กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 กรกฏาคม 2552
 
 
ละคร ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ตอนที่ 2

ตอนที่ 2
คืนเดียวกันนี้ที่ศาลาตั้งศพคุณนายวัน มีการสวดอภิธรรมศพตามปกติ...ครั้นพระลงจากศาลาไปเป็นอันเสร็จ ชาวบ้านก็ล้อมวงกินข้าวต้มที่เฉลากับฉลวยน้องสาวของลีนวัตรยกมาเสิร์ฟจนครบทุกคน จากนั้นสองสาวก็เลี้ยวมาที่พี่ชายกับแม่ที่นั่งอยู่หน้าโลงศพ
"แม่...พี่ลี ข้าวต้มจ้ะ" ฉลวยยกถาดข้าวต้มส่งให้แม่กับพี่ชาย ปื๊ดที่นั่งโซ้ยข้าวต้มอยู่ก่อนแล้วรีบยกชามขึ้นซดน้ำจนเกลี้ยงแล้วหยิบชามใหม่ในถาดมากินอีก เฉลาจึงถามกึ่งบ่นปื๊ดว่ากินไปกี่ชามแล้ว ปื๊ดชูสามนิ้ว พลางก็พูดยิ้มๆ "ก็มันอร่อยนี่"
"ท้องแตกดีกว่าของเหลือใช่ไหม" ฉลวยพูดแล้วหัวเราะขำปื๊ด แม่ปุยไม่ว่ากระไร ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็หารือ ลีนวัตรเรื่องหลานคุณนายวัน
"นี่ก็ตั้งศพสวดมาตั้งสามวันแล้วนะผู้ใหญ่ หลานสาวคุณนายวันแกยังไม่มาเลย จะเอายังไงกันดี"
"ยังไงก็ต้องทำตามคำสั่งคุณนายวันจ้ะแม่ สวดสามวันก็คือสามวัน"
"รอแกอีกหน่อยก็ได้มั้ง พรุ่งนี้แกอาจจะมาก็ได้ เดี๋ยวแกจะหาว่าเราไม่รอแก"
"คำสั่งของคุณนายวันสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้นจ้ะแม่ หนูไม่อยากให้คุณนายวันไม่สบายใจ"
"แต่หนูว่าสวดไปเรื่อยๆก็ดี จนกว่าคุณแกจะมา"
"เอ็งจะได้มีของกินอร่อยๆอย่างนี้ทุกคืนใช่ไหมล่ะ"
"พ่อนี่รู้ใจปื๊ดที่ซู้ด..." ปื๊ดลากเสียงจนลีนวัตรหมั่นไส้ เขกหัวไปที "นี่แน่ะ เห็นแก่กิน"
พอกลับถึงบ้านอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ลีนวัตรหยิบเสื้อและกางเกงออกมาแขวนนอกห้อง แม่ปุยเห็นแล้วเกิดความสงสัย จึงสอบถาม ก็ได้ความว่าพรุ่งนี้ลีนวัตรจะเข้ากรุงเทพฯ ไปดูหลานสาวคุณนายวัน อยากรู้เธอติดขัดอะไรถึงไม่ยอมมางานศพยาย
"แกอาจจะไม่ได้รับจดหมายของผู้ใหญ่ก็ได้"
"หนูว่าหนูทวนดูดีแล้วนะจ๊ะแม่ หนูจ่าหน้าซองไม่ผิดหรอก"
"แกอาจจะติดธุระสำคัญก็ได้นี่ผู้ใหญ่"
"ธุระอะไรมันจะสำคัญกว่ามาคารวะศพพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หนูก็อยากรู้เหมือนกัน"
"แล้วจะไปกี่โมงล่ะผู้ใหญ่"
"ก็คงออกแต่เช้ามืดแหละแม่ จะไปจับรถเที่ยวแรกให้ทัน"
"แม่จะนึ่งข้าว ทอดเนื้อไว้ให้ก็แล้วกัน ห่อข้าวไปกินจะได้ไม่ต้องไปซื้อเขาให้มันเปลือง"
"จ้ะแม่"
แม่ปุยแยกตัวไปทางครัว ลีนวัตรนึกถึงการไปกรุงเทพฯครั้งนี้ แล้วรู้สึกหนักใจไม่น้อย

