พระอิศวร VS พระพุทธเจ้า ก่อนที่จะมาเล่าการเผชิญหน้ากันระหว่างพระอิศวรกับพระพุทธเจ้า ใน ฉคติทีปนี ขอกล่าวถึงความเป็นมาของพระอิศวรในธรรมเรื่องนี้ก่อน ในธรรมเรื่องนี้ ไม่ได้กล่าวถึงพระนามของพระอิศวรตรง ๆ แต่จะใช้ชื่อว่า ปรเสสระ บ้าง ปรไมสวร บ้าง หรือปรเมสสวร บ้าง แต่ก็คือบุคคลคนเดียวกัน ที่ว่า ปรเมสสระ นั้นคือพระอิศวร คือ นางเทวีแห่งตนผู้ชื่อ อุมมาเทวี มีบริวารหลัก คือ นันทิสสรเทวบุตร และ มหิกาลิวเทวบุตร (สององค์นี้เทียบได้กับเทพองค์ไหน ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ) และมีลูกชื่อว่า ขันธเทวกุมาร อันมีนกยูงเป็นพาหนะ และกล่าวถึงการกำเนิดของปรไมสวร (เอาชื่อนี้ละกัน เป็นความชอบชื่อนี้เป็นการส่วนตัว) ไว้ว่า ในชาติก่อนนั้น ได้ทำบุญถวายทานน้ำหวาน ที่ทำจากนมวัว อันมีชื่อว่า ควปานะ เมื่อมาเกิดในกัปนี้ ก็เป็น โอปปาติกภุมมเทวดา และมีวัวอุศุภราช เป็นพาหนะ และในชาติก่อนนั้นก็ได้ให้ทานเหล็กจารใบลานและบริขารแก่สังฆะ เมื่อเกิดมาเป็นปรไมสวรก็มีหลาวเหล็ก ๓ เล่มเป็นอาวุธ และยิ่งตอนที่เตรียมตัวก่อนจะไปหาพระพุทธเจ้า ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากว่าเป็นพระอิศวร ซึ่งจะกล่าวต่อไป ในสมัยที่พระพุทธเจ้า ไปเทศนามหาสมยสูตร ในเมืองกบิลพัสดุ์ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็พากันมาฟังเทศน์กันถ้วนทั่ว วิมานทั้งหลายก็เลยไม่มีเทวบุตรเทวดาองค์ไหนสถิตเลยสักองค์ ยามนั้นปรไมสวรก็พาอุมมาเทวี อันเป็นชายา และบริวาร อันมีนันทิสสรเทวบุตร และ มหิกาลิวเทวบุตร ไปเที่ยวเล่น ก็เห็นวิมานต่าง ๆ นั้นว่างเปล่า ก็นึกฉงน ก็สอดส่องเล็งดู ก็เห็นเหล่าเทวบุตรเทวดาพร้อมทั้งท้าวพระญาศากยะท้งหลายสดับตรับฟังธรรมเทศนาอยู่ อันมี สัมมาปริสัพพาชนิยสูตร พลหทวาทสูตร มหาพยุหสูตร จุฬพยุหสูตร ปราเภทสูตร ปรไมสวรก็คิดว่าหากเทวดาทั้งหลายฟังธรรมพระโคตรมะแล้ว จะไม่รับเอาข่าวสารแห่งปรไมสวรอีกต่อไป จึงคิดจะทำลายการเทศนาธรรมแห่งพระสมณโคดมนั้นเสีย ปรไมสวร จึงไปยังป่าช้าอันใหญ่ พร้อมบริวาร แล้วเกลือกกลิ้งเหนือกองไฟที่เผาผีนั้น เพื่อให้เถ้าและหนังผีที่ไหม้ไฟทาตัว เอาข่าย(สิ่งที่ถักเป็นตา ๆ )ดอกไม้ แล้วเนรมิตงูเกี้ยวหัวแล้วแผ่พังพาน เอาเหลาวเหล็กสามอัน เข้าไปสู่ยังสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา แล้วปรไมสวรก็ขับฟ้อนต่าง ๆ ใครที่จิตพร่องเบาก็โห่ร้องตามการฟ้อนรำของปรไมสวร ไม่เป็นอันฟังธรรม แล้วปรไมสวรก็ให้นามอุมมาเทวีฟ้อนด้วย คนและเทวดาทั้งหลายที่จิตพร่องเบาก็สาธุการต่อการฟ้อนหล่านั้น พร้อมกับตีกลองน้อยใหย่ บัณเฑาะว์ ระนาด ฆ้อง กังสดาล บ้างก็ลุกขึ้นฟ้อนตามไปด้วย จนกึกก้องโกลาหล กวนการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก แต่เทวดาและฝูงชนผู้เป็นอริยสาวกแล้วนั้น เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น ปรไมสวรก็ไม่สามารถทำให้คนกลุ่มนี้หวั่นไหวได้ง่ายๆ ส่วนพระพุทธเจ้าก็คล้ายกับว่ามองไม่เห็นปรไมสวร จึงทำการเทศนาจนจบ ปรไมสวรเมื่อเห็นว่า ไม่สามารถทำลายการเทศนาธรรมได้ จึงหนีไป หากขืนอยู่เท่ากับว่าตนเองได้มาสดับฟังธรรมเทศนานั้นด้วย เมื่อพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมจบลงแล้ว ผู้ที่มีใจหนักแน่น ก็ถึงอรหัตผล ประมาณแสนโกฏิอักโขเภณี และถึงโสดาปัตติผลมรรคผล สกิทาคามีมรรคผล และ อนาคามีมรรคผล ได้ ๑ อสงไขย ครานั้น ท้าวพระญาเมืองโกลิยะและเมืองศากยะ ก็ให้ราชกุมารทั้งหลายบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าถึง ๕๐๐ ตน (องค์) เมื่อปรไมสวร ล้มเหลวในการทำลายธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าในครั้งแรก จึงใคร่กระทำการประลองอิทธิฤทธีกับพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าในเมืองศากยะ ในครานั้นพระพุทธเจ้าได้ไปประทับที่ป่าหิมวันต์ และสมานกายไม่ให้ใครได้พบเจอ แต่ปรไมสวรก็ประสบพบกับพระพุทธเจ้าได้ ด้วยฤทธิ์แห่งปรไมสวร เมื่อเห็นดังนั้นจึงเข้าไปเจรจา บอกว่า เจ้ากู (หมายถึง พระพุทธเจ้า)นั้นมีเสียงเล่าลือว่าประกอบด้วยคุณในหมู่คนและเทวดาทั้งหลายด้วยฤทธีอานุภาวะ ส่วนข้า (ปรไมสวร) นั้น ก็มีอานุภาพปรากฏในคนและเทวดาทั้งหลายด้วย จะมีใครมาเทียบเราทั้งสองไม่มีเลย เจ้ากูมีฤทธิ์อานุภาพด้วยบารมีฌานผล ส่วนข้ามีฤทธิ์ด้วยบารมีกรรม แต่ข้าก็ไม่เคยประจักษ์ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งเจ้ากู ฉะนั้น ในครั้งนี้เห็นควรว่า เราทั้งสองจักสำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์กันเถิด เมื่อปรไมสวรกล่าวเช่นนั้น พระพุทธเจ้าก็เล็งเห็นว่า ในกาลภายหน้า ปรไมสวรจะเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็กล่าวกับปรไมสวรว่า หากจะเห็นอิทธิอานุภาพแห่งพระตถาคตแล้ว กำสำแดงอิทธิอานุภาพแห่งท่านออกมาก่อนเถิด ปรไมสวรได้ฟังดังนั้นก็ชวนพระพุทธเจ้าเล่นลี้ (ซ่อนแอบ) ดั่งเด็กน้อย คนหนึ่งเป็นคนลี้ คนหนึ่งเป็นผู้หาให้เจอ พระพุทธเจ้าก็ตกปากรับคำในการเล่นลี้กันในครั้งนี้ ปรไมสวรจึงให้พระพุทธเจ้าปิดตา แล้วตนเองจะเป็นฝ่ายลี้ ด้วยคิดในใจว่า หากพระพุทธเจ้าลี้ก่อน แล้วตนเองหาไม่เจอแล้ว พระพุทธเจ้าจะไม่ยอมหาเมื่อตนเองเป็นฝ่ายลี้ ครั้นพระพุทธเจ้าปิดตาลง ปรไมสวรจึงหายตัวจากที่นั้นแล้วดำดินลงไปถึงชั้นที่มีรสหวาน แล้วแปลงกายให้เล็กเท่า ปรมาณู อันคล้ายดั่งผงธุลีที่ปลิวอยู่ในอากาศนั้น เมื่อลี้ได้แล้ว จึงกู่ให้พระพุทธเจ้าออกค้นหา ด้วยสัพพัญญุตญาณ คล้ายดั่งเขี่ยแผ่นดินนั้นแล้วเอามือหยิบเอาผงธุลีอันเป็นองค์ปรไมสวรแปลงนั้น มาไว้เหนือฝ่ามือแล้วเขี่ยไปมา แล้วกล่าวว่า ท่านจงลุกมาเถิด ปรไมสวรนึกว่าพระพุทธเจ้าไม่เห็น จึงยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น ฝ่ายพระพุทธเจ้านั้นก็รู้ถึงความคิดของปรไมสวร จึงกล่าวว่า ท่านคิดหรือว่าตถาคตะจักไม่เห็นท่าน ตถาคตะเห็นท่านทั้งตีน มือ เล็บ แลขุมขน ไส้ใหญ่ไส้น้อยทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะหลุดรอดสายตาไปได้ ปรไมสวรได้ยินดังนั้นก็รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าได้จวบพบตนเองแล้ว จึงเนรมิตกายกลับคืนมาดังเดิม พระพุทธเจ้ากล่าวว่า แม้นว่าปรไมสวรลี้หนีไปอยู่ในน้ำมหาสมุทรก็ดี ไปเนรมิตเป็นสัตว์นรกอยูในนรก ๑๒๘ ขุมก็ดี เนรมิตเป็นยมบาลก็ดี เนรมิตเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ว่าจะแปลงเป็น นาค ครุฑ สัตว์ ๔ ตีน ๒ ตีน หรือมากกว่านั้น หรือไม่มีตีนเลย ก็ดี เนรมิตเป็นเทวดาตั้งแต่ฉกามาจนถึงพรหมก็ดี เนรมิตเป็นต้นไม้เถาวัลย์ก็ดี เป็นภูดอยหินผาอันใดก็ดี พระพุทธองค์ก็เห็นหมดทุกสิ่ง ปรไมสวร จึงไม่สามารถจะลี้ไปอันใดได้ จึงกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า ขอให้เจ้ากูลี้เถิด ข้าจักหาท่านเอง เมื่อได้ฟังดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตกายให้เท่ากับผงธุลี ไปลี้อยู่ระหว่างคิ้วของปรไมสวร ซึ่งคล้ายกับขนตาอยู่ใกล้ตาแต่กลับมองไม่เห็น แล้วพระพุทธเจ้าก็กู่เรียกให้ไปหาได้ ปรไมสวรก็เล็งหาดูในหมื่นจักรวาลก็ไม่จวบพบ ไม่ว่าจะทวีปทั้ง ๔ ภูเขาลำห้วย พฤกษาลดาวัลย์ พื้นน้ำมหาสมุทร เมืองครุฑเมืองนาค นอกจักรวาล หรือแม้แต่ในฉกามาพจรภพโสฬสพรหม ก็ไม่พบเจอ ค้นแล้วคนอีก อยู่อย่างนั้นเจ็ดรอบก็ไม่พบได้ ในที่สุดก็ยอมแพ้ บอกให้พระพุทธองค์ปรากฏออกมา พระพุทธองค์จึงเนรมิตบันไดแก้ว ๗ ประการ พุ่งออกจากหน้าผากปรไมสวรลงไปยังพื้นดิน พระพุทธองค์ก็เสด็จลีลาลงจากหน้าผากปรไมสวรแล้วไปประทับอยู่ในที่อันควร ปรไมสวรเห็นดังนั้นก็มีความเลื่อมใส สรรเสริญพระพุทธเจ้า ด้วยอิทธิอานุภาพแห่งองค์พระพุทธเจ้านั่นเอง แล้วพระพุทธเจ้าก็สั่งสอนปรไมสวรและให้ตั้งอยู่ในไตรสรณะ แล้วก็กลับมายังเชตวันอาราม สั่งสอนปัณสัตว์ตราบจนเสด็จเข้าสู่โมกขนิพพาน เมื่อพระพุทธเจ้าตั้งศาสนาไว้ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ปรไมสวรมีใจศรัทธา จึงเนรมิตอาวาสปราสาทอันประดับประดาด้วยแก้ว ๗ ประการ ภายในปราสาทนั้นประดับด้วยแก้วต่าง ๆ เสาเป็นแก้ว พื้นก็ปูด้วยแก้วทับทิม เวลาเหยียบลงไปก็จะยุบอ่อนนุ่ม แต่พอยกเท้าขึ้นก็ยกตัวมาเสมอกันดังเดิม ส่วนบันไดนั้นทำมาจากเงิน และก่อศาลาบริจาคด้วยแก้วต่าง