ด้านหน้ามหาวิหาร St. Peter ที่เราเพิ่งจากมา

พอผมลงเรื่องที่เกี่ยวกับโรมไป 2-3 บล๊อกก็มีเพื่อนๆนักเดินทางอยากจะทราบว่า ผมไปยังไง? เราเลือกทัวร์แบบไหน? (ถึงไม่โดนหลอก) และหลายๆคำถามครับ.... เพื่อให้ได้รับทราบกันหลายๆท่าน เผื่อมีประโยชน์บ้างผมเลยขอใช้พื้นที่ตรงนี้เขียนเล่าประสบการณ์ใหเพื่อนๆชาว BG อ่านเล็กน้อยนะครับ..

เห็นแปลกๆเลยถ่ายมาให้ชม

เวลาผมเดินทางไปท่องเที่ยว เราจะเลือกไปกับทัวร์ (หลายคนบอกว่าผ่านเร็วเกินไป...แต่เราว่าครั้งแรกขอเป็นไอเดียก่อน ถ้าอยากทราบซึ้งค่อยหาทางมาอีก) เพราะเหตุผลเรื่องเวลา เราจะวางแผนก่อนเป็น 5-6 เดือน หรือบางครั้งเป็นปี (นอกจากเพื่อนๆหรือที่ทำงานเขาพาไป) แล้วหาบริษัททัวร์ที่น่าเชื่อถือ โดยดูจากการจดทะเบียน การ follow up ลูกค้าตลอดจนการตอบ e-mail เพราะส่วนมากเราจะจองทัวร์เข้ามาจากต่างจังหวัด โดยสื่อกันทางนี้...พอถึงคราวที่ต้องจ่ายมัดจำและจ่ายเงิน ก็ดูเขากระตือรือล้นที่จะส่งเอกสาร เช่นใบเสร็จรับเงินกลับมาให้ อีกอย่างที่สำคัญคือราคาทัวร์นั้นต้องเหมาะสมไม่ใช่ถูกจนเหลือเชื่อ เป็นต้นครับ

รถขายเครื่องดื่มข้างถนนในโรม

ไปยุโรปคราวนี้เราก็เซ็คไปหลายที่เหมือนกัน สุดท้ายก็มาลงเอยเอาที่ Say ya we travel (www.sayyawetravel.com/) ที่ลงตรงนี้เพราะ มีโปรแกรมที่เราชอบ คือเราเคยไปอินส์บรู๊ค ออสเตรีย ชอบเมืองนี้มากและอยากไปอีก เผอิญเขามีในโปรแกรมไปที่นี่ด้วย คือไป อิตาลี ออสเตรีย สวิส และฝรั่งเศส.. แต่จนใกล้วันเดินทาง คนก็ยังไม่ครบ พักร้อนก็ลาแล้ว ทำไงดี ? ก็เลยบอกน้องที่บริษัทนี้เปลี่ยนโปรแกรมให้ ซึ่งก็ได้รับบริการที่ดี เราจึงได้มาทริปนี้กับ "ยุโรเปี้ยนฮอลิเดย์" ของ D-stargroup ซึ่งก็โอเค... และสุดท้ายก็ได้ภาพมานั่งเขียนรีวิวบนนี้...คงพอได้ไอเดียบ้างนะครับ (ที่เหลือก้เขียนไปหลังไมค์ละกันครับ)

มองเห็นไกลๆนั่นคือ Castel Sant'Angelo

นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปที่น้ำพุเทรวี่

ที่จริงสถานที่ท่องเที่ยวที่ทางทัวร์พาเราไปก็ไม่ห่างไกลกันมากนัก อาจจะเป้นเพราะหัวหน้าทัวร์เขาพยามกรุ๊ปให้เป็นบริเวณใกล้ๆกันเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปกับการเดินทางมาก อันนี้ จขบ.ว่าเป็นประโยชน์ครับ..

เราก็มาถึงจนได้...ด้านหน้าคือน้ำพุเทรวี่

เวลาที่เราเข้าไปถึงน้ำพุเทรวีเป็นช่วงที่มีฝนตกลงมาหนักพอควร พอดีบริเวณใกล้ๆกันนั้นมีร้านไอศครีมร้านหนึ่ง นักท่องเที่ยวเลยถือโอกาสไปหลบฝนในนั้น และเพื่อทานไอศครีมกันด้วย จึงทำให้ต้องเข้าคิวกันยาวเหยียด... ส่วนภาพที่ได้มาโฟกัสก้เบลอบ้างนะครับ เพราะมือหนึ่งกางร่ม มือหนึ่งประคอง D 7000 ถ่าย แม้จะบากเย็นแสนเข็ญ แต่ก็บ่อยั่นครับ คนอื่นๆก็เช่นเราถ่ายเท่าที่จะถ่ายได้ ในภาพจึงเห็นคนโยนเหรียญน้อยหน่อย..