ooooooo

มาลินีปักหลักอยู่ที่บ้านสมรตั้งแต่เมื่อคืน และข่มตาให้หลับไม่ได้เลย นั่งเฝ้าโทรศัพท์มือถือตลอดคืน เผื่อประดิษฐ์จะโทร.เข้ามา ถ้าเธอรับช้าเดี๋ยวเขาจะโกรธเอาอีก ครั้นเช้าขึ้นหน้าตามาลินีจึงอิดโรย สมรเห็นสภาพเพื่อนแล้วยิ่งสงสาร
"สมร...ถ้าดิ๊กเขาไปจากชีวิตฉันจริงๆ ฉันจะทำยังไงดี"
"ไม่รู้สิ...ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงต้องอยู่ให้ได้ละมัง อยู่คนเดียวให้อะไรๆมันค่อยๆร่วงโรยไป...เหมือนดอกไม้ที่นับวันมีแต่จะเฉาลงๆ จนเหี่ยวแห้งไปในที่สุด"
"ดูโหดร้ายจังเลยนะ ทำไมผู้ชายถึงเข้าใจได้ยากขนาดนี้นะ"
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน"
"ตลอดชีวิตของฉัน ฉันรู้จักผู้ชายอยู่แค่สองคน พ่อฉันกับดิ๊กนี่แหละ ถ้าเขาโทร.เข้ามาฉันควรจะพูดประโยคแรกกับเขายังไงดีสมร"
"ก็...ฮัลโหล สวัสดีค่ะไง"
"ไม่ใช่ จะพูดยังไงให้เขาหายโกรธ"
"ก็ขอโทษเขาสิ ถ้าเราเผลอทำอะไรให้เขาโกรธก็ขอโทษ"
"ดีเหมือนกันนะ ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำว่าขอโทษ โทร.มาสิดิ๊ก โทร.มาสิคะ"
"ยายมา...แทนที่แกจะมัวมานั่งคอยให้เขาโทร.มา ทำไมแกไม่โทร.ไปหาเขาซะเองล่ะ"
"จะดีเหรอสมร"
"ฉันว่ามันไม่แปลกหรอกนะ ที่สมัยนี้ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายง้อผู้ชายก่อนน่ะ"
มาลินีคล้อยตาม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดทันที... ประดิษฐ์กำลังแทงสนุ้กกับเพื่อนๆ ซึ่งเล่นพนันกันมาตั้งแต่ เมื่อคืน อดนอนจนตาลาย พอเห็นมาลินีโทร.เข้ามา ประดิษฐ์กดรับแล้วเดินเลี่ยงจากกลุ่มเพื่อนที่ส่งเสียงแซวออกมาคุยข้างนอก

"ดิ๊ก...มาเองค่ะ" น้ำเสียงมาลินีเกรงใจสุดขีด
"ผมกำลังจะโทร.หามาอยู่พอดีเลย คิดถึงมาจะแย่อยู่แล้วรู้ไหม มาอยู่ไหนครับ"
"มา...มาอยู่บ้านสมรค่ะ"
"ไปอยู่บ้านเขาทำไม ทำไมไม่กลับบ้านเราครับ จะให้ ผมไปรับไหม"
มาลินีตื้นตันใจปีติน้ำตาแทบร่วงเพราะพลิกล็อกผิดคาด ประดิษฐ์หวานสุภาพเหมือนลูกแมวเชื่องๆ
"ไม่เป็นไรค่ะ มากลับเองได้ เดี๋ยวเจอกันที่คอนโดฯนะคะ มาจะซื้อของกินเข้าไปด้วย ดิ๊กอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ"
"อะไรก็ได้ครับ มาซื้ออะไรก็อร่อย แต่ผมอยากเห็นหน้ามาเร็วๆมากกว่า รีบมานะครับ คิดถึงนะ จุ๊บๆ"
มาลินียิ้มแก้มปริที่รักคืนใจ สมรเงี่ยหูฟังอยู่ใกล้ๆ ก็พลอยยินดีกับเพื่อนไปด้วย
"เห็นไหม...ฉันบอกแล้ว ไม่มีอะไรเยียวยาแผลจากความรักได้ดีเท่าความจริงใจหรอก"
"ขอบใจเธอมากจริงๆนะสมร เธอช่วยฉันได้มากจริงๆ ถ้าไม่ได้เธอ ฉันคงกลุ้มใจตายไปแล้ว"
"มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากันนะ จะได้ไม่เกิดปัญหาอีก"
"ฮื่อ...ฉันจะพยายามพูดน้อยๆ จะได้ประคับประคองความรักของฉันให้อยู่นานๆ"
สมรพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะสวมกอดให้กำลังใจมาลินี


