ดอกกฤษณา
.........
ไม้ที่มีคุณค่าสูง ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
และมีหลักฐานการใช้ประโยชน์ ไม้กฤษณา
มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
มีความเชื่อว่าไม้กฤษณาเป็นไม้มงคล
สามารถใช้ป้องกัน ภูตผีปีศาจไม่ให้กล้ำกรายได้
สำหรับผู้เดินทางไปหาของป่า
ถ้าไปนอนค้างใต้ต้นกฤษณา จะปลอดภัย
ไม่มีสิงสาราสัตว์มารบกวน นิยมนำไปปลูกไว้ในบ้าน
หรือสวนเพื่อเป็นสิริมงคล และเพื่อป้องกัน
ผีสางนางไม้ เข้ามาในบ้าน
อีกทั้งยังนำไม้กฤษณา ไปทำธูปบูชาพระ
และทำพิธีต่างๆ ในศาสนา
รวมทั้งใช้เป็นยาสมุนไพร
ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย
ตามประวัติศาสตร์ไทย มีข้อมูลเกี่ยวกับไม้กฤษณาว่า
เป็นไม้พื้นเมืองที่เก่าแก่ของไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ที่ปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วง
ต่อมาในสมัยอยุธยาก็พบว่า
ไม้กฤษณาเป็นไม้เศรษฐกิจที่สำคัญ
และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทย
เพราะเป็นที่ต้องการ ของนานาประเทศ
สมัยสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ปีพ.ศ.1930
ได้มีการส่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องบรรณาการ
ไปถวายพระเจ้ากรุงจีน เช่นเดียวกับ
สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
และสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ
ส่วนการส่งไม้กฤษณา เป็นเครื่องราชบรรณาการ
ไป ถวายพระเจ้ากรุงญี่ปุ่น ปรากฏในสมัย
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
และสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช
อีกทั้งได้ส่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องราชบรรณาการ
ถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี พ.ศ.2229
สมัยอยุธยา นอกจากมีการส่งไม้กฤษณา
เป็นเครื่องบรรณาการแล้ว ยังถือว่าเป็นสินค้าที่ส่งออก
ที่ขึ้นชื่อของไทย ชาวฮอลันดา บีบบังคับให้สยาม
จัดไม้กฤษณาให้จำนวน 30,000 หาบทุกปี
และขอผูกขาดการค้าในปี 2218
รวมทั้งขอผูกขาดให้มีการส่ง
ไม้กฤษณาปีละ 1,000 หาบ
ไปยังเมืองสุรัต ประเทศอินเดีย
ตามหลักฐานจากบันทึกในจดหมาย
ของบริษัทอินเดียตะวันออกระบุว่า
ไม้กฤษณาของสยามมีคุณภาพดี ที่สุดในโลก
โดยเฉพาะไม้หอมที่มาจาก Agillah Bannah
ซึ่งเป็นพื้นที่ของจังหวัดนครนายก ปี 2222
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ได้ผูกขาดการค้าขายไม้กฤษณา
โดยมีข้อกำหนดว่า การซื้อขายไม้กฤษณา
จะต้องผ่านมือของหลวงเท่านั้น
กฤษณาจึงกลายเป็นสินค้าผูกขาด
ที่สร้างรายได้จำนวนมหาศาล
ให้แก่ชาติไทยมาอย่างยาวนาน
จนกระทั่งมายกเลิกระเบียบ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
การที่ไม้กฤษณา เป็นที่ต้องการของมนุษย์
หลายชาติหลายภาษาก็เพราะเป็นพืช ที่มีประโยชน์มาก
ทางด้านสมุนไพร มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในตำราจีน
กฤษณาใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน
คลื่นไส้อาเจียน อาการปวดแน่นหน้าอก แก้หอบหืด
แก้โรคปวดบวมตามข้อและขับลมในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
ในตะวันออกกลาง ชาวอาหรับถือว่า
กฤษณา เป็นสิ่งสำคัญในวิถีชีวิต ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จากการที่ในทะเลทราย
มีไรอาศัยเกาะตามขนละเอียด บนผิวของคน
และเป็นตัวนำเชื้อโรคกลุ่มไมโคพลาสมา
ไรเหล่านี้ไม่แพ้น้ำมันหอมระเหยอื่นๆ
แต่แพ้สารจากกลิ่นน้ำมันหอมกฤษณา