ๆ มากมายสุดจะคณนานับ ปรไมสวรก็เนรมิตสารูปพิมพาของพระพุทธเจ้าด้วยแก้วตามลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการนั้น ประดิษฐานเหนือแท่นทองในปราสาทนั้น และให้นายมกฏะเทวบุตรอันเป็นใหญ่แก่วอกทั้งหลายเป็นข้าพระ ดูแลอุปัฏฐากพระพุทธรูปพร้อมทั้งกัลปนาปัจจัย ๔ และเครื่องบริโภคทั้งหลายไว้สำหรับบูชาพระพุทธ ในยามนั้น พระอรหันต์ทั้งหลาย ๕๐๐ ตน ที่อยู่ในนันทคูหาข้างดอยคันธมาทน์ ก็เหาะมาไหว้พระพุทธรูป และฉันข้าวที่ปรไมสวรถวายให้เป็นดั่งนี้ทุกวัน ในยามนั้น ยังมีฤๅษีอยู่ ๔ ตน ซึงได้ปัญจอภิญญา และคุ้นเคยกันกับปรไมสวร ฤๅษีทั้ง ๔ ก็คุยกันว่า จะไปหาปรไมสวรเพื่อที่จะได้ ตบะอันบริสุทธิ์ จึงเหาะมาหาปรไมสวร เมื่อเจอพระพุทธรูปก็เป็นที่ประหลาดใจแก่ทั้งสี่เป็นอย่างมาก จึงแอบนั่งชิดอยู่ที่ฝาด้านหนึ่ง ยามนั้น นายมกฏะอันเป็นอารามิก ( หรือ ข้าพระ หรือที่เอกสารทางอยุธยาเรียกว่า คนทานพระกัลปนา นั่นเอง) ก็ตกแต่งอาหารของฉันสำหรับอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ และเครื่องบูชาสำหรับพระพุทธเจ้า พร้อมกับผอบแก้วสองอัน เข้ามาจัดแจงภายในปราสาทเพื่อรอคอยปรไมสวร และอรหันต์ที่จะมา เมื่ออรหันต์ทั้ง ๕๐๐ เหาะมาถึง นายมกฏะก็ถวายดอกไม้แก่อรหันต์ทั้งหลายเพื่อไปบูชาพระพุทธรูป แล้ววียนปทักขิณ ๓ ทีแล้วออกมา ยามนั้น ปรไมสวรเมื่อเห็นอรหันตาทั้งหมดมาถึงด้วยญาณทิพย์ ก็เสด็จมาพร้อมกับอุมมาเทวี บนหลังอุศุภราช พร้อมทั้งบริวารทั้งหลายมาถึง นายมกฏะก็เอาผอบแก้วให้กับปรไมสวรและอุมมาเทวี เอาไปไหว้บูชาพระพุทธรูป แล้วออกมาไหว้กับอรหันตาและบูชาด้วยอามิสบูชาต่าง ๆ พร้อมทั้งถวายของฉันทั้งมวล แล้วอรหันตาทั้งหมดก็เหาะกลับไปยังแห่งที่อยู่ แล้วปรไมสวรก็เจรจากับฤษีทั้ง ๔ ที่แอบอยู่นั้นแล้วก็เสด็จกลับ แล้วนายมกฏะก็เสสังฆ์เอาข้าวที่พระอรหันตาฉันเหลือมาให้กับฤๅษีทั้ง ๔ เมื่อฤๅษีฉันแล้วก็เห็นอัศจรรย์ทั้งหลายในสิ่งที่ปรไมสวรกระทำด้วยศรัทธาเลื่อมใสในแก้วสามประการ แล้วฤๅษีทั้ง ๔ ก็มีใจเลื่อมใสด้วย จึงคิดใคร่บวชในศาสนาของพระตถาคต จึงลากลับ เมื่อฤๅษีพ้นจากพิหารไปแล้ว พิหารนั้นก็อันตรธานหายไปกลายเป็นป่าดงดอย แล้วในที่สุด ฤๅษีทั้ง ๔ ก็แสวงหาอาจารย์และบวชในบวรพุทธศาสนา และการที่ปรไมสวรเนรมิตพุทธรูปและวิหารไวสักการบูชา แล้วไว้อารามิก(ข้าพระ) ไว้อุปัฏฐากพระพุทธรูป ดังกล่าว กลายเป็นจารีตที่สืบต่อกันมา ในการสร้างกุฏี พิหาร เจติยะ ทั้งหลายเพื่อบูชา และมีการกัลปนา ข้าพระ ไว้อุปปัฏฐากอยู่เนืองๆ นิฏฐิตัง กรียา สังวัณณาวิเสส จาห้องเหตุปรเมสสรวัตถุกถา ก็สมเร็จสระเด็จเท่านี้ก่อนแล ๚๛ โดย: Zantha วันที่: 23 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:03:17 น.
