตอนนี้ก็คือ ปิอัซซาเวเนเซีย ( Piazza Venezia) ปิอัซซานาโวนา (Piazza Navona) และแพนธีออน (Pantheon) ครับคำว่า "ปิอัซซา" (Piazza) ในภาษาอิตาลี ก็หมายถึงจตุรัสในบ้านเราแต่ไม่ได้หมายถึงพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสแต่ประการใดนะครับ เขาคงหมายถึงพื้นที่โล่งๆอะไรประมาณนั้น (จขบ.เข้าใจแบบนั้น) ... ถ้าคุณๆเคยอ่านหนังสือที่เขาแนะนำเที่ยวอิตาลี จะเห็นว่าในโรมนั้นมีปิอัซซามากมายเต็มไปหมด
เราออกจากจากการชมโคลอสเซียมแล้วรถก็พาเราผ่านมาที่ปิอัซซาเวเนเซีย (Piazza Venezia) โดยเขาขับวนให้เราถ่ายภาพบริเวณนี้กันบนรถนั่นแหละ บริเวณนี้กว้างพอควร มีอนุสรณ์สถานของพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2ตั้งเป็นสง่าอยู่ โดยที่ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าเขียวปลูกดอกไม้แซมเป็นบางส่วนเหมาะสำหรับชมอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นอย่างมาก ส่วนรอบๆจตุรัสมีอาคารมากมาย แต่ละอาคารล้วนแล้วแต่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น..
พระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 แห่งอิตาลี ปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอิตาลี ประสูติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1820 เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าชาร์ลส์ อัลเบิร์ต กษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียและพระนางมาเรีย เทเรซาแห่งออสเตรียและทัสคานี ในที่สุดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย สามารถรวบรวมรัฐต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวและสถาปนาราชอาณาจักรอิตาลีได้สำเร็จ สมเด็จพระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 จึงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อิตาลีพระองค์แรก และสวรรคตเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1878 ขณะพระชนมายุได้ 58 พรรษาอิตาลีเมื่อก่อนได้แบ่งแยกกันเป็นรัฐต่างๆ และเคยถูกฝรั่งเศสปกครองอยู่เกือบ 100 ปี (1789 1867) พอฝรั่งเศสหมดอำนาจ จักรวรรดิออสเตรียก็ได้เข้ามาครอบครองดินแดนในอิตาลีต่อ... การรวมชาติของอิตาลีเริ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อประชาชนพลเมืองในอิตาลีได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติในฝรั่งเศส จึงเกิดขบวนการรวมชาติริซิจิเมนโต (Risogimento) ขึ้นตั้งแต่ปี 1830 โดยมีจูเซปเป มาซซินีเป็นผู้นำ ด้วยการปุกระดมประชาชนให้ต่อต้านออสเตรียเพื่อสร้างสาธารณรัฐให้เป็นปึกแผ่น โดยมีโรมเป็นเมืองหลวง แต่ไม่สำเร็จเพราะมีประชาชนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเขาที่ต้องการให้พระสันตะปาปาเป็นประมุข และพระสันตะปาปาก็ต่อต้านการรวมชาติด้วย
จนกระทั้งพระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมมานูเอลที่ 2 แห่งซาร์ดิเนีย ได้ร่วมมือกับคาร์วัวร์ (Cavour) เป็นผู้ดำเนินการทางการทูต และการิบันดี (Garibaldi) เป็นผู้นำทางการทหาร เข้าเจรจาต่อรองกับดินแดนต่างๆ หรือไม่ก็ใช้กำลังเข้าโจมตีหากไม่ยอมสวามิภักดิ์ เพื่อให้ดินแดนทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของซาร์ดิเนีย เหลือเพียงแต่โรมที่ยังเป็นอิสระปกครองโดยสันตะปาปาอยู่
ฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือขับไล่ออสเตรียออกจากลอมบาร์ดี ในปี 1860 การิบันดีพร้อมทหารอาสากลุ่ม เสื้อแดง จำนวน 1,000 นายได้ล่องเรือจากเจนัวเข้ายึดซิซิลีและเนเปิลส์ รวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ และพระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 ก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อิตาลี มีพิธีเฉลิมฉลองการรวมชาติที่เมืองตูริน โดยยังไม่ได้รวมกรุงโรมเข้าไว้ด้วย มีความพยายามเจรจากับพระสันตะปาปาในการรวมแผ่นดินแต่ก็ไม่เป็นผล เวนีซเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลีเมื่ออีก 6 ปีต่อมา จนกระทั่งปี 1870 กองทัพอิตาลีจึงเข้าตีกรุงโรมของพระสันตะปาปาผนวกเป็นดินแดนเดียวได้สำเร็จ และสถาปนาโรมเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่อีก 50 ปีต่อมาไม่มีพระสันตะปาปาพระองค์ใดเสด็จออกงานการก่อตั้งประเทศใหม่นี้เลย..
