กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 กรกฏาคม 2552
 
 

ละคร ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ตอนที่ 3

ตอนที่ 3
ขณะเดินลากกระเป๋าทุลักทุเลไปตามคันนาเวิ้งว้าง มีแต่ทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา มาลินียังไม่หายเจ็บใจ เดินไปด่าไป "คนเลว บ้า ป่าเถื่อน ที่นี่มันนรกชัดๆ"
เจ้ากรรม! ส้นสูงดันจมดินจนมิด เธอพยายามถอนเท้าขึ้น ทำเอาหัวเกือบทิ่มตะครุบกบ หันมองซ้ายขวากลัวใครจะเห็น
"ทุเรศที่สุดเลย มีใครเห็นบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้...โอ๊ย ซุปเปอร์ โมเดลอย่างฉัน ทำไมต้องมาทำอะไรทุเรศๆอย่างนี้ด้วย"
ที่สุดเธอก็ตัดสินใจเดินเท้าเปล่า มือหนึ่งหิ้วรองเท้าเปื้อนโคลน อีกมือลากกระเป๋าเดินทาง...นานเข้าชักร้อน งัดเอาร่มสีแดงแจ๋ออกมากาง
ข้างฝ่ายลีนวัตร พอกลับถึงบ้านก็บอกแม่ปุยว่าหลานคุณนายวันมาแล้ว เจอกันที่ตลาด เธอขออาศัยเรือมาด้วย
"ไหนล่ะ แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ" แม่ปุยชะเง้อมองหา
"ป่านนี้คงกำลังชื่นชมธรรมชาติบรรยากาศชนบทอยู่น่ะแม่"
มาลินีกำลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ แต่เธอไม่ได้ เป็นปลื้มเอาเสียเลย เดินขาลากไปถึงทางแยกแล้วไม่รู้จะตัดสินใจไปซ้ายหรือขวาดี ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งร้องขึ้นมา กวาดตามองรอบตัวแล้วสะดุ้งกับภาพควายตัวหนึ่งนอนอยู่กลางปลักโคลน
ด้วยความที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับสัตว์นอกโลกในระยะใกล้ขนาดนี้ มาลินีหวาดกลัวรีบถอยห่าง แต่ควายดันปรี่เข้าหาแล้ววิ่งตามไม่ลดละ เมื่อเธอเร่งฝีเท้าหนีไปตามคันนา
มาลินีวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องกรี๊ดไม่หยุด ทันใดปื๊ดโผล่พรวดมาสกัดควายตัวนั้น และร้องบอกให้เธอทิ้งกระเป๋ากับร่ม มาลินีโยนทั้งสองอย่างนั้นไปทันที ควายจึงเลิกสนใจเธอ หันไปจ้องกระเป๋ากับร่มสีแดงแทน
ปื๊ดวิ่งเข้ามาหามาลินีที่ยังยืนหอบตัวแข็งเหมือนเพิ่งผ่านนาทีเฉียดตายมา
"เฉาก๊วยมันเกลียดสีสดๆน่ะคุณ ไม่มีอะไรหรอก" ปื๊ดบอก
"เฉาก๊วยมันใจดีออกคุณ แสนรู้ด้วย เฉาก๊วยมานี่มา"
เฉาก๊วยเดินเข้ามาหาปื๊ดอย่างว่าง่าย แต่มาลินีตกใจร้องกรี๊ด ลนลานถอยหนีจนเสียหลักหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงไปในท้องนาน้ำแฉะ...