โดย: เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:24:28 น.
โดย: JAJANA IP: 124.157.137.58 วันที่: 26 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:02:11 น.
ที่มาจากไหนค่ะ
โดย: ju IP: 125.24.153.90 วันที่: 25 สิงหาคม 2549 เวลา:13:58:27 น.
ที่มาจากส่วนหนึ่งของคัมภีร์ "ฉคติทีปนี" ครับผม
ปริวรรตโดย มาลา คำจันทร์ ซึ่งได้แบ่งเป็นตอน ๆ ลงในหนังสือพิมพ์พลเมืองเหนือ ครับผม โดย: ศศิศ IP: 203.150.136.205 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2549 เวลา:22:50:47 น.
โดย: ดีแล้ว IP: 61.7.190.126 วันที่: 23 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:27:24 น.
จิตต่ำทราม ที่อ้างอิงไร้เหตุผล พระอิศวรเป็นพระอนุตรธรรมที่คอยส่งเสริมแก่เหล่าพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโอกาสต่อไป หาใช่กล่าวเยี่ยงนี้ไม่ เป็นการปรามาสที่ไม่บังควร หากไม่รู้จริงด้วยญาณทัศนะที่แก่กล้า ไม่ควรนำมาลงเช่นนี้ เดี๋ยวจะตกนรกอเวจี
โดย: จิตธรรม IP: 203.151.15.242 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:16:57:51 น.
อ้างผิด ๆ สมัยพระพุธทเจ้าเกิด พระอิศวรกำเหนิดก่อนตั้งนาแล้ว อย่าจับแพะชนแกะ มันไม่ถูกเรื่อง
โดย: ไม่มีชื่อ IP: 125.27.193.164 วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:12:54:18 น.
โดย: เคิร์ท เรโทเรียน IP: 125.24.78.230 วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:12:21:44 น.
ขออนุโมทนาอย่างยิ่ง............ครับ
ทีเเรกนึกว่าพระอิศวร จะไม่มีในพระพุทธศาสนาเพราะไม่เคยอ่านเจอเเต่ครั้งนี้อ่านเจอเเล้วก็รู้ว่า พระพุทธเจ้าคือพระที่สูงที่สุดเเล้วในโลก อนุโมทนาเด้อครับ โดย: ผู้อ่าน IP: 222.123.219.79 วันที่: 25 ตุลาคม 2550 เวลา:21:41:53 น.
โดย: พระอิศวร IP: 124.120.173.54 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:13:58:52 น.
โดย: คนที่ไม่มีตัวตน IP: 124.120.173.54 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:14:03:06 น.
27542754
โดย: 2754 IP: 124.120.173.54 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:14:04:29 น.
บ้า
โดย: หมา IP: 124.120.173.54 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:14:05:40 น.
จะพูดว่าอะรายนะ
โดย: งง IP: 124.120.173.54 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:14:08:51 น.
ขอพระองทรงพระเจริญ(จากคนไรนาม)อิอิ
โดย: คนไรนาม IP: 125.27.195.90 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:20:45 น.
1 2คอ
200m ไห้ * 100 -1 2 คอ 800m ไห้ *300 + 100 -1 2 คอ โดย: รับmโยกัง-ไห้บัตรวันทรูคอ IP: 125.27.195.90 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:24:58 น.
โดย: ไอสัสทำไปได้ IP: 125.27.195.90 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:42:39 น.
boyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboyboy
โดย: boy10260 IP: 124.120.102.151 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:40:25 น.
ขออนุโมทนาด้วย.........สาธุ
เคล็ดลับดีๆ มีใหได้ค้นคว้ากานเยอะแยะ ความรู้เกี่ยวกับองค์พ่อเนี่ยน่าศึกษาหาความรู้ดีน้า ขอให้ผู้ศัทราทุกท่านที่ได้อ่าน ได้รับชม จงได้รับอานิสงผลบุญแห่งการศึกษาพุทธประติ และ เทวประวัติของ 2 ศาสนา สาธุ........ จาก ร่างพระพิฆเณศ โดย: ร่างคเณศน้อย IP: 125.27.113.60 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:30:39 น.
ขออนุโมทนาบุญครับ
โดย: ศรัทธาแรงกล้า IP: 58.8.3.243 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:3:20:44 น.
หนักกว่าเดิมที่เป็นอยู่พูดอย่างนี่ถึงณาญไหนแล้วบอกหน่อย
โดย: ackzaa IP: 115.67.201.213 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:25:48 น.
มิใช่เกิดก่อน หรือเกิดหลัง เส้นผมบังภูเขา รู้แจ้งแล้วสำเร็จมักผล น่าเลื่อมใส
โดย: ขอบคุณครับ IP: 124.120.60.199 วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:08:48 น.
whats up
โดย: baby IP: 125.24.241.131 วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:47:37 น.
शिव
ได้ อ่าน แล้วก้อ ซาบซึ้ง ใจมาก ครับ โดย: I3anana1997 IP: 58.8.128.43 วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:20:34:15 น.
พระอิศวร คือ สาวกของพระพุทธเจ้าเช่นกัน ครับ
จะสังเกตได้ คือ ไม่ว่าจะสวดบูชาเทพฮินดูองค์ไหนก่อนก็ตาม จะต้องสวด นะโม 3 จบ ก่อนทุกครั้ง เพื่อระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงบูชาเหล่าเทพ โดย: ชยพล IP: 58.9.118.225 วันที่: 28 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:03:19 น.
ที่ท่านได้รับอ่านนั้นให้พิจารณากันนะแต่ที่พ่อจะบอกนี่นะข้าพพระศิวะนับถือพระองค์ท่านสัมมาอรหัตมาเช่นกันข้าพพระศิวะเกิดก่อนพุทธการณ์เรียกว่าเป็นอาจารยร์ของท่านแต่ท่านสำเร็จสัมมาโพธืญาณก่อนฉนั้นท่านจึงเป็นครูของเทพทั้งหมดเข้าใจนะข้าพระอิศวร์โอม ตะสะนะมัสศิวายายะนัมโมผู้แจ้งสารจากข้าร่างพระศิว0800982023 สงสัยถามได้
โดย: ท่านพ่อพรหมศิวะนารายณ์ IP: 192.168.1.107, 124.157.168.168 วันที่: 29 สิงหาคม 2553 เวลา:21:42:01 น.
เราคือผู้สร้างจักรวารถ้าเธอบุญถึงเธอก็จะได้เห็นเรา
สร้าง ธาตุทั้ง สี่ ให้กับโลกนี้ สร้างความเชื่อให้กับมนุษย์ เช่นศาสนาทั่วโลก 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเรา ถ้าอยากจะลองไม่อยากเลย ให้เธอกล่าวคำหยาบๆกับเจ้าที่เจ้าทางที่เธออาศัยอยู่แล้วเธอจะได้เห็นดี เพราะเจ้าที่นั้นคือทหารของเราที่เราส่งลงไปเพื่อรายงานความดี ความชอบของมนุษย์และความชั่ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมใช้ไม่ คำว่ากรรมคืออะไรใครผู้ดูแลเราจะบอกเจ้าว่า เราผู้ควบคุมดูแล โดย: สำนักพ่ออิศวร จ.ตรัง IP: 118.173.38.94 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:1:12:00 น.
น่ารักอ่ะ โดย: ชอมรักปราย่า IP: 101.109.143.2 วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:20:48:34 น.
พระศิวะหรือพระอิเศวร์ก่อเคราพพระสามมาสัมพุทธะทุกพระองค์เพราะข้าเกิดจากพระเวทพระธรรมมาเป็นตัวข้าผู้สร้างโลกแต่ข้ายกย่องคนดีไม่ยกย่องคนชั่ว พระพุทธองค์ข้าสรรเสรญและเคราพอบ่านำข้ามาเทียบพระองค์เลยมันทำความดีไว้เถิดมานุษย์เอย สะยะนามานัสสยาติสายาติสันติสัติ น่างพระศิวะอ.พรหมมุรีเทวา 0908435691 สอบถามได้ศาลกำแพงเพชรองค์ประถมองค์ต้น
โดย: ร่างพระศิวะ IP: 171.100.24.29 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:11:57:53 น.
