|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
แก้วสารพัดนึก : ป.อินทรปาลิต
เรื่อง : แก้วสารพัดนึก ผู้เขียน : ป.อินทรปาลิต สำนักพิมพ์ : บรรณาคาร ปีที่พิมพ์ : 2496 เล่มเดียวจบ
สวัสดีปีใหม่ 2567 ครับทุกท่าน โอกาสนี้ขอเปิดศักราชใหม่ ด้วยการนำเสนอผลงานของนักเขียนรุ่นครู ป.อินทรปาลิต ในเรื่อง แก้วสารพัดนึก ครับ
เห็นชื่อ “แก้วสารพัดนึก” ครั้งแรก ผมนึกไปถึง นวนิยายขนาดยาวของ สันต์ เทวรักษ์ ที่เคยนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ช่องเจ็ดในอดีต แต่สำหรับ แก้วสารพัดนึก อันเป็นนิยายขนาดสั้นเรื่องนี้ นับเป็นนิยายแนวรักโศก ที่สะท้อนภาพชีวิตของมนุษย์ ในยุคสมัยหนึ่ง ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยผลงานของนักเขียนนามอุโฆษ ป.อินทรปาลิต ที่หลายคนรู้จักกันดีจากผลงานชุดสามเกลอนั่นเอง
เรื่องราวของแก้วสารพัดนึก บอกเล่าถึงชีวิตของ นายสอน ยิ้มเขียว ชายหนุ่มจากเมืองโพธิทอง จังหวัดอ่างทอง อำเภอชนบทเล็กๆที่ห่างไกลความเจริญในยุคนั้น นายแสงบิดาของสอนเป็นชาวนา ซ้ำยังเช่าที่นาเขาทำอีกด้วย และด้วยฐานะที่ยากจนนี่เอง เมื่อเห็นว่า สอนพอจะมีความรู้จากการบวชเรียนอยู่บ้าง เมื่อชายหนุ่มขอออกไปเสี่ยงโชคในบางกอก ตาแสงจึงยินดี
แล้วชีวิตชาวกรุงของสอน ยิ้มเขียว ก็เริ่มต้นขึ้น เขาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงต้นปี 2494 โดยอาศัยเรือเมล์ และมาอาศัยกับหลวงพี่ผ่องที่วัดมหาธาตุ ก่อนจะออกมาขี่จักรยานสามล้อ และมีโอกาสได้รู้จักกับแพรว ลูกจ้างสาวในบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งคู่เลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตกัดก้อนเกลือกินด้วยกัน โดยเช่าบ้านกับนางสร้อย หญิงวัยกลางคมที่มีนิสัยเค็มยิ่งกว่าเกลือ...
แต่รายได้เพียงวันละสิบกว่าบาท ก็แทบไม่พอยาไส้ ซ้ำยังต้องเจ็บป่วย จนหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านไม่พอเสียอีก
“พี่เอ๋ย แพรวเห็นพี่เหงื่อไหลไคลย้อยกลับมาบ้านอย่างนี้ แพรวสงสารพี่เหลือเกิน เมื่อไรหนอเราจึงจะร่ำรวยเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง” “อย่าไปนึกถึงความั่งมีเลยแพรว เอาแต่เพียงพอมีพอกินก็ดีแล้ว โชควาสนาของคนเราย่อมเป็นไปสุดแล้วแต่บุญกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน ถึงจะยากจนอย่างไร ถ้าเรารักกัน อย่างนี้เราก็มีความสุขนะจ๊ะแพรว คงไม่ถึงกับอดตายหรอก”
แต่แล้ว โชควาสนา ก็มาถึงโดยสองผัวเมียไม่ทันคาดคิด เมื่อลอตเตอรี่ ที่สอนซื้อไว้โดยบังเอิญ เกิดถูกรางวัลที่หนึ่ง ได้รับรางวัลถึงหนึ่งล้านบาท!
