ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ ผู้เคลื่อนไหวในยามค่ำคืน (14)

ข้าวเขียว กับรัตติกาลช่วยกันกึ่งประคอง กึ่งหอบหิ้วร่างของกล้าไพรคนละข้าง แต่เพราะกล้าไพรนั้นมีรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าทั้งสองคน ขาของเขาจึงต้องถูกลากไปตามพื้น

“พวกมันเป็นตัวอะไรหรือคะ”

ข้าวขวัญกระซิบถามขึ้นในขณะที่เข้ามาช่วยทั้งสองคนดันร่างของกล้าไพรอีกแรง เธอพึ่งจะได้เห็นรูปร่างของพวกเงาเหล่านี้ชัดๆ เป็นครั้งแรก หน้าตาของมันทำให้เธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน พวกมันเหมือนกับหลุดออกมาจากฝันร้ายที่ร้ายที่สุดของเธอเลยทีเดียว

ข้าวเขียวตอบน้องสาวในขณะที่ขายังคงก้าวไปไม่หยุด

“มายาบอกว่า พวกมันเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพของเคออส โดยมีผู้เคลื่อนไหว...อะไรนั่นเป็นแม่ทัพอีกที”

“...แล้วพวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่คะ”

คราวนี้รัตติกาลเป็นคนตอบบ้าง

“พวกพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ”

แม้ปากจะตอบคำถาม แต่สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่กับท่าร่างของคนทั้งสองที่กำลังร่ายรำเพลงดาบอยู่ตรงหน้า ความเคลื่อนไหวของกล้าณรงค์นั้นคล่องแคล่วเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ส่วนท่าร่างของวาณิชแม้จะดูคล้ายกัน แต่ก็มีบางอย่างแตกต่างออกไป

วาณิชเพียงแค่กรีดคมดาบผ่านอากาศ ก็เหมือนกับมีพลังไหลผ่านออกมาจากรอยตัดเหล่านั้น พวกเงาไม่เพียงแต่โดนพัดกระเด็นออกไป แต่พวกมันบางตัวยังถูกพลังนั้นตัดร่างจนขาดออกจากกันด้วย แต่พวกที่อยู่ทางด้านหลังก็ยังคงดาหน้าเข้ามาไม่ยอมหยุด

กลุ่มของพวกเขาเคลื่อนที่ได้ช้าลงเรื่อยๆ อย่าว่าแต่กล้าณรงค์ กับวาณิชเลย ตอนนี้แม้แต่พวกเด็กๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงความคับขันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้พวกเงาจะยังคงไม่สามารถฝ่าแนวต้านของทั้งสามคนเข้ามาได้ก็ตาม

มายามองดูสภาพรอบตัวอีกครั้งด้วยความวิตก พวกมันคล้ายกับร่างแหขนาดใหญ่ที่ตัดอย่างไรก็ไม่ขาด เธอต้องยอมรับในที่สุดว่าได้ตัดสินใจผิดพลาดไปเสียแล้ว การคิดเอาเองง่ายๆ ว่าด้วยกำลังที่มีอยู่จะสามารถตีฝ่าวงล้อมของพวกมันออกไปได้นั้น เป็นการประเมินศัตรูที่ต่ำเกินไป

เธอจำใจต้องพูดคำที่เธอเกลียดออกมาในที่สุด

“...วาณิช...ช่วยหน่อยได้ไหม”

รัตติกาลมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของพ่อค้าเร่ ท่าทางเคร่งเครียดที่เขาเคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้ คล้ายกับเป็นเพียงแค่การแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น

“เธอว่าอะไรนะ เสียงมันดังไม่ค่อยได้ยินเลย”

รัตติกาลคิดว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่เธอยังคงพูดคำเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ของเธอ

“ช่วยหน่อยได้ไหม”

“ได้เสมอ ท่านนักมายากล”

วาณิชยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาหันไปหากล้าณรงค์ในขณะที่ดาบคู่ในมือยังคงฟาดฟันพวกเงาไม่ยอมหยุด

“ต้านพวกมันแทนฉันสักครู่ไหวไหม”

“ก็...คงพอไหวครับ”

กล้าณรงค์ตะโกนตอบ เขายังต้องจดจ่อกับเหล่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ไม่สามารถหันกลับมาคุยแบบที่วาณิชทำได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในระดับฝีมือดาบของทั้งสอง

“ถอยกลับมาทั้งสองคนนั่นแหละ ฉันจะจัดการเอง”

