ลมหนาวที่เปลี่ยนทิศ กับชึวิตที่เปลี่ยนทาง
"ลมหนาวที่เปลี่ยนทิศ กับชึวิตที่เปลี่ยนทาง"
ฤดูหนาว เป็นฤดูที่ผมชอบมากครับ... เมื่อตอนเป็นเด็กนั้น ฤดูหนาวเป็นฤดูที่มีความสุขมาก....ได้ก่อไฟผิง ได้ขนมอร่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวจี่ ข้าวหลาม มันสำปะหลังปิ้ง ข้าวงา (หรือข้าวหนุกงา) นับเป็น ขนม ชั้นยอดเลยล่ะครับ
ซึ่งในตอนเช้า ๆ ก็จะลุกขึ้นมาติดไฟ จากกองไฟที่คุกรุ่นจากเมื่อคืน เติมเชื้อไฟลงไปอีกหน่อย เป่าไฟใส่ไปอีกนิด เปลวไฟก็ลุกขึ้นมาขับความหนาวเย็นของยามเช้าได้ดี
คนที่ตื่นเช้าก็จะลงมานั่งเป็นวงล้อมรอบกองไฟ และที่สำคัญ ก็จะเผาข้าวหลาม ไปด้วย เด็ก ๆ ก็จะตื่นเช้า มาเฝ้าข้าวหลาม ซึ่งโดยปกติ จะตื่นเช้ายากมากด้วยอากาศอันหนาวเหน็บ
ข้าวหลามที่เผาอยู่นั้นก็จะพลิกไปพลิกมาให้สุกกันทั่วทั้งกระบอก ถ้าไม่พลิก อาจจะสุกบ้างไม่สุกบ้าง และบางที ก็จะไหม้ การเผาข้าวหลาม จึงต้องดูแลอย่างดี ผิงไฟอังอุ่นไปด้วย เผาข้าวหลามไปด้วย บางที ก็จะเอาข้าวเหนียวนึ่งที่เหลือมาจากเมื่อคืน ก็เอามาจี่บนกองไฟ นั้น อาจจะซ่อนก้อนน้ำอ้อยไว้ภายใน หรือเอาน้ำผึ้งมาทาก้อนข้าว แล้วก็เผาไฟ น้ำผึ่ง และน้ำอ้อย ก็จะละลายซึมเข้าไปในก้อนข้าว จี่พอเหลืองกรอบ จะหอม น่ารับประทาน...
การทำข้าวหลามนั้น จะต้องเตรียมกันตั้งแต่เมื่อกลางวัน โดยจะไปตัดไม้ข้าวหลาม ซึ่งเป็นไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งจะนำมาทำข้าวหลามโดยเฉพาะ ก็จะไปตัดมา และตอนเย็นก็จะกรอกข้าวสารใส่กระบอกข้าวหลาม อาจจะผสมถั่ว ผสมงา ลงไปด้วย ใส่น้ำเชื่อม เกลือ กะทิ ให้หวาน มัน หรือบางคนชอบสังขยา ก็จะสอดไส้สังขยาไปด้วย ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจะมาเผาในตอนเช้า หรือจะเผากลางคืนนั้นก็ได้
บรรยากาศกลางคืน จะสนุกสนาน ในละแวกบ้านใกล้เคียงกัน 4 - 5 หลังคาเรือน ก็จะออกมาผิงไฟ รอบกองไฟกองหนึ่ง ทั้งผู้แก่ผู้เฒ่า พ่อบ้านแม่เรือน คนหนุ่มคนสาว ลูกเด็กเล็กแดง ก็จะมารวมกัน บ้างก็ถือ ไม้ไผ่ มาจักตอกสำหรับใช้งาน บ้างก็เอาไม้ไผ่มาเหลา สำหรับใช้เสียบใบยาสูบ บ้างก็เอาถั่วลิสงมาแกะเปลือก เพื่อจะเอาไปปลูกในเวลาต่อไป ถั่วเอย เม็ดมะขามเอย ก็จะเอาบ่มในกองขี้เถ้ากองไฟ ทิ้งไว้สักครู่ ก็จะเอามาแกะแทะเล่น เป็นของกินแล่นขบเคี้ยว ซึ่งก็เหมือนขนมขบเคี้ยวสมัยนี้ แต่ตอนนั้น แค่เม็ดมะขามคั่วก็อร่อยนัก ซึ่งความอร่อย มันจะมีบรรยากาศที่อบอุ่นและความรื่นเริงสนุกสนานแทรกเข้าไปด้วย
ลานรอบกองไฟ เป็นแหล่งพบปะกัน ระหว่างรุ่นต่อรุ่น ผู้เฒ่าผู้แก่ วัยรุ่นหนุ่มสาว และเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ รอบกองไฟมีมนต์ขลังสิ่งต่าง ๆ ที่ดีงามที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ก็จะถ่ายถอดออกไป พื่อให้คนรุ่นใหม่ "สืบ" ให้ดำรง และ "สาน" เพื่อให้มีอยู่ต่อไป การสั่งสอนของผู้ใหญ่ ก็จะสั่งสอนตรง ๆ บ้าง หรือจะแทรกไปในเรื่องราวที่เล่าออกไป ซึ่งจะเป็นนิทานบ้าง เจี้ย บ้าง ...