ป.อินทรปาลิต ได้เขียนสรุปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของสอนกับแพรวในตอนนี้ เอาไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวว่า
เงินคือแก้วสารพัดนึก ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า มีเป็นคน จนเป็นหมา ในสมัยก่อน สมัยปู่ย่าตายายของเรา คนที่เป็นผู้ดีหรือคนที่มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตาไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีเงิน แต่สมัยนี้... ปัจจุบันนี้ เป็นยุคสมัยที่ศีลธรรมเสื่อมทรามลงไปเกือบหมดแล้ว มนุษย์เราบูชาเงินเป็นพระเจ้า คนมีเงินเท่านั้นที่สังคมยกย่องเคารพนับถือ ไม่ว่าเขาจะมีความประพฤติเลวทรามต่ำช้าสักเพียงใด ถึงแม้จะติดคุกติดตะรางมาแล้ว ถ้าหากว่าเขาเป็นคนมีเงิน การติดตะรางของเขาก้ไม่มีความหมายอะไร เพราะไม่ทำให้เขาเสียเกียรติแม้แต่น้อย
โลกเจริญขึ้นแต่เพียงด้านวัตถุ ส่วนจิตใจของพลโลกมีแต่เลวลง มนุษย์ดิ้นรนแสวงหาเงินทุกวิถีทาง กอบโกยเงินเอามาไว้ บางคนมีมากมายหลายล้านใช้ไปจนชั่วอายุลูกหลานก็ไม่หมด ยังมีความโลภพยายามหาเงินมาสะสมไว้ ยิ่งมีก็ยิ่งโลภ มนุษย์ยังชีวิตอยู่ด้วยความหวังและความปรารถนาที่จะให้ตนมีความสุข ซึ่งความสุขจะเกิดได้ก็ด้วยเงินเท่านั้น เมื่อมีเงินก็เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเงินเปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึกนั่นเอง
และชีวิตของสอนในเวลานี้ ก็เปรียบเสมือนมีแก้วสารพัดนึกในอุ้งมือ เขาไม่ใช่กรรมกรซอมซ่อที่ยากจนอีกต่อไป แต่เป็นเศรษฐีที่สง่า และทรงภูมิ ทว่า เงินที่ได้มานั้น ก็ทำให้หลงระเริงและตกอยู่ในอำนาจของมัน มีผู้คนมากมายเข้ามาประจบ ป้อยอเพื่อหวังเงินทอง และทำให้สองผัวเมีย กลายเป็นคนฟุ้งเฟ้อไปเสียแล้ว
จากบ้านเช่าซอมซ่อของนางสร้อย และเพื่อนกรรมกรขับสามล้อ เขาย้ายไปพักโรงแรมรัตนโกสินทร์อันสุดหรูหรา เปลี่ยนชื่อจากสอน เป็น คุณสรศักดิ์ ส่วนแพรว ก็เปลี่ยนแพรวพรรณ ส่วนนามสกุล ยิ้มเขียว ก็กลายเป็น ขจีพันธ์ ไปแทน
ผู้คนมากหน้า เข้ามาหา ด้วยหวังผลประโยชน์และหลอกขายทรัพย์สินต่างๆ ให้สองสามีภรรยา จับจ่ายใช้สอยอย่างมือเติบ เพราะไม่เคยมีเงินทองมหาศาลเช่นนี้มาก่อน ตราบจนกระทั่ง ทั้งคู่ถูกชักจูงให้ไปเล่นการพนันยังบ่อนแห่งหนึ่ง
อบายมุขเหล่านั้นที่ชักจูงให้สอนและแพรวถลำลึกลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนี้สินจำนวนมากแทน บัดนี้ทั้งคู่กลายเป็นคนล้มละลายไปแล้ว แก้วสารพัดนึกในกำมือ หลุดลอยหายไป โดยไม่อาจไขว่คว้า
ทั้งคู่กลับมาสู่วิถีอาชีพเดิม ยังบ้านเช่าของนางสร้อยตามเดิม ท่ามกลางสมาชิกสามล้อเช่าที่เป็นมิตรสหายเหล่านั้น อย่างน้อย ทุกคนที่นั่นก็ยังต้อนรับเขาด้วยไมตรีจิตเหมือนเดิม
อีกครั้งหนึ่งที่เขาพาแพรวเมียรักของเขากลับมาหานางสร้อยที่บ้านในตรอกเชิงสะพานอุรุพงษ์ เขาจากป้าสร้อยและเพื่อนสามล้อไปอย่างราชสีห์ แต่ชั่วเวลาเพียงปีเดียวเขาก็พาเมียของเขากลับมานางสร้อยอย่างสุนัขที่ผอมโซ สอนกับแพรวปลงตกแล้ว ทั้งสองสดชื่นรื่นเริงไม่พยายามนึกถึงอดีตแห่งความรุ่งเรืองของเขา ซึ่งคล้ายกับความฝันที่เกิดขึ้นในขณะที่นอนหลับอีกต่อไป...
แก้วสารพัดนึก เป็นนิยายขนาดสั้น ที่นอกจากการเขียนที่อ่านสนุกเพลิดเพลิน ด้วยเรื่องราวและสำนวนภาษาของ ป.อินทรปาลิตแล้ว ยังให้ข้อคิดคติเตือนใจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเงินอันเป็นเสมือนแก้วสารพัดนึก ที่แม้จะดลบันดาลทุกสิ่งได้ แต่ก็ไม่อาจจะอยู่กับตัวของเราได้ตลอดกาลเช่นกัน
Create Date : 02 มกราคม 2567 |
|
4 comments |
Last Update : 2 มกราคม 2567 11:34:56 น. |
Counter : 410 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Rain_sk 5 มกราคม 2567 3:13:13 น. |
|
|
|
|
|
|
ฉันติดคุก ครั้งนี้ ชั่วชีวิต
เพราะทำผิด คิดรัก ตัวอักษร
ถูกคุมขัง ตั้งแต่เช้า จนเข้านอน
ขอวิงวอน โปรดอย่า มาประกัน
คุกหนังสือ คือโซ่ทอง ที่คล้องล่าม
คุกหนังสือ คือความงาม ในความฝัน
คุกหนังสือ คือดนตรี กล่อมชีวัน
คุกหนังสือ คือสวรรค์ ฉันรักเธอ
จาก คุกหนังสือ : แคน สังคีต | | |
นายแว่นขยันเที่ยว