แต่เจอฝน...เลยไปยืนออกันในร้านไอศครีม (ตึกในโรมไม่มีกันสาดเหมือนบ้านเรา)

The Fountain of Trevi...พยามแล้วได้ชัดแค่นี้

มารู้จักกับน้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) กันหน่อย

น้ำพุเทรวี่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี น้ำพุเทรวี่ตั้งอยู่บริเวณเทรวี่ ริโอเนของกรุงโรมน้ำพุแห่งนี้เป็นทางสามแพร่งระหว่างสะพานส่งน้ำแวร์จิเน (Acqua Vergine) สมัยใหม่สะพานส่งน้ำเวอร์โก (Aqua Virgo) สะพานส่งน้ำโรมันโบราณนับว่าเป็นน้ำพุที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก น้ำพุเทรวี่ เป็นน้ำพุที่มีความสูง 25.9 เมตร (85 ฟุต) และกว้าง 19.8 เมตร (65 ฟุต) และน้ำพุแบบบารอก (Barouqe) ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม เป็นที่ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของกรุงโรม

แม้ฝนจะตก แต่ผู้คนก้กางร่มไปถ่ายภาพและโยนเหรียญกัน

น้ำพุอันอลังการนี้ไม่เหมือนน้ำอื่นๆ คือมีฉากหลังสูงใหญ่เหมือนเวทีละคร ตกแต่งด้วยรูปสลักหินอ่อน ตรงกลางมีเทพเจ้าเนปจูนขนาบข้างด้วยเทพเจ้าไตรตันที่กำลังปราบม้าพยศ มีน้ำไหลเป็นแพออกมาเหมือนน้ำตกที่ส่งออกมาจากท่อน้ำสมัยโรมัน และชื่อน้ำพุเทรวีก็มาจากชื่อของสาวพรมจารีชื่อทริเวีย (Trivia : รูปปั้นบนช่องกำแพงด้านซ้าย) ซึ่งพาทหารโรมันไปพบตาน้ำธรรมชาตินอกกรุงโรมเมื่อ 19 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิออกัสตัส (รูปปั้นอยู่ช่องด้านขวา) จึงให้สร้างสะพานส่งน้ำชื่อ อักควาวาแวร์จิเน (Acqua Vergine) เข้ามายังกรุงโรมจวบจนปัจจุบัน

พยามจะซูมให้เห็นเทพเจ้าเนปจูนและรูปปั้นอื่นๆ

ข้างกำแพงมีน้ำพุเล็กๆมีน้ำใสไหลเย็นออกมาตลอดเวลา สามารถรองใส่ขวดดื่มได้อย่างสบายใจ เพราะเป็นน้ำประปาของทางการที่ต่อไว้เพื่อบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว เนื่องจากสมัยก่อนผู้คนเชื่อว่าถ้าใครได้ดื่มน้ำจากน้ำพุก็จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีก แต่ตอนหลังนี่ความเชื่อได้เปลี่ยนไปหันมาโยนเหรียญลงน้ำพุแทน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์เรื่อง “Three Coins in a Fountain” ส่วนวิธีการโยนเหรียญนั้น ผู้รู้เขาบอกว่าให้หันหลังให้น้ำพุ ใช้มือที่ถนัดโยนเหรียญผ่านไหล่อีกข้าง และจะต้องโยนเหรียญให้ครบ 3 เหรียญและขอพร 3 อย่างด้วย
(อ่านเพิ่มเติม)

ถึงฝนจะมา...ก็ขอเก็บภาพกลับบ้าน

ในขณะที่ฝนกำลังตกอยู่นั้น ก็ยังมีหลายคนเดินช้อปกันตามร้าน (ออกลางแจ้งเจอฝน) เพราะย่านนั้นมีร้านรวงขายสินค้าแบรนด์ดังมากมาย และก็ใกล้กับถนนแฟชั่นของโรมด้วยคือ ถนนแฟชั่นเวียคอนดอตติ (Via Condotti) ซึ่งอยู่ด้านหน้าสะพานสเปนที่เรากำลังจะไปกัน.

หลังจากฝนซาลงเราก้เดินออกด้านข้างๆ (ข้างขวามือในภาพ) เพื่อไปชมบันไดสเปนต่อ ถนนบริเวณนี้ไม่ได้ทำเป็นคอนกรีตหรือลาดยาง แต่วางอิฐเป็นก้อนๆแบบสมัยโบราณ เจ้าอิฐเป็นก้อนๆนี้นัยว่าเอาไว้รับน้ำหนักรถม้า เขาเลยอนุรักษ์ไว้แบบนั้น และจะพบทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยวโบราณที่สำคัญๆครับ

The Column of the Immaculate Conception

ถนนสู่บันไดสเปน

บันไดสเปน (Spanish Steps)

