1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30
สามขาพาทัวร์....ศรีลังกา 3...Sigiriya via Pinnawela
วันที่ ๒ Colombo-Sigiriya via pinnawela พวกเรามีนัดกับชามูร์ที่จะมารับเพื่อออกเดินทางไปอีกเมืองหนึ่งเป็นการเริ่มต้นการเดินทาง ระยะทางไกลกว่า ๕ ชม พวกเรารีบตื่นมากินอาหารเช้าเมื่อตอน ๗ โมงเช้า เพื่อให้ทันเวลาเดินทางตอน ๘ โมง ก็คงเหมือนกรุงเทพฯ นั่นแหละ ออกสายๆ แล้วรถติด อาหารเช้าของโรงแรมเป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่ และยังมีขนมปังปิ้ง แยม ผลไม้ ให้ด้วย แม่บุญอดใจไม่ไหวขอลองชิมอาหารศรีลังกาหน่อย รสชาติระดับโรงแรมน่าจะอร่อย ว่าแล้วก็ตักแกงเผ็ดกับแผ่นแป้งแล้วก็ไข่ต้มมาลองชิม อร่อยแต่เผ็ดเหมือนกัน จากนั้นก็ซดกาแฟตบท้ายก่อนจะออกเดินทางกัน รถรามากมายแต่ก็ไม่เท่าที่กรุงเทพฯ หรือ อินเดีย ดูวิธีการขับรถ การหลบหลีกแล้วอดหวาดเสียวไม่ได้ แม่บุญนั่งหลังคนขับเพราะเวลาขึ้นลงกับไม้เท้าจะได้สะดวก เลยได้เห็นวิว ๑๘๐ องศา รถวิ่งผ่านบ้านเรือน สถานที่ราชการ โรงเรียนฯลฯ ไปเรื่อยๆ อดตื่นตาตื่นใจกับภาพใหม่ๆ จนไม่ได้คิดถึงเวลานอนกับเวลาที่แตกต่าง จนรถวิ่งผ่านร้านขายผลไม้ แม่บุญเห็นผลไม้โปรดของเราสองคนคือ มังคุด เลยตะโกนบอกให้คนขับหยุดรถ แล้วแม่บุญก็เผ่นลงรถอย่างรวดเร็ว ลืมความเจ็บขาไปชั่วคราว ขอไปเลือกมังคุดก่อน แปลกนะเขาไม่ได้ขายป็นกิโล แต่ขายเป็นสามลูก ๒๐๐ รูปี แม่บุญจัดมาให้คนละสามลูก แล้วก็ซื้อกล้วยมาเป็นเสบียงตุนไว้เผื่อใครจะหิวข้าว เพื่อนสาวพากันซื้อเงาะอีกถุงใหญ่ จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ พอรถออกแม่บุญก็จัดการแกะมังคุดให้เพื่อนๆ ชิม มาลงเอยที่ตัวเองเป็นคนสุดท้าย เอ...ทำไมมันไม่หวานหอมเหมือนมังคุดเมืองไทยนะ มิเชลก็พูดเหมือนกัน คงเป็นเพราะดิน..นั่นเอง บ้านเมืองเรานี่ดีที่สุดแล้วในโลก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีผลไม้ให้กินได้ทุกฤดูกาล เคยกินทุเรียนที่เวียดนามก็สู้ของไทยไม่ได้ ส่วนที่มาเลเซีย ทำแคมเปญใหญ่โตว่า ผลไม้ของเขาอร่อยสุดในสามโลก อิ อิ แม่บุญเดินไปหลังตลาดเจอลังใส่ผลไม้เรียงเป็นดับ ทั้งชื่อน้องนุ่น น้องแนน น้องสารพัดเขียนด้วยภาษาไทย เลยถึงบางอ้อ...สั่งเข้าจากไทยทั้งน้านนน มะม่วงที่ลาวก็ไม่หอมเหมือนไทยจ้า รับรอง..ชิมมาหมดแล้ว ส่วนเงาะไม่ได้ชิมเพราะหวานจัดไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เห็นมันค้างเติงในถุงตั้งหลายวัน จนต้องยกให้ชามูร์เอาไปกิน ชามูร์บอกเราว่าวันนี้จะไปที่ Sigiriya เมืองนี้มีอะไรน่าชม...เมืองสิกิริยา (Sigiriya) : พระราชวังลอยฟ้า อนุสรณ์สถานคนบาป ประวัติความเป็นมาของสิกิริยา สิกิริยา มีประวัติความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่พุทธปรินิพพานได้ 277 ปี พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ได้เสด็จประพาสและตั้งชื่อภูเขาแห่งนี้ว่าสีหคีรี ซึ่งแปลว่า เขาสิงห์ ต่อมาใน พ.