กว่าจะทำความรู้จักกันเรียบร้อยก็เล่นเอาเสียเวลาไปไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นมาลินีก็ยังไม่ไว้ใจควายอยู่ดี เดินตามหลังทิ้งระยะพอสมควร โดยปื๊ดนั่งบนหลังควายสบายใจเฉิบ สองมือประคองกระเป๋าเดินทางของมาลินี
"ขึ้นมานั่งด้วยกันเถอะครับคุณ เดินเมื่อยเปล่าๆ"
"ตามสบายเถอะ ฉันว่าฉันยอมเมื่อยหน่อยดีกว่า สบายใจกว่ากันเยอะ"
"แล้วทำไมคุณมาทางนี่ล่ะครับ ถนนก็มีถึงบ้านคุณนายวันเลย มาทางนี้มันอ้อม"
"ก็คนเรือน่ะสิ ส่งฉันให้ขึ้นทางโน้น บอกให้เดินเอาอีกหน่อย เขาแกล้งให้ฉันต้องพายเรือด้วย...คนแถวนี้นิสัยแย่มากๆ เอ่อ ยกเว้นเธอนะจ๊ะ เพราะเธอมีน้ำใจมาช่วยฉัน"
"คุณจำหน้าเขาได้ไหมครับ"
"จำได้สิ จำได้แม่นเลยล่ะ คอยดูนะ ถ้าเจออีกทีฉันจะเอาคืนให้สาสมเชียว"
ปื๊ดหัวเราะก๊าก แล้วแหกปากร้องเพลงลั่นทุ่ง...ครั้นนำทางคุณคนสวยไปถึงบ้านคุณนายวัน ปื๊ดก็จัดแจงให้เธอล้างเสื้อผ้าเนื้อตัวที่เลอะเทอะด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วปื๊ดถอดเสื้อตัวเองออกยื่นให้เธอเช็ดมือ มาลินีทึ่ง ชื่นชมปื๊ดเป็นสุภาพบุรุษมากๆ อยากรู้ว่าใครสอนให้ทำอย่างนี้
"พ่อครับ" ปื๊ดตอบด้วยความภาคภูมิใจ
"เหรอ...ขอบใจนะจ๊ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เสื้อเธอจะเปียกเปล่าๆ ทำไมบ้านถึงเงียบยังงี้ล่ะ"
"ก็เงียบยังงี้ล่ะครับ ตอนคุณนายวันอยู่ก็เป็นยังงี้แหละ"
"ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย"
"ปื๊ดครับ...ผมชื่อปื๊ด พ่อตั้งให้ครับ"
"บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอจ๊ะ"
"ครับ ผมเป็นลูกชายผู้ใหญ่ลี"
"อ้อ...ผู้ใหญ่ลี คนที่เขียนจดหมายถึงฉัน ฉันยังไม่ได้ขอบใจเธอเลยที่ช่วยชีวิตฉันเมื่อกี้ ถ้าเธอไม่บังเอิญผ่านมา ฉันคงแย่ ขอบใจนะปื๊ด"
"ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ แต่ผมไม่ได้บังเอิญผ่านมาหรอกครับ ผมตั้งใจมา เพราะพ่อบอกให้ผมมาดูแลคุณ"
"อืม...พ่อเธอนี่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีน้ำใจนะ คอยดูแลทุกข์สุขลูกบ้านจริงๆ"
"ครับ พ่อผมเก่งยังงี้เลยครับ" ปื๊ดยกสองนิ้วโป้งโชว์ มาลินียิ้มขำ แต่แล้วเอะใจว่าพ่อของปื๊ดรู้ได้ยังไงว่าเธอมา ปื๊ดสะดุ้งเฮือก รีบตัดบท เชิญคุณขึ้นเรือนดีกว่า กินน้ำกินท่าซะจะได้สดชื่น
"ก็กุญแจคล้องอยู่นั่น แล้วจะให้เข้าไปยังไง" มาลินีชี้มือไปที่ประตู ปื๊ดจึงหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมา บอกว่าพ่อให้มา "หมายความว่าพ่อเธอเป็นคนถือกุญแจบ้านไว้" เด็กชายพยักหน้ารับ "รู้สึกว่าผู้ใหญ่ลีพ่อเธอนี่จัดการทุกอย่างเอาไว้หมดเลยนะ"
เด็กชายปื๊ดยิ้มหน้าบานแล้วทำตัวแมนมาก ยกกระเป๋าเดินทางของเธอนำหน้าขึ้นบ้าน...มาลินีเดินตามขึ้นมามองบ้านที่สะอาดกิ๊ก พื้นไม้เป็นเงาไร้ฝุ่นละออง ปื๊ดวางกระเป๋าแล้วไปตักน้ำในโอ่งใส่ขันมาส่งให้เธอดื่ม บอกว่าเป็นน้ำฝนเย็นๆ กินแล้วชื่นใจ
"น้ำฝน...กินได้เหรอจ๊ะ"
