bloggang.com mainmenu search





:: ถนนสายนี้มีตะพาบโครงการที่ 163 ::



โจทย์ : บ้านนอก

คิดโจทย์โดย : เป็ดสวรรค์










:: หมู่บ้านเร้นลับ ::

ภาพและคำ : กะว่าก๋า












มันเป็นหมู่บ้านที่แปลกประหลาด
นอกจากอยู่ติดชายแดนประเทศไทยกับพม่า
ภูมิประเทศโดยรวมคล้ายป่าดิบชื้น
ต้นไม้ใหญ่ขนาดแหงนคอตั้งบ่าเบียดเสียดกันแน่น
ถนนยังเป็นดินแดงคลุกฝุ่น สองข้างทางเป็นไร่นาเทือกสวน
มีบ้านหลังเล็ก ๆ คล้ายกระท่อมมุงหญ้าคาปลูกกันอยู่ห่าง ๆ
มองไปทางไหนก็เงียบสงบ

ผมขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวแบบไร้จุดหมาย
การได้มีโอกาสลาพักร้อนยาว ๆ 15 วันติดกัน
ทำให้ผมตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซด์ขึ้นเหนือคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั่น
ไม่มีแผนอะไรในใจนอกจากคลายความเหนื่อยล้าจากงานวิชาการที่ตนเองทำอยู่

ถ้าจะมีอะไรที่ผิดแผนก็คือ น้ำมันดันมาหมดกลางป่า !!!

ผมตัดสินใจเข็นมอเตอร์ไซด์คู่ใจผ่านเข้าหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ
มองเข้าไปในบ้านแต่ละหลังทำไมเงียบเชียบแบบนี้
เหมือนไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านเลย มีแต่เสียงจักจั่นร้องดังลั่นราวเสียงเลื่อยยนตร์
เมื่อเข็นไปตามถนนราว 10 นาที
จึงได้พบกับชาวบ้านที่กำลังรวมกลุ่มกันประมาณ 50 คน
ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยล้มวงกันอยู่ในศาลาไม้ไผ่หลังใหญ่

เมื่อผมเข็นรถเข้าไปใกล้ ผู้นำชุมชนที่กำลังปราศรัยอยู่ก็หยุดพูดชั่วขณะ
แล้วหันมามองผมด้วยความสงสัย เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 50 ปี
ผมสีขาวเกือบทั้งหัว แต่ดูยังแข็งแรงมาก

“มีอะไรหรือพ่อหนุ่ม” เขาถาม

“พอดีน้ำมันรถผมหมดน่ะครับ อยากจะขอซื้อจากชาวบ้านสักหน่อยครับ”

“ไม่ต้องซื้อหรอก” เขาตอบ แล้วหันไปทางลูกบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เป็ง...ไปเอาน้ำมันรถมาเติมให้เขาหน่อยไป เอาที่บ้านป้อหลวงก็ได้เน้อ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินไปทันที

ผมหันไปถามป้อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านว่า ชาวบ้านกำลังประชุมอะไรกันอยู่หรือ
ป้อหลวงยิ้มและตอบว่า
“ทุก 15 วันชาวบ้านจะมาพูดคุยกันที่ลานบ้านแห่งนี้ คุยกันทุกเรื่อง
รวมทั้งเรื่องหนังสือที่เราสนใจกันด้วย”

“หนังสืออะไรเหรอครับ” ผมถาม

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มและตอบว่า “ชาวบ้านที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีทีวี เมื่อเราทำนาทำไร่เสร็จ
ไม่มีอะไรทำ เราเลยนั่งอ่านหนังสือกัน อ่านเสร็จก็จะเอามานั่งเล่าให้กันฟัง
ว่าใครชอบหนังสือเล่มไหน เพราะอะไร นี่เราก็กำลังจะเริ่มเล่าอยู่พอดี
สนใจจะฟังด้วยกันไหมเล่า”

“ดีสิครับ ผมไม่ได้รีบร้อนไปไหน ขอผมนั่งฟังด้วยคนนะครับ”

“ได้เลยพ่อหนุ่ม”



ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็เอาแกลลอนน้ำมันมา
เขาอาสาเติมน้ำมันให้ เมื่อผมยื่นเงินให้ เขาส่ายหน้าแล้วยิ้ม
“บ่าเป๋นหยังครับอ้าย” เขาตอบ

ผมขอบคุณน้องคนนี้และหันไปยกมือไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน
เขาโบกมือให้ผมนั่งลง แล้วนั่งฟัง




----------------------------------------------




ผมตั้งใจว่าจะนั่งฟังสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยออกเดินทางต่อ
แต่เมื่อก้มลงไปมองดูนาฬิกาข้อมือ
ผมนั่งฟังชาวบ้านผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปเล่าเรื่องหนังสือนานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว !

ชาวบ้านหนึ่งคนใช้เวลาเล่าเรื่องประมาณ 15 -20 นาที
ทุกคนพูดถึงหนังสือที่ตัวเองเพิ่งอ่านจบไปอย่างมีความสุข
เล่าเรื่องได้ละเอียด พูดถึงประโยคที่ตนเองชอบ
มีการอ้างถึงลักษณะของตัวละครที่ชอบและไม่ชอบ
และที่ทำให้ผมแปลกใจมากที่สุด คือ หนังสือแต่ละเล่มที่ชาวบ้านยกขึ้นมาพูดนั้น
เป็นหนังสือที่ผมเองยังแทบไม่เคยได้อ่านเลย หรืออ่านแต่ไม่ค่อยเข้าใจ
ด้วยเนื้อหาแบบปรัชญา หรือวรรณกรรมที่ต้องอ่านไป ตีความไปตลอดเวลา

พี่น้องคารามาคอฟของ ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี
เจ้าชายแฮมเล็ต โดย วิลเลียม เช็คสเปียร์
แอนนา คาเรนิน่าโดย เลโอ ตอยสตอย
เจ้าชายน้อยโดย อองตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี
ร้อยปี แห่งความโดดเดี่ยวโดย กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกวซ
บทกวีของการ์บี เต้าเต๋อจิง คัมภีร์หลุนอวี่ หนังสือของกฤษณมูรติ
หนังสือของโอโช คัมภีร์ห้าห่วงของมูซาชิ ดอน กีโฆ่เต้ ปรัชญาเพลโต ฯลฯ

ผมนั่งฟังชาวบ้านพูดถึงหนังสือที่ตัวเองอ่านอย่างน่าทึ่ง
แล้วเขาไม่ได้พูดแบบท่องจำ แต่เป็นการพูดจากความรู้สึกจริงๆ
ทุกคนพูดได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหลน่าฟัง ผมเหมือนตกอยู่ในความฝัน
ชาวบ้านชาวดอย คนบ้านนอกคอกตื้อทำไมถึงอ่านวรรณกรรมลึกซึ้งแบบนี้ได้

“งงใช่มั้ย ?” ผู้ใหญ่บ้านตบบ่าผมเบา ๆ เมื่อคนสุดท้ายพูดจบ
เสียงปรบมือดังขึ้น ทุกคนหันมายิ้มให้กัน แล้วเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข
“ครับ ผมสงสัยว่าทำไมชาวบ้านถึงรู้จักหนังสือดีดีเช่นนี้
แล้วหนังสือพวกนี้ใครเป็นคนหามาให้เค้าอ่านกัน”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแล้วพูดว่า “หลายปีก่อน ตอนมีโครงการกองทุนหมู่บ้าน
ผมได้เงินมาก้อนหนึ่ง จึงถามความเห็นทุกคนว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำอะไรดี
มีคนเสนอว่าอยากอ่านหนังสือ หนังสืออะไรก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้
ถึงได้อะไรที่เป็นเครื่องจักรมา เราก็ไม่มีไฟฟ้าใช้มันอยู่ดี
ผมเลยตัดสินใจขับรถเข้าเมืองไปคุยกับเพื่อนของผม
เขาจดรายชื่อหนังสือดีที่ควรอ่านมาให้ยาวเหยียด ผมเองไม่รู้จักหรอกครับ
ว่าหนังสือเหล่านั้นมันดียังไง รู้แต่ว่าเพื่อนบอกว่าดีก็ดี เลยลองอ่านดู
อ่านครั้งแรกก็ไม่เข้าใจเลย มันมีแต่ชื่อตัวละครแปลกๆ
มีแต่เรื่องราวชวนงง แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ อ่านซ้ำไปหลายๆครั้ง
ผมกลับพบว่าวรรณกรรมเหล่านี้มันดีงาม มีอะไรให้เราค้นหามากมาย
โดยเฉพาะเรื่องราวของความเป็นจริงแห่งชีวิต”