ศ.440-454 พระเจ้าปุลหัตถะได้สร้างป้อมพร้อมศาลาโรงธรรมไว้ที่นี่ ในรัชสมัยของพระเจ้าพาหิยะได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดาโดยการสร้างโรงทานสำหรับพระภิกษุ จนมาถึงในรัชสมัยพระเจ้ากัสสปะ พ.ศ.1020 ได้ทรงสร้างสีหคีรีนี้เป็นป้อมปราการและเป็นพระบรมมหาราชวังด้วย การที่จะสร้างให้สิกิริยาเป็นราชธานนี้ มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าธาตุเสน ราชธานีของพระองค์อยู่ที่อนุราชปุระ พระองค์มีพระราชประสงค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจทั้งฟ้าและดิน จึงต้องหาที่สร้างวังบนยอดเขา ต่อมาเจ้าชายกัสสปะพระราชโอรสผู้ประสูติจากมเหสีฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ได้ยึดอำนาจการปกครองจากพระเจ้าธาตุเสน ทำให้เจ้าชายโมคคัลลาน์ รัชทายาทซึ่งประสูติจากสมเด็จพระราชินีต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอินเดีย หลังจากเจ้าชายกัสสปะ ได้จับพระราชบิดาขังคุกแล้วโบกปูนปิดทับทั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพ จากนั้นก็สถาปนาพระองค์เองเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงไม่โปรดที่จะครองราชย์อยู่ที่อนุราธปุระ ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่สิคีริยา ใช้เวลาในการสร้างนาน 7 ปี พระเจ้ากัสสปะครองราชย์อยู่นาน 18 ปี ก็ถูกเจ้าชายโมคคัลาน์ พระอนุชาต่างพระมารดา ยกทัพมาจากประเทศอินเดียมาชิงพระราชบังลังก์คืน ทรงล้อมสีหคีรีไว้แน่นหนา พระเจ้ากัสสปะไม่มีทางสู้ จึงตัดสินพระทัยปลิดพระชนม์ชีพพระองค์เองในพระราชวังบนขุนเขาแห่งนี้ สิกิริยา เป็นอนุสรณ์สถานของคนบาป ลูกฆ่าพ่อเพื่อชิงราชบัลลังก์ ทั้งๆ ที่พระเจ้าธาตุเสนเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชหฤทัยดี มีเมตตา เป็นที่ยกย่องของข้าราชบริพารและพสกนิกรของพระองค์ เวลาผ่านไป ขุนเขาสีหคีรีก็ถูกทอดทิ้งเป็นเมืองร้างนานนับศตวรรษ ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นปกคลุมเป็นป่ารกชัฏ เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์นานาชนิด ล่วงมาจนถึงศตวรรษที่ 19 พันเอกเบส ฟอร์เบส นายทหารอังกฤษได้เป็นผู้ค้นพบความลับในป่าลึก เขาได้บันทึกถึงสภาพแวดล้อมของสีหคีรีไว้อย่างละเอียด แต่ก็ไม่สามารถคลำทางไปจนถึงยอดของสีหคีรีได้ ต่อมาในพ.ศ. 1853 อดัมส์และเบเลย์ พร้อมด้วยชาวพื้นเมืองอีก 2 คน ได้ปีนเขาขึ้นไป สำรวจพบภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภาพชุดแรกที่เขาค้นพบเป็นรูปสิงโต ต่อมาในปี พ.ศ.1875 เดวิดก็พบภาพชนิดเดียวกันทางด้านตะวันตก ภาพเหล่านี้ลบเลือนไปบ้าง กรมศิลป์ฯ แห่งชาติ จึงได้เข้าไปอนุรักษ์ไว้เป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 1876 บัดเลย์ ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างบนเขาแห่งนี้ ได้มีการกล่าวถึงทางขึ้นทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งถูกปิดด้วยป่าทึบ มีผู้ค้นพบคูน้ำและป้อมกันภัย ต่อมานายเอช ซี พี เบล อธิบดีกรมโบราคดีได้ค้นพบทางขึ้นด้านตะวันออก โดยจ้างคนไต่เขาขึ้นไปหาภาพเขียนเพิ่มขึ้น เริ่มทางป่ารอบๆ เขา และเริ่มบูรณะจิตกรรมโบราณนี้อย่างจริงจังตั้งแต่ปีพ.