"ได้สิครับ ที่นี่เขาก็รองน้ำฝนกินกันทุกบ้าน แล้วคุณอยู่กรุงเทพฯกินน้ำอะไรล่ะครับ"
"ก็ซื้อน้ำเป็นขวดๆที่เขาทำขายน่ะสิจ๊ะ"
"คนกรุงเทพฯ นี่น่าสงสารจัง ขนาดน้ำยังต้องซื้อเอาเลย"
มาลินียิ้มแหย ก่อนดื่มน้ำฝนจากขัน "อืม...ชื่นใจจริงๆด้วย บ้านสะอาดดีนี่ ยังกับเพิ่งทำความสะอาด"
"แม่ให้ผมกับพี่เหลาพี่หลวยมากวาดถูทุกๆวันแหละครับ"
"บ้านเธอนี่มีน้ำใจกับคุณยายฉันจังเลยนะ"
"ก็คุณนายวันมีพระคุณกับพวกเรานี่ครับ...พ่อบอก" พูดแล้วเด็กชายปื๊ดเดินไปปฏิบัติภารกิจสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายจากพ่อ...เปิดตู้หยิบจดหมายของคุณนายวันมาส่งให้มาลินี แล้วขอตัวกลับทันที
ครั้นกลับมาถึงบ้าน ปื๊ดก็ออกท่าออกทางเกินจริงขณะเล่าเรื่องที่มาลินีเกือบถูกควายขวิดให้ลีนวัตรกับแม่ปุยฟัง ลีนวัตรขำถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนถูกแม่ปุยเอ็ด จากนั้นแม่ปุยก็ซักถามปื๊ดว่าหลานคุณนายวันเป็นยังไงบ้าง ปื๊ดชื่นชมมาลินีด้วยท่าทีกรุ้มกริ่มว่าตัวจริงสวยกว่าในทีวี แบบนี้ สเปกหนูเลย ลีนวัตรจึงปรามปื๊ดว่าอย่าทะลึ่ง ปื๊ดกลับย้ำว่าหนูชอบของหนูนี่ พ่อไม่ชอบก็เรื่องของพ่อ...
"ไอ้ปื๊ด ผู้หญิงแบบนี้น่ะนะ...อันตราย"
"ทำไมล่ะพ่อ"
"เขาเรียกสวยแต่รูปจูบไม่หอม"
"หา!...พ่อได้จูบคุณแกแล้วด้วยเหรอ" ปื๊ดร้องลั่น ลีนวัตรเองก็สะดุ้ง รีบอธิบายว่ามันเป็นคำพังเพย ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ "แหม หนูล่ะใจหายแว้บเลย"
"พอกันเลยทั้งพ่อทั้งลูก" แม่ปุยทำหน้าระอา แล้วนึกได้ ถามปื๊ดว่าเอาจดหมายคุณนายวันให้มาลินีหรือยัง?
ขณะเดียวกันนั้น มาลินีกำลังนั่งอ่านจดหมายเขียนด้วยลายมือคุณยายอยู่ที่เฉลียงบ้าน
"แม่มาหลานยาย...แม่มาคงจะได้รับจดหมายนี่ต่อเมื่อยายตายเสียแล้ว ยายได้เขียนฝากผู้ใหญ่ลีไว้ ถ้ายายตายเขาจะส่งให้หลานเอง ยายเชื่อใจเขามาก จึงหลับตาตายโดยไม่ห่วงอะไรเลย ถึงอย่างไรผู้ใหญ่ลีจะต้องทำตามทุกอย่างตามความประสงค์ของยาย แม่มา...ไร่นาและบ้านของยายคงไม่มีใครแย่งหลานไปได้ ยายต้องการให้แม่มามาอยู่ มาทำแทนยาย แต่ชีวิตสวยหรูในกรุงเทพฯคงจะทำให้หลานรังเกียจที่นาของยาย ถ้าหลานไม่ต้องการมัน ให้ขายให้ผู้ใหญ่ลีเสีย ยายห้ามเด็ดขาดไม่ให้หลานให้คนอื่นเช่าทำ คนอื่นที่เขาไม่ใช่เจ้าของมาทำลายนาของยายเข็ดแล้ว ก่อนตัดสินใจขายขอให้แม่มาได้ดูบ้านและที่นาของแม่มาให้ดีเสียก่อน มันดีกว่าเมื่อครั้งแม่มาเคยมากับแม่เขาเมื่อเด็กๆมาก...ยายตายอย่างมีความสุข แม่มาไม่ต้องมาร้องไห้ให้ยาย ยายอยากให้แม่มาอยู่ ที่นี่และมีความสุขอย่างยายบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ยายไม่อยากหวังอะไรมากนัก แต่ละคนมีกรรมเป็นของตน ตามใจแม่มานะ จะอยู่เองหรือว่าจะขาย...จากยายของแม่มา"
มาลินีจบจดหมายด้วยน้ำตาซึมๆเสียใจ เพราะตลอดชีวิตไม่ค่อยได้ผูกพันกับยายนัก แต่สิ่งสุดท้ายยายยังอุตส่าห์ คิดถึงเธอ ทั้งที่เธอไม่ได้มาดูแลและดูใจยายก่อนตาย...
