ดอกกระทุ่ม
.......
ชื่อสามัญ Wild Cinchona
ชื่อท้องถิ่น ตะกู (จันทบุรี นครศรีธรรมราช สุโขทัย)
ตะโกใหญ่ (ตราด) ตุ้มพราย, ทุ่มพราย (ขอนแก่น)
กระทุ่มบก กระทุ่มก้านยาว (กรุงเทพ)
ตะโกส้ม (ชัยภูมิ ชลบุรี)
แคแสง (ชลบุรี) โกหว่า (ตรัง) กรองประหยัน ยะลา)
ตุ้มก้านซ้วง ตุ้มก้านยาว ตุ้มเนี่ยง ตุ้มหลวง (ภาคเหนือ)
กระทุ่ม (ภาคกลาง ภาคเหนือ) ตุ้มขี้หมู (ภาคใต้)
กว๋าง (ลาว) ปะแด๊ะ เปอแด๊ะ
สะพรั่ง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ปาแย (มลายู-ปัตตานี)
ในอดีตที่คนไทยส่วนใหญ่
รู้จักต้นกระทุ่มกันเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะบรรดาสตรีไทย
ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา
ถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ที่หญิงไทยเมื่อพ้นวัยเด็กไปแล้ว
จะนิยมไว้ผมทรงพิเศษที่เรียกว่า "ทรงดอกกระทุ่ม"
กันเป็นส่วนใหญ่
โดยเฉพาะหญิงไทยในภาคกลาง และกรุงเทพฯ
กระทุ่มเป็นพืชยืนต้นขนาดกลางสูง 10-15 เมตร
ในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไป ในที่ราบลุ่ม
โดยเฉพาะในพื้นนา ภาคกลางที่น้ำท่วมถึง
ใบออก เป็นคู่ตรงข้ามกัน ในระหว่างใบมีหู
ใบเป็นรูปปากเป็ด ลำต้นค่อนข้างตรง
ผิวเปลือกลำต้นสีเทาคล้ำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด
กิ่งก้านแผ่สาขาเป็นร่มเงาค่อนข้างทึบ
เป็นเรือนยอดค่อนข้างทรง กลมงาม
ดอกออกเป็นกระจุกช่อตามปลายกิ่ง
แต่ละดอกเป็นรูปทรงกลมมีเกสร หุ้มอยู่รอบดอก
คล้ายดอกกระถิน มีสีเหลืองอ่อนและกลิ่นหอม
ถิ่นกำเนิด ของกระทุ่มสันนิษฐานว่า
อยู่ในเขตที่ลุ่มตอนใต้ของอินเดีย พม่า ไทย
ลาว เขมร มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ดอกกระทุ่ม ... มีกลิ่นหอม
เวลามีดอกดก และดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงาม
และส่งกลิ่นหอมกระจาย ทั่วบริเวณใกล้เคียง
เป็นที่ชื่นใจยิ่ง ออกดอกที่ปลายกิ่ง
เป็นช่อกลมกระจุกแน่น
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 4-5 เซนติเมตร
ก้านช่อยาวประมาณ 1.5-4 เซนติเมตร
ดอกย่อยมีขนาดเล็กอัดกันแน่น
ติดบนใบประดับขนาดเล็ก
ประมาณ 1-3 คู่ กลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นหลอดสั้น
ยาวประมาณ 0.2 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นกลีบ
ยาวเท่าๆ หลอดกลีบ กลีบดอกเป็นสีเหลือง
หลอดกลีบยาวประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตร
ส่วนกลีบดอกยาวประมาณ 0.2-0.3 เซนติเมตร
อับเรณูมีลักษณะเป็นรูปแถบ
ยาวประมาณ 0.2 เซนติเมตร
รังไข่สูงประมาณ 0.4 เซนติเมตร
ก้านเกสรรวมยอดเกสรยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร
ดอกมีกลีบดอกสีขาว 5 กลีบ
โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปหลอดหลอด
ปลายกลีบหยักแมนแผ่ขยายออกและมีขนนุ่มๆ
ทางด้านนอก และยังมีกลีบเลี้ยงดอก 5 กลีบ
โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ
ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 อัน ส่วนเกสรเพศเมียยาว
ไม้กระทุ่ม มีเนื้อไม้ที่ละเอียด สีเหลืองหรือสีขาว
สามารถนำมาใช้ทำพื้น และฝาที่ใช้งานร่ม
หรือนำมาใช้ทำกล่อง ทำอุปกรณ์ หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ
ที่มีน้ำหนักเบา และยังสามารถนำมาใช้
ทำเป็นเยื่อกระดาษได้อีกด้วย
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ลั
กษณะของใบเป็นรูปรี รูปไข่ หรือรูปขอบขาน
ปลายใบมนออกแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบมน กลม
หรือเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเรียบ
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 7-17 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 20 เซนติเมตร แผ่นใบบางและเหนียว
หลังใบเรียบเป็นมัน ส่วนท้องใบมีขนสั้นนุ่ม
หรือบางทีเกลี้ยง มีเส้นแขนงของใบประมาณ 11-20 คู่
ส่วนก้านใบยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร
และมีหูใบลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมแคบ
รูปทรงต้นและเรือนยอด ของกระทุ่มมีลักษณะพิเศษ
เหมาะนำมาปลูกเป็นต้นไม้ประดับอาคารสถานที่ให้ร่มเงา
และให้ดอกมีกลิ่นหอม ต้นกระทุ่มที่อายุมากๆ
ลำต้นจะไม่สูงใหญ่มากขึ้นไปอีก
แต่จะมีกิ่งก้านคดงอแสดงความมีอายุ
คล้ายบอนไซที่นิยมกัน
นับเป็นลักษณะที่หาได้ยากในต้นไม้ชนิดอื่น
กระทุ่มเป็นต้นไม้ที่มีความผูกพัน กับมนุษย์ด้านความเชื่อ
หรือศาสนามานานนับพันปี ในอินเดียสมัยโบราณเชื่อว่า
กระทุ่ม เป็นต้นไม้อมตะ คือไม่มีวันตาย
เพราะเล่ากันว่าเมื่อพญาครุฑ ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว
บินมาเกาะที่ต้นกระทุ่ม น้ำอมฤตที่ติดตรง
จะงอยปากของครุฑหยดลง มาถูกต้นกระทุ่ม
จึงทำให้ต้นกระทุ่มกลายเป็นต้นไม้ที่ไม่ตายไปด้วย
นอกจากนั้นยังเชื่อว่า พระกฤษณะเคยพาฝูงวัว
และชายามาพักอยู่ใต้ร่มเงา ของต้นกระทุ่ม
(เช่นเดียวกับพลายแก้วและนางพิม)
ต้นกระทุ่มจึงกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
ประจำองค์พระกฤษณะ
บรรดาผู้นับถือพระกฤษณะ จึงนับถือต้นกระทุ่ม
และนำดอก กระทุ่มไปบูชาพระกฤษณะด้วย
น่าคิดว่าการที่สตรีชาวไทยสมัยก่อน
นิยมตัดผมทรงดอกกระทุ่มนั้น
นอกจากความสะดวก งดงามแล้ว
ยังอาจเกิดจากความเชื่อว่าต้นกระทุ่มและดอกกระทุ่ม
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นมงคล เช่นเดียวกับคนอินเดียนั่นเอง
..............................
ขอบคุณที่มา fb. Siriwanna Jill
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพค่ะ