ศ. 1894 เมืองสิกิริยา เดินทางสู่ ยอดเขาสิกิริยา (SIGIRIYA) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดเดินขึ้นบันได 2,200 ขั้น ซึ่งบนยอดเขานี้ในอดีตเป็นพระราชวังเก่า ชม ป้อมปราการ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งเดียวบนเกาะนี้รู้จักกันดีในชื่อ LION ROCK หรือ แท่นศิลาราชสีห์ บนยอดศิลาจะพบซากปรักหักพังของพระราชวังในอดีต ชม ภาพเขียนสีน้ำของชาวสิงหล เป็นภาพนางอัปสรสวรรค์ ที่มีอายุพันกว่าปีและถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก.... ประวัติที่อ่านจากโอเชียนสไมล์ทัวร์ แต่ก่อนจะถึงที่นั่นเราจะผ่าน Pinnawela กันก่อน ความสำคัญของเมืองนี้คือ Pinnawala Elephant Orphanage is an orphanage, nursery and captive breeding ground for wild Asian elephants located at Pinnawala village, 13 km (8.1 mi) northeast of Kegalle town in Sabaragamuwa Province of Sri Lanka. Pinnawala has the largest herd of captive elephants in the world. In 2011, there were 88 elephants, including 39 males and 49 females from 3 generations, living in Pinnawala.[1] The orphanage was founded to care and protect the many orphaned unweaned wild elephants found wandering in and near the forests of Sri Lanka. It was established in 1975 by the Sri Lanka Department of Wildlife Conservation. นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักท่องเที่ยวต้องหยุดแวะไปดูความน่ารักของช้างกัน ใกล้ๆ กันยังมีสวนสัตว์ใหญ่โต มีผู้คนมากมายเข้าไปชม แต่เราแยกไปชมส่วนของช้างโดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวจึงมีเฉพาะชาวต่างขาติ ไม่มีคนพื้นที่ปะปน ชามูร์เดินไปจ่ายเงินค่าเข้าชม จากนั้นพวกเราก็เดินไปดูช้างที่กำลังนอนให้นักท่องเที่ยวอาบน้ำขัดตัวให้อย่างเพลิดเพลิน คณะของเราเลยขออาบน้ำให้ช้างมั่ง พอตัวนี้อาบเสร็จครั้งต่อไปเขาจะไปพาตัวอื่นมาอาบมั่ง น่ารักดี แต่การขี่ช้าง...จับตั๊กแตน..โอ้ย ไม่ใช่ ขี่ช้างเฉยๆ พวกเราเคยขี่มาแล้วตอนไปเที่ยวสุราษฏร์ธานี เลยไม่มีใครอยากขี่อีก อีกอย่างเขาไม่มีที่นั่งบนหลังช้างเหมือนเมืองไทย เคยมีนักท่องเที่ยวพลัดตกลงมาแขนขาหักมาแล้ว ช้างที่นี่เขาจะค่อนข้างปล่อยให้อยู่แบบธรรมชาติ มีเพียงโซ่อันใหญ่คล้องไว้ที่เท้าเพียงสองข้างเท่านั้น จากนั้นก็เดินดูนิทรรศการเกี่ยวกับช้างอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเดินทางต่อ มื้อเที่ยงชามูร์พาไปกินอาหารแบบบุฟเฟ่ในร้านอาหาร ราคาแพงกว่าข้าวราดแกงปกติ ตอนที่ไปถึงบ่ายสามแล้ว อาหารในที่อุ่นแทบไม่มีอะไรมากนัก มีเพียงผัดผัก อีกมุมเป็นอาหารค่อนข้างเผ็ดมากๆ เมื่อเดินดูแล้วก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ เพราะเมื่อต้องจ่ายแพงมันต้องสมราคาหน่อย ไม่ใช่จับยัดเยียดให้อะไรก็ไม่รู้ ชามูร์เห็นหน้าแม่บุญไม่ค่อยดี เลยเดินมาถาม แม่บุญบอกเขาตามตรงว่า ราคาไม่สมกับคุณภาพของอาหาร เขาเลยรีบไปบอกคนดูแลให้เอาอาหารมาเติม แต่ก็นั่นแหละ ปลาเค็มตัวเล็กๆ ที่เค็มราวกับเกลือผัดมากับพริกเผ็ดสุดๆ นี่ขนาดแม่บุญกินเผ็ดแล้วยังร้องจ๊าก ส่วนเพื่อนๆ ไม่มีใครแตะ ตกลงพากันกินข้าวกับผัดผัก แล้วก็มีผลไม้นิดหน่อย ชากาแฟต้องจ่ายเพิ่ม เอ..มันยังไง ? ชามูร์นั่งเปิปข้าวอย่างเอร็ดอร่อยกับคนขับรถ ส่วนพวกเราเดินกลับขึ้นรถ กินกล้วยที่ซื้อมาเพื่อให้อิ่มท้อง..เราใช้เวลาเดินทางกันอีกนานจนบ่ายแก่ๆ ประมาณสี่โมงเย็นก็มาถึงโรงแรมที่พักที่ตั้งอยู่ห่างไกลชุมชน ลืมเล่าไปว่า ก่อนจะถึงโรงแรมชามูร์ถามพวกเราว่าใครอยากจะนวดน้ำมันบ้าง เขาจะโทรจองให้ แม่บุญเลยถามว่าคนเยอะเหรอ? เขาบอกน่าจะเยอะ อันนี้เป็นทริกของไกด์กับทางโรงแรมที่ต้องการค่าคอมมิชชั่น พยายามจะให้พวกเราจองให้ได้ แม่บุญบอกว่าไม่เอา มิเชลพูดกับคนอื่นๆ ว่า เราพักกันอีกหลายวันหลายแห่ง เอาไว้ไปเดินขึ้นเขาให้เมื่อยเท้าสุดๆ ก่อนแล้วค่อยนวดไม่ดีกว่าหรือ ? ตกลงไม่มีใครนวด.. เมื่อถึงโรงแรม ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องพักๆ เป็นเหมือนตามต่างจังหวัดของไทยสมัยก่อน ห้องพักสร้างแบบชั้นเดียว มีสี่ห้องเรียงติดกัน ระหว่างแต่ละตึกก็มีต้นไม้มากมาย ดีหน่อยที่มีสระว่ายน้ำให้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษจริงๆ ระหว่างที่ทุกๆ คนไปเล่นน้ำ แม่บุญแอบเดินกระเผกๆ ไปดูสถานที่นวด เป็นแค่บ้านธรรมดาหลังคาต่ำ ค่อนข้างมืด ท่าทางยุงจะเยอะน่าดู ไม่ได้หรูหราเหมือนสปาอย่างในรูปสักนิด ดีใจที่ไม่ตกหลุมจองอย่างที่เขาบอกว่ามีคนจองเยอะ ...ไม่เห็นมีใครสักคน??? เนื่องจากโรงแรมตั้งอยู่ในป่าในดง จะออกไปเดินชมบ้านชมเมืองก็ไม่มีจะให้ดู อินเทอร์เน็ตก็รวนสุดๆ ไฟก็เดี๋ยวดับเดี๋ยวติด แหม่..โรงแรมแรกที่นอนบริษัทเขาเอาใจให้นอนดีๆ แต่ที่นี่ค่าห้องไม่เกินพันบาทน่าจะสมน้ำสมเนื้อกับคุณภาพของห้อง ทำอะไรไม่ได้ก็จัดของแยกๆ ไว้ รอตอนเย็นที่ห้องอาหารเปิด มื้อเย็นเป็นบุฟเฟ่ย์อีกแล้ว เมื่อเปิดดูหน้าตาอาหาร ราวกับโขลกออกมาจากครัวเดียวกันไม่มีผิด ไก่ที่ทอดจนแข็งกับน้ำซอสรสเผ็ด ปลาทูน่าที่ทอดจนเนื้อปลาแข็งเป็กผัดกับผัก ถั่วเหลืองกับเครื่องแกงกระหรี่ ผัดผักใส่พริก แล้วก็มีผลไม้ ของหวานเป็นโยเกิร์ตนมควายกับน้ำผึ้ง ที่อร่อยที่สุดคือผลไม้กับน้ำผลไม้ปั่นนั่นเอง อาหารมื้อค่ำผ่านไปแบบแกนๆ กินกันแบบกินเพื่ออยู่อีกมื้อ นี่ถ้าเป็นเมืองไทย สุดสรรหาว่าจะกินอะไรมีให้เลือกจนลายตา รู้แหละว่ามาที่นี่ต้องทำใจแต่ก็อดจะเปรียบเทียบไม่ได้จริงๆ เพื่อนๆ ที่เคยมาเมืองไทยพากันบ่นเป็นแถว..จากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน ปล. ทีวีมีให้แต่ไม่มีหนังอะไรที่ดูได้เลยจ้า พบกันพรุ่งนี้ค่ะ
Create Date : 03 เมษายน 2560
Last Update : 25 กรกฎาคม 2560 23:40:39 น.