ooooooo


ลีนวัตรออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ได้ขึ้นรถเที่ยวแรกอย่างที่ตั้งใจ แต่เมื่อเขาคลำทางมาตามที่อยู่ที่จดใส่ กระดาษจนถึงคอนโดฯของมาลินี เขาเข้ามาติดต่อประชา-สัมพันธ์ที่ชั้นล่าง ก็ได้คำตอบว่ามาลินีไม่อยู่ ออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อวาน...ชายหนุ่มบ้านนาจึงขอนั่งรอตรงมุมรับแขก แต่รอไปรอมารู้สึกหิวจึงงัดข้าวเหนียวกับเนื้อทอดของแม่ปุยออกมากิน
ขณะเดียวกันนั้น มาลินีกำลังจะนั่งแท็กซี่ออกจากหน้าบ้านสมรด้วยหัวใจพองโตที่ประดิษฐ์ไม่โกรธเธอแล้ว...ฝ่ายประดิษฐ์ก็กำลังขับรถกลับคอนโดฯเช่นกัน ขณะซิ่งรถมาถึงหน้าคอนโดฯด้วยความรีบร้อนไม่เกรงใจใคร ประดิษฐ์เกือบเฉี่ยวชนลีนวัตรที่เดินข้ามฝั่งไปซื้อน้ำดื่ม ทั้งอาหารทั้งขวดน้ำในมือลีนวัตรเลยหลุดมือหล่นกระจาย
ประดิษฐ์ไม่พอใจ กดกระจกลงร้องด่าเขาทันที
"ไอ้บ้า...อยากตายรึไงวะ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ถนนรถวิ่งนะโว้ย ไม่ใช่ทางควายเดิน"
"อ้าว..." ลีนวัตรร้องอ้าวได้คำเดียว ประดิษฐ์ก็รัวมาอีกชุด
"รถอั๊วมันไม่ใช่บาทสองบาทนะโว้ย แค่สีถลอกลื้อก็ไม่มีปัญญาชดใช้แล้ว"
ลีนวัตรระงับโทสะ ไม่อยากมีเรื่อง "ขอโทษครับ ผมขอโทษครับ"
"ไอ้บ้าเอ๊ย...บ้านนอกชิบเป๋ง" ประดิษฐ์ออกรถไปอย่างหัวเสีย
"เป็นงั้นไป...คนกรุงเทพฯจงเจริญ" ว่าแล้วลีนวัตรก็ก้มลงเก็บห่อข้าวและขวดน้ำด้วยความเซ็งสุดขีด เสร็จแล้วเข้าไปนั่งอดทนรอมาลินีต่อไป
แต่เมื่อมาลินีมาถึง เธอกลับควงประดิษฐ์ขึ้นลิฟต์โดยไม่ได้สนใจลีนวัตรที่พยายามจะเรียก ส่วนลีนวัตรเมื่อเห็นมาลินีแนบชิดผู้ชายหายขึ้นห้องไปก็หน้าเหี่ยวหน้าแห้ง เดินมาขอให้ พนักงานต่อสายขึ้นไปหามาลินีที่ห้องเพราะมีธุระสำคัญ
ประดิษฐ์หงุดหงิดกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะขณะเขากำลังสวีตกับมาลินี จึงขอเป็นคนรับเอง พอได้ยินพนักงานบอกว่ามีผู้ชายมาขอพบคุณมาลินี ประดิษฐ์หันมาจ้องมาลินีอย่างเอาเรื่อง
"คุณนัดผู้ชายที่ไหนมา"
มาลินีตกใจ รีบทำมือปฏิเสธ ประดิษฐ์จึงกระชากเสียงไปตามสายที่มีเสียงผู้ชายดังแว่วมา
"ลื้อเป็นใคร รู้จักแฟนอั๊วได้ยังไง"
"ผมชื่อลีนวัตร ผม..."
"มันบอกมันชื่ออะไรวัดๆก็ไม่รู้"
มาลินีส่ายหน้าดิก ยืนยันไม่รู้จักใครที่ชื่อวัด ประดิษฐ์ เลยใส่ต่อไม่ยั้ง
"ลื้อมันพวกมิจฉาชีพ เดี๋ยวอั๊วจะเรียกตำรวจ อย่าหนีไปไหนนะโว้ย"
"มาจัดการเองค่ะ" เธอดึงโทรศัพท์จากมือเขาทันที "นี่...แก...แกมันพวกโรคจิตใช่ไหม"
"คุณ...คุณมาลินี..."
"มีไม่กี่คนหรอกที่รู้จักที่อยู่ของฉัน แกต้องเป็นพวกโรคจิตที่คอยสะกดรอยตามซุปเปอร์โมเดลอย่างฉันแน่ๆเลย ไปให้พ้นเลยนะ แล้วถ้ามาวอแวฉันอีก แฟนฉันต้องฉีกแกเป็นชิ้นๆแน่ ไอ้บ้า"
มาลินีพูดจบก็วางหูดังโครม ลีนวัตรสะดุ้งสุดตัวกับเสียงกระแทกวางสาย หมดหวังหมดศรัทธาเหมือนถูกไล่ตะเพิด แถมปิดประตูใส่หน้า...ลีนวัตรเดินเซ็งออกมาหน้าคอนโดฯหันกลับไปมองที่ตัวตึกแล้วถอนใจเฮือก
"เป็นอย่างคุณนายวันว่าไว้จริงๆ น่าเสียดาย"