เคยเป็นพระราชวังใหญ่แห่งแรกของโรมในยุคเรอเนสซองซ์ สร้างขึ้นในปี 1455 - 1464 เพื่อถวายให้แด่พระคาร์ดินัลปิเอร์โตร บาร์โบ ชาวเมืองเวนีซเพื่อให้เป็นที่พำนัก ออกแบบโดยสถาปนิกอัลแบร์ตีหรือไม่ก็ไมอาโน ชาวเมืองฟลอเร็นซ์ ลักษณะอาคารและลวดลายคล้ายโบสถ์เซ็นต์มาร์กในเวนีซ... เคยเป็นทั้งที่พักและศูนย์บัญชาการใหญ่ของมุสโสลินี ผู้นำในยุคเผด็จการ และเคยกล่าวปราศัยจากระเบียงมุขหน้า ให้ประชาชนผู้ฝักใฝ่หลงใหลลัทธิฟาสซิสต์ปัจจุบัน ปาลัซโซเวเนเซียเป็นพิพิธภัณฑ์เวเนเซีย (Museo di Venezia) จัดแสดงปฏิมากรรม ภาพจิตกรรม วัตถุโบราณจำพวกเครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเงิน งานแกะสลักไม้ เครื่องแก้ว พรมแขวนประดับผนัง และสิ่งของเครื่องใช้ที่เคยมีในวัง..
หลังจากจตุรัสเวเนเซียรถบัสก็พามาจอดส่งใกล้ๆแม่น้ำเป็นถนนสายแคบๆ เพื่อให้เราเดินเท้าต่อเข้าไยัง ปิอัซซานาโวนา (Piazza Navona) ซึ่งถ้าเรามองไปทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ก็จะเห็นอาคารศาลสูงของอิตาลี..ถนนตรงสะพานนี้ (หลังกล้อง) เดินเข้าไปจะเป็นจตุรัสนาโวนา
Castel Sant'Angelo : ถึงจะไม่ได้อยู่ในกำแพงวาติกัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาจักรของวาติกันตามสนธิสัญญาที่มุสโสลินีได้ให้ไว้ จะมีทางเดินลับเชื่อมระหว่างปราสาทแห่งนี้กับพระราชวังของพระสันตะปาปาเพื่อเอาไว้หลบภัยหากศัตรูคิดจะมาจับตัวพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านหน้าเป็นสะพาน แต่ไม่ให้รถผ่าน คนสามารถเดินข้ามไป-มา เพื่อไปเที่ยวต่อทาง จตุรัสนาโวนาได้
จตุรัสนาโวนา เป็นศูนย์รวมของสารพัดสิ่ง ทั้งร้านอาหาร นักดนตรี นักมายากลข้างถนน ศิลปินวาดรูปเหมือน และที่สำคัญคือนักท่องเที่ยว เดิมทีที่ตรงนี้เป็นสนามกีฬาของพวกโรมันเอาไว้แข่งม้า ถนนที่อยู่รอบๆ คือ ลู่วิ่งของม้า บริเวณนี้มีน้ำพุที่สำคัญ 3 อัน ผลงานของศิลปินนักแกะสลักชื่อดัง Gian Lorenzo Bernini ตรงกลางลานจะเห็นเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) รอบๆ เสาจะเป็น น้ำพุแห่งสี่มหานที (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้น ซึ่งแทนแม่น้ำใหญ่จาก 4 ทวีป ได้แก่ คงคา ดานูป ไนล์ และพลาต้า (ในอเมริกาใต้)
คำว่า โอเบลิสก์ (Obelisk) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Obeliskos หมายถึง เหล็กแหลม เข็ม หรือ เสาปลายแหลม ลักษณะของเสาโอเบลิสก์จะเป็นเสาสูง สร้างจากหินแกรนิตขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว ฐานของเสาจะกว้างและค่อยๆ เรียวแหลมขึ้นสู่ยอดด้านบนเป็นแท่งสี่เหลี่ยมสี่ด้าน ยอดบนสุดจะเป็นลักษณะเหมือนปิรามิด และมักนิยมหุ้มหรือเคลือบด้วยโลหะ เช่น ทองคำ เหล็ก หรือ ทองแดง