|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาจ้าวราชันย์ สายเลือดจ้าวราชันย์ (69)
เคออสใช้มือซ้ายกุมด้ามดาบ ส่วนมือขวาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามใบดาบ ควันสีขาวบางเบาลอยออกมาจากตัวดาบที่กำลังค่อยๆ เย็นตัวลง ดวงตาของเหล่าทหารที่ยืนรายล้อมอยู่เหมือนกับว่ากำลังจ้องมองออกไปในความว่างเปล่า นอกจากพวกเด็กๆ ทั้งสี่คน เจิดจรัส และม่านเมฆ ดูเหมือนคนอื่นๆ ล้วนตกอยู่ภายใต้ความควบคุมของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีอย่างสมบูณ์แล้ว เจิดจรัสคิดก้าวออกไปเพื่อเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเคออส แต่มีมือข้างหนึ่งยื่นมาฉุดดึงเขาเอาไว้ มือเล็กๆ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มือเล็กๆ ที่เขาเองก็พร้อมจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ด้วยเช่นกัน 'บางทีนี่อาจเป็นการต่อสู้ที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้' พอข้าวเขียวคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง ความคิดนี้ก็ดูน่าจะเป็นไปได้อย่างยิ่ง เหตุใดจันทราจึงตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเคออส ทำไมมายากับนิลวายุต้องเดินทางผ่านไปที่หมู่บ้านของพวกเขา ยังมีตัวเขาเอง น้องสาว กล้าณรงค์ และกล้าไพร รวมทั้งใครอีกหลายคน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างแปลกประหลาด จนนำมาซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ 'สายเลือดแต่โบราณทวงสัญญาจ้าวราชันย์' ดูเหมือนว่าคำทำนายนั้นจะเดินทางมาถึงส่วนสุดท้ายของมันแล้ว ข้าวเขียวรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันไม่เหมือนกับคำทำนายอื่นๆ ที่มักมีตอนจบใส่เอาไว้ด้วย แต่คำทำนายกลับจบลงเพียงเท่านี้ ไม่มีทางบอกได้เลยว่าฝ่ายใดกันแน่ที่จะได้รับชัยชนะ รัตติกาลขยับก้าวออกมาข้างหน้า เขาลังเลที่จะชักดาบของตน ดาบธรรมดาเล่มนี้ไม่คู่ควรที่จะนำออกมาใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าวขวัญก้าวมายืนเคียงข้างพร้อมนำจุลจันทราออกมา ...ใช้ดาบเล่มนี้ดีกว่าไหมคะ การใช้ดาบธรรมดามาสู้กับหนึ่งในอาวุธของสี่ราชานั้นคงเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีนัก แต่การใช้ดาบสั้นจุลอย่างจันทรามาเปรียบกับดาบยาวอย่างเพลิงสุริยา ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเช่นกัน ม่านเมฆก้าวออกมายืนอีกข้างหนึ่งพร้อมกับสายวารี หรือเจ้าชายแห่งสายน้ำ ฉันว่าเธอใช้ดาบเล่มนี้จะดีกว่า สายวารีเล่มนี้ทั้งขนาด และรูปร่างใกล้เคียงกับดาบของกล้าณรงค์ ซึ่งเป็นดาบเล่มแรกที่รัตติกาลเคยใช้ เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปรับมันมาถือไว้ ข้าวขวัญรู้ตัวว่าเธอผิดเองที่ไม่คิดให้รอบคอบก่อนเสนอให้เขาใช้ดาบสั้นจึงต้องถูกปฏิเสธเช่นนี้ เขาหันมาหาเธอคล้ายกับต้องการจะกล่าวขอโทษ เธอยิ้มอย่างเข้าใจแล้วเก็บดาบสั้นไว้เช่นเดิม รัตติกาลทดสอบน้ำหนัก และกวัดแกว่งดาบเล่มนี้เพื่อหาจุดสมดุล การใช้อาวุธที่ไม่คุ้นเคยกับการต่อสู้ครั้งสำคัญเป็นการตัดสินใจที่ผิด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก เพราะดาบธรรมดาทั่วไปคงไม่อาจต้านทานคมของดาบเล่มนั้นได้ สุดท้ายเขาก็ก้าวออกไปยืนเผชิญหน้ากับเคออส ผมรัตติกาลแห่งสุริยัน ขอรับการสั่งสอน ข้า เคออสจ้าวแห่งความสับสน เจ้าหนูนี่ไม่ใช่การประลอง แต่เป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต รัตติกาลจ้องมองดวงตาสีแดงของฝ่ายตรงข้าม ดวงตาของเขาเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเช่นเดียวกัน เขาประกาศออกไปด้วยเสียงอันดังกึกก้อง ผมขอท้า...