ooooooo


ประดิษฐ์นอนหนุนตักมาลินีที่นั่งบนโซฟาตัวใหญ่ สองมือของเขากุมมือเธอไว้อย่างทะนุถนอมราวกับรักกันปานจะกลืนกิน
"ดิ๊กง่วงก็นอนซะนะคะ มาจะไปเตรียมของกิน เดี๋ยวมามาปลุก"
"ไม่เอาหรอก ดิ๊กอยากหนุนตักมาอย่างนี้ไปนานๆ มันทำให้ดิ๊กคิดถึงแม่รู้ไหม มาดีกับดิ๊กเหมือนเป็นแม่ดิ๊กเลย"
มาลินียิ้มเจื่อน เธอควรจะดีใจดีไหมหนอ...
"เมื่อไหร่เราจะแต่งงานกันดีล่ะ ปีหน้าไหม"
"มาแล้วแต่ดิ๊ก ดิ๊กพร้อมเมื่อไหร่ มาก็พร้อมเสมอ"
"ดิ๊กว่าจะกลับไปทำงานซะที ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ดิ๊กรำคาญตัวเองเหมือนกัน"
"ดีค่ะ...เราจะได้ช่วยกันเก็บตังค์เอาไว้สร้างครอบครัวของเรา ซื้อบ้านซักหลังที่มีบริเวณ มีสนามเอาไว้ปลูกดอกไม้สวยๆ"
ทันใด ประดิษฐ์ลุกพรวดหน้าหงิก "พูดยังงี้หมายความว่ายังไง" มาลินีตกใจยิ้มค้างกับภาพฝัน "มากำลังด่าดิ๊กว่าดิ๊กเป็นแมงดาเกาะมากินใช่ไหม"
"มายังไม่ได้พูดซักคำ"
"ไม่ได้พูดแต่ความหมายมันเป็นอย่างนั้น"
"ดิ๊ก...มาไม่ได้ตั้งใจ"
"ใช่ซี้...ดิ๊กมันไม่มีอะไรดีเลยซักอย่าง จะกินยังต้องให้
มาหาเลี้ยง" ประดิษฐ์คว้ากุญแจรถผลุนผลันจะออกไป มาลินีถามระรัวว่าดิ๊กจะไปไหน "ก็คงไปตระเวนหางานทำมั้ง งานอะไรดิ๊กก็ต้องทำทั้งนั้น มาจะได้เลิกดูถูกดิ๊กซะที ถ้ามาเข้าเซเว่นแล้ว
ไปเจอดิ๊กเป็นพนักงาน ก็อย่าอายจนลืมทักทายกันบ้างก็แล้วกัน"
ประดิษฐ์ปั้นฟอร์มหัวใจชอกช้ำก่อนจะพรวดพราดออกไป มาลินีแทบล้มทั้งยืน...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ


ooooooo


ข้างฝ่ายลีนวัตรที่ต้องผิดหวังกลับมา...แม่ปุยจึงว่าไปเสียเที่ยว ได้เจอแต่ไม่ได้คุยกัน ลีนวัตรไม่อยากพูดอะไรมาก ยังรู้สึกแปลบๆที่หัวใจเมื่อรู้ว่ามาลินีมีแฟนแล้ว เขาเสบ่นหิวข้าว และถามน้องๆว่าทำอะไรกินบ้าง พูดพลางก็เดินเลี่ยงไปทางครัว
"พี่ลีทำท่าเหมือนคนอกหัก" ฉลวยแอบเม้าท์ จึงถูกแม่ปุยดุว่ารู้ดี
"อย่างนี้ศพคุณนายวันมิต้องตั้งเอาไว้จนแห้งแหงแก๋เหรอแม่" เฉลาเอ่ยขึ้นมา แม่ปุยไม่ตอบ แต่ทำหน้าหนักใจแทนลูกชาย แล้วไล่สองสาวไปจัดสำรับกับข้าวให้พี่ชายก่อน
ด้านมาลินีที่เหมือนสวรรค์ล่มลงอีกครั้ง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะประคับประคองความรักให้ได้นานๆอย่างที่บอกกับสมรเอาไว้ ครั้นสมรโทร.มาถามความคืบหน้าขณะอยู่กับวลัยที่บ้าน มาลินีเลยต้องกลบเกลื่อนปิดบังความทุกข์ ทำแจ่มใสเพราะกลัวเพื่อนด่า
"ฮื่อ...ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา"
"คุยกันเรียบร้อยแล้ว เข้าใจกันดีแล้ว ฉันก็ดีใจด้วย ยายวลัยมันเป็นห่วงแกมาก คุยกับมันหน่อยนะ ให้มันอิจฉาเล่น"
"นี่ยายมา...ถ้าแกกับแฟนแกเคลียร์กันได้แล้ว ฉันก็ดีใจด้วย แต่ยังไงฉันก็ยังยืนยันว่าแกควรจะรักแล้วหยิ่งในศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงของพวกเราเอาไว้ให้มากๆ ไม่อย่างนั้น เช้าทะเลาะกัน ตกเย็นก็คืนดีกันอยู่อย่างนี้ เพื่อนอย่างฉันก็ไม่พ้นเป็นหมาหัวเน่าเข้าใจไหม"
คำพูดของวลัยทำเอามาลินีน้ำตาแทบร่วง แต่พยายามปั้นหัวเราะ
"ขอบใจนะวลัย เธอยังเป็นเพื่อนรักของฉันเสมอ ไม่มีวันเป็นหมาหัวเน่าหรอก...ดิ๊กเหรอ เขาก็อยู่แถวเนี้ย อาบน้ำอยู่มั้ง เดี๋ยวเขาจะพาฉันไปกินข้าวนอกบ้าน ยังไม่รู้เหมือนกันอาจจะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสมั้ง...แค่นี้ก่อนนะ ฉันแต่งหน้าก่อน ดิ๊กเขาว่าหน้าฉันอ่อนไป" แล้วแกล้งตะโกนราวกับอยู่กับแฟนจริงๆ "จะไปแล้วค่ะ ดิ๊กเขาเรียกแล้ววลัย แค่นี้ก่อนนะ"
มาลินีรีบกดวางสายแล้วร้องไห้โฮ ถ้าเพื่อนๆรู้ความจริง เธอต้องถูกประณามหยามเหยียดว่าโง่ ชีวิตเหมือนย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย...