เสียงเรียบๆ ของมายาดังแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของมายาทำให้รัตติกาลรู้สึกขนลุก มันฟังดูไม่เหมือนกับน้ำเสียงที่ควรจะใช้กับพวกเดียวกัน วาณิชส่งเสียงหัวเราะลั่นพร้อมกับตะโกนขึ้น

“ได้ เอาเลย”

ทั้งสามคนถอยเข้ามาอยู่ใกล้กับพวกเด็กๆ ทำให้กลุ่มมีขนาดเล็กลง พวกเงาต่างไม่รอช้ารีบบีบร่างแหของพวกมันเข้ามาเช่นกัน มายาชูจุลจันทราขึ้นด้วยมือทั้งสอง มันเปล่งประกายแรงกล้าขึ้นกว่าเดิม แสงจันทร์นวลสาดส่องครอบคลุมทั้งหมดเอาไว้ จนทำให้พวกเงาไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้

วาณิชรีบใช้ดาบคู่ในมือขีดเขียนสัญลักษณ์สองอันขึ้นกลางอากาศพร้อมๆ กัน ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถใช้มือทั้งสองข้างได้อย่างคล่องแคล่วพอๆ กันเลยทีเดียว

กล้าณรงค์มองดูสัญลักษณ์ทั้งสองด้วยความสนใจ ตัวเขาเองไม่เคยเห็นสัญลักษณ์พวกนี้มาก่อน มันคงเป็นสัญญาที่ถ่ายทอดกันมาเฉพาะแต่ในสายตระกูลหลักของวาณิชเท่านั้น

ในสายตาของข้าวเขียว กับข้าวขวัญแล้ว ต่างก็พากันประหลาดใจกับท่าทางแปลกๆ ของพวกผู้ใหญ่เหล่านี้ เพราะทั้งสองไม่สามารถมองเห็นสัญลักษณ์เหล่านั้น รวมถึงรัศมีที่เกิดจากดาบในมือของมายาด้วย คงมีเพียงรัตติกาลที่สามารถมองเห็นทั้งหมดนี้ได้

รัศมีที่สาดส่องออกมาจากดาบในมือของมายานั้นเริ่มสั่นไหว และค่อยๆ จางลงอย่างช้าๆ เธอคงไม่สามารถใช้รัศมีจากดาบในระดับนี้ได้ยาวนานนัก

สัญลักษณ์ทั้งสองเรียงตัวกันเข้ากลายเป็นหนึ่งเดียว และเมื่อวาณิชตวัดดาบพลังแห่งสัญญาก็แสดงพลังออกมาในทันที สายลมที่รุนแรงพัดวนไปรอบๆ กลุ่ม เฉือนพวกเงาที่กำลังบีบรัดเข้ามาให้ขาดกระเด็นออกไป สายลมเหล่านี้ยิ่งทวีความเร็ว และความสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นกำแพงลมสูงใหญ่ล้อมรอบกลุ่มทั้งหมดเอาไว้ วงล้อมของพวกเงาจึงไม่อาจบีบรัดเข้ามาได้อีก

แม้ว่าสายลมนั้นจะเป็นเพียงแค่การเคลื่อนตัวของอากาศที่ความจริงแล้วไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ตอนนี้เมื่อมีฝุ่น ทราย ใบไม้ และเศษของสิ่งต่างๆ หมุนอยู่ภายในตัวมัน ร่างที่แท้จริงอันเปี่ยมด้วยพลังของมันจึงปรากฎขึ้น

มายาค่อยๆ ลดดาบในมือลงพร้อมกับมองไปรอบๆ พวกเด็กๆ เองก็เช่นกัน แม้แต่กล้าณรงค์ก็ดูเหมือนจะทึ่งกับพลังที่เกิดขึ้นนี้ มีเพียงวาณิชเท่านั้นที่ทำท่าทางเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“...แล้วเราจะออกจากที่นี่ไปได้ยังไง คงไม่ใช่ต้องรอให้เช้าหรอกนะ”

มายาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเช่นเดิม วาณิชยิ้มพร้อมกับเริ่มออกเดิน

“ตามมาให้ทันล่ะ”