ออกจาก The Column of Immaculate ไม่ไกลก็ถึงจตุรัสสปัญญ่า (Piazza di Spagna) ซึ่งเป็นอีกย่านหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมากันมาก จตุรัสแห่งนี้ตั้งชื่อตามสถานทูตสเปนประจำกรุงวาติกัน

แหวกสายฝนไปถึงก้เห็นผู้คนกำลังถ่ายภาพกับอ่างน้ำพุบาร์คัสเซีย (Fotana Della Baecaccia) รูปร่างคล้ายเรือกำลังรั่ว มีน้ำพุพุ่งออกจากปากดวงอาทิตย์ลงไปสู่อ่างน้ำ ออกแบบโดยปิเอโตร แบร์นีนี ซึ่งเป็นพ่อของแบร์นีนี

อ่างน้ำพุบาคัสเซีย (Fontana Della Baecaccia)

ถ้ามองขึ้นไปด้านบน จะเห็นบันไดทอดขึ้นสู่เนินเขาหลายชั้นแถมกว้างอีกต่างหาก (กว้างที่สุดในยุโรป มีทั้งหมด 138 ขั้น) มีเสาโอเบลิสก์ซัลลัชเชียน (sallustian) ตั้งอยู่ด้านหน้าโบสถ์ตรินิตะ เด มอนติ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อแห่งนี้เป็นภาษาอิตาลีว่า Scalinata della Trinita dei Montri

บันไดสเปน

บันไดสเปนสวยงามด้วยศิลปะแบบรอกโคโค ผู้ออกแบบคือ ฟรานเชสโก เด ซันติส (Francesco de Sanctis) สร้างขึ้นระหว่างปี 1723 - 1726 ถวายแด่พระเจ้าหลุยที่ 15

อาคารด้านขวามือทางขึ้นบันไดสเปน เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์คีตส์-เชลลีย์ (Keats Shelley Memorial Museum) เพื่ออุทิศให้แด่ จอห์นคีตส์ และ เพอร์ซี่ เชลลี่ กวียุคโรแมนติคชาวอังกฤษ ทั้ง 2 คนเสียชีวิตหลังจากเดินทางมาเยือนกรุงโรม คีตส์ อายุเพียง 25 ปีได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1821 ด้วยวัณโรค..ภายในจัดแสดง เอกสาร จดหมายและหน้ากากช่วยหายใจก่อนที่เขาจะสิ้นลม เขาได้วาดภาพ Keats and his deathbed ระหว่างที่เขาป่วยและพักรักษาตัวที่อพาร์ทเม้นแห่งนี้ (เสียตังค์เข้าชม)....แต่เราไม่ได้เข้าหรอก

ถนนจากบันไดสเปนไปที่ The Column of Immaculate

ถนนรอบๆบันไดสเปน

สถานทูตสเปนประจำนครวาติกัน

วันนี้ไม่มีโอกาสไปเดินถนนแฟชั่นเวียคอนดอตติ (Via Condotti) เลยเพราะเจ้าฝนนี่แหละ แถมวันนี้เจอฝรั่งขอให้ช่วยถ่ายภาพให้อีก(คงนึกว่าเราถือกล้องตัวใหญ่ นึกว่าเรามืออาชีพมั๊ง) เก็บภาพได้พอสมควร คณะเราก็ชวนกันไปทานมื้อเย็น ซึ่งเป็นอาหารจีน (แบบยุโรป..ออกทางมันมากๆ) เพื่อจะได้กินข้าวเป็นเม็ดๆบ้าง หลังลองปิซ่ามาแล้วเมื่อตอนเที่ยง

ตามทางเดินไปขึ้นรถกลับโรงแรม

โรงแรมที่พักคืนนี้คือ Rome Marriott ซึ่งถือว่าใช้ได้ แต่ในโรงแรมที่เมืองนี้ไม่มีน้ำเปล่าให้แบบบ้านเรานะครับ เพราะเขาถือว่าน้ำปะปาเขาดื่มได้

วันนี้เหนื่อยมากๆ นั่งเครื่องมาจากเมืองไทย 11 ชั่วโมงครึ่ง พอถึงก็เที่ยวเลย...เจอก็อกน้ำอุ่นอาบจนชื่นใจแล้ว เผลอแพล๊บเดียวหลับเป็นตายเลย

ขอจบบล๊อกนี้แบบนี้ล่ะ ส่วนบล๊อกต่อไปเรามีกำหนดการที่จะไปเมืองฟลอเร็นซ์ เมืองในยุคฟื้นฟูวิทยาการ จากนั้นก็จะไปชมหอเอนที่เมืองปิซ่าต่อ....ขอบคุณที่ตามอ่านครับ.

ห้องพักใน Rome Marriott

Rome Marriott ที่เราไปพัก (ภาพตอนมาถึงโรม)

Lobby และ ห้องอาหาร

หน้าโรงแรมที่พัก...ก่อนจาก