ooooooo

แม่ปุยยังข้องใจเรื่องหลานสาวคุณนายวัน จึงหาโอกาสเหมาะๆคุยกับลีนวัตรตามลำพังในตอนกลางคืน
"ผู้ใหญ่...ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ เรื่องหลานสาวคุณนายวัน"
"เขาจะมาหรือไม่มามันก็เรื่องของเขาแล้วละแม่"
"แล้วเขาบอกผู้ใหญ่รึไงว่าเขาจะไม่มา"
"เปล่า"
"อ้าว แล้วผู้ใหญ่จะมาเหมาเอาเองยังงี้ได้ยังไง"
"คุณนายวันเป็นยายแท้ๆของเขาทั้งคน เขายังไม่มีแก่จิตแก่ใจจะมาทำศพเลยนะแม่"
"เขาอาจจะไม่ได้รับจดหมาย"
"มันเป็นไปไม่ได้หรอกแม่ เขาไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ"
"ยังไง...พูดยังไง"
"หนูว่าเราเตรียมเงินเอาไว้ซื้อที่นาของคุณนายวันเถอะ ยังไงเขาก็ต้องขาย น้ำท่วมหลังเป็ดแน่ ถ้าคนกรุงเทพฯอย่างเขาคิดจะทำไร่ไถนาอยู่บ้านนอกอย่างนี้" ลีนวัตรตัดบทอย่างมั่นใจ...
เที่ยงคืนกว่าแล้ว มาลินียังนั่งตาแป๋ว ทั้งที่พยายามทำตัวเองให้ง่วง ให้ลืมเรื่องปวดใจด้วยการกวาดถูห้องตั้งแต่หัวค่ำ
"ง่วงซะทีสิ ง่วงๆๆ ฉันจะได้หลับซะที...เฮ้อ จัดห้องใหม่ ดีกว่า"
ขณะจัดห้องไปเรื่อยเปื่อย มาลินีสะดุดตากับกองจดหมาย จึงหยิบทั้งหมดมานั่งพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร แยกซองค่าใช้จ่ายต่างๆออก แล้วจึงพบจดหมายของผู้ใหญ่ลีที่จ่าหน้าซองด้วยลายมือ ซึ่งเธอแทบไม่เคยได้เห็นมาเป็นชาติแล้ว
หลังจากแกะจดหมายนั้นออกอ่าน มาลินีถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ...พอเช้าขึ้นจึงออกเดินทางพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ไปขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี
แต่การเดินทางไปคลองหมาหอนบ้านคุณนายวันไม่ ธรรมดาเลย มาลินีต้องขึ้นรถสองแถวเบียดเสียดไปกับชาวบ้าน ปุเลงๆไปตามถนนที่มีแต่ฝุ่น แถมเจอหลุมเจอบ่อน้ำเฉอะแฉะจนรถติดหล่มไปไม่ได้ ต้องลงเดินต่ออีกสองสามกิโล
มาลินีแทบจะบ้าตาย กัดฟันเดินโขยกเขยกลากกระเป๋าเดินทางไปถึงตลาด เป็นเวลาที่ลีนวัตรขับเรือหางยาวมาจอดที่ท่าน้ำใกล้ร้านกาแฟที่คุ้นเคย พอชายหนุ่มเห็นกระเป๋าเดินทางไฮโซถูกลากผ่านหน้า เขาสะดุดตาจนอดไม่ได้ต้องเงยขึ้นมองหน้าเจ้าของกระเป๋าแล้วต้องตะลึงตาค้าง
"ซื้อน้ำเปล่าขวดนึงค่ะ เอาเย็นๆนะคะ"
"หยิบเอาเลย ในตู้น่ะ"