พระศิวะหรือพระอิเศวร์ก่อเคราพพระสามมาสัมพุทธะทุกพระองค์เพราะข้าเกิดจากพระเวทพระธรรมมาเป็นตัวข้าผู้สร้างโลกแต่ข้ายกย่องคนดีไม่ยกย่องคนชั่ว พระพุทธองค์ข้าสรรเสรญและเคราท่านอย่านำข้ามาเทียบพระองค์เลยพระองค์ท่านสูงส่งกว่าทุกอย่างมันทำความดีไว้เถิดมานุษย์เอย สะยะนามานัสสยาติสายาติสันติสัติ น่างพระศิวะอ.พรหมมุรีเทวา 0908435691 สอบถามได้ศาลกำแพงเพชรองค์ประถมองค์ต้น
โดย: พระอิเศวร์กำแพงเพชร IP: 171.100.24.29 วันที่: 14 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:02:52 น.
ตำรานั้นคงผิดแล้วค่ะ พระอิศวร คอยช่วยให้พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ท่านไม่เคยทำแบบนั้น ท่านไม่เคยทำร้ายใคร ใครทำชั่วก็เฉย ดีก็ช่วยให้ทำดียิ่งขึ้น ตำรานี้คงไม่มีที่มาที่ชัดเจนเป็นการแต่ง ของคนโบราณรึเปล่าคะ
โดย: อืม IP: 223.206.227.95 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา:22:00:09 น.
ที่กระผมได้ยินมา คือ ท้าวพกาพรหมไม่ใช่หรือครับในพระสูตรต่างๆไม่เคยกล่าวถึงพระศิวะหรือพระอิศวรเลยมั่วป่าวครับ ในบทสวดพาหุงก็มี
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ คำแปลก็คือพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดท้าวพกาพรหมถึง พรหมโลกให้เปลี่ยนมิจฉาทิฐิ ให้เป็นสัมมาทิฐิ ให้รู้ว่าทุกอย่างล้วน ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จบ โดย: พุทธบริษัทธรรมดา IP: 171.98.101.226 วันที่: 12 ธันวาคม 2556 เวลา:19:47:56 น.
เอาข้อมูลมาจากไหนผิดมากควรศึกษาไห้ดีก่อนลง
จากข้า ..องค์มเหศวรมหาสดาศิวะเจ้า โอม สดา ศิเวศวร อิสีมุนี ปุนญะ ข้าคือองค์พระสดาศิวะเจ้้้าที่แบ่งภาคลงมาบำเพ็ญตบะณ.เขาไกรลาศในรูปของพระศิวะมหาเทพมหาโยคี.รูปงาม เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่บุญบารมีถ้าเจ้าบารมีถึงเจ้าก็จะมองเห็นข้าเอง.. โดย: องค์ในพระมเหศวรสดาศิวะและมหาเทพเทวีทุกองค์ IP: 49.230.186.183 วันที่: 8 สิงหาคม 2557 เวลา:15:33:52 น.
ไม่มีเทพใดๆทั้งสิ้น อุปโลกกันมาเรื่อย ไอ้พวกบ้าหรือผีบ้า สมัยก่อนถูกอังกฤษยึดเอา แถมยังเอาเพชรพลอย ทองคำไปหมด อีกที่ปราสาทนครวัต นครธม สาบสูญ อ่านศึกษาประวัติศาส ก็แค่พวกแขกเล่นปาหี่ค้าขายของที่ตนทำมา. หลอกชาวบ้านจนไปถึงราชา พระพุทธเจ้า ท่านให้ยึดเอาคำสั่งสอนที่เป็นหลักศีลห้า ให้เรียนรู้ ไม่ให้เชื่อ ให้พิจารณา พวกผีบ้า
โดย: อนัตวิภาส IP: 171.96.171.116 วันที่: 28 กันยายน 2557 เวลา:17:20:58 น.
ทั้งสองพระองค์สอนตามลำดับถึงหมดจดเหมือนกันครับ...ไม่ควรโต้ตกวิวาทธรรม,หรืิอกล่าววาจายากไร้,แข่งระดับกัน=ควรพิจารณาแล้วทำใจให้เสมอแผ่นดิน,เป็นที่สุดปราศจากธุลีครับ
โดย: หมดจด IP: 49.0.98.222 วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:10:21:30 น.