เคออสจ้าวแห่งความสับสนในการต่อสู้ ที่มีชีวิตของผม...และผืนแผ่นดินแห่งนี้เป็นเดิมพัน เคออสมองดูเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจ แต่มายากลับกล่าวขัดขึ้นมา เธอคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้...เธอเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีแผ่นดินในความครอบครองเลยแม้แต่น้อย เธอถือสิทธิอะไรถึงกล่าวเดิมพันเช่นนั้นออกมา ด้วยสิทธิของเรา ในนามของมหาอาณาจักรสุริยัน เจิดจรัสพูดอย่างห้าวหาญ ด้วยสิทธิของเรา ในนามของมหาอาณาจักรวารี ม่านเมฆกล่าวพร้อมกับจับมือของเจิดจรัสเอาไว้ ...ด้วยสิทธิของ...นักมายากลคนสุดท้าย... ข้าวขวัญเอ่ยด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยมั่นใจ ข้าวเขียวกับกล้าไพรก้าวเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเธอ 'ฉันเป็นนักมายากล ไม่ใช่เพราะใครมาบอกว่าฉันเป็น แต่เป็นเพราะฉันยอมรับในตัวเอง ฉันเป็นเพราะอยากที่จะปกป้องทุกคน' ด้วยสิทธิของฉัน ในนามของมหาอาณาจักรจันทรา รอยยิ้มบนใบหน้าของมายากระตุกเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ ...ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังขาดไปอีกเสียงหนึ่งอยู่ดี สีแดงค่อยๆ จางหายไปจากดวงตาของเคออส มายาหันกลับไปมองด้วยความตกใจ เขาหลับตาลงช้าๆ และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับกลายเป็นนิลวายุไปเสียแล้ว เขาจ้องมองตอบมายา ในแววตาคู่นั้นมีแต่ความเศร้าปกคลุมอยู่ มายาเผลอก้าวถอยหลังไปอย่างลืมตัว 'ทำไมดวงตาเช่นนั้นจึงทำให้ข้าเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาได้' นิลวายุหันกลับไปมองเด็กๆ ทั้งสี่คน เขานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลับกลายมาเป็นแบบนี้ เขารู้ว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเอง ส่วนลึกในใจของเขามีไฟแห่งความความโกรธแค้นตั้งแต่วัยเด็กคุกรุ่นอยู่ และสายลมแห่งพายุหมุนก็พัดมันจนลุกโชน เผาผลาญวิญญาณของตนเองจนมอดไหม้ไปในที่สุด นิลวายุไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าหัตถานั้นเป็นส่วนหนึ่งของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีไปตั้งแต่เมื่อใด อาจจะเป็นในตอนที่เขากลับมาจากการลอบสังหารเจิดจรัส อาจจะก่อนหน้านั้น หรือเขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของมันมาตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ บางทีแม้แต่ในตอนที่เขาคิดว่ายังคงเป็นตัวของตัวเองอยู่ เขาก็อาจจะกำลังถูกแมงมุมตัวนั้นชักเชิดอยู่แล้วก็เป็นได้ สุดท้ายสายตาของนิลวายุก็ไปหยุดลงที่ร่างของกล้าไพร ร่างที่แม้จะดูพิกลพิการ แต่กลับมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าเขามากมายนัก เพราะถึงแม้จะก้าวเข้าไปสู่ความมืดเช่นเดียวกัน แต่เด็กคนนี้กลับสามารถถอนตัวออกมาได้ เขามองไปยังข้าวขวัญ 'เธอคนนี้คือต้นกำเนิดพลังของเขา' เขาอดเหลือบมองไปยังร่างของมายาอีกครั้งไม่ได้ 'น่าเสียดายที่ฉันรู้ใจของตัวเองช้าเกินไป ไม่อย่างนั้น' ...กล้าไพร เข้ามาหาฉันหน่อย ทุกคนดูเหมือนจะลังเล แต่กล้าไพรรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งออกมาจากนิลวายุ ร่างของเขาหายไปก่อนปรากฏขึ้นต่อหน้าตามคำเรียกหานั้น ฉันเคยสัญญากับพ่อของเธอ สัญญากับเขาว่าจะช่วยเธอเอาไว้ให้ได้ แต่สุดท้ายเธอกลับต้องกลายมาเป็นแบบนี้... นิลวายุเอื้อมมือออกมาจับหัวไหล่ทั้งสองของกล้าไพรเอาไว้ ก่อนที่จะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ...ได้โปรดรับคำขอโทษจากฉันด้วย นิลวายุยืนขึ้นอีกครั้งก่อนหันไปทางมายา สายตาของเขาคล้ายกับยังคงมีความคาดหวังบางอย่างอยู่ 'จะยังมีเธอเหลืออยู่ในร่างนั้นเหมือนกับฉันไหมนะ' ด้วยสิทธิของเรา ในนามของมหาอาณาจักรวายุ... เสียงของนิลวายุค่อยๆ แผ่วหายไป ...มายา ฉันรักเธอ ส่วนลึกภายในอันดำมืดของผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีมีความสั่นไหวเล็กน้อยเกิดขึ้น มันไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ และมันก็ไม่คิดจะทำความเข้าใจด้วย เพราะตอนนี้มันกำลังโกรธ มันไม่เข้าใจว่าเหตุใดเคออสจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย นิลวายุหลับตาลงและเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มันก็ลุกโชนด้วยสีแดงดุจเปลวเพลิง เจ้าคงพอใจแล้ว มายากัดฟันแต่ไม่กล่าวอะไร ก่อนก้าวถอยหลังออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ ปล่อยให้คู่ต่อสู้ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันเพียงลำพัง รัตติกาลยกดาบของตัวเองขึ้นชูไว้ในระดับหัวไหล่ ดาบเล่มนี้มีน้ำหนักเบากว่าดาบของกล้าณรงค์ที่เขาเคยใช้เพียงเล็กน้อย เขาตัดสินใจใช้ท่าที่ตัวเองเคยใช้ในการประลองกับอรุณรุ่ง สิ่งที่ต่างออกไปคือในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้สะสมประสบการณ์ในการต่อสู้จนเพิ่มพูนขึ้นมาก น่าแปลกที่เคออสเองก็ใช้ท่วงท่าเดียวกันนี้แต่ด้วยมือซ้าย ดาบของทั้งสองจึงอยู่ทางด้านเดียวกัน ทั้งคู่ต่างยืนนิ่งจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้าม ท่าทีของเคออสแลดูสงบเยือกเย็นอย่างประหลาด ข้าวเขียวเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าการประลองในครั้งนี้คงจบลงด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งเจิดจรัส และม่านเมฆต่างก็คิดเช่นเดียวกัน รัตติกาลเป็นฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวก่อน เขามีขนาดร่างกายที่เสียเปรียบ แม้ใช้ท่าเดียวกันแต่ความสูงที่แตกต่างทำให้เคออสสามารถจู่โจมลงมาจากระดับที่สูงกว่า ซึ่งทำให้มีพลังมากกว่า เขาต้องชดเชยมันด้วยการใช้แรงส่งจากการพุ่งเข้าจู่โจมมาทดแทน แต่ฝ่ายที่เคลื่อนไหวก็มีข้อเสียเปรียบเช่นกัน แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเสี่ยง 'ทุ่มเททุกสิ่งลงไปในดาบเดียวนี้' รัตติกาลก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เขามีเพียงสองสามก้าวก่อนที่จะเข้าสู่ระยะจู่โจม เขาต้องเร่งความเร็ว ถ่ายเทน้ำหนัก เปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นพลังเข้าสู่ดาบ เขาเตรียมใจรับการโจมตีที่ทัดเทียมกันจากฝ่ายตรงข้าม แต่การเคลื่อนไหวของเคออสกลับแตกต่างไปจากที่เขาได้จินตนาการเอาไว้ทั้งหมด เคออสหมุนบิดเอว สลับคมดาบกลับด้านก่อนเหวี่ยงดาบยาวเป็นวงไปทางด้านหลัง เขาจับมันด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว และจับอยู่ที่ปลายสุดของด้ามดาบ ก่อนเหวี่ยงมันขึ้นมาจากล่างขึ้นบน ลำตัวของเขาบิดไปทางด้านข้างซึ่งทำให้ขนาดเป้าหมายของรัตติกาลหดหายไปครึ่งหนึ่ง การโจมตีจากด้านล่างนั้นมีพลังทำลายที่น้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยจังหวะเวลาที่แม่นยำ และความยาวของตัวดาบ นั่นหมายความว่ามันจะถึงเป้าหมายได้ก่อนที่ดาบของรัตติกาลจะฟันลงมา เขาเหลือก้าวสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายดูเหมือนเคลื่อนที่ช้าลงในความคิดของเขา 'จะไปต่อ หรือจะหลบ' ดูเหมือนว่าสายตาของเคออสจะถามรัตติกาลเช่นนั้น แต่เขาไม่มีความลังเลสงสัยเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ดาบนี้คือทั้งหมดที่เขามี เขาไม่อาจฟันดาบที่เหนือล้ำไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หากเขาหลบหนีจะไม่มีโอกาสครั้งที่สองสำหรับเขาอีก รัตติกาลกัดฟันก่อนรู้สึกถึงคมของเพลิงสุริยันตัดผ่านเข้าไปในช่องท้องของเขา สิ่งแรกที่รับรู้ได้กลับไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบเฉียบพลัน แต่มันกลับเป็นเพียงความรู้สึกธรรมดาๆ เหมือนกับถูกตีด้วยไม้เท่านั้น เขาฟันดาบในมือต่อไป แต่แทนที่มันจะผ่าศีรษะของเคออสออกเป็นสองเสี่ยงอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ มันกลับจมลงไปบนหัวไหล่ของเขา ความเจ็บปวดที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การโจมตีของรัตติกาลเชื่องช้าลง ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกตีในตอนแรกกลับกลายเป็นความร้อนที่เหมือนถูกจี้ด้วยไฟ แต่สิ่งที่ส่งผลอย่างแท้จริงกับการจู่โจมที่ผิดพลาดนี้คือจิตใจของเขานั่นเอง ความจริงแล้วรัตติกาลไม่อยากทำร้ายทั้งร่างของนิลวายุ และคนที่อยู่ภายในนั้น เขามองเห็นใบหน้าของสุริยันได้อย่างชัดเจนผ่านดวงตาสีแดงคู่นั้น เขาไม่ใช่เคออส เขาคือสุริยัน บิดาเพียงคนเดียวที่เขามี รัตติกาลปล่อยดาบในมือก่อนล้มลงไป การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้วและเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เคออสยืนเหม่อมองดูร่างของลูกชาย เขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสายวารีที่ยังติดอยู่บนหัวไหล่ของเขาเลยแม้แต่น้อย มายาพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เธอหันไปหาเคออสด้วยดวงตาที่มีแต่ความเคียดแค้น ทำไมท่านถึงทำแบบนี้ ทำไม... ในที่นี้อาจมีเพียงเจิดจรัสอีกคนเดียวเท่านั้น ที่พอจะเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ดาบของเคออสเมื่อครู่สามารถผ่าร่างของรัตติกาลออกเป็นสองส่วน หรือตัดหัวของเขาลงมาได้ แต่มันกลับเพียงแค่สร้างบาดแผลที่ไม่ถึงตายในบริเวณลำตัวเท่านั้น และดาบของรัตติกาลเองก็ควรจะสามารถจบชีวิตของคู่ต่อสู้ลงได้เช่นกัน เคออสเหม่อมองขึ้นไปบนยอดหอคอยสูง บนนั้นคล้ายกับมีเงาของใครคนหนึ่งยืนอยู่ เงาร่างอ้อนแอ้นที่คุ้นตา แต่เป็นเพราะไกลเกินไปเขาจึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าของจันทราได้ ...ข้าเคยตั้งใจทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเหล่าผู้พเนจร ว่าจะใช้พลังที่ได้รับมานี้เพื่อสร้างโลกที่ไร้สงครามขึ้นมา ตอนนั้นข้าคิดเพียงว่าต้องใช้พลังที่เหนือกว่าเพื่อปราบปรามทั้งหมดให้ยอมสยบราบคาบ ก่อนสร้างโลกใหม่ขึ้นมาแทนที่ ในตอนที่ถูกเพื่อนทั้งสองคนหักหลังนั้นข้าเจ็บใจมาก ข้ายังคงอยากสร้างโลกที่ไร้สงครามตามคำสัญญา แต่โลกที่ไร้สงครามสำหรับข้าในตอนนั้น คือโลกที่ไม่มีมนุษย์อยู่อีกต่อไปนั่นเอง ตราบใดที่ยังคงมีมนุษย์หลงเหลืออยู่ ตราบนั้นย่อมไม่มีวันเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริงขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายข้าก็ถูกคนที่ตัวเองรักและเชื่อใจที่สุดจองจำเอาไว้... เคออสมองกลับลงมา ในขณะที่ข้าวเขียว กับข้าวขวัญเข้ามาประคองร่างของรัตติกาลให้ลุกขึ้น บนใบหน้าของเธอเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตา แต่เธอพยายามที่จะไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมา สายตาของรัตติกาลจ้องนิ่งไปยังบิดาของเขา ...