มาลินีเดินไปที่ตู้แช่ตามที่เจ้าของร้านบอก กรีดนิ้วเปิดตู้ด้วยกลัวเล็บยาวๆของตนจะหัก และไม่ค่อยมั่นใจกับความสะอาด ลีนวัตรมองเธอจนแน่ใจว่าตาไม่ได้ฝาด แล้วรีบขนของออกไปที่เรือเตรียมกลับ...มาลินีจ่ายค่าน้ำและสอบถามเจ้าของร้านว่าเธอจะไปคลองหมาหอน จะไปยังไงได้ เจ้าของร้านซักกลับจนรู้ว่ามาลินีจะไปบ้านคุณนายวันผู้ขว้างขวางในแถบนี้ เขาจึงชี้มือไปทาง
ผู้ใหญ่ลีทันที
"โน่นเลย เรือลำนั้นน่ะ คุณขอเขาไปด้วย เขากำลังจะไปคลองหมาหอนพอดี"
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก" มาลินีรีบคว้ากระเป๋าลากออกไปจากร้าน ลีนวัตรชะเง้อมองเธออยู่ก่อนแล้ว รีบเอาผ้าขาวม้าคลุมปิดหัวปิดหน้า และทำวุ่นวายกับการจัดของใส่เรือหางยาวแล้วไม่ว่าหญิงสาวจะเข้ามาสอบถามอะไรเกี่ยวกับการไปบ้านคุณนายวันที่คลองหมาหอน ชายหนุ่มก็เอาแต่ก้มหน้าตอบรับสั้นๆอย่างเดียว
"ถ้างั้นฉันขอไปด้วยคนได้ไหมคะ จะคิดค่าเสียเวลาเท่าไหร่"
ลีนวัตรชะงัก...นึกในใจว่าคนกรุงเทพฯอะไรๆก็แลกได้ด้วยเงิน
"นี่คุณ..."
"ลงมา...หาที่นั่งเอาเอง" เขาพูดสวนขึ้นมาห้วนๆ เธอจึงวานเขาช่วยรับกระเป๋าลงเรือให้ด้วย กำชับว่าต้องระวังดีๆ กระเป๋ามันแพง แล้วก็มีของสำคัญๆทั้งนั้น ลีนวัตรรับฟังแต่ไม่ ทำตาม ยกกระเป๋าไฮโซของเจ้าหล่อนโยนโครมลงเรือ มาลินีแทบกรี๊ดแต่ระงับใจไว้ แค่นยิ้มปากสั่น
"ลงมาสิ" เสียงเขาเร่ง เธอกลับให้รอแป๊บนึง ขอทาครีมกันแดดก่อน ว่าแล้วเธอถอยเข้าร่ม หยิบครีมกันแดดออกมาทามือทาแขน ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนรอด้วยความเซ็ง...
ครู่ต่อมา เรือหางยาวของลีนวัตรแล่นตัดผิวน้ำ มาลินีนั่งห่อตัว บนหัวมีผ้าคลุมกันแดดกันลม แต่แล้วแรงลมก็ทำให้ผ้าปลิวหลุดมือคว้าไม่ทัน ผ้าลอยตามลมมาโป๊ะปิดหน้าลีนวัตรที่บังคับเครื่องท้ายเรือ ลีนวัตรมองไม่เห็น ตะกุยเอาผ้าออกจากหน้าอีนุงตุงนัง
มาลินียิ้มแหยเหมือนสำนึกผิดในที แต่พอลีนวัตรขยุ้มผ้าม้วนๆแล้วเขวี้ยงคืนมา เธอก็เอาผ้าคลุมหัวคลุมตัวกันแดดกันลมเหมือนเดิม ลีนวัตรหมั่นไส้เลยดับเครื่องมันซะดื้อๆ
"ถึงแล้วเหรอ จริงๆก็ไม่ไกลเลยนี่"
"ยังไม่ถึง"
"แล้วดับเครื่องทำไมล่ะ"
"มันดับเอง เป็นยังงี้ประจำแหละ"
พูดจบเขาแกล้งทำเป็นพยายามกระตุกเชือกสตาร์ตเครื่อง แต่ก็ไม่ติด มาลินีเริิ่มบ่น กลัวจะไปต่อไม่ได้ ลีนวัตรรีบบอกไปได้แน่ ถ้าช่วยกันพาย...พอเขาส่งพายให้ เธอโวยทันทีว่า ฉันเป็นผู้โดยสารนะ แล้วก็พายเรือไม่เป็นด้วย
"จะไปไหม คลองหมาหอนน่ะ จะไปก็ต้องช่วยกันพาย"
เจอไม้นี้เข้า มาลินีจำต้องจับพายจิ้มลงน้ำเก้ๆกังๆ ทั้งพายไม่เป็น ทั้งกลัวเล็บสวยๆจะหัก ลีนวัตรคิ้วขมวด ทั้งขำและปลงสังเวชกับท่าทางยักแย่ยักยันของเจ้าหล่อน
อีกพักใหญ่ๆเรือเข้าเทียบริมตลิ่ง มาลินีลิ้นห้อยหมดสภาพสิ้นเรี่ยวแรง ลีนวัตรยิ้มสะใจ และเผลอเปิดผ้าขาวม้าที่คลุมหัวออกเพื่อเช็ดเหงื่อ
"ถึงแล้ว" เขาบอก
"ถึงแล้ว...ไหน ฉันไม่เห็นมีบ้านซักหลัง มีแต่ทุ่งหญ้า"
"นี่มันทุ่งนาไม่ใช่ทุ่งหญ้า ต้นข้าวยังไม่รู้จักเลยเหรอคุณ"
"มันก็เหมือนกันน่ะแหละ ไหนล่ะบ้านคุณวัน"
"คุณต้องเดินไปอีกหน่อย ไม่ไกลหรอก ไปตามคันนานี่นะ พอเจอทางถนนก็เลี้ยวขวา เจอแยกก็เลี้ยวซ้าย แยกอีกทีก็เลี้ยวขวา ซ้ายแล้วก็ขวา ขวาแล้วก็ซ้าย"
"โอ๊ย ใครจะไปจำได้ เอาอีกทีซิ"
"เอาเหอะน่า เดินไปเหอะ"
"แล้วถ้าเกิดฉันหลงขึ้นมาล่ะ"
"มีปากไหมล่ะคุณ ปากเขามีไว้ให้ถาม ไม่ได้มีไว้ให้บ่นอย่างเดียว"
มาลินีโกรธกระฟัดกระเฟียดขึ้นจากเรือทันที "กระเป๋าฉัน ส่งกระเป๋ามาให้ด้วย ระวังหน่อยนะกระเป๋าแพง แล้วในนั้นก็..."
ไม่ทันขาดคำ ลีนวัตรก็โยนกระเป๋าของเธอขึ้นไปนอนแอ้งแม้งบนตลิ่ง มาลินีกรี๊ดกระจาย แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ พอเธอคว้ากระเป๋าจะเดินไป เขารีบท้วงเธอว่า ลืมอะไรไปอย่างนึง
"อะไร" เธอหันมากระชากเสียง
"ลืมขอบคุณ"
หญิงสาวหน้าหงิก เปิดกระเป๋าถือหยิบเงินออกมาหนึ่งร้อย "ทีแรกฉันตั้งใจจะให้ซักห้าร้อย แต่บริการของนายแย่มากเข้าขั้นห่วยแตก เอาไปร้อยเดียวก็คงเหลือแหล่"
"คุณเก็บเงินคุณเอาไว้ซื้ออย่างอื่นเถอะ คนคลองหมาหอนเนี่ย บางทีเงินก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก"
"หยิ่งซะด้วย...ดี เพราะจริงๆแล้ว บาทเดียวกับบริการอย่างนี้ นายก็ไม่สมควรได้รับ" ว่าแล้วเธอเก็บเงินใส่กระเป๋า เตรียมลากกระเป๋าจากไป
"โชคดีนะคุณ" ลีนวัตรร้องบอกพร้อมกับสตาร์ตเครื่องทีเดียวติด มาลินีชะงักกึก เพิ่งค้นพบบางอย่าง หันขวับกลับมา
"นี่นายหลอกฉันนี่ เครื่องไม่ได้เสียซะหน่อย"
"น้ำมันมันแพง ต้องช่วยกันประหยัด"
ลีนวัตรยิ้มร่าขับเรือออกไป มาลินีเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วยความเจ็บใจ
ooooooo

จบตอนที่ 2

เครดิต //www.thairath.co.th




Create Date : 13 กรกฎาคม 2552
Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 13:13:36 น. 0 comments
Counter : 289 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

Heavenworth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ
[Add Heavenworth's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com