ส่วนที่บ้านลีนวัตร แม่ปุยยังห่วงมาลินี อยากให้ลูกชาย ไปดูเธอสักหน่อย อะไรอยู่ตรงไหนจะได้หาเจอ แต่ลีนวัตรยังไม่กล้าแหยมเพราะแกล้งเธอไว้มาก กลัวโผล่ไปจะหัวแตกซะเปล่าๆ จึงบ่ายเบี่ยงอ้างเหตุผลกับแม่ว่า เธอเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ คงอยากจะพักผ่อนมากกว่า
เมื่อพ่อไม่ไป ปื๊ดเลยได้โอกาสขันอาสาแม่ปุย หนูจะไปดูคุณคนสวยให้เอง รับรองไม่ไปกวนให้เธอรำคาญ เพราะท่าทางเธอก็ชอบหนูอยู่เหมือนกัน ลีนวัตรฟังคำลูกชายตัวแสบแล้วเกิดหมั่นไส้ อยากจะอัดสักป้าบ แต่ไม่ทันเพราะปื๊ดวิ่งอ้าวออกไปแล้ว เขาได้แต่ตะโกนกำชับว่า
"ไอ้ปื๊ด อย่าปากสว่างนักนะโว้ย"
ooooooo
มาลินีกำลังคุยโทรศัพท์กับสมรอยู่นอกชาน เธอบ่นหลายสิ่งหลายอย่างถึงความไม่ศิวิไลซ์ของคลองหมาหอนให้สมรฟัง และกะว่าเสร็จงานศพคุณยายก็จะกลับกรุงเทพฯทันทีเลย...คุยไปคุยมาเธอเพิ่งรู้ตัวว่าแบตฯโทรศัพท์หมด และเธอก็ลืมเอาที่ชาร์จติดมาด้วย ระหว่างนี้เองเห็นปื๊ดก้าวขึ้นมาบนบ้าน เธอจึงขอความช่วยเหลือจากปื๊ดให้หาที่ชาร์จแบตฯโทรศัพท์
แต่คราวนี้ปื๊ดจนปัญญาช่วยเธอไม่ได้จริงๆ และแถวนี้ ก็ไม่มีโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งพ่อของปื๊ดเคยไปขอแล้ว แต่ทางองค์การฯบอกว่าเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ
"ก็คงจะจริงของเขาละมัง"
"ถ้าคุณอยากโทร.จริงๆ ผมพาคุณไปโทร.ในตลาดก็ได้ครับ"
"ต้องนั่งเรือกลับไปอีกน่ะเหรอ ไม่ไหวละมังจ๊ะ ฉันอยากไปกราบศพยายฉันมากกว่า"
"ดีสิครับ ผมพาคุณไปเอง"
"งั้นรอเดี๋ยวนะ ขอฉันทำธุระส่วนตัวแป๊บนึง"
"เยี่ยวหรือขี้ครับ"
มาลินีสะดุ้งเฮือก "ไม่ใช่จ้ะ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ฉันแค่จะเติมแป้ง ทาปาก แล้วก็ปัดขนตานิดหน่อย"
"แค่นี้ก็สวยแล้ว ทำไมต้องเติมอีกล่ะครับ"
"ปื๊ดไม่เข้าใจหรอก ปื๊ดเป็นเด็กผู้ชาย เรื่องแบบนี้มันเป็นความมั่นใจของผู้หญิงเขาน่ะจ้ะ"
ปื๊ดได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจจริงๆอย่างที่มาลินีพูด...จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ออกจากบ้านเดินผ่านทุ่งนาระหว่างทางไปวัด ลีนวัตรกำลังปักหุ่นไล่กาอยู่ใกล้ทางเดิน ปื๊ดตาไวเห็นก่อนตะโกนเรียกพ่อดังลั่น ลีนวัตรตกใจรีบพาตัวเองเข้าหลบหลังหุ่นไล่กา กางแขนประกบในท่าเดียวกันด้วย
"ไหนจ๊ะพ่อเธอ ผู้ใหญ่ลีน่ะเหรอ...ไม่เห็นมี" มาลินีชะเง้อมองหา ลีนวัตรรีบยื่นมะเหงกให้ปื๊ด แถมโบกมือไล่ ปื๊ดเลยบอกมาลินีว่า ตนเรียกพ่อหุ่นไล่กาต่างหาก "ทำไมต้องเรียกด้วยล่ะจ๊ะ"
"ก็หุ่นไล่กายืนกางแขนกางขาทำงานไล่นกไล่กาแทนเรา ก็เหมือนเพื่อนเราไงครับ เจอกันก็ต้องทักทายกัน"
"เหรอ...มีธรรมเนียมอย่างนี้ด้วยเหรอ" มาลินีทำหน้างงๆ ลีนวัตรแอบยกนิ้วโป้งชมปื๊ดที่หัวไว แต่พอได้ยินมาลินีเอ่ยกับปื๊ดต่อไปว่า ถ้าคนแถวนี้รู้จักกันหมดก็ดี เธอจะได้ชี้ตัวไอ้คนขับเรือที่มันแกล้งเธอให้ผู้ใหญ่ลีจัดการให้เข็ดหลาบ เพราะมันต้องเป็นโรคจิตแหงๆ ถึงชอบแกล้งผู้หญิง...ลีนวัตรฟังแล้วสะดุ้ง ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ขณะที่ปื๊ดเออออกับมาลินี พลางก็หัวเราะขำขัน จนลีนวัตรแอบจ้องปื๊ดตาเขียว
เมื่อพากันไปถึงศาลาสวดศพ มาลินีหน้าเศร้ากราบศพคุณยาย แล้วทำท่าจะร้องไห้ แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ เพราะปื๊ดบอกว่าพ่อของตนสั่งห้ามไม่ให้ร้องไห้
"รู้สึกว่าอะไรๆก็พ่อเธอทั้งนั้นเลยนะ" มาลินีแดกดัน แต่ปื๊ดพาซื่อรับคำทันใด ซ้ำยังคุยอวดว่าดอกไม้พวกนี้พ่อของตนก็เป็นคนจัด "จัดการตั้งแต่ดอกไม้หน้าศพยันชีวิตฉันทีเดียว"
ลีนวัตรที่ตามมาแอบอยู่ใกล้ๆ หูผึ่งพยายามฟัง...
"ฉันไม่ได้มีอคติอะไรกับพ่อเธอหรอกนะปื๊ด แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่ายายฉันท่านสั่งเอาไว้ว่า ถ้าฉันจะขายบ้านขายนา ให้ขายให้พ่อเธอคนเดียว ฉันอดคิดไม่ได้หรอกนะปื๊ดว่ายายฉันอาจจะถูกบังคับ"
"ไม่มีใครบังคับคุณนายวันหรอกครับ เพราะแกสั่งเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ ใครๆก็รู้"
"เธอก็รู้งั้นเหรอ"
"ครับ"
"ฉันอยากรู้นักว่าพ่อเธอมีอะไรดี ยายฉันถึงได้ไว้ใจนัก"
ลีนวัตรขยับถอยหลังจะหนีเพราะรู้สึกว่ามาลินีเริ่มมีอารมณ์ แต่เท้าของเขาดันสะดุดเอากองกระโถนที่คว่ำไว้หลังทำความสะอาดล้มกระจายเสียงดัง
"เสียงอะไรน่ะ ใคร?" มาลินีเหลียวมอง...ลีนวัตรที่ซ่อนตัวทันรีบส่งเสียงร้องเหมือนแมวทันที จากนั้นก็คลานลงจากศาลาไปอย่างรวดเร็ว แล้วไปเจอหลวงพ่อตรงหน้าโบสถ์ หลวงพ่อจึงถามเรื่องศพโยมวันจะเอายังไง ลีนวัตรจึงรบกวนหลวงพ่อไปสอบถามเอากับหลานสาวคุณนายวันเอง
เมื่อหลวงพ่อขึ้นมาบนศาลาก็พบมาลินีกับปื๊ด...ทั้งคู่ ก้มกราบหลวงพ่อทันที
"เจริญพรโยม ผู้ใหญ่ลีเขาบอกเหมือนกันว่าหลานคุณโยมวันมาแล้ว กะจะเผาวันไหนดีล่ะโยม"
"ความจริง...อาตมา...เอ๊ย...หนู...เอ๊ย...ดิฉันก็มีงานยุ่งมากที่กรุงเทพฯไม่ค่อยจะมีเวลานัก ถ้าเป็นไปได้เผาพรุ่งนี้เลยได้ไหมค่ะโยม...เอ๊ย...หลวงพ่อ" มาลินีพูดผิดพูดถูกจนหลวงพ่อทำหน้าไม่ถูก
"พรุ่งนี้เลยเหรอ จะฉุกละหุกเตรียมอะไรกันไม่ทันน่ะสิ คนรักเคารพนับถือคุณโยมวันเขามีมากนะ กว่าจะส่งข่าวกันให้รู้ทั่วก็หลายวัน ถ้าเขาไม่ได้มางานเผาจะพากันน้อยใจเปล่าๆ"
"งั้นถ้าถัดไปอีกวันล่ะคะ"
"วันสำคัญวันดีเขาไม่เผาผีกันน่ะสิโยม"
"แล้วจะทำยังไงล่ะคะ"