เมื่อเขาออกเดินกำแพงลมก็เคลื่อนที่ตามเขาไปด้วย รัตติกาลพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น นี่ดูเหมือนกับพายุที่เขาเคยได้ยินจากคุณปู่ พ่อค้าเร่ที่ผ่านมายังหมู่บ้านแห่งนี้เป็นประจำเคยเล่าให้ฟัง 'ในพายุที่ลมข้างนอกหมุนอย่างรวดเร็วนั้น ข้างในจะมีความสงบนิ่งที่น่าประหลาดอยู่ เรียกว่าดวงตาของพายุพวกเธอคงคิดไม่ถึงแน่ๆ ใช่ไหม'

ตอนนี้ทั้งหมดเหมือนกับกำลังเดินอยู่ในดวงตาของพายุนั้น พวกเงาที่อยู่ข้างนอกถูกพายุที่รุนแรงพัดจนแตกกระจาย ร่างแหที่เคยแน่นเหนียวถูกสายลมที่รุนแรงตัดขาดออกในที่สุด

“สุดยอด”

ข้าวเขียวพูดขึ้นมาด้วยเสียงดังอย่างลืมตัว มายาไม่พูดอะไรอีก เธอก้าวเดินตามหลังทั้งหมดไปเงียบๆ แต่ดาบสั้นเล่มนั้นยังคงส่องประกายจางๆ อยู่ในมือของเธอ คล้ายกับจะประกาศให้รู้ว่า เธอยังคงไม่วางใจในพลังของพายุลูกนี้

'นั่นคือสัญลักษณ์ของ พายุ อย่างนั้นหรือ' กล้าณรงค์คิดขึ้นในใจ แม้ว่ารูปแบบจะดูคล้ายกับลมหมุนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่มันก็แตกต่างไปอย่างชัดเจน ลมหมุนนั้นเน้นในการจู่โจมติดตามเป้าหมาย ส่วนพายุนี้ส่งพลังทำลายที่รุนแรงออกมารอบๆ ตัวผู้ใช้ นั่นหมายถึงมันสามารถใช้ได้ทั้งจู่โจม และป้องกันในเวลาเดียวกัน

แม้จะได้เห็นสัญลักษณ์ของพายุนั้นแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่า ตัวเองนั้นไม่อาจใช้มันได้ เพราะสัญญานั้นตกทอดผ่านมาตามสายเลือดเท่านั้น คงมีแค่เพียงสายเลือดของสี่ราชาที่จะสามารถใช้พลังแห่งสัญญาได้อย่างอิสระ

ทั้งหมดพากันเดินหน้าต่อไป โดยยังคงรักษารูปขบวนในแบบเดิมเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเงาจะถูกกำแพงพายุพัดกระเด็นออกไปเรื่อยๆ แต่มันก็ยังคงดาหน้ากันเข้ามาไม่ยอมหยุดเหมือนเช่นเดิม ภาพที่เห็นทำให้รัตติกาลเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น ที่ด้านในนี้พวกเขากำลังเดินกันตามปกติ ส่วนสิ่งที่กำลังเกิดอยู่อีกด้านหนึ่งนั้นคล้ายกับเป็นโลกอื่นที่ไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย

ข้าวเขียวรู้สึกคันปากยุบยิบจนในที่สุดก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้

“ถ้าทำแบบนี้ได้ ทำไมไม่ทำเสียตั้งแต่แรกล่ะครับ”

ผู้ที่ตกเป็นเป้าของคำถามนี้ เดินสะดุดเล็กน้อยก่อนที่จะตอบอย่างอึกอัก

“ก็...เอ่อ...มันก็...เอ่อ”

“เชอะ”

มายาแค่นเสียงมาจากหลังขบวนทำให้วาณิชเงียบไป แต่ข้าวเขียวกลับโพล่งออกมา

“อ๋อ รู้แล้ว เพราะว่า...มันเป็นไม้ตายใช่ไหมครับ เลยต้องเก็บเอาไว้ใช้ตอนคับขันเท่านั้น”

“ใช่ ใช่ นั่นแหละ”

วาณิชอ้อมแอ้มตอบตามน้ำไปในที่สุด กล้าณรงค์นั้นพอจะคิดออกว่ามันเป็นเพราะอะไร จึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่ใว้วางใจทั้งสองคนนี้เลย พวกเขาต่างล้อเล่นกันโดยใช้ชีวิตของคนทั้งหมดเป็นเดิมพัน ทั้งพ่อค้าเร่ และนักมายากล ต่างก็เป็นตัวอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้ด้วยกันทั้งคู่ แต่คนหนึ่งนั้นคือความหวังแห่งอนาคตของเขา ส่วนอีกคนก็เป็นความหวังเดียวของลูกชาย เขาคงไม่อาจแยกจากทั้งสองคนนี้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเขาจึงทำได้แค่เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เท่านั้น