แม้แต่ลูกชายเพียงคนเดียวก็ยังคิดกำจัดข้า ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านไม่จัดการพวกมันให้หมด ทำไมท่านไม่ปลดปล่อยความโกรธ ความเกลียดเหมือนกับในครั้งนั้น กำจัดพวกมนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินนี้ เคออสหันมามองมายา เพราะข้ารู้ตัวแล้วว่าความคิดของข้านั้น...มันผิดมาตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะมีความตั้งใจที่ดี แต่การใช้ความรุนแรงเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงนั้นไม่ถูกต้อง และมันก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายติดตามมาอย่างที่เห็น ก่อเกิดเป็นตัวเจ้า และเคออสในที่สุด สุริยันหันไปหาทุกคนที่เข้ามายืนเคียงข้างลูกชายของเขา สิ่งที่เราต้องใช้ในการสร้างโลกที่ไร้สงครามนั้นมิใช่พลัง แต่เป็นเด็กๆ เหล่านี้ เหมือนกับในกองทัพเล็กๆ ของพวกเขา การช่วยเหลือ แบ่งปัน และความเข้าใจ... สุริยันหันไปหามายาพร้อมกับเอื้อมมือออกไป คำสัญญาที่ให้ไว้จะได้รับการเติมเต็มในที่สุด ด้วยมือของเด็กๆ พวกนี้ ยุคสมัยของพวกเรา ยุคสมัยแห่งความวุ่นวายสับสนสมควรจบลงได้แล้ว มายาก้มหน้าลงก่อนยิ้มอย่างขมขื่น เธอยื่นมือมาจับมือข้างนั้นเอาไว้ สุริยันหันไปมองดูทั้งหมดอีกครั้ง จะไม่มีเคออสอีกต่อไป...อนาคตข้างหน้าคงต้องขอฝากเอาไว้ในมือของพวกเจ้าแล้ว ...แล้ว...พ่อ...จะทำอย่างไรต่อไปครับ รัตติกาลถามอย่างตะกุกตะกัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาได้รับบาดเจ็บ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาพึ่งได้เรียก 'พ่อ' ออกไปเป็นครั้งแรกในชีวิต สุริยันยิ้ม พวกเราจะนอนหลับไปอีกครั้ง ปราสาทแห่งนี้จะกลับคืนเป็นดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟากฟ้า และพวกเราจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...พ่อหวังว่าจะเป็นเช่นนนั้น รัตติกาลตัดสินใจถามออกไป พ่อกับแม่...จะ...จะอยู่กับผมต่อไปได้ไหมครับ สุริยันส่ายหน้า พวกเราไม่ควรยุ่งมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ลูกอย่าได้เสียใจไปเลย ลูกยังมีเพื่อนๆ และทุกคนคอยยืนอยู่เคียงข้าง พ่อมั่นใจว่าลูกต้องมีความสุขแน่ จงร่วมมือกับทุกคนและทำคำสัญญาของจ้าวราชันย์ให้เป็นความจริงขึ้นมาให้ได้...พ่อมั่นใจว่าพวกลูกๆ ต้องทำได้สำเร็จแน่ มายาที่ยืนอยู่เงียบๆ มาเนิ่นนานพลันส่งเสียงขู่คำรามออกมา เจ้าไม่ใช่เคออสอีกต่อไปแล้ว...ข้าจะเสาะหาเคออสคนใหม่ จ้าวนายคนใหม่มาแทนเจ้า มนุษย์ต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้นไปเพื่อให้คำสัญญานั้นเป็นจริง เกิดประกายระยิบระยับล้อมรอบกายของสุริยันและก่อนที่ใครจะทันได้ทำอะไร ร่างของเขาก็ถูกผนึกเอาไว้ในกระจกมิติเรียบร้อยแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีจะสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย
Create Date : 05 มิถุนายน 2554 |
|
3 comments |
Last Update : 5 มิถุนายน 2554 14:07:18 น. |
Counter : 596 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zoi 6 มิถุนายน 2554 12:26:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่ก็ไม่จบ จนได้นะ
รอตอนต่อไปอยู่นะครับ