เป็นต้น (ดูเพิ่มเติม)เสาโอเบลิสก์เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะที่มีต้นกำเนิดจากอียิปต์โบราณ เป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางสู่วิหารเทพเจ้า ปกติจะนิยมสร้างขึ้นเป็นคู่ ตั้งอยู่ ณ บริเวณทางเข้าวิหาร ตัวอย่างเช่นที่ วิหารลักซอร์ หรือ วิหารคาร์นัค เป็นต้น บริเวณรอบๆ เสาโอเบลิสก์จะแกะสลักเป็นร่องลึกด้วยอักษรเฮียโรกลิฟฟิค บอกเล่าถึงฟาโรห์ผู้สร้าง และเรื่องราวของการสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า ดังนั้น เสาโอเบลิสก์จึงเป็นเสมือนหนึ่งเสาอนุสรณ์ บ่งบอกถึงนัยยะแห่งที่ตั้งของสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์โบราณว่ากันว่าที่โรมมีเสาโอเบลิสก์มากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นของเก่าแก่ที่เอามาจากอียิปส์ 8 ต้น (โรมันเคยปกครองอียิปต์อยู่ช่วงหนึ่ง เลยขนเอาเสาโอเบลิสก์มาไว้ที่โรมบางส่วน) และอีก 5 ต้น (รวมทั้งที่อยู่ในภาพด้านบนนี้) เป็นของโรมันโบราณ (ดูเพิ่มเติม)
บริเวณรอบๆจตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่ม บนลานมีเก้าอีกให้นั่งชมทัศนีย์ภาพของน้ำพุและสิ่งก่อสร้างรอบๆจตุรัสรูปวงรีนี้... เราอยากทานเกาลัดอิตาลีบ้าง เลยเดินเข้าไปซื้อ เขาใส่กรวยเล็กๆที่เห็นนั่นให้นับเม็ดได้ซัก 8 เม็ดมั๊ง และคิดเรา 5 ยูโร... แต่เกาลัดที่นี่เม็ดค่อนข้างโตเมื่อเทียบกับที่บ้านเราเพราะสถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลีมีชื่อเสียงเรื่องมิจฉาชีพ เราจึงเห็นตำรวจพร้อมรถขังคนร้ายจอดอยู่ในซอย บริเวณนั้น
เดินต่อไปอีกนิดผ่านซอยเล็กๆ ประมาณซัก 100 กว่าเมตรก็จะพบกับ Piazza della Rotonda อยู่ด้านหน้าวิหารแพนธีออน ( The Pantheon ) มหาวิหารแพนธีออนสร้างมาตั้งแต่ 27 ปีก่อนคริสตศักราช โดยจักรพรรดิมารคุส อากริปปา แต่โดนไฟไหม้ไปในปีค.ศ. 80 ต่อมากษัตริย์ฮาดริอานได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในปีค.ศ. 118 แต่ยังคงให้เกียรติผู้สร้างเดิมด้วยการจารึกไว้ที่หน้าจั่ววิหารว่าอากริปปาคือผู้สร้างแพนธีออน นับเป็นวิหารจากยุคโรมันที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน
The Pantheon ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในปัจจุบันนั้น ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 2 นอกจากสภาพที่ยังคงไม่ผุพังไปตามกาลเวลาแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ การออกแบบอาคารให้มีความกว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุตเช่นกัน มีประตูทางเข้าโลหะสีทองบรอนซ์ที่มีน้ำหนักถึง 20 ตัน จุดเด่นที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การออกแบบโดมด้านบนของอาคารทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งไมเคิล แองเจลโลเอง ก็ยังทำการศึกษาสถาปัตยกรรมของโดมแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะออกแบบหลังคาโดมของโบสถ์ St. Peter's แห่งนครวาติกัน เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 8.30 - 19.30 น. ยกเว้นวันเสาร์ ที่จะเปิดเวลา 9.00- 18.