ข้าวขวัญเหลียวมองกลับมาทางด้านหลังบ่อยๆ จนในที่สุดมายาก็เอ่ยถามขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“เอ่อ...ขวัญ...ขวัญขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

“ก็ถามมาสิจ๊ะ จริงๆ แล้วฉันเองก็มีเรื่องที่ต้องคุยกับเธออยู่เหมือนกัน...แต่นั่นคงต้องรอให้เราอยู่กันตามลำพังเสียก่อน”

ข้าวขวัญพยายามมองเข้าไปในผ้าคลุมนั้นแต่เธอก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้า หรือแม้แต่ดวงตาของนักมายากลอย่างที่ต้องการได้ เธอรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องคุยกับใครสักคนโดยที่ไม่อาจมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายหนึ่ง

“ทำไม...ทำไมต้องเป็นขวัญล่ะคะ”

ข้าวขวัญถามถึงเรื่องที่มายาตั้งใจจะรับเธอเป็นศิษย์ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมนักมายากลที่แสนจะเก่งกาจจึงให้ความสนใจกับเด็กซุ่มซ่ามที่ชอบทำของหายเป็นว่าเล่นอย่างเธอนี้

มายายิ้ม แต่ข้าวขวัญก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น

“ก็เพราะเธอมีความสามารถที่เหมาะสมน่ะสิ”

“เด็กซุ่มซ่ามอย่างหนูนี่นะคะ เหมาะสม”

“ถูกแล้วจ๊ะ”

มายาหวนคิดถึงส่วนหนึ่งของคำทำนายที่ได้พบเจอโดยบังเอิญนั้นอีกครั้ง

'...ผนึกเก่าสูญสลายเงาร้ายหวนกลับคืน
แสงจันทร์พลันถูกกลืนด้วยเปลวแห่งไฟสงคราม
หมุนเข็มทิศให้ชี้ช่องเสกกุญแจเปิดหนทาง
สายเลือดแต่โบราณทวงสัญญาจ้าวราชันย์...'

น่าเสียดายที่ส่วนอื่นๆ ของคำทำนายนั้นกลับสูญหายไป แต่จากข้อความเหล่านี้ มายาได้ตีความว่า เคออสจะสามารถหลุดออกจากผนึกได้ในที่สุด ที่เธอต้องออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ นั้น ก็เพื่อเสาะหาเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนที่ขาดหายไปของคำทำนาย และอีกสามสิ่งที่เธอคิดว่าอาจหมายถึงหนทางรอด

'เข็มทิศ' 'กุญแจ' และ 'สายเลือดแต่โบราณ' ที่คงหมายถึงผู้สืบสายเลือดจากสี่ราชาซึ่งสิ่งสุดท้ายนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอได้พบ แต่หากเลือกได้เธอก็ไม่อยากพบเจอกับเขาเลย

ส่วนคำว่า 'เสก' ที่อยู่คู่กับกุญแจนั้นเธอคาดว่าจะต้องมีความเกี่ยวพันกับนักมายากล ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังเหมือนกับสามารถสร้างสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่าขึ้นมาได้ และเธอก็มั่นใจว่าคำทำนายนั้นต้องไม่ได้หมายถึงตัวเธอแน่

เธอไม่เคยได้พบเจอกับเด็กที่มีพลังมายากล หรือสัญญาแห่งจันทราเลยแม้แต่คนเดียว ตลอดการเดินทางอันยาวนานที่ผ่านมา จนกระทั่งได้มาพบกับข้าวขวัญ เด็กหญิงผู้สามารถใช้พลังนั้นได้ตั้งแต่ก่อนที่จะอายุครบสิบสองปี เด็กหญิงที่อาจจะเป็นหนทางไปสู่ 'กุญแจ' หรือไม่กุญแจนั้นก็อาจจะหมายถึงตัวเธอนั่นเอง

สำหรับ 'เงาร้าย' ที่ถูกกล่าวถึงนั้นอาจหมายรวมทั้งเคออส และผู้เคลื่อนไหวในยามค่ำคืน ที่ได้มาปรากฎตัวต่อหน้าทุกคนแล้วในคืนนี้ นั่นยิ่งทำให้เธอเชื่อมั่นในคำทำนายมากขึ้น การได้พบเจอกันของทุกคนในค่ำคืนนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

“มายาดูข้างหน้าก่อน”