นิทานรอบกองไฟ นี้ นอกจากจะเป็นเจี้ยตลก ๆ เรืองราวลี้ลับ ภูติผีปีศาจ อาธรรพ์ป่าดง ตำนานเรื่องเล่าขานต่าง ๆ แล้ว ก็ยังจะมีชาดกต่าง ๆ ที่พ่อเฒ่าแม่แก่ ได้มาจากการฟังธรรมที่วัด มาเล่าต่อให้เด็กรุ่นใหม่ฟัง เช่น เรื่อง จันทฆาตกชาดก ชิวหาลิ้นฅำ หรือจะเล่าออกมาเป็น ฅ่าว ก็อย่างเช่นเรื่อง เจ้าหงส์หิน หรืออาจจะขับลำนำเป็นบทซอ เช่นเรื่อง เจ้าสุวัตร - นางบัวคำ เป็นต้น ผสานกับการขับซอ บทจ๊อย...ผสานกับความวิเวกวังเวงในยามค่ำคืน และอากาศอันหนาวเหน็บ...บางแห่งอาจจะมีสะล้อ มีซึง มาขับกล่อม.....
แต่.... บัดนี้ หลายอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
หลายอย่างที่ไหลไปแล้วก็ไหลวกกลับมาบ้าง ....แต่ก็เพียงส่วนน้อย
หลายสิ่งขาดการ "สืบ" จากรุ่นหนึ่งมาสู่อีกรุ่นหนึ่ง
หลายอย่างขาดการ "สาน" ต่อไปของคนรุ่นใหม่
สิ่งที่มีอยู่ ก็ค่อย ๆ หดหายไป หายไป อย่างน่าใจหาย
ความอบอุ่นที่แวดล้อมรอบกองไฟ ดังที่กล่าวมานั้น ความอบอุ่นนอกจากจะมาจากกองไฟที่โหมลุกไหม้อยู่นั้นแล้ว ก็ยังจะมาจากหัวใจ ความเอื้ออาทรของพี่น้อง เพื่อนพ้อง ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่มีต่อกัน อีกด้วย
สภาพปัจจุบัน ทำให้สายสัมพันธ์นั้น คลายเกลียวลง ...ฤดูหนาว ก็จะเปิดบ้าน เปิดไฟ หุ่มผ้า นั่งดูทีวี กันภายในครอบครัว
ต่างคนต่างก็อยู่บ้านของตัวเอง ดูทีวี แล้วลืมเสียงสะล้อ ซอซึง ลืมลำนำขับขานจากอดีต ที่โหยไห้ร่ำหา ลืมวิถีทางอันเป็นมาของตน ลืมจิตวิญญาณที่บรรบุรุษได้สรรค์สร้าง ลืมสิ้น......
เดี๋ยวนี้ ข้างหลังจะเรื้อร้างเป็นหย่อมหญ้า ข้างหน้าแผ้วถางเป็นบ้านเป็นอาคาร
หนาวนี้ขอให้หลาย ๆ คนหันกลับไปดู "วิถีชีวิต" ณ เบื้องหลัง
ยามเมื่อครั้งเป็นเด็ก ว่า หนาวตอนนั้น กับหนาวตอนนี้ อะไรบ้างที่เปลี่ยนไป .....
ปล. อากาศเย็นลงแล้ว ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับผม .... และขอให้มีความสุขกันตลอดหนาวนี้และตลอดไปครับ