"แหม...ผู้ใหญ่ลีก็เพิ่งคล้อยหลังกันเมื่อกี้ รู้ยังงี้เรียกมาคุยกันให้รู้เรื่องก็ดี นี่ได้เจอกันหรือยังล่ะคุณโยม"
"ยังค่ะ ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย ดิฉันก็อยากจะพบผู้ใหญ่ลีอยู่เหมือนกัน เพราะมีหลายเรื่องต้องคุยกันค่ะ"
ปื๊ดฟังคำของมาลินีแล้วนึกสยองแทนพ่อผู้ใหญ่ลีของตนเสียจริง
ooooooo
ออกจากวัดกลับมาถึงบ้าน มาลินีบ่นหิว ถามปื๊ดว่าแถวนี้มีอะไรให้ซื้อได้บ้าง ปื๊ดบอกมีก๋วยเตี๋ยวเรือ แต่เย็นป่านนี้เรือคงไม่มาแล้ว มาลินีนึกได้ บอกปื๊ดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอจะโทร.สั่งพิซซ่า
"พิซซ่า?...ผมว่าคุณหุงข้าวกินเอาเถอะครับ ไข่ไก่ก็มี ของแห้งปลากระป๋องในตู้ก็พอมี คุณนายวันตุนเอาไว้เยอะ"
มาลินีตกลงตามนั้น แต่ก็มาติดปัญหาอีกจนได้ว่าที่นี่ ไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต้องจุดเตาถ่านหุงข้าว ซึ่งเธอทำไม่เป็น และไม่รู้ด้วยว่าเขาทำกันยังไง...พอปื๊ดกลับไปบ้านไปเล่าให้ ทุกคนฟัง ลีนวัตรหัวเราะก๊ากที่มาลินีทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แถมยังคิดจะโทร.สั่งพิซซ่า
ที่สุดปื๊ดก็ต้องย้อนกลับไปหามาลินีอีกครั้งพร้อมด้วยปิ่นโตอาหารพื้นบ้านฝีมือแม่ปุย มาลินีกำลังหิวโซโซ้ยเอาๆ จนปื๊ดจ้องตาเป๋ง
"อร่อยไหมครับ"
"อร่อยมากจ้ะ แม่เธอทำกับข้าวอร่อยมาก ฉันไม่ได้กินอะไรอร่อยๆอย่างนี้มานานแล้ว"
"ทำไมล่ะครับ ในกรุงเทพฯน่าจะมีแต่ของดีๆ ของอร่อยๆให้คุณกินทุกวัน"
"ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าอาหารค่ำมื้อนี้ของฉันเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อนึง อาจจะเป็นเพราะว่ามีเธอกินเป็นเพื่อนฉันมั้ง ดูสิฉันกินเยอะจนลืมไปเลยว่าต้องคุมน้ำหนัก"
"คุณกลัวอ้วนเหรอครับ"
"ก็ฉันเป็นนางแบบนี่จ๊ะ ถ้าฉันอ้วนเป็นหมูแล้วใครเขาจะจ้างฉันล่ะ"
"น่าสงสารจัง คุณคงอดๆอยากๆ ถึงได้ว่ามื้อนี้อร่อย มันของพื้นๆทั้งนั้น"
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว มาลินีตามลงมาส่งปื๊ดที่หิ้วปิ่นโตติดมือมาด้วย ลีนวัตรประแป้งหน้าขาววอกชะเง้อมองอยู่มุมหนึ่ง รีบเอาตัวเองหลบเข้าหลังพุ่มไม้ทันที
"ฝากขอบพระคุณแม่กับพ่อเธอด้วยจ้ะปื๊ด อย่าลืมบอกท่านว่าอาหารอร่อยมากถึงมากที่สุด"
"ครับ"
"พรุ่งนี้ฉันจะไปกราบสวัสดีท่านนะจ๊ะ"
"ครับ คุณกลับขึ้นเรือนไปเถอะครับ แล้วก็ปิดประตูหน้าต่างซะ ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆก็ไม่ต้องออกมาดูนะครับ"
"ทำไมล่ะจ๊ะ มีอะไรเหรอ"
"ก็...ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับ พ่อบอกว่าอะไรๆ ก็ควรจะกันไว้ดีกว่าแก้ครับ วัวหายแล้วล้อมคอก อายคนอื่นเขาเปล่าๆ"
"แหม...พ่อเธอนี่ท่าทางจะเป็นคนละเอียดรอบคอบ"