นี้เป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องอีกหลายอันที่แต่งโดยมนุษย์ ที่มีการอ้างอิงที่ไม่ได้เรื่อง ผมสรุปให้คุณฟังง่ายๆน่ะ ถ้าคุณศึกษาศาสพระพุทธเจ้าแน่นจริงคุณจะรู้เลยว่าบ่อกำเนิดศาสนาพุทธมาจากที่ปัจจุบันเรียกว่าศาสนาฮินดู(คุณพยายามเข้าใจน่ะเทพไม่ได้ก่อตั้งศาสนานี้แต่เป็นมนุษย์เราเนี้ยแหละที่สร้างมันขึ้น แต่เทพเคารพและนับถือในการที่มนุษย์เลือกที่จะเคารพพวกท่าน แม้ในปัจจุบันการบูชาเทพมันดูแบบบ้าๆ ต่คุณจำไว้เทพไม่ได้สั่งให้เป็นนี้ เทพเองก็ไม่พอใจ) ทุกศาสนาในโลกนี้มันคือ ศาสนา 1 เดียวกันหมดแต่มีหลากหลายรูปแบบให้กับมนุษย์ในการเลือก พระศิวะและพระพุทธเจ้า คือ องค์เดียวกัน มีแค่คนที่รู้จริงที่กล้าพูดแบบผม ไม่เชื่อแล้วแต่คุณ พอกายคุณดับสิ้นเมื่อใด ภาวนาไว้ในหัวซ่ะว่าตกลงพระพุทธเจ้าและพระศิวะมหาเทพนั้นองค์เดียวกันจริงหรือไม่ ผมยืนยันให้อีกทีว่า จริง!
จำไว้น่ะครับ เรา คือ คนไทย เรารับศาสนาต่อยอดอีกทีมาจากอินเดีย แม้ไทยจะตั้งว่าศาสนาพุทธคือ ศาสนาประจำชาติ แต่มันไม่ได้ให้สิทธิเราว่าเรารู้ดีแมร่งหมดทุกอย่าง ผมศึกษามาดีจากอินเดียและผมกล้าบอกเลยว่าหลายอย่างที่มนุษย์แต่งในปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก ทำไปเพราะอยากดัง อยากมีเงิน อย่าเลยครับ สงสารศาสนาเหอะครับ เค้าอยู่กับที่ดีๆคุณก็ไปขุดเรื่องมาแล้วนำไปแต่งมั่วๆโดยไม่คิดไตร่ตรองดีๆ บ่งบอกถึงความมักง่ายของมนุษย์ โดย: Mahadev IP: 1.46.65.167 วันที่: 3 ธันวาคม 2557 เวลา:23:56:44 น.
เห็นด้วยกับคุณ Mahadev ค่ะ
โดย: SawasD IP: 183.89.4.35 วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:1:37:55 น.
ผมรู้แค่ก่อนพุทธกาลมีศาสนาพรามห์อยู่แล้วคับ ทีแรกก็อยากรู้นะคับว่าจะเกี่ยวโยงกันยังไง แต่ก็ยังมีข้อมูลที่คาดเคลื่อนอยู่ ต้องพิจจารณาอีกที
ที่แน่นอนที่สุดคือ..เมื่อกุศลจิตเกิดย่อมมาพร้อมศรัทธาอยู่แล้วไม่ว่าชาติ,ศาสนาใดก็ตาม เมื่อมีศรัทธาย่อมมีจิตที่ดีงามในทุกศาสนา...สาธุ ...ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์ โดย: วรนันท์ IP: 49.230.26.156 วันที่: 29 พฤษภาคม 2559 เวลา:14:18:43 น.
แต่งเก่งมากๆครับ
เยี่ยมจริงๆ จริงๆพระนามของพระศิวะไม่ได้เรียกว่าพระปรไมศวร แต่เป็นปรเมศวร หรือมเหศวร พระอิศวรเป็นมหาโยคี พระพุทธเจ้าก็นำหลักธรรมของพระศิวะจากคัมภีร์พระเวทมาใช้คือ ศีล5 ง่ายๆนะ พระพุทธศาสนามีรากฐานมาจากฮินดู โดย: คนไศวะ IP: 49.230.230.119 วันที่: 21 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:09:32 น.
|
บทความทั้งหมด
|