23 comments
Counter : 1779 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณmambymam , คุณmoresaw , คุณไวน์กับสายน้ำ , คุณtuk-tuk@korat , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน , คุณMitsubachi , คุณกะว่าก๋า , คุณเรียวรุ้ง , คุณpantawan , คุณClose To Heaven , คุณSweet_pills , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณ**mp5**
โดย: mambymam วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:8:45:07 น.
โดย: moresaw วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:8:56:11 น.
โดย: Mitsubachi วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:13:42:55 น.
โดย: จี๊ดจ๊าด (บ้านต้นคูน ) วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:21:03:27 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:6:18:17 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:11:26:20 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:21:27:28 น.
โดย: pantawan วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:23:28:36 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:4:07:00 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:6:40:20 น.
โดย: SOtraveler วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:14:48:11 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:18:13:02 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:6:32:09 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:6:22:21 น.
โดย: Mitsubachi วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:13:21:00 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:20:34:00 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 9 เมษายน 2560 เวลา:20:22:37 น.
Location :
กรุงเทพฯ Belgium
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 87 คน [? ]
แม่บุญ..เป็นหญิงไทยอายุเลยวัยรุ่นไปไกล จับพลัดจับพลูได้สามีเป็นฝรั่งแล้วก็หอบผ้าตามกันไปอยู่เมืองนอกเมืองนา พอได้เวลาหยุดงานก็กระเตงกันไปเที่ยวตามประสาตายาย ไม่มีลูกกวนตัวกวนใจ แม่บุญนั้นชอบเขียน ชอบเล่า ชอบถ่ายรูป เป็นที่สุด จะเก็บไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เอามาแบ่งบันกันให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้อ่าน ได้ดูกันดีกว่า ส่วนฝีมือด้านอื่น ๆ นั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง เช่น ทำอาหาร ก็เอามาแบ่งปันกันอีกนั่นแหละ ค่อย ๆ รู้จักกันไป รู้จักกันแล้วก็อย่าลืมเข้ามาคุยกันนะ ปล....รูปภาพต่าง ๆ หากต้องการนำไปใช้ช่วยบอกที่มาที่ไปด้วยนะคะ เป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งสังคมไทยเราค่อนข้างมองข้ามในเรื่องนี้ค่ะ
ตามมาเที่ยวศรีลังกาต่อนะตะ..
ชอบช้างน้อยอาบน้ำจัง..น่ารักดีคะ
โหวตให้เลยคะ