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด
จากช่องด้านบนนั้น ถ้าวันไหนมีฝนหรือหิมะตกผ่านช่องนั้นลงมาเขาว่าเป็นภาพที่สวยงามมากๆ ช่องกลมๆนั้นหลายๆตำราว่ามีขนาด 3 เมตร ถึง 8.9 เมตร ที่พื้นวิหารก็จะมีรูเล็กๆ ใช้เป็นที่ระบายน้ำฝนที่ตกเข้ามาในวิหาร น้ำฝนจะไหลลงรูผ่านท่อไปออกแม่น้ำไทเบอร์ ท่อระบายน้ำแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งสร้าง แต่สร้างมาตั้งแต่ตอนสร้างวิหาร เป็นอีกเรื่องที่น่าทึ่งของโรมัน
โรมันสร้างแพนธีออนไว้เพื่อบูชาและเป็นที่ชุมนุมเทวดา จนปีค.ศ. 606 เข้าสู่ยุคคริสตจักรเรืองอำนาจ ก็เปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานมาเป็นโบสถ์คริสต์จนทุกวันนี้ ที่นี่ยังเป็นที่ฝังศพบุคคลสำคัญหลายคน เช่น กษัตริย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ผู้รวมชาติอิตาลี, ราฟาเอล ศิลปินระดับเทวดาร่วมยุคกับดาวินชีและมิเคลันเจโล ก็ฝังอยู่ที่นี่ มีคนมาเคารพศพมากมายทุกวัน
ด้านหน้าแพนธีออนที่ตรงกลางปิอัซซา เดลลา โรตอนดา มีน้ำพุและเสาโอเบลิสก์สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1711 เพื่อเป็นเกียรติให้แก่จักรพรรดิรามาเซสที่ 2 แห่งอียิปต์ รายรอบด้วยแผงขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านขายไอศครีม และบริการรถม้าโบราณนั่งชมเมืองไปตามตรอกซอยบริเวณนี้
หลังจากออกเที่ยวในกรุงโรมตั้งแต่เช้า โดยเริ่มที่โคลอสเซียมเรื่อยมาจนถึงวิหาร Pantheon นี้ก็ได้เวลาอาหารมื้อเที่ยงพอดี ทางทัวร์ก็พาเราไปทานอาหารท้องถิ่นของโรมที่ร้าน Papa rex restaurant ซึ่งที่นี่จะมีคนแต่งตัวเป็นทหารสวิสส์ที่เฝ้านครวาติกันมาถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว ก่อนเข้าไปทานอาหาร แล้วเอาภาพมาเสนอขายให้เราภาพละ 5 ยูโรครับส่วนมื้อเที่ยงเราเริ่มต้นด้วย Pizza, Spaghetti, ตามด้วยเมนูในภาพด้านล่าง (จำชื่อไม่ได้..มีปลาด้านล่างแล้วราดทับด้วยมันฝรั่ง ประมาณนั้น) และปิดท้ายด้วยของหวานขึ้นชื่อที่นี่ คือ Tiramisu (ทิรามิสุ)
ตอนนี้ลงภาพไปเยอะพอสมควร ขอจบตอนเอาดื้อๆแบบนี้เลยนะครับ...ตอหน้าเราจะอยู่ที่โรมเป็นตอนสุดท้าย ซึ่งจะพาคุณๆไปชมนครรัฐวาติกัน วิหารเซ็นปีเตอร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามด้วยน้ำตกเทรวี่ และจบบันไดสเปนครับ.
อยากไปมาก ๆ เลย