ไม้กฤษณาจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในชีวิตประจำวัน
โดยนำแก่นกฤษณา หรือไม้สับ
(ไม้ที่มีกฤษณาแทรกอยู่ ในเนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อน)
มาเผาด้วยถ่านหินในเตาขนาดย่อม เพื่อให้ควัน
และกลิ่นหอมของกฤษณาติดผิวหนัง
สามารถป้องกันแมลง
หรือไรทะเลทรายมากัดจนเกิดแผลพุพองได้
และการนำไม้หอมมาเผาไฟ
ยังช่วยอบห้อง ให้มีกลิ่นหอม
เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
และการสูดดมควันกฤษณา ถือว่า
เป็นยาบำรุงโรคหัวใจอีกด้วย
ศาสนาอิสลามมีบัญญัติ ห้ามชาวมุสลิมดื่มสุรา
และใช้เครื่องสำอางประเภท
น้ำหอมที่มีแอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสม
แต่ให้ใช้ที่ผลิตจากสมุนไพรเท่านั้น
ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเครื่องสำอาง
ของชาวมุสลิมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ก็ต้องการกฤษณา ไปผลิตน้ำหอม แป้งทาหน้า
และเครื่องสำอางประทินผิวอื่นๆ อีกหลายประเภท
อีกทั้งประเทศแถบ ทวีปยุโรป
ที่เป็นประเทศ ผู้ผลิตน้ำหอมรายใหญ่ ของโลก
ก็ต้องใช้น้ำหอม จากไม้กฤษณาเป็นหัวเชื้อผสมน้ำหอม
แม้กากไม้กฤษณา ที่เหลือจากการสกัดหัวน้ำหอมแล้ว
ก็ยังสามารถนำไปสู่กระบวนการ ผลิตธูปหอมชนิดต่างๆได้
อีกทั้งเนื้อไม้ที่ไม่ได้นำไป กลั่นน้ำหอมก็สามารถนำไปแกะสลัก
เป็นเครื่องประดับและอื่นๆ ใช้ประโยชน์ได้
เช่น ลูกประคำ หีบใส่เครื่องเพชร
รูปสลักนกอินทรีย์ และทำคันธนู
เนื้อไม้กฤษณา ปกติจะมีสีขาวนวลเมื่อตัดใหม่ๆ
ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน เสี้ยนจะตรง
เนื้อหยาบปานกลาง เลื่อยผ่าได้ง่าย
ขัดซักเงาไม่ได้ดี ไม่ค่อยทนทาน
อยู่ในน้ำจะทนทานพอประมาณ
ส่วนเนื้อไม้หอม ที่มีน้ำมันกฤษณา จะมีสีดำ หนัก
คุณภาพของเนื้อไม้ขึ้นอยู่กับการสะสมของน้ำมันกฤษณา
ภายในเซลล์ต่างๆ ของเนื้อไม้
องค์ประกอบ ทางด้านเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากกฤษณา
ประกอบด้วยสาร Resin อยู่มาก
สารที่ทำให้เกิดกลิ่นหอม คือ
Sesquiterpene alcohol มีหลายชนิด คือ
Dihydroagarofuran, b. Agarofuran,
a-Agarofuran, Agarospirol และ Agarol
กฤษณาเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์ต่ำๆ
หรือรูปกรวย ลำต้นตรง มักมีพูพอนที่โคนต้น
เมื่อมีอายุมาก เปลือกนอกเรียบสีเทาอมขาว
เนื้อไม้อ่อนสีขาว เปลือกหนาประมาณ 5-10 มิลลิเมตร
มีรูระบายอากาศ สีน้ำตาลอ่อนทั่วไป
เปลือกนอกจะปริเป็นร่องเล็กๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น
ส่วนเปลือกชั้นในมีสีขาวอมเหลือง
ลักษณะดอก สีขาว ไม่มีกลีบดอก
ออกเป็นช่อเล็กๆ มีกลิ่นหอม เป็นดอกสมบูรณ์เพศ
เกิดที่ง่ามใบหรือยอด เป็นแบบ Axillary
หรือTerminal umbles ก้านดอกสั้น มีขนนุ่มอยู่ทั่วไป
ตามง่ามใบและดอก ออกดอกในช่วงฤดูร้อน
และกลายเป็นผลแก่ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน
ลักษณะใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว รูปมน รูปไข่กลับ
หรือรูปยาวขอบขนาน ออกเรียงสลับกัน
เนื้อใบเป็นมัน ปลายใบเรียวแหลม
ใบแก่เกลี้ยงเป็นมัน แต่ใบอ่อนสั้นและคล้ายไหม
ชื่อในภาคตะวันออกและภาคใต้ เรียกว่า
ไม้หอม ไม้พวงมะพร้าว แถบปัตตานี ยะลา นราธิวาส ลงไป
ถึงประเทศมาเลเซีย เป็นภาษายาวี เรียกว่า
กายูการู กายูกาฮู หรือ กายูดือปู
ไม้หอม ภาคตะวันออก อังกฤษ เรียกว่า Eagle Wood
ขอบคุณที่มา fb. Anna Jill
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพ