Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
17 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

O มหาภารตะยุทธ .. บทที่ ๕-๖ .. O





ห้าพี่น้องปาณพ หนีไฟครอกจากการบงการ..ของทุรโยธน์.



เพลง .. HareKrishnaMahaMantra



= บทที่๕ .. ชัยชนะของราชวงศ์ปาณฑพ =
มาลินีฉันท์ ๑๕
11111102 - - - 0102
103
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ


O กษณะนยะประลือดล - - - หัสดินชน
สดับการณ์

O ก็คณะสกุละวงศ์ปาณ- - - - ฑพ ณ ปัญจาล
สราญชนม์

O ชิพิตะจรัสะพูนผล - - - ทุกขะรุมลน
ก็ป่นลาญ

O สถิตะนคระปัญจาล - - - เบญจะชายชาญ
กะคราญเดียว

O ขณะริษยะขมวดเกลียว - - - พิษะติดเหนียว
ณ เสี้ยวใจ

O ขณะกุธะทุระโยธน์ไพ- - - - บูลยะปูนไฟ
คุไหม้ทรวง

O ฤ จะเพราะอัคนินั้นลวง - - - จึงอรินทร์ปวง
บ่ล่วงลาญ

O ทุขะมนัสะอนันต์ปาน - - - จินตะวิญญาณ
จะลาญปลง

O มติพฤฒิธฤตราษฎร์ลง - - - เสียงและจำนง
ประสงค์ศานติ์

O อติตะอคติล่มลาญ - - - เพื่อจะเจือจาน
สมานใจ

O วิทุระจระจะเพื่อไป - - - ปัญจาลไข-
ประดาความ

O มธุระพจนะในยาม - - - พ้องจะป้องปราม
กะทรามชน

O สัตยะพิริยะการณ์ดล - - - ความก็ลามลน
ระคนมาน

O คณะสกุละดนูปาณ- - - - ฑพะตรองการณ์
ก็พร้อมใจ

O จระประลุหัสดินไพ- - - - บูลยะนอบไท้
ธฤต์ราษฎร

O กษณะพระปิตุลาวอน - - - ทิพะอวยพร
กะปวงหลาน

O รมยะอจละดวงมาน - - - ธฤตราษฎร์ปาน
ละลานสรวล

O นิระนัยนะจะพิศนวล- - - - ขวัญะยามจวน
พระครวญความ

O รัตนะพัชระแสงวาม - - - มอบประทานงาม
ณ ยามนั้น

O อรุณะสุริยะอำพัน - - - เรื้องเมลืองขัน-
ธสีมา

O กษณะปฐมะเพ-ลา - - - สูรยะพูนภา-
สะบรรสาร

O ก็ขณะสกุณะเบิกบาน - - - ล่องกะลมดาล
ทะยานไป

O ก็ขณะกุสุมะส่ายไหว - - - ฉมกะลมไล้
ณ ในยาม

O เพราะนิสัยะบุตระแสนทราม - - - ธฤตราษฎร์ปราม
ก็คร้ามกัน

O เพราะสกุละบุพะเบื้องบรรพ์ - - - เอกะพงศ์พัน-
ธุวรรณา

O และสรรพะอคติบรรดา - - - ลาญเถอะหลานยา
มุปรองดอง

O ขณะรัฐะหัสดินครอง - - - แบ่งและแยกสอง
ก็พร้อง”คาน-

O -ธวปรัสถะ”เมืองปาณ- - - - ฑพะจัดการ
และครอบครอง

O สมรรถะพัฒนะด้วยปอง - - - ทุกขะยากผอง
จะล่องเลือน

O กิจะรัฐะก็เสมอเหมือน - - - มิจฉะติดเตือน
บ่เคลื่อนคลาย

O กษณะอัคนิพลุ่งปลาย - - - มณฑิรากลาย
ทะลายลง

O เพราะริษยะทุรโยธน์บง- - - - การะผลาญพง-
ศะเดียวกัน

O พัฒนะนคระเขตขันธ์ - - - ตราบระบือบรร-
ลุเมืองไกล

O พสกนิกระร่วมใจ - - - พาหะอาศัย
ณ ใจเมือง

O นคระสมัยะรุ่งเรือง - - - สุขะเนาเนือง
ประเทืองชน

O สรรคะก็เฉพาะจะป้องตน - - - หากอรินทร์รณ
ผจญรบ

O ศักยะรณะก็ครันครบ - - - ชาติปาณฑพ
ผิว์รบกัน


วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
00101110 - - - 110102
00101112 - - - 110103
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ


O อำพนพระมณฑิระประสิทธิ์
นฤมิต ผิ แบ่งปัน-
เจตจินต์และศิลปะสวรรค์
อนุสนธิร่วมเสริม

O ขอบคูกำแพงเฉพาะจะป้อง-
ภัยะผองก็ต่อเติม
ป้องหมู่ศัตรูผิวะจะเคลิ้ม-
จิตะเหิมจะราญรอน

O ปรับปรุงเพราะมุ่งทะนุสุขา
กรุณาประชากร
พร้อมเพรียงจะเคียงรณะสมร
ชิวะมรณ์จะยังหมาย

O ปรากฏสุพจน์ระบุระบิล
ประจุจินตะกำจาย
พร้อมโภคะโศภิตะจะหมาย-
นยะคล้ายพิมานแมน

O เสกสรรค์สมัญญะธรณิน
ปุระ”อินทรปรัสถ์”แดน
แกร่งกล้าพลาสมรรถะแสน-
ยะจะแม้นจะล่มเมือง

O รอบกาละผ่านระยะสถา-
ปนะภาวะรุ่งเรือง
รูปคราญและปาณฑพะ ก็ เปลื้อง-
รติเนืองประคองหนุน

O ภิญโญพระโอรสะประทาน
บริบาละคู่บุญ
เสริมศักยะอัครสกุล
อธิคุณะขับขาน

O ด้วยเหตุเทวะ ธ ประสิทธิ์
นิรมิตะดวงมาน
พ้องคำเพราะพร่ำอธิษฐาน
อุปการะคู่ครอง

O ห้าครั้งประดังพจนะสู่
ทิพะรู้ก็รับรอง
ห้าชายก็คล้ายทิพะสนอง
นุชะพร้องและพร่ำขอ

O กรอบกฎกำหนดเฉพาะจะปัน
สมะขวัญและเคลียคลอ
ชายหนึ่ง ณ หนึ่งขณะจะพอ-
ระบุรอพะนอขวัญ

O อีกสี่จะลี้ระยะระหว่าง
ดนุ-นางประนอมนัน-
ทาชู้เสาะสู่รชะถวัล-
ยะกระสันจะเสพสม

O งามตรูดนูขณะประโลม
ทะนุโฉมและชื่นชม
ฝ่า-ฝืนกะคลื่นรติภิรมย์
ฤจะข่มนะคร่ำครวญ

O กลิ่นเกลี้ยงก็เพียงระยะจะสัม-
ผัสะย้ำกะเย้ายวน
หอมกรุ่นละมุนวรรณะกระสรวล
ระอุอวละหยอกเอิน

O อุ่นล้ำกะสัมผัสะกระทบ
รติภพะผ่านเพลิน
จบซ้ำระส่ำอุระเผชิญ-
กะสะเทิ้นสะท้านโถม

O นุ่มเนียนระเมียรอุสุมะวรรณ
ขณะสั่นเพราะลูบโลม
โหยหอบเพราะรอบรชะกระโหม
พละโถมะเจตจินต์

O ผองภุมรินสมะพะบู
นิระรู้ประจาคบิน
สมเสพวิเลปนะถวิล
ตฤปะพินทุเกสร

O โอ้งาม..ละลามขณะหทัย-
ระอุไหวกะเว้าวอน
โหยอื้นเพราะผืนอุระสะท้อน
รชะร้อน ฤ ผ่อนไหว

O ตฤปหวานสุมาลย์มธุระเก-
สระเรณุกาไพร
หอมหวานจะปานวรรณะประไพ
กระอุไอไฉนหนอ

O แล้วเล่า..คละเคล้าวรรณะละมุน
ระอุอุ่น ฤ เพียงพอ
แล้วเล่า..ระเร้ากระพะนอ
ทะนุรอระรุมขวัญ

O เกสรสุมาลยะจรด-
มธุรสะรุมรัน
หยาดสินธุรินบทะกระสัน
ประจุนันทะแนบหนุน

O แว่วครวญกระหวนอุระสะท้อน
รติร้อน ฤ ทารุณ
โหยครวญเพราะส่วนรชะละมุน
ดละหนุนและน้อมหา

O โหยหอบเพราะรอบรชะประดัง
ตละครั้งและทุกครา
ตราบลอยละล่องอุระผวา
สมะภาวะรมย์เพ็ญ

O ครั้นเผลอละเมิดกฏะสกุล
อรชุนก็จำเป็น-
ต้องเนรเทศจระคละเข็ญ
ลุเลาะเร้นวเนจร

O ตราบพิศพิจิตรวรอนงค์
พระประสงค์ก็เว้าวอน
เชื่อมชาติกะ”ยาฑพ”ะบวร
กุละอระแต่นั้น

O นามนาฏ”สุภัทระ”สมร
รติร้อนก็โรมรัน
ครองคราญละลานกมละบรร-
ลุประเล่ห์เสน่หา

O คือองค์ขนิษฐะพระกฤษณ์
สหะอิทธิฤทธา
ด้วยแสนยะแคว้นปุระ”ทวา-
รวดี” ณ เบื้องไกล

O คาบกาละผ่านอุบัติเอา-
รสะเยาวะสายใย
นามองคะมงคละไผท
“อภิมัณยุ”มิ่งขวัญ

O เนื่องมาสภาพฤฒิริเริ่ม-
จะเฉลิมฉลองบรร-
ดาศักดิศักยะถวัลย์
จักรวรรดิพัฒนา

O "ราชสูยยัชนะ"ประกาศ
"มหราช"ะสมญา-
นามาภิไธยยศะสถา-
ปนะภาพะทรงพล

O ถ้วนเขตประเทศปุระไผท
ผิวะไม่ประมาณตน
เศียรนบสยบ..พยุหะพล
จะณรงคะต่อตี

O แถวทัพสำหรับรณะจะรุด
และประยุทธะย่ำยี
หากนบสยบกิติฤทธี
จะละชีวะคืนหวัง

O รวมทัพะขับอริอรินทร์
ชิวะสิ้นและภินท์พัง
แสนยาก็บ่ารณะประดัง
มรณังก็หนักหนา

O เริ่มราชะสูย์ยัชนะพลัน
สุขะสันติบรรดา-
ผองชนทะแกล้วพิริยะสา-
ธกะแย่งและแข่งขัน

O รำเต้นละเล่นกละประการ
ดนุ-พาละสัมพันธ์
ก่อเพลิงเถกิงชุลิสวรร-
คะถวัลยะยามควร

O คำร่ายถวายดิลกชาติ
มหราชะท่ามมวล-
ชนผองฉลองรณะกระบวน
ชัยะล้วนก็มุ่งหมาย

O พลีไฟไสวยุธิษเฐียร
ทิฐิเพียระรำบาย-
ขอเดชวิเศษศักยะผาย-
พละป่นอรินทร์สูญ

O ครบถ้วนประดาคติพิธี
เฉพาะธีระเทิดทูน
เสร็จการณะผ่านพฤติวิทูร
อนุกูละเจตจินต์

O นำพลพลายุธิษเฐียร
จิตะเพียรก็โดยภิญ-
โญมุ่งอำรุงพิภพะอิน-
ทรปรัสถะจำเริญ




= บทที่ ๖ สกาพนัน =
อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑
00110 - - - 110102
00112 - - - 110103
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ


O จึงปาณฑพะวง- - - - ศะประสงคะเชื้อเชิญ
เยือนยละเจริญ - - - ปุระอินทรปรัสถ์เขา

O เชิญมวละพระญาติ - - - นรชาติผองเกา-
รพนวละเฉลา - - - และขนิษฐ์สโมสร

O กรุงอินทรปรัส- - - - ถะพิพัฒน์สถาวร
ด้วยภาวะสะท้อน - - - สหกรณะร่วมแรง

O ค่ายหอระดะกลาง - - - ระยะห่าง ณ กำแพง
ทวยแกล้วก็แสดง - - - สมรรถาและกล้าหาญ

O ไพรินทระผู้ - - - นิระรู้จะรำบาญ
ตั้งจิตะทะยาน - - - จะณรงคะต่อตี

O ไหนเลยจะประทุษ - - - รณะยุทธะย่ำยี
ด้วยปาณฑพะนี้ - - - นิระที่จะวอดวาย

O องค์มณฑิระเล่า - - - ฉลุเหลาฉลักลาย
เครือวัลยะสาย - - - ก็ละม้ายจะแมกโฉม

O ช่อฟ้าดุจะเฟื้อย - - - ศิระเลื้อยกระหวัดโลม
เช่นอัคนิโหม - - - จะตระโบมโพยมบน

O บราลีก็จรูญ - - - นภศูละดำกล
เชิงปัทมะยล - - - อนุสนธิเสกสรรค์

O บัญชระเขบ็จ - - - มุขเด็จระเบียงบรรพ์
เพดานเฉพาะสรร- - - - คะสวรรคะจำลอง

O ดาษดารกะหมู่ - - - รุจิรู้จะเรืองรอง
พิศเพียงนภะผอง - - - ทิพะล่องระเริงไฟ

O สิงหาสนะที่ - - - ถิระวีระกรรมไพ-
บูลย์แสนยะสมัย - - - รณะภัยะเบียดเบียน

O ค้ำคูณจตุมุข - - - หัตะทุกขะกร่อนเกรียน
แผ่นภาพะระเมียร - - - ดุจะเขียนเพราะรำบาย-

O สรรค์ศิลปะฝัง - - - กะผนังระเรียงราย
พิศภาพะระบาย - - - ก็ละม้ายพิมานแมน

O ทวยหาญะกระบวร - - - บทะควรจะเกรงแกลน
ฮึกเหิมพละแสน- - - - ยะจะแม้นจะล่มเมือง

O ผองเการพะพิศ- - - - นิรมิตก็ขุ่นเคือง
แรงริษยะเปลื้อง - - - พิษะเนื่องก็เข้าหนุน

O งามเหนือหัสดิน - - - ก็ระบิละว่าบุญ-
ญาบารมิคุณ - - - กละทุนนะเทียบถึง

O คืนกลับหัสดิน - - - ระอุจินตะคำนึง
แผนการะจะพึง - - - จะประทุษก็ผุดพลัน

O ปรึกษาปิตุลา - - - เฉพาะว่าจะร่วมกัน
สมโภชน์ปุระนั้น - - - ทะนุขวัญประชากร

O เชิญปาณฑพะชาติ - - - ยุรยาตระนาคร
เป็นศรีอนุสร- - - - ณะสะท้อนสมานฉันท์

O ชวนปาณฑพะวง- - - - ศะณรงค์สะกากัน
ทอดบาศกะบรร- - - - ลุประเล่หะแอบแฝง

O เอาแร่ประจุฝัง - - - ตละครั้งก็ทุ่มแทง
เดิมพันและแสดง - - - พจนารถะท้าทาย

O ท้าวยุธิษเฐียร - - - มนะเพียระวุ่นวาย
ทอดบาศกะหมาย - - - จะสยายสมรรถตน

O ต้องโมหะอุบาย - - - พระก็พ่ายกะเล่ห์กล
สินทรัพยะผล - - - ทุพพละจับจอง

O เวียงอินทรปรัสถ์ - - - คชะอัศวะยึดครอง
โดยเล่หะผยอง - - - เยาะและยั่วก็ได้ผล

O ตราบปาณฑพะชาติ - - - บทะทาสะครอบตน
ธรรมบุตระบน- - - - ทุระการณะผลาญเผา

O ทุกบาศกะสะกา - - - มุหะภาวะฤๅเพลา
ตราบวางนุชะเทรา- - - - ปทีเยาวะเดิมพัน

O หวังจักชนะเกา- - - - รพะเขาเพราะเมามัน
วิญญาณะกระสัน - - - ก็ถวัลยะครอบลง

O ทรงขัตติยะมา- - - - นะเพราะว่าพระลืมองค์
ทุ่มแทงเพราะประสง- - - - คะจะคืนสภาพการณ์

O เมื่อบาศกะทอด - - - ดุจะมอดชิวาลาญ
เสียรูปะสะคราญ - - - และก็บ้านและทั้งเมือง

O ทรุดองค์ธรรมะบุตร - - - มนะสุดจะแค้นเคือง
เกียรติ์ศักดิเมลือง - - - พระก็เปลื้องกะหัตถ์ตน

O เจ็บอายเพราะสะกา - - - สรรพะภาวะกอปรกล
พ่ายเล่หะกะฉล - - - ดุจะชนมะวอดวาย

O ผองเการพะชาติ - - - พจนารถะรำบาย
เรียกทาสะเพราะหมาย - - - จะเยาะเหยียดเพราะเดียดฉันท์




พระนางเทราปทีถูกเปลื้องผ้าโดยทุหะศาสันห์กลางสภา.



สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
000110101112 - - - 00102 - - - 13
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ



O เฝ้าหัวร่อสุขะรื่น ณ ผืนกมละบรร-
สารโลภะโมหัน- - - - ตะเห็น

O จึงครั้งนั้นทุรโยธนะโฉดสถุละเพ็ญ
กราดเกรี้ยวและเคี่ยวเข็น - - - วิทูร

O ไปฉุดคร่ายุวะเทราปทีดละผอูน
อกรุมผิสุมกูณฑ์ - - - กลี

O ให้ช่วยทำกิจวัตรขจัดขยะธุลี
สมภาวะทาสี - - - ประสงค์

O จึงครั้งนั้นกุธะพูนวิทูรอดุระพง-
ศาราชะกวาดผง - - - ธุลี

O โอ้หนอไยทุรโยธนะโหดมนะทวี
ก่อกรรมะย่ำยี - - - สมร

O นั้นคือชาติวรรณะขัตติยากุละบวร
ศักดิ์ไท้ไฉนรอน - - - ละลง

O โอ้นงคราญเพราะสลดกะบทขัต์ติยะวง-
ศามวละล้วนอง- - - - คะเป็น

O ร้างสิ้นแล้วดนุผู้จะรู้กมละเอ็น-
ดูนางระคางเข็ญ - - - จะขวาง

O โอ้โอหนอ-ดนุชาติ ฤ ปราศจิตะระคาง
กุมเหงนรีกลาง - - - สภา

O ล้วนนิ่งเฉยนิระที่จะมีสุขุมะวา-
ทังโทสะโกรธา - - - ระคน

O ล้วนวิญญูชนะปลอมประนอมกิติพิกล
สมรู้กะหมู่ฉล - - - ก็ชัง

O โอหนอเมื่อ..กิติชายมลาย ฤ จะประนัง
ด้วยเกียรติภายหลัง - - - ละวาย

O รุมเหยียบย่ำอิสตรีบ่มีจิตะละอาย
หาญใดนะใจชาย - - - ฤ หา

O จึงครั้งนั้นทุรโยธน์ก็โปรดกะทุหสา-
สันน้องผยองภา- - - - วะพาล

O จับชายพัสตระนรีจะคลี่สริระคราญ
ขื่นขมระทมมาน - - - จะมรณ์

O จึงรูปเยาวะอธิษฐานทิพยะวอน
อำนวยและช่วยทอน - - - ประทุษ

O จึงชายภูษิตะคลี่บ่มีระยะจะสุด
ป้องศรีสรีร์นุช - - - ฉะนั้น

O บัดดลพากยะนวละล้วนอุบัติพลัน
สาปแช่งแสดงทัณฑ์ - - - อุโฆษ

O ให้ปวงเการพะชาติพินาศกะทุรโยธน์
ด้วยภีมะเหี้ยมโหด - - - กระหาย-

O แหวกอกฉลเพราะตระหนักจะวักลุหิตะกาย
ดื่มกินลุสิ้นสาย - - - สถุล

O ฟังเถิดราสัจะเยาวะเทราปทีดรุณ
เปลื้องจิตพินิจหนุน - - - ประนาม

O จดจารเถิดทุรกรรมะทำประทุษะหยาม-
เหยียบย่ำกระทำทราม - - - ลุเข็ญ

O โอ้โอหนอวิญญูบ่รู้บทะจะเป็น-
แบบอย่างจะวางเห็น - - - ฤ หา

O โอ้โอหนอกุรุวงศ์ละมงคละประภา
เหลือนั้นทุวรรณา - - - ไฉน

O จงปวงเการพะชาติพินาศชิพิตะใน
ศึกล้างลุหิตไหล - - - เถอะรา

O บัดนั้นภีมะสะท้านเพราะมารประทุษะสา-
มานย์โฉดพิโรธภา - - - วะเพ็ญ

O โลกหล้าเอย..ผิวะฉลบ่ป่นชิพิตะเป็น
ผองบรรพชนเห็น - - - จะเคือง

O ถุยเจ้าชั่วทุศศาสน์ชิวาตมะจะเปลือง
ฉีกอกลุหิตเนือง - - - สนอง

O ร้อยชาติเการพะผู้บ่รู้ธรรมะคระลอง
ขอแหวกอุราผอง - - - ประลัย

O ดื่มกินโลหิตะฉละบนยุคะสมัย
เชือดชีวะขาดใย - - - จะยา

O ครั้งนั้นท้าวธฤตราษฎร์ประกาศยุติสะกา
คืนทรัพยะกลับภา- - - - วะเดิม

O ให้เลิกเป็นอริกันและบั่นกุธะกระเหิม
พึงหยุดประทุษเสริม - - - มุสา

O อวยพรปาณฑพะชาติประภาษะกรุณา
กลับเมืองประเทืองภา- - - - วะรมย์

O จึงครั้งนั้นทุรโยธนะและโฉดศกุณิสม-
คบเล่หะปรารม- - - - ภะหมาย-

O กำจัดปาณฑพะผองเพราะตรองกละอุบาย
เตรียมวาทะท้าทาย - - - ประการ

O ครั้งนี้หวังเฉพาะเนรเทศะทรมาน
ฝ่าฟันกะกันดาร - - - ประดา

O ตามติดปาณฑพะชาติประกาศะกติกา
ทอดบาศกะอีกครา - - - ประลอง

O ครั้งนี้ใครรณะพ่ายก็บ่ายวนะคระลอง
ผู้ชำนะครอบครอง - - - นคร

O เกินจิตยุธิษเฐียรจะเพียรยุตินิวรณ์
สุดใจจะไถ่ถอน - - - สะกา

O รับคำท้า..ทุรโยธน์ก็โปรดศกุนิพา-
บาศก์ถ่วงจะลวงวา- - - - ระเบน

O จึงต้องเล่หะประทุษะยุดชิวะกระเวน-
จรป่าวนาเกณ- - - - ฑะกรรม

O สิบสามรอบวรรษะมาสบำราศพิพิธะสัม-
ผัสทุกขะเคี่ยวกรำ - - - กริยา

O ห้าพี่น้องนุชะเทราปทีจระพนา
ถ้วนทุกขะโถมถา - - - กมล



อีทิสังฉันท์ ๒๐
010101012 - - - 10101012 - - - 103
1 = ลหุ
0,2,3 = ครุ



O ร่วมระหกระเหินเผชิญผจญ
ประจันกะทุกขะรุกระคน
ณ บนวัน

O ธรรมบุตระโศกวิโยคอนันต์
สลดเพราะจิตะคิดกระสัน
พะนันกล

O พาอนุชะยากลำบากลำบน
และเทราปทีกระเสือกกระสน
กระวนเวร

O บวงสวรรคะเพื่อจะเอื้อจะเอน
กรุณะภัตตะจัดประเคน
ละเข็ญลาญ

O จึงชนกะธัมมะเทพประทาน
วิเศษะภาชน์และภัตตะหาร
สมานชนม์

O เพื่อจะยอจะยกวิตกกมล
ขจัดระคางระหว่างผจญ
ณ หนไพร

O เพื่อประหัตะเข็ญและเย็นหทัย
จะพลีกะบทะพรตคระไล
สมัยนั้น

O เพื่อบำเพ็ญะภาวนาจะบรร-
ลุเหตุกลกุศละสรรค์
ถวัลย์เวียน

O บางสมัยะมีพระลีละเพียร
ลุฝั่งสุชลสกนธะเศียร
พระสรงสาง

O บาปะลอยละล่องกะผองระคาง
วิตกวิจารณะลาญละวาง
ณ กลางชล

O บางสมัยะมีพระลีละพน
พระพายะโหมะโจมผจญ
จะรณผอง

O ฝนนะสาดกระหน่ำก็ฉ่ำละออง
อุทกะธาระบ่าผยอง
ละล่องไหล

O ภีมะช่วยและฉุดก็รุดคระไล
พระเชษฐ์อนุชะยุดเกาะไว้
กะไพรวัลย์

O ตราบฤดูนะเปลี่ยนเพราะเวียนตะวัน
สราญและทุกขะรุกประจัน
กระชั้นชนม์

O ตราบพระกฤษณะผาดประพาสะพน
แวะมาเสมือนจะเยือนและยล
วิโยคผอง

O เยาวะเทราปทีก็ทูลสนอง
เพราะเบญจะชายนะพ่ายประลอง
สะกากล

O ปล่อยสถุละโฉดประโมทย์กมล
กระทำกลีจะคลี่สกน-
ธะป่นโฉม

O จึงพระกฤษณะมอบคำปลอบประโลม
สงบนะเยาว์บ่เศร้าบ่โทม-
ะนัสใจ

O ตราบลุกาละครบประจบสมัย
ระหกระเหินเผชิญกะภัย
นะสิ้นลง

O คืนนคระแล้วนะแก้วอนงค์
จะถึงสมัยะฉลจะปลง
ชิวาลาญ

O ด้วยกระหายะจุดประยุทธการณ์
จะดละผองนะต้องประหาร
ณ กาลนั้น

O ภรรยาจะโศกวิโยคอนันต์
จะคอยคระหวนและครวญประหวั่น
กะบรรลัย

O จึงสมัยะนั้นจะบรรลุชัย
สถาปนาพระยศะไกร
ณ ใจเมือง

O หัสดินบุรีจะปีติเนือง
จะร่วมฉลองและปองประเทือง
สโมสร

O จึงถวัลยะที่พระศรีนคร
พระราชินีพระเกียรติ์ขจร
ระบือไกล

O จบทำนายประโยคพิโยคะใด
ก็สูญสลายมลายละใจ
ณ บัดดล

O ครั้นพระกฤษณะลับลำดับกมล-
สมระจึงคะนึงยุบล
อดีตกาล

O หมองหทัยะเป็นเพราะเข็ญะนาน
ประดาภิรมยะบ่มสราญ
ก็ผ่านหาย

O เคยรึนอนกะดินรึกินกะทราย
อุสุมะผ่านก็ซ่านกระหาย
สุหร่ายสรง

O ในพนาก็แค่จะแช่พระอง-
คะรื่นอำนวยกะห้วยและหง-
สะปวงนั้น

O ส่องพระพักตร์ก็ร้างระหว่างอรัญ
อุทกะเรียบจะเปรียบจะปัน
ผิว์คันฉาย

O กังสดาละก้องเพราะพร้องมลาย
สุโนกะศัพทะขับสยาย
ขจายเสียง

O กบและเขียดนะร้องเพราะพร้องก็เพียง-
จะกล่อมสุบินและจินตะเคียง
พนาไพร

O ม่านและมุ้งจะกางอำพรางก็ไร้
แมลงและยุงก็มุ่งเจาะไช
ณ ราตรี

O ปวงพระเครื่องเสวยะเคยจะมี-
ประดิดประดอย..ก็พลอยผละหนี
ฤ มีเห็น

O เลิศะรสะโภชน์ประโมทยะเพ็ญ
ประคองถวายก็วายก็เว้น
ณ ยามนี้

O เหลือก็ผลไม้ ณ ไพรจะมี
สำหรับจะมุ่งอำรุงพระชี-
วะชนม์คง

O พรมะทอดจรดพระบทะบงสุ์
ตลอดดำเนินก็เพลินพระองค์
สราญใจ

O ชัฏพนานะกรวดและทราย..ไฉน-
จะเรียบผิว์พรมะลาด ณ ใน-
บุรีหนอ

O บาปะกรรมะเวรรึเบนพะนอ
พระธรรมะบุตระสุดละออ
อนาถมอง

O เช่นกะศูทระชน ณ บนคระลอง
ระหกระเหินเผชิญสนอง
ประทุษการณ์

O เหตุไฉนนะยอมประนอมกะพาล
ลำบากลำบนและทนสมาน
กะการณ์ฉล

O ดูเถอะองคะธรรมะช้ำพระชน-
มะต่อกะทรมานะบน-
อุเบกขา

O เงียบสงบก็ล้วนกระบวนกริยา
ประดุจพิโรธ..ประโมทย์ละลา
อุราองค์

O เมื่อพระล่วงพิสัยะนัยอนงค์
วิตกวิจารณะคราญพะวง
พระทรงแจง

O โทสะโกรธะนี้นะมีแถลง
ประดุจะบาปะหยาบนะแฝง
และฝังคา

O โกรธะในกมลระคนมุสา
ประหนึ่งพิถีธุลีประดา
ประดังนัยน์

O วิปริตะมองจะปองคระไล
จะผิดจะพลาดอนาถะใน
พิสัยชน

O โกรธะเมื่อแตะต้องจะหมองกมล
สมรรถะทุกข์จะคลุกระคน
กระวนวัน

O ชนะผู้ฉลาดจะปราศะมัน
ประทุษะโทษะโฉดจะบรร-
ลุอันตรธาน

O เยาวะเอยอภัยะคือประการ
พิสัยะผู้จะรู้ผสาน
สราญชนม์

O ฟังประโยคะชี้พิถีพิมล
ประการะความก็ลามฉงน
กมลศรี

O คุณะส่วนประพฤติยึดจะมี
จะป้องก็บาปะหยาบกลี
พิถีพาล

O ดูเถอะฉละสุขสนุกสนาน
เพราะเสียงสดับและสรรพะการณ์
สราญขวัญ

O เราระหกระเหินเผชิญประจัน
กะทุกขะยากลำบากจะบรร-
ลุบรรลัย

O ฤทธิเทพะปวง ฤ ล่วงไฉน
สนองสราญกะพาลพิสัย
ณ ในยาม

O ธรรมะต้องผจญผจัญกะทราม
จะนั่งจะนอนก็ร้อนละลาม
อนาถใจ

O โอ - อนิจจะเยาวะเจ้าไฉน
พจีประการะปานจะไร้
พิสัยควร

O คุณะศีลธรรมเพาะกรรมะมวล
ประกอบมนัสะอุบัติกระบวน
จะล้วนงาม

O โมหะโทสะผู้บ่รู้จะปราม
กมละหมกวิตกะลาม
ฤ ห้ามไหว

O ชนะผู้กระทำอธรรมะใน-
จริตะยอมประนอมกะไฟ
และไอร้อน-

O นั้นจะคลุกกะบาปะตราบจะมรณ์
ประทุษะทัณฑ์กระชั้นและชอน
บ่ผ่อนปลง

O โทษะเวระก่อจะต่อประสง-
คะพาระคนกะฉลดรง-
คะบงการ

O เยาวะเทราปทีพจีบ่ดาล
ติเทพะปวง ณ สรวงพิมาน
นะคราญ-ครวญ

O จึงพจีอุบัติระบัดกระบวน
ประโยคะเยาวะเฝ้ากระหวน
และทวนคำ

O เชื่อเถอะปวงบุรุษประยุทธะกรรม
ณรงคะล้วนนะควรกระทำ
และทดแทน

O ชาติบุรุษะควรจะครวญกะแผน
ทะแกล้วจะรณะพละแสน-
ยะพร้อมเพรียง

O ภีมะพ้องก็เสริมกระเหิมสำเนียง
ประนังระคนยุบละเพียง
จะเคียงคราญ

O หนุนพระเชษฐะจุดประยุทธการ
ประกอบพระบารมีสะท้าน-
สะเทือนดิน

O อันณรงคะเพื่อจะเอื้ออริน-
ทระปวงลุคาบสำหรับจะภิน-
ทนาชนม์

O ธรรมะบุตระเศร้าระเร้ากมล
ประนุชและน้องบ่พ้องยุบล
ระบิลความ

O ร้าวฤดีจะแจงแถลงกะทราม-
สงวนและภีมะครวญะตาม
ก็เงียบไป


จบ .. ภาค ๕-๖




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552
75 comments
Last Update : 30 มกราคม 2564 7:22:07 น.
Counter : 3226 Pageviews.

 

จะเข้ามาติดตามการอัพเดทเรื่อย ๆ นะ

เพลงเพราะมากจ้า

 

โดย: Art Is Me 17 กุมภาพันธ์ 2552 20:13:18 น.  

 

โอ้โห เพลงทำนองแบบนี้ เข้ากับเรื่องราวเสียจริงเชียว
แถม อ่านไป ก็เปิดพจนานุกรมไปด้วยค่ะ

 

โดย: medkhanun 18 กุมภาพันธ์ 2552 10:38:49 น.  

 

สวัสดีครับ คุณสดายุ

ผมเพิ่งมีโอกาสเข้ามาคุยเป็นครั้งแรกในปีนี้ครับ ตั้งแต่บล็อกของคุณกำหนดให้ต้องใส่รหัสส่งข้อความ ผมก็จำเป็นต้องอาศัยคนตาดีช่วยดูให้ จึงเงียบหายไป ไม่ได้เข้ามา แต่ระลึกถึงคุณเสมอครับผม

ไหนๆเข้ามาแล้ว ถือโอกาสคุยยาวเลยครับ พ.ศ. ๒๕๕๒ นี่ ผมถือเป็นปีแห่งการแสวงหาความรู้ให้ตนเองครับ ถือมติ “อยากได้ความรู้ที่ไหน ต้องไปที่นั่น” วิธีค้นหาจากอินเตอร์เน็ต ช้าเกินไป ซ้ำข้อมูลบางอย่างก็คร่าวเต็มที ฉะนั้น ผมจึงเดินทางด้วยตนเองครับ

เดือนมกราคม ผมเดินทางไปวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ๒ ครั้งครับ ผลสำเร็จคือ ได้ดีวีดีคอนเสิร์ตเพลงของ “ท่านจิตร ภูมิศักดิ์” ซึ่งทางวิทยาลัยเขาจัดขึ้นปลายเดือนตุลาคมปีก่อนมานั่งฟังเรียบร้อย ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ความกระหาย ชักพาผมไปธรรมศาสตร์อีก นับเป็นการเดินทางคนเดียวที่ผมประทับใจ ถึงกับเขียนบันทึกชิ้นหนึ่งขึ้นมา ให้ชื่อว่า “ดั้นด้นไปแดนโดม” เนื้อหาดังนี้ครับ

ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านครับ ผมมีสมมุติฐานอยู่ประการหนึ่งซึ่งท่องเอาไว้ในใจนานแล้ว นั่นคือ “อยากรู้เรื่องเดือนตุลา ต้องค้นหาที่ธรรมศาสตร์” เพราะที่นั่น อาบเลือดมาแล้ว ทั้ง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ทว่าในช่วงระยะเวลาสองสามปีก่อน ผมมิมีโอกาสเดินทางไปแดนโดมสักที ได้แต่ผัดนั่นผัดนี่อยู่นั่นแหละ กระทั่งความหิวกระหายวิชาพุ่งปรี๊ดถึงขีดสุด ฉุดผมไปจนได้

ครับ ผมเดินทางไปธรรมศาสตร์คนเดียววันนี้เอง (๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒) ออกจะบ้าบิ่นอยู่สักหน่อย สำหรับคนตาบอดอย่างผม ซึ่งมิค่อยจะได้ฉายเดี่ยวบ่อยนัก ปกติ ญาติผู้ใหญ่ท่านพาไปเสมอครับ คราวนี้ไปโดยไม่แจ้งแก่ท่านล่วงหน้าก่อน บอกกับตนเอง เอาวะ ถูกด่าก็ยอม ขอให้ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้ก็แล้วกัน

ผมออกจากสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย (ตรงซอยบุญอยู่ ถนนดินแดงครับ) เวลาประมาณเก้าโมงเช้ากว่าๆ ขอร้องพี่คนขับมอเตอร์ไซก์รับจ้างให้ช่วยไปส่งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พี่เขาใจดี ยืนรอรถเมลล์เป็นเพื่อนตั้งครึ่งชั่วโมงเศษ แต่อันเนื่องมาจากยังมีภารกิจ พี่เขาจึงขอตัวเมื่อเวลาประมาณเก้าโมงสี่สิบนาที ผมนั่งรอรถอยู่อีกสักพัก พบผู้การุณย์เอื้อเฟื้อ พาขึ้นรถ ปอ. สาย ๕๙ นั่งไปลงท่าพระจันทร์ แล้วเดินต่อไปไม่นานก็ถึงครับ “แหล่งศึกษาร่มเย็นเด่นริมสายชล เราทุกคนรักดุจหัวใจ”

ผมยังมั่นใจเสมอครับ ว่า “เมืองไทย น้ำใจไม่เคยจน” ที่นั่น นักศึกษาสาว (หัวใจสวย) คนหนึ่ง จูงผมจากหน้าประตูทางเข้า นำเดินไปจนถึงจุดหมาย “หอสมุดท่านปรีดีพนมยง”

ผมแจ้งความจำนงกับพี่บรรณารักษ์ ขอยืมหนังสือชื่อ “ตุลากาล” อันจัดพิมพ์ขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ ๒๐ ปี ๖ ตุลา ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ พี่บรรณารักษ์ค้นข้อมูลสักประเดี๋ยวก็บอกผมว่า หนังสือนั้น ที่หอสมุดท่านปรีดีมีอยู่ แต่ถูกยืมไป กระนั้นก็ยังมีอีกเล่มหนึ่ง อยู่ ณ “หอสมุดอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์” ซ้ำถามผม รอได้ไหม ถ้าจะทำสำเนา จะโทรศัพท์ไปทางที่นั่น ขอยืมมาให้ก่อนแล้วส่งคืนกลับภายหลัง ผมตัดสินใจรอครับ แหม โชคทองมาถึง ไม่รอก็แปลกหละ

กว่าหนังสือจะถูกส่งมาจากรังสิตถึงท่าพระจันทร์ก็ราวๆบ่ายโมงกว่า วิธีรอของผม คือไปนั่งอยู่กับนักศึกษา (หัวใจงาม) ปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ผู้ซึ่งผมทราบเพียงชื่อเล่นว่า “อ้อม” (ถ้าได้ยินผิดก็ขออภัยด้วยครับ) เธอทำรายงาน ผมนั่งเข้าภวังค์ นานๆทีก็ถามเธอสักประโยคสองประโยค กระทั่งเที่ยงสิบนาทีเห็นจะได้ เธอจึงพาผมไปหาเสบียงใส่ท้อง ผมตะกระให้เธอเห็นเสียด้วยสิครับ ช่วยไม่ได้ ก็มันหิวนี่นา ข้าวแกงหนึ่งจาน (กับ ๓ อย่าง คือ ไข่พะโล้, แกงเนื้อ, ไก่ทอด) บวกข้าวมันไก่อีกจาน น้ำเปล่าอีกขวด (ดูมันยัด) อิ่มสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับมารอที่เดิม

ตอนนี้เอง ผมนึกอยากเขียนอะไรถึงธรรมศาสตร์สักบทหนึ่ง จึงหยิบอุปกรณ์การเขียนอักษรเบรลล์ขึ้นมา แล้วลงมือ ในช่วงเวลาอันจำกัด ข้อความจึงบกพร่อง ผมต้องกลับมาแก้ไขเพิ่มเติมวันรุ่งขึ้น ก็ได้เนื้อหาดังนี้ครับ

“บูชาชูเชิดเชื้อ...............วีรชน
เพียรเพื่อภพสบผล...............สิทธิ์แผ้ว
ยัง “ธรรมศาสตร์” มณฑล...............ธรรมสถิต
บรรลุแดนโดมแล้ว...............ระลึกล้วนความหลัง

โดมยังหยัดเด่นย้ำ...............ดูยง
เรืองเขตนาครคง...............คู่หล้า
”ธรรมศาสตร์” เทิดธรรมประสงค์...............ไทยประสบ-
ยุคถ่องทองทอท้า...............ถ่อยท้นภูมิไทย

ครรไลโลกรุดแล้...............ครรลอง
ยังมืดมัวมนหมอง...............มิ่งด้าว
สองพวกซุ่มพลผอง...............เพียรเศิก
อกราษฎร์ยังอกร้าว...............เอ่ยร้องรำพัน

ขอธรรม์ธรรมศาสตร์เที้ยร...............ผดุงธรรม
ทอแจ่มทุกใจประจำ...............ประจักษ์แจ้ง
หวังเสกอิสระสัม-...............ฤทธิ์สืบ
หวังเลิศเลอฤาแล้ง...............แหล่งแคว้นโดมขลัง”

(๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒)

และแล้ว พี่บรรณารักษ์ก็กลับมา ผมได้สำเนาบทกวีจากหนังสือ “ตุลากาล” สมใจครับ แถม “ความเปลี่ยนแปลง” มหากาพย์นิพนธ์ของ “ท่านอัสนี พลจันทร” อีกหนึ่งชุด แต่พอจะจ่ายเงิน พี่บรรณารักษ์บอกไม่ต้อง เพียงไม่กี่สิบบาทเอง จ่ายให้เรียบร้อยแล้ว ผมอึ้งครับ เซ้าซี้เท่าไรพี่ท่านก็ไม่รับเงิน โอ้...! ใจดีจริงๆ มิหนำ พอผมลากลับ ยังได้รับความกรุณาจากเจ้าหน้าที่ชายอีกท่านหนึ่งเดินมาส่งขึ้นรถ ปอ. สาย๕๙ กลับมาลงอนุสาวรีย์ จากนั้น ต่อรถเมลล์ สาย ๑๒ มาลงสามเหลี่ยมดินแดง ก่อนจะขึ้นมอเตอร์ไซก์เข้าสมาคมฯ เป็นอันจบการเดินทางครับ

นี่คงมิใช่ครั้งแรกสำหรับผม เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า วันที่ ๖ ตุลาคม แหละ ๑๔ ตุลาคม ปีนี้ จะไปเยือนมหาวิทยาลัยแห่งวีรชนอีก ถึงเวลานั้น คงได้ประสบการณ์เพิ่มพูนอีกอักโข แต่เพียงเท่านี้ ก็นับว่า กำไรชีวิตแล้วครับผม

(๑๑ ถึง ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒)

หมายเหตุ

“แหล่งศึกษาร่มเย็นเด่นริมสายชล เราทุกคนรักดุจหัวใจ” คือข้อความจากเพลงพระราชนิพนธ์ “ยูงทอง” เพลงประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานทำนองไว้ ณ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๖ ประพันธ์คำร้องถวายโดย “ท่านจำนง ราชกิจ” ครับผม

คราวนี้ ขออนุญาตคุยเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง” ของ “ท่านอัสนี พลจันทร” บ้างครับ ในบรรดาเนื้อหาทั้งหมด ๓ ภาค ผมโปรดปรานภาค ๓ มากที่สุด เพราะเนื้อหาหนักหน่วงยิ่ง แต่กวีท่านซ่อนความด้วยศัพท์แสง หาก เมื่อถอดความออกมาแล้ว “โอ้.....ขนลุกขนพอง” ครับ ได้สัมผัสถึง “ฉบังอลังการ” ขั้นจอมกาพยายุทธ์ อันยากนักจักหาใครเทียม

“สามัญชั้นชนอับเฉา
เพียงท่านผู้เพรา
ในอานุภาพอำไพ

แสนแสนสุขเกษมผ่องใส
ว่าแม้เมืองไทย
คือทิพยโลกฤาปาน

บมิต้องทำการทำงาน
ชี้นิ้วบมินาน
ที่นึกนิยมสมถวิล

เหนื่อยยากอย่างไรฤายิน
นั่งกินนอนกิน
ประกอบแต่กามารมณ์

บมิรู้รันทดรันทม
มักมากโสมม
ลามกบมีใดเสมอ

กินของสดคาวหาวเรอ
ปากแบะแสยะเหยอ
แลเลือดก็แปมแก้มคาง

ผิวหัวเราะคือเสียงคราง
กลิ่นหยาบสาบสาง
แลกายมีน้ำเหลืองไหล

หีนชาติชั่วหยาบบาปใจ
โหดร้ายจัญไร
แต่ขี้นั้นขึ้นหัวขมอง

ซีกหนึ่งนั้นคือเจ้าครอง-
ที่ดินดูสยอง
อีกซีกหนึ่งค้าความตาย

แลมันนั้นมีผีพราย
แปลงเป็นหมาหมาย
มาวิ่งระเวียนเหียนหัน

ไล่ขบเนื้อในไพรสัณฑ์
ให้นายแข็งขัน
แลเขี้ยวก็เลือดไหลหลาม

ร้ายแสนแล่นร้องคำราม
แสยะเขี้ยวคุกคาม
คือหมานรกฤาปาน

ทิ้งกระดูกให้แทะเป็นทาน
จึงมันหมอบกราน
กระหลับกระหลอกเลียขา

ทรลักษณ์ก้าวร้าวชาวประชา
อมนุษย์แลหมา
คือสองอมิตรสามานย์

สองมันกำเริบเสิบสาน
ทั่วทั้งไทยดาล
ตระดกประดาษบมิดี

ลำเค็ญยากแค้นแสนทวี
จะนิ่งฤาจะหนี
ก็ยิ่งจะหนักทำไฉน

ผิวสามัคคีคนไทย
เข้าช่วงชิงชัย
ก็จักชำนะแน่นอน ฯลฯ”

(ผมพิมพ์จากความทรงจำโดยมิมีสมุดอักษรเบรลล์คลำอ่านประกอบ หากผิดพลาด ขออภัยคุณสดายุด้วยครับ)

ผมมิขอกล่าวถึงความคิดของตนเมื่ออ่านกาพย์ช่วงนี้นะครับ เพราะเท่าที่พิมพ์นี่ก็หมิ่นเหม่เต็มทีแล้ว เอาเป็นว่า ชั้นเชิงของ “ท่านอัสนี พลจันทร” น่าศึกษาเหลือเกิน น่าเสียดายที่คนกล่าวถึงท่านน้อยกว่า “ท่านจิตร ภูมิศักดิ์” ทั้งๆท่านเริ่มงานเพื่อชีวิตก่อน อาจเป็นเพราะประวัติของท่านอัสนี ไม่โลดโผนเหมือนท่านจิตร (คือต่อสู้อำนาจรัฐ จนถูกคนของรัฐเก็บ) หรืออาจเป็นเพราะท่านอัสนี เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของ พคท. อย่างหนักก็เป็นได้ หรือประวัติชีวิตของท่านช่วงอยู่ในลาวจะยังขาดตอนรวบรวมปะติดปะต่อไม่จบก็สุดรู้ ผมรู้สึกอย่างเดียวนั่นคือ เสียดาย อย่างที่ได้กล่าวแล้วนั่นแหละครับ

คุยกับคุณสดายุเท่านี้ก่อนครับ โอกาสหน้า หากมีคนตาดีดูรหัสให้กรอก ก็จะเขียนมาคุยอีกครับผม

ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

ชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณ

 

โดย: ตราชู IP: 203.156.141.26 18 กุมภาพันธ์ 2552 14:37:56 น.  

 

art is me...
สวัสดีครับ
ครับเพลงนี้...เพราะจริงๆ
ผมชอบกว่าทุกเพลงที่เปิดใน มหาภารตะยุทธ

อย่างไรเสียก็แวะมาอ่านเอานะครับ
เพราะคงเขียนได้ไม่เร็วนัก

ศัพท์แสงหากไม่รู้ก็ - - - คลิกที่ลิงค์
ขวามือด้านล่าง
....พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน...









เม็ดขนุน....
ดีค่ะ...อ่านไปเปิดหาคำไป
อิๆๆ...อีกหน่อยก็จะได้ศัพท์เยอะขึ้น
พี่ไม่ได้เอาคำนอกพจนานุกรมมาใช้เลยนะ...
สาบาน...อิๆๆ

 

โดย: สดายุ IP: 58.137.10.34 18 กุมภาพันธ์ 2552 16:57:09 น.  

 

ไหนๆ ท่านก็เขียนมหาภารตะยุทธจนเครื่องร้อนแล้ว...
เดี๋ยวเรื่องนี้จบ - ต่อด้วยรามายณะคำฉันท์เลยดีไหมครับ?

อิอิ

 

โดย: ศารทูล IP: 113.53.6.228 18 กุมภาพันธ์ 2552 20:12:32 น.  

 

ตราชู....

สวัสดีครับ
ยินดีครับที่แวะมาอีก...

อ่านที่เล่ามา..ต้องขอชมว่าตราชูมีจิตใจ
มุ่งมั่นดีมาก...เหนือคนตาดีทั่วไป...
ใจที่มุ่งมั่นนี้เอง..ทำให้เกิดพัฒนาการ

หลังๆผมจึงไม่ค่อยเห็นตราชูโพสต์กลอน
ใน ไทยโพเอมมากนัก...เหมือนกำลังจะ
มีพัฒนาการใหม่ๆทางความคิด...

ตรงนั้น...หากใครเอาแต่สนุกหยอกหัวไปวันๆ
เขียนกลอนเป็นสิบปี...ก็เอาดีไม่ได้
เพราะเขาไม่คิดจะทำให้มันดี...

งานของนายผี..ทั้งสองเล่ม
คือ...ชะนะแล้วแม่จ๋า...
กับ...ความเปลี่ยนแปลง...
ผมมีอยู่ทั้งสองเล่ม...หากบุญชูอ่านได้
ก็จะถ่ายเอกสารส่งไปให้...
ทิ้งที่อยู่ไว้ให้ผมละกัน

ชะนะแล้วแม่จ๋า...เขียนด้วยสัททุลวิกกีฬิตฉันท์
ในตอนแรก...แล้วต่อด้วยกาพย์ยานีลีลาเทพ
ในตอนสอง...และฉบัง16 ในตอนจบ

ความเปลี่ยนแปลง...เขียนด้วยยานี สลับฉบัง

บังเอิญโชคดีไปเจอในร้านหนังสือเช่า
เลยแอบ สำเนาไว้


โดยส่วนตัวผมแล้ว
ไม่ชอบงานของจิตร ภูมิศักดิ์ สักเท่าไร
ผมชอบงาน...นายผี...มากกว่า...

อัสนี พลจันทร์ คือ หนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ออกจากป่า
แต่กลับเดินทางลึกเข้าไปในลาว...เมื่อป่าแตก
ด้วยคำสั่งนายกฯที่ 66/25 และ 65/23
และเสียชีวิตในที่สุด...หลังจากรจนา
บทเพลง.."คิดถึงบ้าน" หรือ "เดือนเพ็ญ"
อันโด่งดัง....

และคนประดาที่ออกมาจากป่าครั้งนั้นเราก็เรียก
คนเดือนตุลา...มีทั้งในส่วนเสื้อเหลือง..ทั้งเสื้อแดง
.
.
.

ตราชู...ไปพบเจอน้ำใจคนมาคงจะรับรู้ได้
ว่า...สตรีเพศนั้นมักมีเมตตาเสมอและมักพบได้ง่าย
กว่าบุรุษ...แม้แต่ในรถเมล์ที่จะลุกให้เด็ก
หรือ คนแก่นั่ง ก็จะเห็นผู้หญิง มากกว่า ผู้ชาย

ธรรมศาสตร์...ผมเองก็ไปบ่อย..หมายถึงที่ท่า
พระจันทร์..แต่ไปแล้วมักเสียสมาธิ...เขียนอะไร
ไม่ค่อยได้หรอก...นี่คือโทษของคนตาดี
เมื่อสบรูปที่พึงใจ...ก็จะขาดสมาธิเสมอ...
อิๆ.....

จะยินดีมาก
หากแวะมาอีก.........

 

โดย: สดายุ... 19 กุมภาพันธ์ 2552 6:48:44 น.  

 

ศารทูล...
รามารยณะมีแล้วทั้งกลอน
ทั้งโคลง...การเขียนฉันท์แช่นานเป็นเดือน
เดี๋ยวคนก็เบื่อไม่มาอ่านกันเท่านั้นเอง

เดี๋ยวนี้ไม่เขียนใน Thaipoem แล้เหรอ
ไม่ค่อยเห็น

 

โดย: สดายุ (สดายุ... ) 19 กุมภาพันธ์ 2552 16:48:17 น.  

 

สวัสดีคะ..แม่เอื้องตามมาอ่าน..
คุณสดายุสุดยอดเลย..ตอนเป็นเด็กๆ..ตกภาษาไทย
การเขียนรูปแบบฉันทลักษณ์แทบจะไม่รู้เรื่องเลย..แต่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ.พอใจในอรรถรสที่เขาเขียนมากกว่า..จะหัดเขียนกลอนเมื่อ2-3ปี กับเพื่อนในnetนี้เอง

แม่เอื้องติดตามการเขียนของคุณก่อนเข้ามาเขียนบล็อก Oknation รู้สึกทึ่งเทคนิคในการเขียน...และได้เข้ามาอ่านรูปแบบฉันทลักษณ์..ถ่านทอดการเขียนมหาภารตะ..เป็นเรื่องที่หายากมาก..โดยเฉพาะเพลงที่นำมาประกอบเป้นเพลงที่ไพเราะหากคนไม่รุ้จักเพลงจะหามาลงไม่ได้...แม่เอื้องทึ่งค่ะ..คุณเป็นคีตกวีจริงๆ..

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมบล็อกแม่เอื้อง ขอadd เป็นเพื่อน
ด้วยนะคะ

 

โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.37.166 21 กุมภาพันธ์ 2552 15:45:50 น.  

 

สวัสดีครับแม่เอื้อง...
ยินดีมากครับที่แวะมาอีก...

เรื่องหัดเขียนกลอน..
เรื่องเวลาไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ...
หากว่าได้เขียนบ่อยๆ..ปีเดียวก็ชำนาญ
แล้วล่ะครับ

สมัยวัยรุ่น..ผมไม่เคยสนใจร้อยกรองเลย
เคยเขียนเหมือนกัน...นิราศประตูน้ำ
จากบ้านแถวบางนา...ไปตามเส้นทางสุขุมวิท
ตอนนั้นเรียนมัธยมต้นอยู่...
จนวันนี้เหลือติดหัวอยู่บทเดียว...

๐ ผ่านท้องฟ้าจำลองต้องเหลียวหลัง
นึกถึงครั้งมาดูดาวเมื่อคราวก่อน
จากวันนั้นถึงวันนี้ที่จากจร
ไม่ได้ย้อนมาเยือนเหมือนอยู่ไกล

ผมเองเพิ่งมาเขียนในเวปราวๆปี..2002
นับมาถึงปัจจุบันก็หลายปีอยู่
แต่เขียนมาต่อเนื่องไม่เคยร้างหายไป

มันดีกว่าการวาดรูป..ที่ดูเห็นอยู่คนเดียว
ที่เคยทำมาก่อนยามว่าง...ผมชอบวาดรูป
ด้วยดินสอ 2B บนกระดาษปอนด์

ส่วนเรื่องเพลงประกอบ...ภาพประกอบ...
น้องนาง..เพรงพเยีย..เขามีน้ำใจส่งมาให้ครับ
รวมทั้ง CD เรื่องเล่ามหาภารตะยุทธของ
คุณ วีระ ธีรภัทร...อีก 2 อัลบัมใหญ่ๆ

ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว
ขอขอบคุณน้องนางไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ลำพังผมแค่เอา file .wma ไปฝากเวปเพลงได้
เท่านั้น...อิๆๆ

เหลืออีกเพลงเดียว...
แต่มีอีกหลายบท...เสียดายจริงถ้ามีกระทู้ละเพลง
ไม่ซ้ำกันจะดีมากเลย...

ยินดีที่แวะมานะครับแม่เอื้อง...

 

โดย: สดายุ... 21 กุมภาพันธ์ 2552 21:30:45 น.  

 

"๐ ผ่านท้องฟ้าจำลองต้องเหลียวหลัง
นึกถึงครั้งมาดูดาวเมื่อคราวก่อน
จากวันนั้นถึงวันนี้ที่จากจร
ไม่ได้ย้อนมาเยือนเหมือนอยู่ไกล"

โอ้โฮ....
ให้อารมณ์นิราศจริงๆ ครับ
โดยเฉพาะบาทที่ 2...
"จากวันนั้นถึงวันนี้ที่จากจร ไม่ได้ย้อนมาเยือนเหมือนอยู่ไกล"
ขนาดแต่งตอน ม.ต้น นะครับเนี่ีย
(จำบทนี้ได้บทเดียวนี่...เป็น "วรรคทอง" หรือเปล่าครับ)

เสียดายที่ผมไปหมกมุ่นกับฉันท์เกินไปหน่อย
จนถึงบัดนี้ พอถูกบังคับให้เขียนกลอน
ก็มักจะทำทำนองเพี้ยนเสียอย่างนั้น
(ที่ว่าถูกบังคับนี่ ส่วนใหญ่ มักจะโดยเพื่อนๆ ครับ...
เวลามีงานสำคัญๆ... อย่างปีใหม่ ลอยกระทง
ดูเหมือนพวกเขาคิดกันไปเองว่า อะไรก็ตามที่มีคำสัมผัสผมแต่งเก่งหมด)

ผมก็จะพยายามต่อรอง ขอเอาเป็นกาพย์ยานี
เพราะง่ายดี แถมคล้ายอินทรวิเชียร อันนี้ไม่หลงทำนองแน่ๆ
(คิดในใจว่า ถ้าคนสั่งเห็นเป็นของง่าย แต่งไปแล้วไม่พอใจ
จะยัดวสันตดิลกซะเลย...มาบังคับเขาแต่งแล้วยังเรื่องมากอีก...อิอิ)

 

โดย: ศารทูล IP: 125.25.70.53 22 กุมภาพันธ์ 2552 9:11:47 น.  

 

กราบสวัสดีครับพี่....กรุณาช่วยโปรดเเปลนิราศนรินทร์บทที่ 45 ให้หน่อยได้ไหม...ถ้าได้ขขขอบพระคุณมา ณ โอกาศนี้ครับ

 

โดย: jam0875742309@gmail.com IP: 117.47.94.168 22 กุมภาพันธ์ 2552 12:54:56 น.  

 



สวัสดีค่ะ พี่กาย

ตามมา Print ไปอ่านเช่นเคยค่ะ
นกเหมือนคุณเม็ดขนุนค่ะ
อ่านไป เปิดคำแปลไป สนุกดีค่ะ
ได้รู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย

พี่กายสบายดีนะคะ
ตอนนี้ระยองเริ่มร้อนขึ้น
แต่สองวันก่อน ฝนตกมากมาย
อากาศแปลกๆ นะคะ
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ พี่กาย


 

โดย: ดวงใจพ่อ (Nok_Noah ) 22 กุมภาพันธ์ 2552 19:29:01 น.  

 

ศารทูล...
ในความเห็นส่วนตัวของผม...
เป็นมวย..ต้องครบเครื่อง..อย่าลำเอียง..อิๆๆ

จังหวะกลอนแปดมันง่ายสุดแล้ว
เพราะข้อบังคับมีแค่สัมผัสสระอย่างเดียว
123 45 678
ไม่ต้องมีสัมผัสในเลยก็ได้..ไม่ผิด
แต่ไม่เสนาะหูเท่านั้นเอง
ผมเลยใช้วิธี...เขียน 5 คำแรกตามสบาย
และกำหนดให้ตัวที่ 7 สัมผัสตัวที่ 5 พอ
หรือใครนึกคำไม่ออก เอาตัวที่ 6 สัมผัส 5
ก็ได้เป็นสัมผัสชิด

.
.
เสียงท้ายวรรคสอง
จัตวา..นิยมที่สุด โดยเฉพาะกลอนรักจะหวาน
ถ้าลงเสียงจัตวาที่ท้ายวรรค 2
โท..นิยมรองลงมา
เอก..นิยมรองลงมาอีก
ตรี..สำหรับบทที่ต้องการหักมุมไม่ให้กลอน
มันเรื่อยเฉื่อยเกินไปนัก

ตัวอย่างลงท้ายบทด้วยเสียงตรี.......
...
ชั่วเหยี่ยวกระหยับปีกกลางเปลวแดด...(สังเกตุเห็นว่าไม่มีสัมผัสในเลย)
ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา....(นี่ก็ไม่มีสัมผัสใน..แต่เล่นสัมผัสอักษร ผ-พ)
พอใบไม้ไหวพลิกริกริกมา
ก็รู้ว่าวันนี้มีลมวก...(วก..เสียงตรี)

เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก...(จก..เสียงเอก)
เพียงแววตาคู่นั้นหวั่นสะทก...(ทก..เสียงตรี)
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ...(อก..เสียงเอก)
........เพียงความเคลื่อนไหว
........เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์
..
ใครลง...สามัญ..ท้ายวรรค 2 แปลว่า
เขียนกลอนไม่เป็น....จงโปรดทราบ


เสียงท้ายวรรค 3 ต้องสามัญ
หรือ เสียงเอก..หากท้ายวรรค 2 เป็นตรี
ใครลง...เอก...ขณะที่ท้ายวรรค 2 เป็นจัตวา
ท่านว่า เขียนกลอนไม่เป็นเช่นกัน
.
.
และหากใช้คำครึ่ง..ให้นับเป็นคำเดียวเสีย
กลอนจะสบัดสะบิ้งขึ้น
อย่างบทที่ยกมา..คำครึ่งก็พวก…
กระหยับ...กระเพื่อม...สะทก

ง่ายที่สุดแล้ว
คนเลยเขียนกันแต่กลอน




Jam
เลื่อนขึ้นไปบนสุด..ด้าน..ซ้ายมือ..จะเห็นรายการ ใน Group Blog
ที่ ..วรรณกรรม..จากอดีต...คลิกเข้าไป
แล้วเลื่อนลงมาที่ใต้ปฏิทิน...ตรง...All Blogs
จะเห็นรายการทั้งหมดในบล็อคนี้ (คือวรรณกรรม..จากอดีต)
และมีนิราศนรินทร์พร้อมคำแปล..๑-๔
คลิกหาเอาว่าบทนั้นควรอยู่ประมาณไหน





นก...
คนตั้งใจอ่านก็ไม่ยากหรอก...
คนขี้เกียจ..ก็ให้ไปอ่านที่มันง่ายๆ...ไม่ต้องเปิดหาคำ...
ในพวกกลอน...นิราศเรื่องยาวเอา...อิๆๆ

พี่สบายดี...
เขียนไป..ฟังไป...อ่านไป...ม่วนหลายๆ
เขียนฉันท์ที่ชาวบ้านแหยงกัน...แล้วมันรู้สึกท้าทาย
พี่เป็นคนแบบนี้...นก

งานชุดนี้คาดว่าจะมีคนขโมยอีกแน่นอน...
แต่อ่านปุ๊บจะรู้เลยว่าพี่เขียน...คราวนี้แสดงความเป็นเจ้าของ
ด้วยลีลาในเนื้องานเลย...จะคอยดูมันมาเอาไป

 

โดย: สดายุ IP: 58.137.10.34 23 กุมภาพันธ์ 2552 8:50:28 น.  

 

"งานชุดนี้คาดว่าจะมีคนขโมยอีกแน่นอน...
แต่อ่านปุ๊บจะรู้เลยว่าพี่เขียน...คราวนี้แสดงความเป็นเจ้าของ
ด้วยลีลาในเนื้องานเลย...จะคอยดูมันมาเอาไป"

โดนขโมยแน่ๆ ครับ...ผมนี่แหละ...
จะขโมยไปอ่าน (และบังคับให้คนอื่นอ่าน)...อิอิ

 

โดย: ศารทูล IP: 125.25.79.209 23 กุมภาพันธ์ 2552 22:13:37 น.  

 

จะคอยดู"มัน"มาเอาไป
พี่ชายเรา..ใช้คำไม่สุภาพเลย..นะคะ
ขอประท้วงค่ะ

 

โดย: คนเคยผ่านมา IP: 118.172.91.173 23 กุมภาพันธ์ 2552 23:51:00 น.  

 

ศารทูล...
ใกล้สอบแล้วสินะ
เรียนเป็นไงมั่ง...ชั้นไหนแล้ว




คนเคยผ่าน...
อ้อ...คริคริ(คนอะไรฟะ..หัวร่อ..คริคริ...)
ประท้วงเลยเชียว...
สำนวนเหมือน..ฟางน้อย

ยังไม่มีใครมาเอาหรอก...พูดดักไปล่วงหน้างั้นแหละ
แต่ถ้าเป็นหัวขโมยจริง...เรียกมัน..
ก็เหมาะสมอยู่

หรือจะให้พี่เรียก..คุณท่าน..?

อิๆๆ

 

โดย: สดายุ... 24 กุมภาพันธ์ 2552 6:07:15 น.  

 

กำลังสอบปลายภาคพอดีครับ
สอบวันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์
...วันนี้วันอังคาร เขาให้หยุดพักครับ
ตอนนี้อยู่ ม.4 กำลังจะขึ้น ม.5 ครับ

ชอบชีวะ เคมี ฟิสิกส์ คณิต ครับ
แต่ที่ถนัดหน่อยก็ ชีวะ คณิต เคมี
ฟิสิกส์นี่รองลงมา...อยู่ในเกณฑ์ "ยังไม่ทะลุปรุโปร่ง" ครับ

แต่ ภาษาไทย...ไม่เก่งเลยนะครับ
ผมชอบคิดไม่ตรงกับครู
เช่น พวกข้อสอบที่ยกข้อความมา แล้วถามว่า
"ข้อความนี้กล่าวในลักษณะใด" ...อันนี้ผมเกลียดมาก
ตัวเลือกก็จะเป็นแบบ...
ก.แนะนำ
ข.ชี้แจง
ค.อบรม
ง.ตักเตือน
มันต่างกันนิดเดียวเองครับ...
ถ้าคิดไม่เหมืนคนออกข้อสอบก็ผิดแล้ว

รอบนี้ดีหน่อยครับ
ข้อสอบภาษาไทยออกสามัคคีเภทคำฉันท์...อิอิ

 

โดย: ศารทูล IP: 125.27.48.110 24 กุมภาพันธ์ 2552 9:14:14 น.  

 

ศารทูล...
คำนวณเป็นเรื่องของ...ทักษะ..ของสมองคน
หรือความฉลาดเฉลียว
ศิลปะเป็นเรื่องของ...อารมณ์..ความรู้สึก
หรือความมั่นคงทางจิตใจ

มีทั้งสองในสัดส่วนที่เหมาะสมก็จะเต็มพร้อม
ทั้งด้านไหวพริบและอารมณ์
.
.
.
โรงเรียนไทย...มักมีข้อสอบแบบปรนัย
ให้เลือกวงกลม...เป็นวิธีสอนที่เน้นให้คน
คิดในกรอบ หรือ ตัวเลือกอันจำกัดที่อนุญาต
ให้มีได้...เป็นคำตอบแบบสำเร็จรูป

ด้วยเหตุนี้...คนไทยถึงติดวิธีคิดแบบนี้
คิดแบบอิสระไม่เป็นขาดพื้นฐานทางเหตุและผล
ส่งผลให้เป็นชาติที่มีความเชื่อศรัทธา
นอนเนื่องในจิตใจ

จิตใจแบบที่ถูกปลูกฝังมาแบบนี้พอใจจะมีคนคิดให้
พอใจรูปแบบของ เอกชน วีรชน ในการรวมกลุ่ม
คือต้องมีจ่าฝูงว่างั้นเถอะ...

โรงเรียนฝรั่ง
มักมีโจทย์บรรทัดเดียวให้เด็กคิดเอาเอง
ใครจะบรรยายโวหารอย่างไรได้ตามแต่ใจ
ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
เพราะในภาพรวมแล้วเราต้องการความเข้าใจ
จากความคิดอันไม่ถูกจำกัด

เด็กฝรั่งจึงสามารถอธิบายสิ่งที่คิดออกมาได้เอง
ด้วยความมั่นใจ
เพราะคำตอบมันไม่ได้มีแค่ ถูก หรือ ผิด

แต่มันคือ...
ความเป็นไปได้ทุกประการในกรอบหลักแห่ง
เหตุและผล...
เพราะความเข้าใจของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไม่เท่ากัน จึงไม่ได้แปลว่าถูกหรือผิด มันถูกหมด
ในส่วนที่ไม่ออกนอกกรอบใหญ่ของเหตุผล

แทนที่จะยกข้อความมาแล้วถามว่า...
ข้อความนี้กล่าวในลักษณะใด
แล้วเด็กก็ไม่ได้อะไรจากคำถามโง่ๆแบบนี้

ควรจะถามว่า...
ข้อความนี้คิดว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์อย่างไร
และอะไรคือเจตนาหลัก....
แล้วให้บรรยายเอาตามความเข้าใจของแต่ละคน
วิธีที่ว่า..ครู..จะต้องนั่งอ่านสิ่งที่เด็กเขียนมากหน่อย
และใช้เวลามากกว่าดูวงกลม ก ข ค ง
แต่เด็กจะคิดเป็นมากกว่า...

ก ข ค ง คือคำตอบสำเร็จรูปที่ควรยกเลิกได้แล้ว

จงอธิบายแนวคิดหลักที่แฝงอยู่ในสามัคคีเภท
คำฉันท์...ทั้งหมดเท่าที่จะคิดได้มาโดยไม่จำกัด
ความยาว....นี่คือข้อสอบผม....อิๆๆๆ



 

โดย: สดายุ IP: 58.137.10.34 24 กุมภาพันธ์ 2552 9:54:15 น.  

 

อ้อ...อีกเรื่อง..

วิทยาศาสตร์มี 3 ส่วนหลักๆ
ที่แบ่งกันในเมืองไทยในปัจจุบัน คือ
ฟิสิค...
เคมี...
ชีวะ...

ฟิสิก...เป็นเรื่องความเข้าใจคุณสมบัติ
ทางกายภาพของสสาร...คือ ทาง physical
ที่ตามองเห็นได้ หรือ สัมผัสด้วยประสาทได้
การคำนวณทางคณิตศาสตร์จะใช้มากที่สุด
พวกนี้ไปทางวิศวะ


เคมี...เป็นเรื่องคุณสมบัติแฝงของของเหลว หรือ
ของแข็งลักษณะเป็นฝุ่นผง...
ที่มีองค์ประกอบพื้นฐานทางอะตอมแตกต่างกันไป
การคำนวณทางคณิตศาสตร์จะเพียงเล็กน้อย
และใช้ความจำมากเกี่ยวกับพันธะทางเคมี
พวกนี้ไปทางเภสัช...food science...chem science



ชีวะ..เป็นเรื่องของเนื้อเยื่อภายในสิ่งมีชีวิต
ทั้งพืช และ สัตว์
การคำนวณทางคณิตศาสตร์แทบไม่มีเลย
แต่ใช้ความจำมาก
พวกนี้ไปทางหมอ...ทั้งหมอคน หมอสัตว์


บอกว่า...ดีทางชีวะ กับ เคมี
แสดงว่าชอบท่องจำสิ

ต้องประเมินตัวเองให้ออก

ฟิสิก เป็นวิชาที่ต้องเข้าใจ...อาจต้องจำสูตรบ้าง
แต่นั่นเฉพาะช่วงเรียนหนังสือ...ซึ่งไม่รู้จะให้เด็กจำ
ไปทำไม...มันควร open book ได้แล้ว

เรื่องจำสูตรนี่เป็นอีกเรื่องที่แสดงถึงความ
ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงของการสอนในเมืองไทย

ในชีวิตจริงไม่มีใครเอาความจำมาทำงาน
ต้องเปิดตำราอ้างอิงกันทั้งนั้น...
การไม่ต้องจำแต่รู้ว่าจะเอาสูตรไหนมาแก้ปัญหาข้อนี้
ในข้อสอบจะลดอาการนกแก้วนกขุนทองในเด็กไทย
ลงได้มาก...

เป็น รมว.ศึกษาหน่อยไม่ได้
จะล้างมันให้หมดเลยไอ้การเรียนการสอนปัจจุบันนี้

อิๆๆ


 

โดย: สดายุ IP: 58.137.10.34 25 กุมภาพันธ์ 2552 11:33:47 น.  

 

ภาษาไทยสอบเมื่อเช้่านี้ครับ...
ข้อสอบอัตนัย:
คุณลักษณะที่ดีของวัสสการพราหมณ์ที่สามารถนำมาเป็นแบบอย่างได้ มีอะไรบ้าง?

 

โดย: ศารทูล IP: 125.27.51.203 27 กุมภาพันธ์ 2552 17:37:01 น.  

 

จะบอกว่าสิ่งที่ดีคือความจงรักภักดีต่อเจ้านายตน
ก็ไม่ค่อยถนัดปากนัก...

เพราะนั่นมันคติโบราณ
ที่พยายามสอนคนให้เชิดชูสถานภาพคนด้วยกำเนิด
แต่คนปัจจุบันจะไม่สนใจตรงนั้นแล้ว...

จะมองคนอย่างวัสสการณ์พราหมณ์แบบลิ่วล้อ
ของอชาติศัตรู...เหมือนพวกเสื้อแดงลิ่วล้อทักษิณ
ซะมากกว่า

แต่มองในบริบทของนักการทหาร...
ก็ต้องบอกว่า..ใจถึง..และเจ้าเล่ห์เพทุบายดี
เป็นนักการจัดการที่ดีคนหนึ่ง...ฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยม
ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
แสดงละครได้เนียน

การศึกไม่หน่ายเล่ห์เพทุบาย

การทำงานต้องมีการวางแผนที่ดี..และเป็นไปได้
ในทางปฏิบัติ


 

โดย: สดายุ IP: 124.122.138.232 27 กุมภาพันธ์ 2552 21:28:14 น.  

 

ความซื่อสัตย์ จงรักภักดี เป็นอย่างหนึ่งที่ผมตอบครับ
ประการอื่นๆ ที่ตอบไป ก็คือ
- มีปัญญา, ไหวพริบ มองการณ์ไกล
- มีวาทศิลป์เป็นเลิศ
- เสียสละ
ซึุ่งแต่ละข้อก็อธิบายขยายความไปอีกยืดยาว...
จนครบตามบรรทัดที่เขาให้มาครับ

 

โดย: ศารทูล IP: 125.25.85.16 27 กุมภาพันธ์ 2552 23:13:30 น.  

 

นั่นเป็นข้อดีของคำถามแบบนี้
มันเปิดความคิดเด็กให้โลดแล่นเป็นอิสระ
ใครจะตอบอย่างไรก็จะมีเหตุผลกันทั้งนั้น

วัสสการพราหมณ์คนนี้...เข้าใจธรรมชาติของคนดี
ว่า..มีความอยากรู้อยากเห็นรุนแรง
ว่า..มีความหวาดระแวงนอนเนื่องเป็นสันดาน
ว่า..มีความแก่งแย่งแข่งขันกันตลอดเวลา
จึงใช้การเรียกโอรสพวกลิจฉวี..เข้าไปทีละคน
แล้วพูดคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยไม่ต้องทำอะไรเลย...

จินตนาการของคนเหล่านั้นเองที่พาเขา
ไปสู่ความขัดแย้ง...ในกันและกัน

คนที่จะยืนบนภูดูเสือกัดกันได้...จึงต้องมี
ความเข้าใจลึกซึ้งในสัญชาติญาณของ
คนเป็นอย่างดี

 

โดย: สดายุ IP: 124.122.138.232 28 กุมภาพันธ์ 2552 5:41:37 น.  

 

ขวัญมาชวนพี่ไปชมงานคอนเสิร์ต
"ถนน...สายเพลง เกษม-สมาน"
พบการกลับมาของ คุณศรีไศล
และอีก 6 ศิลปินแห่งชาติค่ะพี่

สะดวกไปไหมค่ะ


 

โดย: ขวัญค่ะ (toyor ) 2 มีนาคม 2552 18:30:25 น.  

 

มีเมื่อไรคะขวัญ....
พี่จะไปออสเตรเลียช่วง 15-21 มีค.09
อาจเลยเถิดไปถึง 6 week
พอดีมีงานเข้าด่วน...

ถ้าเป็นช่วงเดียวกันก็คงไปไม่ได้

 

โดย: พี่ IP: 58.137.10.34 3 มีนาคม 2552 11:30:20 น.  

 

สวัสดีคุณสดายุ
จะเข้ามาอ่าน ๐ มหาภารตะยุทธ...บทใหม่..
แม่เอื้องได้อ่านบทกวีคุณยาวๆ..อ่านไปด้วยคิดไปด้วย
ทำให้แม่เอื้องคิดถึงเพื่อนนิรนามคนหนึ่ง..อยากจะขอบคุณเขา...เขาเหมือนรอยยิ้มที่ไหวในรอยทาง..แต่ไม่รู้เป็นใคร?
จึงเขียนกลอนนี้ขึ้นมา..

งามสูรย์..แย้มพรายในยามเช้า
ทอแสงเย้า..กระเซ้าหล้า พายิ้มสรวล
เสียงทักทายพรายพลิ้ว..ละลิ่วชวน
โลกหอมอวน ครวญไหว ไหลตามลม

สรรพสิ่ง.ยิ้มพราย เข้าทายทัก
ฝากลมรัก..หว่านพลิ้วอย่างสุขสม
ฝากในแสง ฉายส่อง อาบพร่างพรม
แต้มอารมณ์..ชมชื่น..ฟื้นวิญญาณ์

สิก่อหญ้า.ลู่ไหว..ทั่วทิวทุ่ง
โลกแต่งปรุง จรุงแต้ม ให้หรรษา
มวลดอกไม้ผลิแย้มงดงามตา
ทั่วแหล่งหล้า สดับชื่น ระรื่นใจ

ก้าวเดินข้าม.รอยทาง.ด้วยใจฝัน
ผ่านคืนวัน..ไม่ไหวหวั่น สว่างใส
ทอรอยยิ้ม..ผลิแย้ม หว่างกลางใจ
ละเลื่อนไป พลิ้วไหว ในเส้นทาง...

................................

แม่เอื้องเขียนกลอนเป็นแบบนิราศสวรรค์แบบสนุกๆ
เดี๋ยวจะมาลงด้วยคะ







 

โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.23.232 4 มีนาคม 2552 21:29:26 น.  

 



สวัสดีค่ะ คุณสดายุ..

ดีใจจังที่คุณแวะไปที่บล็อก
ประมาณ...อยากกรี๊ดดดดดด
ชื่นชมคุณและงานของคุณมานานแล้วนะคะ
ตั้งแต่ก่อนจะได้คุยกับคุณในห้องแชทซะอีก
และจะแวะมาที่บล็อกคุณเสมอๆ ลงชื่อบ้าง อ่านเฉยๆ บ้าง

อยากมาสารภาพด้วยค่ะ ว่า...
มาหัดเรียนเขียนโคลงจากบล็อกของคุณ
แอบขโมยเรียนเงียบๆ นะคะ และลองเขียนตาม..ต้นแบบ
ต่อไป..คงแอบขโมยเรียนบทกวีรูปแบบอื่นๆ อีก
อย่าเพิ่งดุกันนะคะ อิอิ คุณสดายุเป็นคนใจดี ใช่มั้ยคะ

ไม่ได้เป็นคนโรแมนติคอะไรเลยค่ะ
เป็นคนแข็งด้วยซ้ำไป เลยต้องหาสิ่งที่ทำให้อ่อนลงบ้าง
อย่างบทกวีนี่ไงคะ อ่านแล้ว รู้สึกอ่อนไหวและอ่อนโยน
คุณคิดเหมือนกันหรือเปล่าคะ.....





 

โดย: พธู 5 มีนาคม 2552 13:56:54 น.  

 

ขอบคุณนะค่ะสำหรับคำอวยพร
ยังระลึกถึงเสมอค่ะ

 

โดย: กชมนวรรณ 5 มีนาคม 2552 19:11:34 น.  

 

สวัสดีครับ...

แม่เอื้อง...
ครับ..มิตรภาพกับคนบางคนมันมีค่าควรแก่
ความทรงจำรำลึก...เป็นมิตรภาพที่ไม่เห็นแก่ตัว
และหวงแหนด้วยจิตใจที่คับแคบ...

ผมจะยินดีมาก หากแม่เอื้องเอากลอนมาลง
ให้อ่านกันตรงนี้

ในเส้นทาง.....

๐ ฉันหยุดยืน เคว้งคว้าง ในทางน้อย
สืบร่องรอย เลือนลาง - รอยข้างหน้า
ค่อยดุ่มดั้น เดินผ่าน กาลเวลา
มุ่งฟันฝ่า กับหน้าที่ ของชีวิต

๐ สองตาฉัน คอยเล็ง - คอยเพ่งหา
กับคุณค่า งามใส อันไพจิตร
จึงกอดเกี่ยว เอี้ยวแล ทุกแง่คิด
ผ่านช่องทาง ถูก-ผิด ให้จิตจำ

๐ ฉันเห็นใบ ไม้น้อย ลิดลอยลับ
คือท่วงที ลำดับ ของสรรพส่ำ
ร่วงพลิกคว่ำ พลิกหงาย กับปลายกรรม
ก่อลำนำ เวียนวน อยู่บนทาง

๐ บ้างร่วงผล็อย ลอยแผ่ กระแสสินธุ์
มอบชีวิน ซบกับซาก ของขวากขวาง
หลากหลายโขด หินแหลม ตั้งแซมกลาง
จะผ่านพราง ฤๅให้รอด ตลอดธาร

๐ สกุณา จำเรียง ส่งเสียงแว่ว
ระหว่างแก้ว รวีแสง สีแดงฉาน
ฉันยิน-ยล หยัดร่าง อยู่กลางกาล
อีกไม่นาน คงเห็นปลาย ที่หมายรอ.







คุณพธู....
ครับผมไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมใครเท่าไรเลย
มัวแต่เขียนฉันท์ เขียนกลอน...ต้องขอโทษ
ด้วยนะครับ

เรื่องโคลง กลอน นั้น...ผมยินดีครับ
หากว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
หากการแอบศึกษาในกระทู้..โคลงสี่สุภาพ
แล้วเขียนได้ขนาดนั้น...ผมว่าเยี่ยมมากแล้ว

โคลง..ยังเป้นสิ่งที่ผมเองเขียนไม่บ่อย
และยังเขียนไม่ได้ดังที่ใจต้องการเลย

เจ้าเอย....
บทนี้เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2550

๑ วกวนเวียนว่ายเวิ้ง..........กรรมเวร
บาปข่มบุญเคลื่อนเบน........เบี่ยงป้อง
ปูนเรือป่ายคลื่นเอน...........ออกฝั่ง เร่เนอ
ลมตื่นน้ำแตกต้อง.............ติดเวิ้งคลื่นวน ฯ

๒ เทียวหาทั่วแห่งพื้น.........พันแดน
คล้ายทั่วเขตถิ่นแคลน........ขาดร้าง
โทษเทพว่าท่านแหน.........หวงรูป งามฤๅ
จนท่านเผยรูปสร้าง............สุดล้างรูปเลือน ฯ

๓ นับนานใครนี่เคลิ้ม...........คำนึง
รูปนั่นไยเหนี่ยวดึง..............จิตได้
สบรูปสื่อความถึง...............เทพที่ สร้างนา
เทพช่วยบอกรูปให้.............ห่วงร้อนอกเรียม ฯ

๔ เหมือนตามมาแต่เบื้อง.....ปางบรรพ์
มาแลกเปลี่ยนร่วมปัน.........แปลกรู้
ศึกษาสืบสานสัน-..............ถวะรจน์ ร่วมนา
เสริมส่งจนสุดกู้................กลบแก้แรงกรรม ฯ

๕ ยอกรรมยกกล่าวแกล้ม....กลกานท์
มุ่งดับหม่นดวงมาน.............แม่ร้าง
พากย์ร้อยเพื่อรำบาญ.........บดเคลือบ แคลงนา
ครวญใคร่เถิดใครค้าง.........ติดค้างกรรมใคร ฯ

๖ พันแสงผายส่องฟ้า.........ฝั่งไหน
ย่อมบอกอีกฝั่งใคร............ค่ำแล้ว
จับวันแตกสองไป.............เปล่งส่อง พร้อมฤๅ
แอบพลบอิงพร่างแพร้ว......อย่ารู้ต่างเรา ฯ

๗ เดือนเดียวลอยเด่นห้วง....เวหน
นับสุดฤๅกี่คน...................ที่จ้อง
หน้าหนึ่งกลับลอยบน.........บังส่อง จันทร์เนอ
ลอยอยู่บนตาฟ้อง.............บอกฟ้าบอกขวัญ ฯ

๘ เพียงเรียมที่รับรู้............ฤๅพอ
ใครเล่าจักอือออ...............เอ่ยพ้อง
ใครนั้นอาจหน้างอ.............เง้าอยู่
จักรับรู้พร่ำพร้อง...............ผ่านเนื้อความไฉน ฯ

๙ รอพากย์หวังผ่านรู้..........ความใคร
พากย์ผ่านหวังรู้ใจ.............ตราบแจ้ง
เดือนแม้นดับแสงไป...........ดาวปราศ สิ้นนา
ความจักผ่านมืดแว้ง...........วกแจ้งมาใจ ฯ

๑๐ หนาวอกในอีกฟ้า..........ฟากสรวง
เชิญร่วมเทรดทรวง.............ถ่ายร้อน
ให้หนาวห่มเนื้อทวง...........ทิพรูป เทียบนา
อิงรูปออดรูปอ้อน..............โอบเนื้อเจือหนาว ฯ






คุณกชมนวรรณ
ยินดีครับ...มีความสุขกับงานนะครับ
ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมใครนอกบล็อคนัก...
อย่าได้ถือสา...อิๆๆ

 

โดย: สดายุ IP: 124.120.97.135 5 มีนาคม 2552 20:15:01 น.  

 

รออ่านค่ะ
พร้อมๆ กับรอมลภาวะหมอกควันลดลงเสียที
แค่กๆๆ

 

โดย: medkhanun 6 มีนาคม 2552 11:31:16 น.  

 



มาอ่านต่อเนื่องค่ะ พี่กาย


 

โดย: ดวงใจพ่อ (Nok_Noah ) 6 มีนาคม 2552 15:50:02 น.  

 

แวะมาอ่านคะ เที่ยวให้สนุกนะคะ

ยิ้ม..

 

โดย: Jean IP: 88.110.70.69 7 มีนาคม 2552 2:57:45 น.  

 

เม็ดขนุน....
นก...
จีนา...

ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยมพี่
ตอนนี้วุ่นๆ..เลยเขียนช้าไปหน่อย
เขียนตามหลัง CD ที่ฟังมากแล้วนะนี่

 

โดย: พี่ IP: 124.120.92.19 7 มีนาคม 2552 6:25:23 น.  

 

วันนี้ไปหาหมอ...แล้วเลยไปทำบุญ
อธิฐานบุญมาฝากพี่ด้วยนะคะ
ขอให้การเดินทางของพี่ราบรื่น

รอพี่กลับมาเขียนให้น้องๆ อ่านกันต่อนะคะ

 

โดย: เพรง.พเยีย 7 มีนาคม 2552 17:59:38 น.  

 

น้องนาง...
พี่เสียใจด้วยนะคะกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดูแลตัวเองหน่อยนะคะ

อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณนางอีกครั้ง
สำหรับ CD มหาภารตะสองอัลบัมใหญ่
ของคุณวีระ ธีรภัทร พี่ชอบมาก...
ฟังถึงแผ่น 20 แล้ว การรบ ณ ทุ่งกุรุเกษตร
วันที่ 11 แล้ว....

พี่ชอบวิธีเล่าเรื่องของคุณวีระ
น่าติดตามมากไม่เบื่อเลย

 

โดย: พี่ IP: 124.121.230.230 7 มีนาคม 2552 22:27:34 น.  

 

พี่สดายุค่ะ ขอบคุณที่ไปเยี่ยมค่ะ
ขวัญขอความกรุณาพี่หน่อยได้ไหมค่ะ ถ้าไม่เป็นการขอรบกวนพี่เกินไป ...พี่คงฟังเพลงกรุงเทพในบล็อคขวัญแล้ว ขวัญอยากขอความกรุณาให้พี่แต่งจะเป็นโคลง จะกลอน จะอะไรก็ได้ ให้เข้ากับเนื้อหาของเพลงหน่ะคะพี่
ขวัญจะเอาขึ้นบาร์โก้ตอนเพลงนี้แสดงค่ะ

ได้ไหมค่ะพี่ขา

เนื้อร้องกรุงเทพนะคะ

โอ้กรุงเทพ เทพเสกสรรค์บันดาลดล
ฉ่ำสายชลเจ้าพระยาพาชื่นใจ
หรือกรุงเทพ เทพท่านสร้างแต่ปางใด
แลเหลียวไปวัดวาอารามงามล้ำ
ฮุ ฮู ฮู ฮูๆๆๆๆๆๆๆๆ

ยอดปราสาท ยอดเจดีย์ศรีมลฑป
ดุจนักรบ ที่ชราดูคราคล่ำ
ลม..ระรวย...
ช่วยกล่อมด้วยลำนำ...
เกลื่อนความช้ำ...
กลบกลิ่นฉาว...
กาก-คาว-กรุง
ฮู ฮู ฮู

 

โดย: ขวัญค่ะ (toyor ) 9 มีนาคม 2552 14:58:38 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณสดายุ

แม่เอื้องมาบอกว่าคงหยุดเขียนก่อน..และรู้สึกดีใจที่ได้รู้จักคีตกวีคนเก่ง ฮิฮิ

แม่เอื้องชอบมหาภารตะมาก ชอบองค์ภีษมะที่สุด..เคยเขียนกลอนคล้ายกับการร่ายรำขอพรจากพระเจ้า..แต่เขียนแล้วทื่อๆไม่สวยน่าจะเป้นศัพท์สูงกว่านี้แต่แม่เอื้องรู้ศัพท์ไม่มากค่ะ

แม่เอื้องทึ่งคุณมาก..คุณเหมือนคนมีพลังและเป็นจิตกวีจริงๆ..แม่เอื้องเห็นหลายคนในนี้..ที่สามารถร่ายคำกวีออกมาได้เลย..เหมือนมีแผนผังฉันทลักษณ์อยู่ในจิตวิญญาณ..ส่วนแม่เอื้องเป็นนักคิดเสียมากกว่า

แม่เอื้องเคยฝันเห็นปราสาทแก้ว ลวดลายวิจิตรมาก
จึงเขียนนิราศนี้ขี้นมา..เคยจะนำลงบล็อกที่Ok แล้ว
อ้าวคุณเพลงผ้าเขาลงกินรี..เนี้อความคล้ายกันเลยเก็บไว้..วันนี้เอามาให้อ่านค่ะ

เพลิน

นิราศฝัน..สู่ทิพย์วิมานเก็จแก้ว
งามเพริศแพร้วพรรณรายเกินกล่าวอ้าง
เทพอนงค์เลอโฉมทุกองค์นาง
ยามเยื้องย่างชดช้อยชม้อยตา

เคลิ้มบรรเลง เพลงพิณ แห่งสวรรค์
เอื้อนรำพัน พร่ำกวี กลางพฤกษา
นางรำร่าย เอวองค์อ่อน ร่อนกายา
ยวนเย้าตา พาเพลินใจ ในฉิมพลี

คราแย้มโอษฐ์หวานล้ำนางเจ้าเอ่ย
ข้าบ่เคย ยลโฉมใด ดั่งนวลฉวี
ผิวผุดผ่อง กระจ่างใส ไร้ราคี
คอยพัดวี มีช่วงท่า เฉิดไฉไล

ยามชายตา พาอุรา วะวาบวับ
ผมดำขลับ หอมนุ่ม ดุจแพรไหม
แว่วเพลงพิณเคลื่อนคล้อยแผ่วแผ่วไกล
เพลินหลงใหล ในห้วงฝัน ตระการตา

ราชรถ พาเคลื่อนทั่ว ทัวร์สวรรค์
ชี้ชวนกัน ชมวิมาน เพลินหรรษา
ระยิบระยับ ประสาทแก้ว ทั่วนภา
ล้อเลื่อนพา สู่อโนดาต หิมพานต์

ยลคนธรรพ์ กินรี ในสระแก้ว
ขับเพลงแว่ว สุนทรี คีตาหวาน
กลางบุปผา จรุงกลิ่น ฟุ้งวิมาน
เพลินสำราญ นิราศฝัน แสนสุขใจ..
..
ผวาตื่น คืนแห่งฝัน พลันสลาย
อนงค์หาย มลายสิ้น ถวิลหา
แค่เพียงฝัน พาเพลินสุข เคลิ้มอุรา
ยามนิทรา สู่ห้วงฝัน อีกสักที

แม่เอื้องเหมือนเดินหลงทางเข้าห้องลับ...วันนี้ต้องหาทางออกเสียที...และรู้สึกยินดีที่ได้สัมผัสคนเก่ง...และจะเข้ามาติดตามมหาภารตะตอนต่อไปนะคะ

 

โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.33.194 9 มีนาคม 2552 20:05:46 น.  

 

ขวัญ...
แล้วพี่จะดูให้...นะคะ...
หากมีเวลาพอ





แม่เอื้อง...
อ้อ...ถ้าแม่เอื้องชอบมหาภารตะก็คงสมใจ
ผมจะเขียนให้จบนะครับเรื่องนี้...

จะไม่เขียนฉันท์ต่อจากเรื่องนี้..ในบล็อคนี้อีก...
เพราะคิดว่าเขียนจนครบทุกฉันท์ให้ดูเป็น
ตัวอย่างไว้แล้ว...แบบเดียวกับบล็อคกลอน
ผมหยุดไว้แค่...สายธารกาลเวลา..ทั้งสามภาค

ที่จริงแม่เอื้องเขียนดีนะครับ
เพราะผมสังเกตุได้ว่า...ไม่ติดสัมผัสมากนัก
เนื้อหาเดียวกันกับคนอื่น..ก็ไม่เป็นไรนะครับผมว่า
ขึ้นเป็นกระทู้ใหม่เราจะหาได้ง่ายเวลาต้องการขึ้นมา
เขียนในช่องความเห็นนานไปเราจะจำไม่ได้ว่า
อยู่ตรงไหน....อันนี้ผมเป็นบ่อย

เลยต้องเอาขึ้นทุกบท

เรื่องราวบนสรวงสวรรค์นั้นคนปัจจุบันจะเขียนกันน้อย
เพราะเราไม่ค่อยได้ศึกษาสนใจกันแล้ว...
คนโบราณจะค่อนข้างมีความรู้ที่จะบรรยายได้ดี
เพราะการร่ำเรียนในสมัยก่อนก็เรียนเรื่องราวทาง
ศาสนาเป็นหลัก และ เรื่องราวพวกนี้ก็จะแฝงมากับ
ศาสนา ทั้งพราหมณ์ และพุทธ

รวมทั้งการบรรยายภูมิสถาน..ปราสาทราชวัง
พระมณเฑียรต่างๆ...สำหรับราชครูในราชสำนัก
ส่วนมากก็จะรู้อยู่ว่าอะไรเรียกว่าอะไร มีไว้ทำไม
แต่สมัยนี้..ยาก..ครับ

แม่เอื้องทำไมถึงจะหยุดเขียนล่ะครับ

 

โดย: สดายุ IP: 58.137.10.34 10 มีนาคม 2552 12:26:14 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณสดายุ

แม่เอื้องมีคำเขียนแด่ครูกวี..ตอนที่เข้ามาอ่านคำกวีในOk ประทับใจในการเขียนของทุกคน รวมทั้งคุณสดายุด้วย

กวีกานต์..สื่ออารมณ์ที่แตกต่าง
เขียนเรียงวาง..ให้งดงาม จากน้ำถ้อย
เป็นสัญญา แห่งอารมณ์ นำมาร้อย
ดุจดั่งสร้อย พลอยมณี หลายสีงาม.

(สัญญา= ความจำได้ในอารมณ์ที่ทำให้ทุกข์และสุข)

การได้รับรู้ ได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ..
ทำให้เราได้ลิ้มรสอารมณ์มากมายที่ทำให้ทุกข์และสุข..
จดจำไว้ บางครั้งปรุงแต่ง …กระเจิด กระเจิง ล่องลอย ไปในความฝัน เพื่อให้ซึมซับอารมณ์นั้นๆจนเป็นภพเป็นชาติไม่ย่อมปล่อย
อารมณ์แห่งความรู้สึกได้ถ่ายทอดปรุงแต่ง...เป็นลายลักษณ์อักษร...
นำอักษรมาเรียงร้อย..อยู่ในรูปของบทกวีต่างๆ ..เป็นภาษาแห่งอารมณ์ที่งดงาม
สื่อออกมาด้วยใช้คำที่เหมาะสมกับอารมณ์นั้นๆ...

เป็นรูปกวีที่งดงามยิ่งขึ้นทำให้ผู้คนที่ได้อ่าน
..ได้ซึมซับ และคล้อยตาม เข้าถึงอารมณ์นั้นๆอย่างได้อรรถรส
ตราบได้ที่เราคือ..ปุถุชนคนธรรมดา..
ยังไม่หมดสิ้นในอารมณ์ต่างๆ...บทกวี..ยังคงมีให้เราอ่านไม่มีที่สิ้นสุด
แต่วันใด วันหนึ่ง ไม่หลงเหลืออารมณ์อะไรแล้ว.....คือว่างเปล่า...คงไม่มีบทกวีมาขับขานอีกต่อไป...ตายทั้งรูป และนาม

สำหรับฉัน.. เป็นเหมือนผู้ฝึกหัด อยากเขียนบทกวีให้เป็นทั้ง.ที่ภาษาเขียน และการผันวรรณยุกต์ไม่ได้เรื่องเลย ตอนแรกๆ..เขียนไปสะท้อนถึงอารมณ์ที่รุนแรงของตน..ควบคุมไม่ได้
ต้องหยุดเขียน...หรือต้องปรับเขียนอีกอารมณ์หนึ่ง
ต่อมามีใจชอบ..มีความสุข สนุกและเพลิดเพลินที่ได้เขียนและเป็นการเกลาใจให้นิ่ง

เข้าใจความรุนแรงของอารมณ์มีอยู่ประมาณไหน
ขจัดอารมณ์ที่สลดหดหู่ ให้ออกไปได้ด้วย.
ฉัน..ขอนับถือ และเข้าใจคุณครูกวีทุกท่าน..
ที่ได้แสดงให้เห็นการใช้ภาษา รูปแบบฉันทลักษณ์
สื่อเจตนารมณ์ของอารมณ์ต่างออกมาได้หลายๆรูปแบบ
และได้สะท้อนถึงบทบาทหน้าที่ของท่าน..ที่มีต่อธรรมชาติ ต่อวิถีชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
มีทั้งรัก เหงา เศร้า ท้อแท้ ต่อสู้เพื่อมวลชน
เปรียบเปรย การเล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นคำสอนทางศาสนา ความคิดเชิงปรัชญา ฯ
ฉันจะอ่าน..และพยายามเข้าใจเขาสื่อถึงอะไร.
และจะไม่ตีความว่าคนเขียนเขาเป็นคนอย่างไร?
แต่..เป็นมิตรภาพร่วมในความรู้สึกในบทกวีนั้นๆ

จะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักก้อตาม
บางท่าน.ใช้คำง่ายๆแต่พลิ้วจัง..รู้สึกถึงอารมณ์นั้นจริงๆ
บางท่าน ใช้คำที่มีความหมายซับซ้อน..ดูเป็นอะไรที่ขลัง เป็นอมตะสุดๆ (อันนี้คุณสดายุ)
บางท่านเขียนรูปแบบฉันทลักษณ์ได้เก่งมาก..
ทั้งบทร้อยแก้ว ร้อยกรอง การใช้ภาษา เนื้อเรื่องที่กลมกลื่นกัน..แต่ละท่านจะมีจุดเด่น เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง...ความหมาย และความเข้าใจในบทกวีของฉัน
คือ..การบันทึกเรื่องราวชีวิตของอารมณ์ที่แตกต่าง
เหมือนกับกฎแห่งธรรมชาติ
และเป็นจินตนาการบนถ้อยอักษร..
แสดงถึงความเป็นอิสระแห่งใจที่งดงาม
ฉันขอเคารพในคำกวีของทุกท่าน
ขอบคุณทุกท่าน..ที่สอนให้รู้จักคุณค่าของบทกวีค่ะ


แม่เอื้องหยุดเขียน....เพราะอยากเตรียมพร้อมกับงานใหม่ที่จะทำ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

 

โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.50.111 10 มีนาคม 2552 22:55:09 น.  

 

ขวัญเจ้า....
พี่เขียนให้แล้วนะคะ....
เอ...หายไปไหนน้า....ไม่มาเอาสักที
เช็คหลังไมค์ด้วยนะคะ....



ขวัญเจ้า...น่ารักถึงปานนี้
เฮ้อ...รอยยิ้มนี้..ทำไมเพิ่งมาคะ ?
.
.
๐ แนวกำแพงขีดกรอบรายรอบตั้ง
เป็นเขตวังร่มเงาองค์เจ้าหลวง
ปราสาททอดยอดปลาย..ดั่งหมายทวง-
เอาแดนสรวงชะลอลงธำรงไท

๐ กระเบื้องย้อมแสงกาล..ลมผ่านริ้ว
ช่อฟ้าโค้งคอดกิ่ว..ราวพลิ้วไหว
ร่วมคลอคลื่นเจ้าพระยา..หลามบ่าไป
เป็นสายใยโอบเอื้อ..รวมเชื้อชน

๐ โพธิ์ยังคงระบัดใบอยู่ในที่
ต้องสายลมวาดวี..แม้กี่หน-
จะยังคงผ่านให้หัวใจคน
สุขสงบเหลือล้นอยู่บนวัน

๐ คือเขตรัฐสีมา..ร่วมตราไว้
ด้วยเลือดไหลอาบร่างคอยสร้างสรรค์
ธำรงอยู่คู่กาลนับนานครัน
และจักนานเป็นอนันต์..นิรันดร

 

โดย: สดายุ... 11 มีนาคม 2552 23:10:15 น.  

 

แม่เอื้อง....
ครับ...เนื้อหาที่เขียน...คงทำให้คนเขียนร้อยกรอง
อิ่มใจไปตามๆกัน...ช่างรจนาไพเราะเสียหนักหนา

ปกติแล้ว...ผู้หญิงเป็นเพศที่เปิดใจมากกว่าชาย
อยู่แล้วในการแสดงความชื่นชมหรือรับรองด้วย
จิตใจที่ชอบพอต่อสิ่งใดๆ....

อัตตา..ในส่วนนี้มีไม่มากเหมือนเพศชาย

หากแต่ในบรรดาผู้หญิงทั้งหลาย...
มองเห็นได้ว่าแม่เอื้องเป็นคนที่เปิดใจมากกว่า
หญิงทั่วไปอีกมากต่อมากนัก...

จิตใจแบบนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นจิตใจของ..ลูกผู้ชาย
นะครับในความคิดผม

ในทางพระแล้ว...
คำว่า...โยนิโสมนสิการ...ในจิตใจแม่เอื้องมีอยู่
เต็มเปี่ยม...

ผมชื่นชมจิตใจแบบนี้เสมอมา...
ขอคารวะ....

 

โดย: สดายุ... 11 มีนาคม 2552 23:21:36 น.  

 

สวัสดีคะคุณสดายุ

แม่เอื้องขอบคุณคำชมค่ะ..แม่เอื้องก็ดื้อน่าดูค่ะ

แม่เอื้องฝากcomment ไว้ที่บล็อกโน้น
และจะเข้ามาติดตาม"มาหาภารตะ "นะคะ

 

โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.19.9 12 มีนาคม 2552 14:47:48 น.  

 

ยินดีครับแม่เอื้อง....
ผมอาจสลับหน้าหลักไปเขียนนารีปราโมชบ้าง
พอแก้เบื่อที่แช่หน้าฉันท์ไว้นานๆ
แต่ไม่กี่บทก็จะกลับมาหาเรื่องนี้ต่อ

จนกว่าจะจบ

 

โดย: สดายุ IP: 124.121.254.96 14 มีนาคม 2552 22:01:58 น.  

 



พี่กายเปลี่ยนหน้าหลักใหม่หรือคะนี่...

 

โดย: ดาวจ๋า คนซนๆค่ะ (satineesh ) 14 มีนาคม 2552 22:17:18 น.  

 

พี่เปลี่ยนกลับแล้วค่า....
ลืมไป...น้องขวัญเขาจะมีงาน...
เป็นกำลังใจให้เขาหน่อย....

ดาวจ๋า...อย่าเพิ่งงนะคะ
อิๆๆ

 

โดย: สดายุ... 14 มีนาคม 2552 22:57:59 น.  

 

สวัสดีคุณสดายุ..แม่เอื้องไม่ได้ทักทายหลายวัน..คือแม่เอื้องชอบดวงดาวและ..จะอ่านเรื่องนิทานดวงดาวร่วมทั้งหนังสงครามอวกาศแทบทุกเรื่อง..แม่เอื้องมีนิทานดวงดาวเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟัง ชื่อเรื่อง “มิติเทพ” แบบย่อๆนะคะ


หัวใจดาว

วะวับวาวพร่างพราวสกาวฟ้า
ดาษรดา..ระยิบระยับ...งามสดใส
คอยทักทาย พรายยิ้ม..นำทางไป
จะเป็นใครไหนหรือ…ถือประเด็น

ทอกระพริบ อิสระ ณ กลางห้าว
ในบางคราวถูกบดบัง..มิแลเห็น
ดาวดวงน้อยยังเป็น..อย่างที่เป็น
งามสวยเด่น..ให้เห็นทุกราตรี

คือหน้าที่..แห่งดาว..ทั่วเวหน
ส่องสกล..ชนทั่วหล้า..ยลรัศมี
จุดประกาย ทอฝัน ..ทั่วปฐพี
ทุกผู้มี..ศรัทธาสู่ปลายทาง

จะเห็นค่าของดาว..หรือไม่หนอ?
ดาวไม่ท้อ..ทอเป็นเพื่อน..จนฟ้าสาง
คอยยิ้มทัก..บางครา..พร่าเลืองราง
ยังพราวพร่าง..เป็นมิตรทุกทิศเอย

มิติเทพคือสหพันธ์ดวงดาวอันยิ่งใหญ่..ของแกลแลคซี่ทิศตะวันออกของช้างทางเผือก...กลุ่มดาวนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ที่เป็นแสงสว่างสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิต...แต่พวกเขามีขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่หล่อเลี้ยงให้พวกเขาได้มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์..ขุมพลังนี้เรียกว่า
“ปิรามิดแห่งสมดุล”..เป็นพลังปิรามิดเป็นรัศมีสีเหลืองโชติช่วงชัชวาล และหมุนคลอดเวลา ตั้งอยู่เหนือชะงอนผาห้วงน้ำแห่งชีวิต..ขุมพลังแห่งนี้เป็นความลับแห่งสหพันธ์ดวงดาวที่มีการปกป้องดูแลอย่างเป็นระบบ และเป็นบริหารของสหพันธ์ที่แยบยลและซื่อสัตย์ต่อกัน ผู้บริหารแห่งดวงดาวนี้ล้วนเป็นผู้รอบรู้และจิตวิญญาณชั้นสูง(คล้ายเจได).......

ขุมพลังแห่งนี้เป็นที่ต้องตาและต้องใจของกลุ่มดาวอื่นๆ.... โดยเฉพาะดาวมฤตยูได้นำกองทัพเพื่อหวังจะยึดครอบครองพลังแห่งปิรามิด..แต่ก็พ่ายแพ้กลับไป..แต่สงครามครั้งนี้ได้ใช้พลังแห่งปิรามิดไปเป็นจำนวนมหาศาล และได้สูญเสียกำลังพลผู้เก่งกล้าไปจำนวนมาก..ทำให้เกิดปัญหาต่อสหพันธ์มิติเทพรวมทั้ง...แห่งที่มาของพลังงานด้วย..แหล่งพลังงานมาจากไตรมิติ
ได้แก่มนุษย์โลก นรกและสวรรค์....เมื่อเกิดประหยัดพลังงานจะทำให้..ด้านมืดของมนุษย์โลกเพิ่มขี้น

เด็กหนุ่มสาว ต่างถูกเตรียมพร้อมเป็นนักรบแห่งแสงสว่างและรวมถึงหัวหน้าแห่งสหพันธ์และองค์ราชินีด้วย ทุกคนต่างอาสาที่ไปทำงานในดินแดนแห่งชีวิตการไปคราวนี้..ทุกคนอาจไม่ได้กลับบ้านก้อตามเพื่อสร้างขุมพลังงานแห่งชีวิตหากไม่ร่วมใจกัน...หมายถึงทุกโลกต้องมืดสนิทและระเบิดแตกสลายหมดสิ้นสูญสิ้นทุกเผ่าพันธุ์หรือต้องหนีไปในอวกาศเพื่อหาที่อยู่ใหม่ทุกคน รักบ้าน รักความเป็นหนึ่งเดียวกันและย่อมพลีชีพ....
ในโลกแห่งชีวิตถูกกำหนดเป็นโจทย์ชีวิตและตามผลแห่งการกระทำของหน้าที่ครั้งเก่าที่ผ่านมา...ทุกคนจะถูกลบสมองความจำเดิม ร่างทุกร่างนอนสงบนิ่งดุจกายทิพย์มีแต่ดวงจิตเท่านั้นที่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพื่อกำเนิดชีวิตในโลกมนุษย์.หัวหน้าสหพัน์ธ์กิดเป็นพระราชา และพระราชินีคือมเหสี..ทั้งสองพระองค์รักกันมาก...พระมเหสีและพระโอรสได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุพระเกี้ยวลื่นตกเขาพระองค์ทรงโทมนัสยิ่งนัก..ปิ่มจะขาดพระหฤทัย.

ทรงเขียนบทกวีแห่งความรัก..สร้างเจดีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งรักของพระองค์ และได้ทำพระกรณีย์กิจต่างๆให้เพื่อให้ประเทศเป็นสุขร่มเย็น..แม้พระองค์จะมีพระมเหสีอีกหลายองค์ แต่หาให้พระองค์ท่านลืมพระมเหสีอันเป็นสุดที่รักได้
ส่วนมเหสีอันเป็นที่รักนั้นได้รับผลบุญต่างๆและก่อนที่ดวงจิตของพระนางจะได้หลุดลอยไปพระนางโอบกอดโอรสไว้ไม่ย่อมปล่อยเพื่อหวังให้ลูกปลอดภัย..ร่วมทั้งอานิสงส์ที่พระสวามีได้อุทิศให้นาง..จึงได้พาดวงจิตของนางกลับมิติเทพ

พระราชินีจะมองเห็นพระสวามีโทมนัส และคร่ำครวญถึงพระนาง… บารมีแห่งพระราชาแกร่งกล้าเพราะได้รับผลบุญในคุณความดีของพระองค์ที่เคยปกครองบ้านเมืองให้สุขร่มเย็น และได้รับการยกย่องแทบทุกยุคทุกสมัยไม่มีเสื่อมคลาย ทำให้พระองค์มีอำนาจและพลังล่วงรู้ความลับแห่งจักรวาล พระองค์ยังคงรอคอยและโทมนัสต่อความรักที่มีต่อมเหสีไม่หายไปจากห้วงคำนึงเลย ทำให้พระองค์ยังคงติดอยู่ในโลกนี้ และไม่สามารถกลับบ้านได้...

พระองค์ได้เห็นเงาของหญิงอันเป็นที่รักจากหญิงคนหนึ่งทรงเข้าใจผิดคือนางที่รอคอย....แต่หญิงคนนั้นคือพระธิดาของพระองค์เองซึ้งนางต้องผ่านชะตากรรมและเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้...เธอจึงได้พยายามเข้าหาและพูดให้พระบิดาเข้าใจว่าพระมารดานั้นคอยพระองค์อยู่ที่บ้าน.....

เรื่องจะจบอย่างไงนั้นพระราชาผู้มีฌานอันพิเศษ เป็นผู้รู้ในทุกด้าน...ได้ประพฤติธรรมตามรอยพระพระพุทธก็จะได้กลับบ้าน...โลกนี้คงมีความสุขความสงบร่มเย็นทุกมิติอีกครั้ง

ฮิฮิ..อย่าหัวเราะเรื่องแม่เอื้องเป็นเด็กๆนะ

แม่เอื้องได้งานใหม่แล้วคงจะเข้ามาcomment เท่านั้น..ขอให้คุณสดายุมีความสุข ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และเคารพเป็นครูกวีคนหนึ่ง..จะมีอีกหลายคนที่เอื้องเคารพคือท่านลานเทวา คุณคมเย็น mindsoul และอาจารย์หยาดกวี...แม่เอื้องขอบคุณมากนะคะ

 

โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.63.208 18 มีนาคม 2552 18:59:24 น.  

 

สวัสดีครับแม่เอื้อง....
ขออภัยที่ตอบช้านะครับ
พอไม่ได้ตั้งเป็นหน้าหลัก....ก็จะไม่ค่อยได้เข้ามา
แม้จะคอยเขียนเสริมเพิ่มเติมอยู่ตลอด

ผมฟัง CD ของคุณวีระ จนถึงการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร
วันที่ ๑๗ แล้ว....ใกล้จบเต็มที
คงจะได้เขียนมากขึ้น....

อย่างไรเสียคงเอาให้จบ....
แม่เอื้องก็แวะเวียนมาอ่านดูนะครับ

 

โดย: สดายุ... 24 มีนาคม 2552 7:11:49 น.  

 

ดาวจ๋ามาแล้วค่ะพี่กาย...วันนี้จ๋าไปหาลูกค้าแต่เช้าค่ะพี่...เมื่อวานก็ไปหาหมอมาเพราะคันที่มือมาก..เลยได้ยาทายาทานมาอีก..เลยทำให้เบลอๆน่ะค่ะ...แล้วก็ไม่ได้ไปทักเพื่อนๆเท่าไหร่เลยค่ะ...


กึ่งวันภุมวารมานสวัสดิ์ค่ะพี่

 

โดย: ดาวจ๋า คนซนๆค่ะ (satineesh ) 24 มีนาคม 2552 13:05:00 น.  

 

ดาวจ๋า...
สวัสดีค่ะ...มือยังเจ็บอยู่เลยยังอุตส่าห์แวะ
มาคุยกับพี่...

พี่รู้สึกว่าวันนี้มันเงียบเหงาจัง
เหมือนบรรยากาศรอบๆตัวมันอึมครึมยังไงนะ

เดี๋ยวไปคุยต่อห้องนารีปราโมชนะคะ...
บล้อคนี้พอดี เขียนเพิ่มไปนิดหน่อยเลยตั้งเป็นหน้าหลัก
ชั่วคราว....

แต่คนที่ต้องการอ่านก็รู้แล้วล่ะว่า มาที่หน้าฉันท์

 

โดย: สดายุ... 24 มีนาคม 2552 17:18:01 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่กายขา


ขอบคุณที่กรุณาไปเยี่ยมค่ะ เพลงอลังการมากเลย...

เรียกแล้วมาเจอตรงนี้เลยค่ะ...ดนตรีเก๋ไก๋มากทีเดียค่ะ



พุธวารสิริสวัสดิ์-มนัสปลื้มกมลเปรมค่ะพี่กายขา

 

โดย: sirivinit 25 มีนาคม 2552 19:51:26 น.  

 

พี่กายยยยยย...ยู้ฮู...อยู่ห้องไหนคร้า...

พี่กายดูค่ะ...จ๋าหอบโคลง มาด้วยค่ะ..
มีเพื่อนเขียนมาให้ที่บล็อก...น่ารักจัง...
เด๋วจ๋าหอบไปใส่ที่ห้องนารีปราโมชด้วยน๊า

๐ทองหยิบจะหยิบให้.......ใครดี
ลูกชุบชอบละซิ.............อร่อยลิ้น
ข้าวเหนียวเปียกทางนี้.....ข้าวแช่
น้ำมะตูมตบท้ายปลิ้น.....อิ่มแล้วนอนสบายฯ


มีโค้ดเพลงด้วยค่ะ
//www.bhuddajak.com/diawkhim/15.wma
เดี่ยวขิม...สีนวล

//www.bhuddajak.com/diawkhim/09.wma
เดี่ยวขิม ... ลาวล่องน่าน

 

โดย: ดาวจ๋าคนซนๆค่ะ (satineesh ) 25 มีนาคม 2552 20:55:03 น.  

 



พี่กายคะ..


ตามมาราตรีสวัสดิ์ก่อนไปนอนค่ะ
พยายามไม่เครียด แต่ยังคงต้องอ่านมากๆ นะคะ
เหลืออีกเพียง 4 วัน ก็จะสอบแล้วนี่คะ

ขอบคุณพี่กายมากค่ะ ที่ช่วยดูโคลงให้กับพู
อ่านโคลงของหลายต่อหลายคนค่ะ อ่านมากด้วย
แต่ที่แน่ๆ แม่แบบดีไงคะ ...พี่กายไง...
ขอสอบเสร็จก่อนแล้วจะเขียนมากๆ คงดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
ต่อไป..น่าจะมีโคลงดีดีมาอวดพี่กายได้หลายๆ บท
เขียนได้แค่เพียงเสี้ยวของพี่กาย พูก็ดีใจแล้วค่ะ

ฝากคิดถึงกับฟ้า....,,,,ส่งไป
แม้นจักอยู่แสนไกล....หมื่นลี้
วานฟ้าโอบดวงใจ......จงอุ่น
แทนกอดจากใครนี้.....ห่มเนื้อคลายหนาว





 

โดย: พธู 25 มีนาคม 2552 21:23:45 น.  

 

น้องวิ...คนเก่ง
ค่ะ..เพลงนี้เพราะที่สุดจากทุกภาค....
พี่ไปหา วิ ที่บล็อค เพราะคิดถึงค่ะ...
ที่น้องหายหน้าไป..ไม่มาหาพี่เหมือนเคย

วันนี้มาได้แล้ว...น่ารักจริงๆ
อิๆๆ

มีความสุขกับคืนวันพุธนี้นะคะ
อย่านอนดึกนักนะ





ดาวจ๋า....
อยู่ห้องนี้...ค่ะ...
ไปห้องโน้นบ้างหากรู้สึกว่าจะมีใคร
แวะไป...เยี่ยม...โดยประสาทสัมผัสที่หก
อิๆๆ

๐ ทองหยอดทองหยิบให้....คนดี
ลูกชุบหลากหลายสี...........เสพลิ้ม
ข้าวเหนียวเปียกมูลมี..........มอมกลิ่น
เสพรสตาหลับพริ้ม............เพ่งให้หิวโหย

ขอบคุณสำหรับโค๊ดเพลงค่ะ


 

โดย: สดายุ... 25 มีนาคม 2552 21:24:18 น.  

 

น้องพู....
สวัสดีเช้าวันพฤหัสค่ะ....
มีโคลงมาอีกบทแล้ว...ดีค่ะ...เขียนบ่อยๆ
จะได้เก่งเร็วๆ....

ฝากคิดถึงกับฟ้า........ส่งไป
....เกือบดีค่ะ..แต่ควรมีสร้อยนะตรงนี้
....เพราะความมันจะค้างอยู่ว่า..ส่งให้ใคร
ฝากคิดถึงจากน้อง......ส่งไป นาพ่อ

แม้นจักอยู่แสนไกล....หมื่นลี้
....แม้นอยู่ห่างแสนไกล...ดีกว่าค่ะ

วานฟ้าโอบดวงใจ......จงอุ่น
....บรรทัดสามของโคลง..พู ทำได้ดีอีกแล้ว
....บรรทัดนี้เหมือนกระดูกสันหลังของโคลงทั้งบท
....เชื่อม intro ต่อกับ end ได้สนิทหรือไม่ก็อยู่ที่
....บรรทัดนี้
....พี่ชอบคำที่ใช้..."จงอุ่น"..เหมือนเป็นคำสั่ง
....ซึ่งจะรับกับคำว่า...วาน..คำหน้าสุด
....ถ้าคำหน้าเป็น.."วอน"..ลีลาจะเปลี่ยนเลย..
วอนฟ้าโอบดวงใจ......มอบอุ่น ให้นา
....คือจะกลายเป็นอ้อนวอน ซึ่งเป็นภาวะ อ่อนแอ

แทนกอดจากใครนี้.....ห่มเนื้อคลายหนาว
....วรรคหน้าเนื้อความเป็นธรรมชาติดีมาก
....สี่คำหน้าก่อนจะถึงคำโท รับสัมผัส(นี้)..บางครั้งไม่
....ง่ายที่จะหาคำที่เหมาะมาใส่
....วรรคปิดจบดี...ความต่อเนื่องกับวรรคหน้า
....จบด้วยเสียงจัตวา เสียงสูงคือ หนาว...เยี่ยม

บทนี้...ความหมายดีนะคะ...
ดูเหมือนน้องพูจะเข้าใจ
เปิด-ขยาย-รวบ-ปิด..ประเด็นในโคลงแล้วนะคะ

 

โดย: สดายุ... 26 มีนาคม 2552 5:52:26 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่กายขา


ขอบพระคุณที่ไปเยี่ยมแต่เช้าเลยค่ะ สุขสบายดีนะคะ ตอนนี้ มีงานติดพันค่ะ เลยนอนดึกนิดหน่อยค่ะ

รักษาสุขภาพนะคะ


คุรุวารสิริสวัสดิ์-มนัสปลื้มมโนปรีดิ์ค่ะ

 

โดย: วิค่ะ IP: 203.144.180.65 26 มีนาคม 2552 5:53:20 น.  

 

น้องวิ...
น่ารักจริง...มาเยี่ยมแต่เช้าเลย...
อ้อ..ค่ะ..มีงานยุ่งนะคะ...ไม่เป็นไร
ไว้พี่จะไปเยี่ยมที่บ้านเอง....

นอนดึกบ่อยๆ...ไม่ดีนะคะ...
พักผ่อนมากๆค่ะ...คนเพิ่งฟื้นจากป่วยไข้
อย่าดื้อนะคะ....อิๆๆ

 

โดย: สดายุ... 26 มีนาคม 2552 6:25:55 น.  

 

ย่องๆเข้ามาดูว่ามีใครอยู่บ้างค่ะ..

 

โดย: ดาวจ๋าคนซนๆค่ะ (satineesh ) 26 มีนาคม 2552 10:34:08 น.  

 


หว่านความรักไว้ที่นั่น ปลูกต้นฝันในใจเจ้า ริดรดน้ำค่ำเช้า เด็ดใบเศร้าทิ้งไป ....มารดน้ำค่ะ... ขวัญ


เดือนรูปเคียวเกี่ยวก้อยกับสร้อยฟ้า
โคมระย้าแห่งดาวเริ่มพราวแสง
เรืองรองแห่งหิ่งห้อยค่อยอ่อนแรง
มนต์รักแห่งศรัทธา...เริ่มพล่าเลือน

 

โดย: ขวัญค่ะ (toyor ) 26 มีนาคม 2552 20:30:49 น.  

 

ดาวจ๋า....
พี่อยากขอเพลงน้องสักสองเพลงนะคะ
บางปะกง...
พรานทะเล...
ขอเวอร์ชั่นที่เบิร์ด ธงไชย ร้องนะคะ....

รบกวนแล้วนะคะ.....
จ๋าสบายดีไหมคะ...เห็นหายๆไป...

ด้วยน้ำใจใสกระจ่างดั่งกลางวัน
คอยแบ่งปัน..เผื่อแผ่ให้แลเห็น
งามนั้นท่วมรูปเงา..ที่เจ้าเป็น
ย่อมโดดเด่นแจ่มจ้าดั่งตาวัน





ขวัญ....
อืม...วันนี้มีกลอนมาฝากพี่
ท่าทางจะเป็นคนโรแมนติคอยู่นะคะ...
สังเกตุกลอนขวัญจะออกแนว"นามธรรม"มากนะ
ลองชำแหละดูสักหน่อยเป็นไร...

เดือนรูปเคียวเกี่ยวก้อยกับสร้อยฟ้า
...เปิดบทดูเนือยๆไปนิด...คำว่า"สร้อยฟ้า" เองก็
...ไม่ชัดเจนว่าคืออะไร...
...สร้อย..หมายถึงความเศร้าโศกก้ได้
...แผลงเป็นความหม่นมืดในคืนแรม

โคมระย้าแห่งดาวเริ่มพราวแสง
...อันนี้ใช้"อติพจน์"คือคำพูดเกินจริง..ตรงโคมระย้า
...เป็นการเปรียบความให้เพริดแพร้วพิสดาร
...คำลักษณะนี้เหมาะกับการพรรณนาโวหาร
...หรือบรรยายโวหาร
...เมื่อเดือนมืด ดาวก็เห็นเด่นชัด
...บาทนี้ขยายความ

เรืองรองแห่งหิ่งห้อยค่อยอ่อนแรง
...พลิกภาพ contras กลับมาในทางตรงข้าม
...แสงนิดน้อยแห่งหิ่งห้อยราวจะเลือนไป
...บาทนี้หักความกลับด้าน
...เปรียบดาวเด่น..ข่มแสงหิ่งห้อยลงจนสิ้น

มนต์รักแห่งศรัทธา...เริ่ม"พร่า"เลือน
...เหมือนความรักความศรัทธาที่เคยมีให้กัน
...ที่เริ่มพร่าเลือนลง เหมือนแสงหิ่งห้อยฉะนั้น
...บาทนี้สรุป..เนื้อหาที่จะสื่อต่อคนอ่าน
...ให้รับรู้ถึงพัฒนาการของอารมณ์ที่แฝงอยู่
...ว่ากำลังเป็นไปในด้านลบ

บางทีเขียนบทเดียวแต่เน้นเนื้อหาจะดีกว่า
การเขียนยาวๆ...แล้วไม่มีเนื้อนะพี่ว่า
สบายดีนะคะ

 

โดย: สดายุ... 26 มีนาคม 2552 21:34:55 น.  

 

มาเติมฝันศรัทธาให้กล้าแกร่ง
ให้โชนช่วงร้อนแรงดุจแสงฉาย
บทกวีงามล้ำท่านรำบาย
จักสืบสายศิลป์ไทยให้วัฒนา.

:)

อิอิ..ถึงอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่อง..ก็ลุ้นให้จบค่ะ

คุณค่ามากมาย รออยู่..

:)

 

โดย: times IP: 124.120.200.241 26 มีนาคม 2552 22:59:29 น.  

 

พี่กายแพมแวะมาเที่ยวน้า..
........ราตรีสวัสดิ์ค่ะ.........


 

โดย: มัททะนะ (mastana ) 27 มีนาคม 2552 1:00:12 น.  

 

ดาวจ๋า..ว่างมากค่ะพี่กาย... ว่างจนง่วงนอน...คริคริ..ก็เลยนอนซะ...

ดาวจ๋ารบกวนพี่กายส่ง น้องแมวของพี่กายให้ดาวจ๋าหน่อยค่ะ...ส่งหน้าไมค์หลังไมค์ก็ได้ค่ะ..เพราะดาวจ๋าส่งเมลล์หาพี่จากโปรแกรม outlook ที่พี่แปะเมลล์ไว้ไม่ได้ค่ะ..คอมดาวจ๋าไม่ได้ตั้งค่าไว้...

ดาวจ๋าจะส่งโค้ดเพลงหร้อมคอนโซลทางน้องแมวเหมือนคนอื่นๆดีกว่านะคะ..จะได้ฟังได้..เพราะเพลงปาหนันทั้งหมด..ดาวจ๋าเทสลิงค์แล้วโอเคค่ะพี่...

ส่วนโค้ดเพลงที่เป็นของธงชัย..ดาวจ๋าไม่การันตีนะคะ..เพราะเป็นนักร้องท่านเดียวที่หาโค้ดยากมากเนื่องจากทุกคนกลัวเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ค่ะ...จะมีก็ต้องใช้ของเวบไอมีมค่ะพี่

ณ ศุกรวารราตรีนอนหลับฝันดีตลอดคืนค่ะพี่

 

โดย: ดาวจ๋า คนซนๆค่ะ (satineesh ) 27 มีนาคม 2552 1:25:45 น.  

 



พี่กายคะ..

พูแวะมาหาก่อนจะไปอ่านหนังสือค่ะ
มาอิ่มเอมกับบทกวีของพี่กายก่อน
แม้จะอ่านไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม
ขอพูสอบเสร็จก่อนนะคะพี่กาย
ถึงจะมาพยายามทำความเข้าใจกับฉันท์
พูเอง..อยากจะเรียนรู้ฉันท์เหมือนกัน
เป็นบทกวีที่ยากที่สุด..ในความคิดของพู

วันอาทิตย์นี้..พูสอบ ป.วิ.แพ่ง..ค่ะ
เป็นอะไรที่...ยาก..เหมือนกัน
จะใช้เวลาสอบ 4 ชั่วโมงกับข้อสอบ 10 ข้อ
การตอบข้อสอบกฎหมาย..จะเขียนวินิจฉัยอย่างเดียว
ไม่มีการเลือกตอบว่าถูกหรือผิดแบบ ก. ข. ค. นะคะ
ถ้าไม่แม่นจริง ก็ยากที่จะตอบได้
ปัญหา คือ ตัวบทเยอะมากไงคะ จำได้ไม่หมด
หากข้อสอบตรงกับที่เราจำได้ ก็สบายไป
แต่ยังไง พูก็สู้ค่ะ เต็มที่แน่นอน

หวามไหวใคร่เอ่ยเอื้อน.....วาจา
ดวงจิตน้องครวญหา.........ค่ำเช้า
เวลาตื่นลีมตา................คอยห่วง
จนหลับจิตยังเร้า.............ว่าน้องคิดถึง




 

โดย: พธู 27 มีนาคม 2552 10:20:59 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณสดายุ...

แวะมาเยี่ยม....ค่ะ
คุณสดายุ...สบายดีนะคะ

วันนี้วันศุกร์ คงจะเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้ว..นะคะ

ปอ ป้า ชอบ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ของคุณสดายุ
...ตอนนี้ มาก ๆ ค่ะ....

๐ กรรมเหตุและเดชะจะสลาย
ก็เพราะคลายระดับ..ตน..
รู้วัตรขจัดอดุระผล
ละกมละพ้นหมอง

๐ เพียงคุมผชุมจิตะสมา-
ธิสภาวะตามตรอง
ใคร่ครวญชนวนมุหะละออง
เฉพาะต้องจะตัดเตียน

๐ ติดหล่มเพราะสมมุติพิการ
วิญญาณะจำเนียร
สิ้นร่างบ่ร้างภวะเสถียร
จะผละเปลี่ยนและเวียนไป

...ความหมาย " ลึกซึ้ง " กินใจมาก ค่ะ.....

ปอ ป้า มองว่าผลงานต่าง ๆ ของคุณสดายุ
เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่...งดงามเหลือเกิน
ทุกตัวอักษร ดูราวกับมีชีวิต ให้ความรู้สึก ที่จับต้องได้ด้วย..ใจ

ไม่รู้ว่าใช้คำพูดในการชื่นชม ถูกต้องหรือเปล่า
แบบว่า ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย..ค่ะ
แต่ที่เขียนชื่นชมนี้ มันออกมาจากความรู้สึกภายในใจ..จริง ๆ

ขอให้เดินทางด้วยความปลอดภัย
มีความสุขมาก ๆ ในทุกวัน...นะคะ

Bhudda 1

 

โดย: พรหมญาณี 27 มีนาคม 2552 15:04:01 น.  

 

มาฟังเพลงเพราะๆค่ะ

 

โดย: วิค่ะ IP: 203.144.180.65 27 มีนาคม 2552 21:18:31 น.  

 

times...
สวัสดีค่ะ....
บทนี้เขียนสัมผัสงามเทียว....
ได้ใจคนอ่านคนนี้...อิๆๆ

ศัพท์ในฉันท์...ส่วนมากเป็นบาลีหรือสันสกฤต
ศัพท์...พอใส่การันต์อ่านว่า สับ...
เมื่อเอาการันต์ออกเสียอ่าน...สับ ทะ
การถอดการันต์ ออกก็จะได้ลหุมาใช้ฟรีตัวหนึ่ง
ง่ายจะตาย...อิๆๆ

ฉันท์...ฉันทะ...ฉันทา...ความพอใจ..นี่ก็บาลี
สวัสดี...นี่ก็บาลี...
หากเป็นลาวจะเขียน สะหวัดดี
อย่าง..ศรีสวาดิ แก้วบุญพันธ์
ลาวเขียน...สีสะหวาด แก้วบุนพัน

แต่คำไหนเราผ่านตาบ่อยก็รู้จัก...ก็ไม่ยากใช่ไหม
ตั้งใจหาความหมายก็จะรู้เรื่องเอง





แพม....
อ้าว...มาเที่ยวเหรอ...
นึกว่ามาอ่านฉันท์....อิๆๆ
ล้อเล่นน้า....มีความสุขกับวันหยุดสุดสัปดาห์
ใครไม่อยากเจอพี่...อย่าไปงานสัปดาห์หนังสือ
เด็ดขาด...เดี๋ยวจะไปเห็นคนใส่แว่นดำเดินดูหนังสือดุ่มๆคนเดียว..อิๆๆ






ดาวจ๋า...

พี่ขอบคุณมากนะคะ
ส่งมาที่เมล์นี้เลยค่ะ...
sdayoo@hotmail.com
ยังไงก็ถึงพี่นะคะ...
อีกเมล์นึงมีแต่ไม่ค่อยได้เข้าไปเปิดดู
aasdang@yahoo.com
ลองดูนะคะ...

ดูสิ...น้ำใจยังกะแม่น้ำองคนนี้...น่ารักที่สุด

คือน้ำใจไหลเชี่ยวดั่งเกลียวคลื่น
มอบฉ่ำชื่นรื่นละอองให้มองเห็น
ช่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่..งามแม่เป็น
เช้าตราบเย็นเห็นอยู่..ในหมู่ชน

 

โดย: สดายุ (สดายุ... ) 27 มีนาคม 2552 22:15:05 น.  

 

ดาวจ๋าส่งน้องแมววววไปแว๊ววว คร่าพี่กาย...

เด๋วดาวจ๋าไปตอบเพื่อนบล็อกก่อนนะคะ..

วันนี้แขกเต็มบ้านเลยค่ะ


ณ ศุกรวารราตรีนอนหลับฝันดีตลอดคืนค่ะพี่

 

โดย: ดาวจ๋าคนซนๆค่ะ (satineesh ) 27 มีนาคม 2552 22:49:20 น.  

 



๐ได้รับกลอนเยินยอจากท่านพี่
แสนยินดีปรีด์เปรมจะหาไหน
นั่งอ่านด้วยรอยยิ้มพริ้มละไม
ดวงหทัยแช่มชื่นระรื่นพลัน..

๐ขออำนวยอวยพรสะท้อนกลับ
พรที่รับคืนต่อท่านพี่นั้น
สุขเกษมเปรมปรีด์ทุกวี่วัน
นิจนิรันดร์ผ่องผุดวิมุติเทอญ../

ดาวจ๋า

 

โดย: ดาวจ๋า คนซนๆค่ะ (satineesh ) 27 มีนาคม 2552 22:59:55 น.  

 

เพิ่งกลับจากเก็นติ้งมาค่ะ
ดีใจจัง ได้อ่านต่อแล้ว

 

โดย: เม็ดขนุน IP: 202.28.181.7 28 มีนาคม 2552 0:07:11 น.  

 

น้องพู....
ดูๆจะเป็นคนโรแมนติคอยู่มากนะ...
ไม่ใช่คนแข็งอย่างที่พูดเลย...

เขียนโคลงหวานปานนี้...อิๆๆ
หนุ่มคนนั้นมาอ่านเข้าคงปลื้ม

เขียนโคลงเก็บความได้ดีทีเดียว
การใช้คำก็ดี...ก้าวหน้าเร็ว

ขอให้สอบผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ..
พี่เอาใจช่วย






ปอป้า....
ขอบคุณครับที่ชม...ตัวกำลังลอยครับ
อิๆๆ

บทนี้เขียนด้วยความที่ทึกทักเอาเองว่า
เป็นศิษย์ฆราวาสสำนักสวนโมกข์...
ว่าด้วยวิญญาณใน ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละครับ

คงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ช่วยกันถอนรากเหง้าแนวคิดพราหมณ์ที่เป็นกาฝาก
แฝงในพุทธศาสนาตั้งแต่พระร่วงเขียนไตรภูมิกถา
ออกเสียให้สิ้น...

ไม่ว่านิยามของคำว่า...
โลก...โลกวิทู
ผู้รู้แจ้งโลกนั้น..พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งโลกแบบไหน
โลกภูมิศาสตร์...หรือโลกในกายคือจิตวิญญาณ

วิญญาณ...ว่าจะเป็นวิญญาณหก
หรือเป็นวิญญาณที่ลอยล่องออกจากกาย
หลังตายเข้าโลง

สังขาร...ว่าจะเป็นอำนาจของการปรุงแต่ง
หรือเป็นอย่างอื่น

รูปที่เอามาวาง..ผมขอนะครับ
ขอบคุณนะครับ






น้องวิ...
วันนี้มาสั้นจัง...
เพลงนี้ชอบใช่ไหม...
ดีล่ะ...พี่มีมาใหม่อีกสองเพลง
จากน้อง เพรง.พเยีย...ส่งมาให้ประกอบเรื่อง
ที่กำลังเขียนนี่...เพราะน้า...ลองฟังดูค่ะ
ที่บล็อค...เพลงสากล...สองเพลงล่าสุด

หลับฝันดีนะคะ








ดาวจ๋า....
พี่ได้รับและตอบกลับจ๋าแล้ว
ด้วยความขอบคุณในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
และเป็นมิตรกับทุกๆคน

บุญรักษานะคะ...คนเก่ง
แผลหายเร็วๆ....







เม็ดขนุน....
ไปเที่ยวมาเลย์มาเหรอ
สนุกไหม....เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2552 0:29:53 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: พิม (yadapim ) 28 มีนาคม 2552 9:54:47 น.  

 

เดี๋ยวพาน้องไปเที่ยวทะเลก่อนนะ
(พี่กายคงคิดในใจ....เบื่อทะเลสุดๆ อิอิ)
งั้นไม่เที่ยวเผื่อนะ
แต่จะเอาข้าวกระเพรามาฝากล่ะกัน (เห็นว่าทานบ่อยๆ)
คิดถึงจังค่ะ

 

โดย: ขวัญ IP: 125.24.101.200 28 มีนาคม 2552 11:51:45 น.  

 

พิมน้อง....
ขอบคุณนะคะ..ที่แวะมาเยี่ยมพี่
ตอนนี้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เหมือนที่ผ่านมา...

พิมสบายดีนะคะ






ขวัญ....
อ้อ...เหรอไปเที่ยวทะเล
เที่ยวให้สนุกนะคะ....
ทรายกะทะเล....
อืม..พี่เบื่อเหรอ...ก็ไม่ถึงขนาดนั้น
แต่เกิดมากับทะเลก็...ตอนนี้ก็ทำงานใกล้ทะเลอีก
เลยชอบเที่ยวภูเขา ป่า มากกว่า

ขอบคุณนะคะที่ยังคิดถึงกัน

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2552 20:52:31 น.  

 

จ๊ะเอ๋....พี่กายขา..

ดาวจ๋าไปวิ่งเล่นอยู่ที่ห้องนารีปราโมชค่ะ...ไหนพี่กายบอกว่ามีสัมผัสรับรู้ได้ไงคะ?....

 

โดย: ดาวจ๋า คนซนๆค่ะ (satineesh ) 28 มีนาคม 2552 20:52:32 น.  

 

รู้แล้วค่ะ....
แต่พอดีหน้านี้ตั้งเป็นหน้าหลักไว้....
ก็มาที่หน้านี้ก่อนค่ะ...เห็นคนเก่งไปที่1 อีกแล้ว
อิๆๆ

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2552 21:07:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 152 คน [?]









O สิ้นสวาดิ .. O





O ให้เราสองขาดกันแต่วันนี้
อย่าได้มีหัวใจอาลัยหา
ความรู้สึกอ่อนหวานมันด้านชา
ปรารถนาคงเหลือ .. เพียงเพื่อลืม

O อัสดงคต .. ดวงรพี .. คล้ายรีรอ
จะทอดทอสุรภาพ .. ให้ปลาบปลื้ม
ก่อนโอนแสงดาวกระพริบให้หยิบยืม
ไว้ร่วมดื่มด่ำงาม .. ยิ่งงามนั้น
O เงียบงันด้วยเยียบเย็น .. ใต้เพ็ญแข
สุดตาแลเหลียวไป .. ภาพไหวสั่น
คล้ายภาพพจน์อันตระการแห่งวานวัน
ค่อยบิดเบี้ยวแปรผัน .. เกินกั้นไว้
O คลื่นแสงพาดราศี .. สู่ชีวิต
โลมดวงจิตมุ่งมั่นกับฝันใฝ่
สุรภพอัมพร .. ผ่านตอนไป
สุมฟอนไฟนิรมิตเป็นสิทธา
O โลกราตรีรู้ผ่านแต่ด้านมืด
ให้เย็นชืดแห่งวิกาลเผยผ่านหา
โหมรอบหม่นหมองหมาง .. ให้ย่างมา
คลุมครอบอารมณ์คน .. อยู่อลเวง
O มีจันทร์แสงเรื่อรอง .. สู่คลองเนตร
คลายแววเลศกราก-รุมเข้ากุมเหง
ผ่านความหมายเร้ารัว .. บอกตัวเอง
ให้รุดเร่งถือสิทธิ์ .. ในจิตตน
O นิมิตใดกันเล่าที่เฝ้าหมาย
เช่นวิชชุรำร่ายกลางสายฝน
ฤๅผกายมณีน้ำ .. แสงอำพน
จักปลาบปนผ่องผาย .. สบสายตา ?
O งามเคยงาม .. ราววิชชุที่ลุแล่น
เมื่อห้อมแหนภาคโพยม .. เข้าโถมถา
แค่เพียงชั่วคาบยาม .. ก็ทรามทา-
ทาบแผ่นฟ้ามืดคล้ำ .. ร่วมรำบาย
O ใช่ผกายวิชชุ .. อันคุเพลิง
ที่จะเริงโรจน์เต้น .. ฟาดเส้นสาย
แต่เป็นมืดหม่นคล้ำ .. ค่อยกำจาย
ย้อนความหมายถ่ายช่วง .. บ่งท่วงที

O เฉกเช่นสายสาคร .. ไม่ย้อนกลับ
ผ่านเลยแล้วผ่านลับไม่กลับที่
ขาดกันเถิด .. ชิดเชยที่เคยมี
ตราบชั่วชีวาตม์จม .. ลงล่มลาญ !




Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.