“บางเรื่องเป็นวรรณกรรมโนเบล เป็นเรื่องแปลที่อ่านยากมากเลยนะครับ” ผมถาม

“ใช่...แต่มันไม่ยากเกินความเข้าใจของคนเราหรอก เรื่องราวของความเจ็บปวด
ความทุกข์ยาก ความเครียด ความโกรธ ความรักมันเป็นเรื่องที่คนทั้งโลกเข้าใจได้
ชาวบ้านที่นี่หลังจากทำงานเสร็จในช่วงสาย
จึงมักเดินไปหยิบหนังสือในศาลาหมู่บ้านกลับไปนั่งอ่านที่บ้าน
แล้วเราก็จะนำมาเล่าแบ่งปันกันว่าแต่ละคนอ่านแล้วได้อะไรกลับมา
จากหนังสือเล่มนั้นบ้าง”

ผมมองเข้าไปในชั้นหนังสือของศาลาหมู่บ้าน
หนังสือถูกเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ดูแล้วมีหนังสือเป็นพัน ๆ เล่มเลยทีเดียว

“ทางการเองไม่ค่อยพอใจหรอกครับ ที่เราเอาเงินมาซื้อหนังสือ
ตอนนั้นเขาขอให้เราทำผลิตภัณฑ์โอทอปออกไปขาย ผมบอกกับทางการว่า
ชาวบ้านที่นี่อยู่กับอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครอยากรวยมากกว่านี้แล้ว
ไม่ต้องการพัฒนาอะไรมากกว่านี้ อยากอยู่แบบเคารพธรรมชาติ
เขาทำหน้างง ๆ บอกว่าชุมชนจะเจริญ มันต้องมีถนนดีดี มีไฟฟ้าใช้สิ
แต่ชาวบ้านที่นี่ไม่ต้องการหรอกครับ เราไม่อยากรู้เรื่องภายนอกตัว
ไม่อยากรู้หรอกว่าดาราคนไหนเลิกกัน ไม่อยากรู้ว่าใครฆ่าใคร
หรือใครมีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง
ความสุขของคนในหมู่บ้านที่ล้าหลังแห่งนี้
คือการอยู่กับความเป็นบ้านนอกของตัวเองอย่างมีความสุขครับ”

“มันคงฟังดูแปลกมากในความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ทางการนะครับ” ผมว่า

“ตอนอ่านบทกวีของเอมิลี่ ดิกคินสันเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกเหมือนเธอเป็นคนไทย
ป่าที่เธอเขียนในสหรัฐอเมริกามันไม่ต่างอะไรกับป่าในบ้านเราเลย
ความสวยงามของท้องฟ้าที่เธอบรรยายผ่านบทกวีของเธอ
ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้นในท้องฟ้าของหมู่บ้านนี้ แต่สิ่งที่รัฐพยายามทำกับเรา
คือการบอกว่า ชาวบ้านทุกคนต้องเชื่อฟังผู้นำ ต้องทำตาม ต้องเชื่อในแบบเดียวกัน
หนังสือเล่มเดียวกันแต่เปลี่ยนคนอ่าน ยังให้ความรู้สึกที่ต่างกันเลย
แล้วทำไมวิธีคิด และวิธีใช้ชีวิตของคนเรา
ถึงจะต้องคิดเหมือนกัน ต้องทำเหมือนกัน”

ผมพยักหน้าแล้วนั่งฟังผู้ใหญ่บ้านพูดต่อไป

“เราเป็นคนบ้านนอก แต่เรารู้ว่าเราต้องการอะไร อยากเป็นอะไร
ความสุขของเราคืออะไร อยู่ที่ไหน และจะรักษามันไว้ได้อย่างไร
เธอยังหนุ่ม ยังมีโอกาสใช้ชีวิต
ลองคิดดูให้ดีนะว่าคำตอบที่เธอต้องการในชีวิตมันคืออะไร ?”


คำถามสุดท้ายของผู้ใหญ่บ้านเล่นเอาผมเงียบและซึมไปถนัดใจ
ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่บ้านอย่างนอบน้อม
ก่อนค่อย ๆ ขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาจากหมู่บ้านแห่งนี้
พร้อมคำถามที่ยังตอบตัวเองไม่ได้อีกมากมายในใจ



Create Date :16 กันยายน 2559 Last Update :16 กันยายน 2559 6:15:27 น. Counter : 1126 Pageviews. Comments :46