วาณิชพูดแทรกขึ้นเมื่อเขาเห็นพวกเงาประหลาดที่รวมกันอยู่ทางด้านหน้านั้นแยกออกจากกันจนเกิดเป็นช่องว่างขึ้น ร่างเงาที่มีดาบยาวสีดำอยู่ในมือยืนเด่นขวางทางทั้งหมดเอาไว้

“เดินลุยเข้าไปเลย”

มายาบอกโดยไม่ต้องขบคิด

“ไม่บอกก็ลุยอยู่แล้ว”

วาณิชตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่นที่รัตติกาลรู้สึกว่ามันฟังดูฝืนๆ อย่างไรพิกล

“...ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”

เสียงระคายหูของมันดังก้องอยู่ภายในกำแพงลม และก่อนที่ทั้งหมดจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าวเขียว และรัตติกาลต่างล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ส่วนจุลจันทราก็ตกไปอยู่ในมือของกล้าไพรเสียแล้ว มายาได้แต่ยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เคยมีใครแย่งชิงสิ่งของไปจากมือของนักมายากลได้มาก่อน

ในช่วงเวลาที่ทั้งหมดต่างหันไปสนใจกับตัวประหลาดที่ปรากฎขึ้นตรงหน้านั้น กล้าไพรก็เหวี่ยงร่างของผู้เคยที่ประคองตนเอาไว้จนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ก่อนที่จะใช้มือเปล่าจับไปที่ใบดาบในมือของมายา พร้อมกับบิดมันอย่างรวดเร็ว ทั้งพลัง และความเร็วของเขาในตอนนี้นั้นแทบจะเกินขีดจำกัดร่างกายของมนุษย์ไปแล้ว

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ็บแล้วไม่จำก็ต้องโดนแบบนี้ ถ้าโจมตีจากข้างนอกไม่ได้ ก็ต้องทำลายมาจากข้างใน คราวนี้จะทำยังไงกันล่ะ”

กล้าไพรขยับดาบในมือด้วยท่วงท่าพิกล เพลงดาบที่เขาใช้ในตอนนี้ไม่ใช่เพลงดาบสายลมอีกต่อไปแล้ว รัตติกาลรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนข้าวขวัญก็เข้าไปช่วยฉุดดึงพี่ชายให้ลุกขึ้น ก่อนที่ทั้งหมดจะถอยไปรวมกับมายา

วาณิชขยับตัวเข้าไป แต่กล้าณรงค์กลับเคลื่อนกายเข้ามาแทรกเอาไว้ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง วาณิชจึงเปลี่ยนตำแหน่งไปคอยคุ้มกันมายากับพวกเด็กๆ แทน แล้วปล่อยให้ สองพ่อลูกได้เผชิญหน้ากัน

“คุณจะกล้าฟันเขาหรือ แต่เขาคงไม่ลังเลแน่”

วาณิชคล้ายกับจะถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่กล้าณรงค์เข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนลึกอยู่ในนั้น 'ถ้าไม่ฆ่า ก็ต้องถูกฆ่า' รอยแผลลึกที่หน้าอกของเขาปวดแปลบขึ้นอีกครั้ง

'มันกลายเป็นแบบนี้ไปอีกแล้ว เหมือนกับตอนนั้นอีกแล้ว' กล้าณรงค์ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ แต่ดาบในมือของเขากลับฟาดฟันออกไปอย่างสุดแรง กล้าไพรรับดาบของเขาเอาไว้ได้ แต่แรงพลังที่แฝงมากับดาบทำให้ร่างของเขากระเด็นถอยหลังไป

ข้าวขวัญส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างลืมตัว ในขณะที่ข้าวเขียว กับรัตติกาลได้แต่ยืนนิ่งอ้าปากค้าง วาณิชจับจ้องมองการต่อสู้ของทั้งสองอย่างไม่วางตา ใบหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาทั้งสิ้น เขากำลังจดจ่อดูกระแสของการต่อสู้ และพร้อมที่จะลงมือในทันทีที่จำเป็น

มายายืนนิ่งพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาดู เธอยังคงไม่อยากเชื่อว่าจะมีสิ่งใดที่สามารถแย่งชิงสิ่งของไปจากมือของเธอได้ ความรู้สึกนี้ทำเอาเธอคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553
1 comments
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 8:57:54 น.
Counter : 546 Pageviews.

 

รอ 15-16-17 อยู่นะ

 

โดย: (ขพจ.) (บ้านที่ไม่มีอะไร ) 28 พฤษภาคม 2553 15:50:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.