"ครับ คุณขึ้นเรือนไปเถอะครับ ผมไปไม่ได้หรอกถ้าคุณไม่ขึ้นเรือนก่อน"
"จ้ะ...สุภาพบุรุษตัวน้อย ขอบใจนะจ๊ะ"
"ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ"
พอมาลินีก้าวขึ้นบันได ปื๊ดก็หันหลังออกเดิน พร้อมกับแหกปากร้องเพลงเอาเสียงเป็นเพื่อนระหว่างทางมืดๆ ส่วนลีนวัตรก็ขยับออกจากที่ซ่อนหลังพุ่มไม้ ชะเง้อมองไปบนบ้าน พูดงึมงำถึงมาลินีว่าหัวอ่อนเหมือนกัน ให้ทำอะไรก็ทำ
จู่ๆมาลินีเปิดประตูออกมาเหมือนนึกอะไรได้ เธอร้องเรียกปื๊ด แต่ต้องอ้าปากค้าง เพราะเห็นร่างทะมึนหน้าขาววอกในความมืด ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากผี เธอเย็นวาบไปทั้งตัว คิดว่าเป็นผีเจ้าที่แน่ๆ พนมมือไหว้แผล็บแล้วรีบโกยเข้าบ้านปิดประตูปัง ลีนวัตรเองก็ใจหายใจคว่ำ รีบถอยออกไป จากตรงนั้นทันที
มาลินีนอนกระสับกระส่ายในมุ้งพยายามข่มตาแต่ก็ไม่หลับเพราะแปลกที่ เธอลุกขึ้นนั่งบ่นกับตัวเองอย่างถอดใจ
"จะอยู่เข้าไปได้ยังไง...ยัยมา...ให้คนอื่นเช่าก็ไม่ได้ ยายขายาย ยายจะโกรธมาไหม ถ้ามาจะขายจริงๆ มาเป็นคนกรุงเทพฯนะ ไม่ใช่คนบ้านนอก ยายต้องเข้าใจมาบ้างนะ"
ขณะเดียวกัน ประดิษฐ์ แฟนหนุ่มสุดที่รักของมาลินีกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในผับ หลังจากพยายามโทร.หามาลินีแต่ไม่สามารถติดต่อได้ ครั้นกลับไปที่คอนโดฯด้วยความหิวโซ เห็นของกินในถุงวางอยู่ก็คว้ามาเปิดกิน แต่ต้องรีบวิ่งไปถุยทิ้งเพราะมันบูดเน่าหมดแล้ว...
ด้านลีนวัตรที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน หลังไปแอบดูมาลินีมาครู่หนึ่ง ลีนวัตรเอาสมุดบัญชีเงินฝากออกมาดูตัวเลข และคุยกับแม่ปุยอย่างมั่นใจว่ามาลินีต้องขายที่ดินของคุณนายวันให้ตนแน่ ซึ่งเธออาจจะเรียกราคาจนเราหงายหลัง แม่ปุยบอกให้ลูกชายลองฟังเธอดูก่อน ไม่ไหวจริงๆค่อยต่อรอง แต่ตอนนี้แม่ปุยอยากให้ผู้ใหญ่ลีแวะไปดูเธอหน่อย ผู้หญิงตัวคนเดียวคงนอนผวาหลับตาไม่ลง ลีนวัตรหรือผู้ใหญ่ลีทำเป็นยึกยักอิดออดก่อนตอบตกลง เพราะใจจริงนั้นอยากไปเต็มแก่
มาลินีกำลังเคลิ้มจะหลับ ต้องสะดุ้งลืมตาเมื่อได้ยินเสียงโครมครามใต้ถุนบ้าน เธอรวบรวมความกล้าวิ่งไปคว้าสากกะเบือเหมาะมือ แล้วเปิดหน้าต่างร้องถามว่าใคร ผีหรือคน...ลีนวัตรที่ตั้งใจมาตรวจดูความเรียบร้อยเกิดพลาดเตะข้าวของอย่างไม่ตั้งใจ จึงรีบทำเสียงแมว มาลินีเห็นเงาตะคุ่มๆในความมืดก็ตกใจ เขวี้ยงสากกะเบือออกไปสุดแรง โดนหัวลีนวัตรเต็มๆ ถึงร้องโอ๊ย แล้วโกยหนีไม่คิดชีวิต เลยเดือดร้อนแม่ปุยต้องหายามานวดหัวให้ พลางก็พูดสมน้ำหน้าลูกชายว่า อย่างนี้เขาเรียกกรรมตามสนอง ผู้ใหญ่ทำกับเขาเอาไว้ เขาก็มาเอาคืน มันเป็นธรรมของโลก...
เช้าขึ้น แม่ปุยสาละวนเตรียมอาหารให้ลูกหลานที่ยังอยู่ในวัยเรียน ทั้งกินมื้อเช้าและเตรียมให้ไปกินมื้อกลางวันที่โรงเรียนด้วย ฉลวยเรียนอยู่มัธยมปลาย เฉลาอยู่ระดับ ปวช. ขณะที่ปื๊ดเพิ่งอยู่ประถม...แต่ขณะที่ใครๆเขาตื่นเช้าวุ่นวายกับกิจวัตรประจำวัน มาลินีกลับยังนอนหลับอุตุอยู่ที่บ้านคุณยาย จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงประหลาดนอกมุ้ง ลืมตาขึ้นมองแล้วแทบกรี๊ด เห็นไก่หลายตัวบุกขึ้นมาจิกหาอาหาร...หลังจากให้ ข้าวให้น้ำไก่เรียบร้อยแล้ว มาลินีถือไม้ติดมือเดินเตร่ออกไป ทุ่งนา แล้วเห็นใครคนหนึ่งก้มๆเงยๆอยู่กับต้นข้าวในนา จึงเดินเข้าไปใกล้ ร้องถามเขาว่าทำอะไร
ลีนวัตรเงยหน้าเห็นมาลินีก็ตกใจ รีบเอาผ้าขาวม้าคลุมหัวคลุมหน้า ก่อนตอบเธอว่า เก็บหอยเชอรี่ และว่ามันร้ายกาจกินทุกอย่างในนาไม่เหลือหลอ มาลินีจึงอยากเห็นหน้าตาหอยเชอรี่ ลีนวัตรขยับเข้าใกล้แบมือที่กำหอย
เชอรี่ไว้หลายตัวให้เธอดู แต่ทันใดมาลินีก็กระตุกผ้าขาวม้าที่หัวเขาออก แล้วเอาไม้ในมือขู่
"ฉันจำนายได้ตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้คนโรคจิต นายต้องเป็นคนแถวนี้แหละ ชื่ออะไรบอกมาซะดีๆ ฉันจะได้ฟ้องผู้ใหญ่ลีให้จัดการกับนาย"
"ใจเย็นๆสิคุณ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ แต่อย่าให้เรื่องไปถึงผู้ใหญ่ลีเลย"
"กลัวใช่ไหมล่ะ นายคงไม่รู้ละมังว่าฉันสนิทกับผู้ใหญ่ลีขนาดไหน"
ลีนวัตรหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ หญิงสาวฉุน ถามเขาว่าหัวเราะอะไร
"ผู้ใหญ่ลีน่ะ แค่เห็นผมก็วิ่งหางจุกตูดแล้วคุณ"
"หยาบคายมาก งั้นไม่ต้องถึงผู้ใหญ่ลีก็ได้" มาลินีฟาดเขาด้วยไม้ แต่ไม่ถูกสักทีเพราะเขาหลบยึกยักไปมา แถมคว้าไม้แย่งดึงไปจากมือเธอ แล้วหักไม้ทำหน้าโหดใส่ แกล้งย่างสามขุมเข้าหา มาลินีกลัวเลยโกยแน่บจนสะดุดขาตัวเอง ตกคันนาเละเทะไปทั้งตัว ลีนวัตรถึงกับปล่อยก๊าก แล้วเดินจากไปอย่างลอยนวล

ooooooo

จบตอนที่ 3

เครดิต //www.thairath.co.th




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2552
1 comments
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 9:20:02 น.
Counter : 300 Pageviews.

 

ชอบมากๆ เรื่องนี้ เอามาลงอีกน่ะค๊ะ จะรอ

 

โดย: cooky IP: 124.121.229.196 19 กรกฎาคม 2552 14:00:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

Heavenworth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ
[Add Heavenworth's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com